วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก ตอนที่ 12

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0012

บทที่ 6 ฉันจะสอนให้รู้จักต่างโลกเอง (1)

* * *

หน่วยรักษาความปลอดภัยที่เพิ่งตามมาสมทบ พาตัวฮาวนด์และเจ้าของโรงแรมออกไป

ด้วยความสัตย์จริง ฉันเชื่อว่านี่ต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ เพราะหมู่บ้านเบสแคมป์ไม่ใช่ป่าดงดิบที่ทุกคนสนใจแค่การเอาตัวรอด แต่ยังมีกฎระเบียบของสังคม

อย่างไรก็ดี ฉันมิได้กังวล หลังจากใช้ชีวิตในต่างโลกมานาน ฉันเลิกตื่นตูมกับเรื่องเล็กน้อยไปโดยปริยาย

ด้วยเหตุผลบางประการ ทัศนคติแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะสภาพจิตใจที่เข้มแข็งคือสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอด

ขณะคิดเช่นนั้น หัวหน้าหน่วยพูดขึ้นมาลอยๆ

“ผมไม่ใช่ตำรวจ และไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือนตำรวจ”

ไม่จำเป็นต้องสนทนายืดยาว ฉันแค่พยักหน้ารับ สายตาที่หัวหน้าหน่วยจ้องมองมาเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ

เกี่ยวกับแวมไพร์ที่พบในห้องใต้ดิน หน่วยรักษาความปลอดภัยไม่มีอำนาจจัดการ จึงต้องรายงานไปยังเบื้องบน

“ในกรณีแบบนี้ ปรกติแล้วจะลงเอยยังไง?”

“ถ้าแวมไพร์รู้เรื่องโลกมนุษย์ หล่อนต้องถูกกำจัดทิ้ง”

“กำจัดทิ้ง… อำมหิตจังเลยนะ”

“แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ หล่อนจะแค่ถูกเนรเทศ… ค่อนข้างน่าแปลกอยู่เหมือนกัน แต่ชาวต่างโลกมักไม่ค่อยเข้าใจโลกมนุษย์ หรือต่อให้ล่วงรู้ความลับบางอย่าง ก็จะมองเป็นเรื่องไสยศาสตร์เสียมากกว่า”

ดูเหมือนว่า กฎระเบียบของมนุษย์ยังพอจะหลงเหลือความเมตตาอยู่บ้าง

“…เงื่อนไขนี้เกิดขึ้นหลังจากกลุ่มเรียกร้องสิทธิ์ออกมาประท้วง”

“…”

กะไว้แล้ว โลกไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด

“ตามความเห็นของผม ชาวต่างโลกก็มีหัวใจเหมือนกัน”

ค่อนข้างชัดเจนว่า หัวหน้าหน่วยมีความเป็นคนอยู่เต็มเปี่ยม

นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่รังเกียจเขา

* * *

ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของประตูมิติและโลกมนุษย์หรือไม่?

ครอบครองผลิตภัณฑ์ของโลกมนุษย์หรือไม่?

มีโอกาสที่จะย้อนกลับมาแก้แค้นเบสแคมป์หรือไม่? และอีกมาก

หลังจากการสอบสวนสิ้นสุดลง ข่าวคราวแวมไพร์ถูกเนรเทศก็แพร่สะพัด

ดีแล้วที่ไม่ถูกฆ่า? เรื่องนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่ผลลัพธ์ก็ค่อนข้างจรรโลงใจ

ปัจจุบัน ความสนใจของฉันกำลังจดจ่ออยู่กับบ้านที่สร้างเสร็จ

“…ฟู่ว”

ภายในป่าเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ไม่ไกลจากหัวใจป่า ฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นกระท่อมกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม

สร้างกระท่อมส่วนตัวท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ และใช้ชีวิตอย่างอิสระ

นี่คือสิ่งที่ฉันอยากทำก่อนตาย ชอบอยู่แบบนี้มากกว่าใจกลางเมืองเสียอีก

แต่ในเกาหลีไม่มีสถานที่ใดใกล้เคียง มันจึงเป็นแค่ความฝันมาตลอด แต่ใครจะไปคิดว่า ความฝันสามารถกลายเป็นจริงได้ในต่างโลก

อาคารสร้างเสร็จแล้ว แต่ธุรกิจยังไม่ได้เริ่ม

เหตุผลไม่ซับซ้อน นั่นเพราะฉันยังไม่ได้ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ด้วยเงินค่าจ้างที่ชาโซฮียังติดค้าง ฉันจะเรียกหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยมาต่อเติมบ้านตอนไหนก็ได้

เหนือสิ่งอื่นใด ฉันสร้างกระท่อมหลังนี้โดยแทบไม่ต้องใช้เงิน ไม่รู้ว่าใช้วิธีแบบไหน แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยจะมีอำนาจมากพอตัว

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล

“…สามคนแล้ว? ทำไมล่ะ…”

ก่อนมื้อเที่ยง มีลูกค้าแวะมาหาสามคน

แน่นอนว่าฉันไล่กลับ เพราะสำนักงานยังไม่เปิดให้บริการ

แต่ประเด็นอยู่ตรงที่… ทำไมวันนี้ถึงมีลูกค้าสามคนแล้ว?

ฉันยังไม่ได้แจกใบปลิวด้วยซ้ำ

ประการแรก กระท่อมหลังนี้อยู่นอกหมู่บ้าน และไกลจากถนนหลักพอสมควร ฉันจงใจสร้างให้ลึกเพื่อไม่ให้ถูกรบกวนขณะกำลังวิจัย

ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีใคร ‘บังเอิญเดินผ่านมา’

“…เพราะอะไรกันนะ”

“มนุษย์เอ๋ย… ข้าคนนี้มีคำตอบให้เจ้า แต่เจ้าต้องทำพันธสัญญากับข้าก่อน”

ฉันหยุดมือและหันไปยังทิศทางของเสียง

“พันธสัญญาอะไร”

“ปล่อยฉันไปสักที!”

ชาโซฮีกำลังถูกห่อด้วยเปลญวนที่ขึงไว้ระหว่างต้นไม้ เหลือแค่ส่วนหัวที่โผล่ออกมาได้

ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นฝีมือของฉันเอง สำหรับหล่อน ฉันจำเป็นต้องใช้วิธีรุนแรง

“ปล่อยฉัน!”

“บอกว่าอย่าขึ้นไปนอนก็ไม่ฟัง นี่เป็นบทลงโทษ”

“ว๊ากกก! ใครก็ได้ช่วยด้วย! คุณหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยคะ! มีคนใช้ความรุนแรงค่ะ!”

“ฉันใช้ความรุนแรงกับเธอตอนไหน?”

“มีคนใช้ความรุนแรงค่ะ! อ๊าาา! …นายโดนฉันใส่ร้ายแน่ หึหึ”

“…เธอรู้อะไรไหม มันมีวิธีง่ายๆ ที่ใช้หลีกเลี่ยงการถูกใส่ร้ายอยู่”

“วิธีอะไร?”

“เปลี่ยนให้การใส่ร้ายเป็นความจริง”

ฉันก้มหยิบท่อนไม้และเดินเข้าไปใกล้ชาโซฮี

“ขอโทษ! ฉันผิดไปแล้ว!”

ในระยะหลัง ดูเหมือนว่าทางบริษัทจะมอบหมายให้ชาโซฮีทำงานสำคัญ อาจเป็นการตรวจสอบสินค้าก่อนนำกลับโลก หรือไม่ก็เป็นงานที่ต้องบริการลูกค้า… ฉันไม่เคยฟังรายละเอียด แต่พอจะเดาได้ว่าเป็นงานทำนองนั้น…

ด้วยธรรมชาติของงาน เธอไม่มีทางเลือกนอกจากเทียวไปเทียวมาระหว่างโลกและต่างโลก และทุกครั้งที่มาเยือนต่างโลก ก็จะแวะมาพักที่กระท่อมของฉันเสมอราวกับเป็นส่วนหนึ่งในแผน

ชาโซฮีผู้ถูกเปลญวนพันธนาการร่างกาย มองไปรอบตัวสักพัก พยายามขยับซ้ายขวาเพื่อมองหามุมสบาย

“คังซอนฮู ที่ทำงานของนายเจ๋งชะมัด! เหมือนกับรีสอร์ตหรือไม่ก็สวนป่าไม่มีผิด”

“ในสายตาเธอ ที่ทำงานของคนอื่นดูเป็นแบบนั้นหรือ?”

“นายก็คิดเหมือนฉันนั่นแหละ! ไม่อย่างนั้นจะผูกเปลญวนไว้ที่ทำงานทำไม?”

ก็ไม่ผิดนักหรอก ฉันไม่ปฏิเสธว่าความฝันของตัวเองถูกเติมเต็มแล้วที่นี่

ชาโซฮีที่ดูจะชื่นชอบบรรยากาศ ยังคงสรรเสริญไม่หยุดปาก

“ฉันก็อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน จะไปโซลตอนไหนก็ได้… เมื่อลองมาคิดดู ทำเลก็ดีมาก ยังกับโซนบ้านสีเขียวในโซล ที่นี่มันสวรรค์ชัดๆ”

ฉันตัดสินใจถามในสิ่งที่คาใจมานานแล้ว

“ทำไมมนุษย์ถึงไม่ย้ายมาอาศัยในต่างโลก? ไม่ว่าจะอันตรายสักเพียงใด แค่สร้างหมู่บ้านแล้วจัดเวรยามเฝ้าระวังก็จบ ยิ่งเวลาผ่านไปสังคมก็ยิ่งเติบโตและปลอดภัยขึ้น”

พูดถึงตรงนี้ ฉันฉุกคิดถึงหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แผนดังกล่าวเกิดขึ้นจริงไม่ได้

“…ไม่เวิร์คสินะ”

เมื่อลองมาคิดดู หากหมู่บ้านขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ มีแนวโน้มสูงที่อาณาจักรจะตรวจพบความผิดปรกติ

นั่นอาจนำไปสู่สงคราม และสงครามนำมาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวง เพราะรัฐบาลคงมิอาจนำเครื่องบินรบข้ามประตูมิติมาได้

ฉันเชื่อแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นเรื่องอื่น ชาโซฮีจ้องฉันพลางอธิบาย

“…นายอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?”

“ฉัน? ราวหนึ่งสัปดาห์ หรืออาจจะสองแล้ว… ไม่แน่ใจเวลาโลกเหมือนกัน”

“ไม่ได้กลับบ้านเลย?”

ฉันพยักหน้ารับ ความสะอาดและมื้ออาหารถูกจัดการที่โรงแรม แม้จะค่อนข้างแพง แต่ถ้าคำนวณจากค่าผ่านประตูมิติ ฝั่งนี้ดูจะวุ่นวายน้อยกว่าและประหยัดค่าอาหารได้มากกว่า

นั่นคือประเด็นที่ชาโซฮีต้องการจะสื่อ

“มีหลายคนทำแบบนายไม่ได้”

มีหลายคนทำไม่ได้? ฉันไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงหยุดมือและเงยหน้ามองชาโซฮี

“ทำอะไรไม่ได้?”

“มีหลายคนที่ไม่สามารถอยู่ในต่างโลกได้นานเกินหนึ่งสัปดาห์ ในกรณีของฉัน สูงสุดคือสามวันและต้องกลับไปพักที่โลก หากนานกว่านั้นจะร่างกายจะส่งสัญญาณ”

ฉันเริ่มเข้าใจสาเหตุ

ในหมู่มนุษย์ที่สามารถทนพิษของต่างโลก แต่ละคนทนได้ไม่เท่ากัน

“บางที คนที่อยู่นานที่สุดในเบสแคมป์คงเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย ได้ยินว่าเขาอยู่ได้สองเดือนแล้ว และอาจอยู่ได้นานถึงหนึ่งปีแต่นั่นก็แค่การคาดเดา”

“…”

“นายอยู่ได้นานกว่าหกปีใช่ไหม?”

ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว

ในช่วงปีแรก จะเรียกว่า ‘อยู่ได้’ ก็คงไม่ใช่

ชาโซฮียังเล่าต่อไปว่า ใบอนุญาตในต่างโลกมีตั้งแต่ระดับสิบไปจนถึงระดับหนึ่ง สิทธิ์ในการสำรวจจะขึ้นอยู่กับระดับ

ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาและตรวจสอบใบอนุญาต

“ของฉัน… ระดับแปด”

ชาโซฮีพยักหน้า

“ใบอนุญาตทั่วไปคือระดับสิบ ถ้าสอบใบอนุญาตสำรวจผ่านจะได้ระดับเก้า ส่วนของนายก็อาวุโสขึ้นมาอีกขั้น จึงเป็นระดับแปด”

“อ้อ…”

“แต่อุปสรรคที่สำคัญคือการปรับตัวให้เข้ากับพิษ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหน แต่ถ้ามีเวลาจำกัดแค่สามวันแบบฉัน นายก็ไม่มีทางไปไหนได้ไกล”

“เข้าใจแล้ว”

ดูเหมือนว่า นี่คือเหตุผลหลักที่มนุษย์ยังสำรวจต่างโลกได้ไม่มาก

เป็นอุปสรรคสำคัญที่ยากจะก้าวข้าม ไม่อย่างนั้น มนุษย์ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดคงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ข้อมูลของโลกนี้อย่างละเอียด ลำพังชาวอาณาจักรต่างโลกหรือสัตว์ป่า คงยากที่จะขัดขวางความหัวรั้นของมนุษย์

พวกเขาคงไม่รู้ว่า… ความจริงแล้วโลกใบนี้น่ากลัวกว่าที่คิด…

“ว่าแต่ จะเพิ่มระดับใบอนุญาตได้ยังไง? ต้องสร้างผลงาน?”

ฉันถามส่งๆ โดยไม่หวังคำตอบ เพราะสมาธิกำลังจดจ่ออยู่กับอาหารเบื้องหน้า

“เชฟ วันนี้มีเมนูอะไรหรือ?”

“ข้าวจัมปงรามยอนในหม้อร้อน”

“โอ้ส! ของโปรด!”

พักหลัง ฉันชอบใช้หม้อร้อนเพราะแค่มีน้ำเย็นก็ได้กินอะไรอุ่นๆ

แน่นอน ชาโซฮีเป็นคนไปซื้อมาจากโลกมนุษย์

ฉันมองไปทางกองสัมภาระที่ถูกวางอย่างไม่เป็นระเบียบ

ไว้เตรียมตัวเสร็จและเปิดสำนักงานเมื่อไร ก้าวแรกของฉันคือการตามหาอาณาจักรทองคำ

แต่ก่อนหน้านั้น ฉันอยากพักผ่อนให้หนำใจ

“ชาโซฮี?”

เมื่อเสียงของชาโซฮีหายไปนาน ฉันแหงนหน้ามองเปลญวน

“…”

ชาโซฮีที่ถูกผ้าห่อ กำลังอยู่ในท่าอ้าปากค้าง

และฝั่งตรงข้ามของสายตาคู่ดังกล่าว

“ว…แวมไพร์!”

แวมไพร์และชาโซฮี ทั้งสองจ้องหน้ากันด้วยสีหน้าไม่แตกต่าง

“ว…แวมไพร์! แวมไพร์! ซอนฮู! นี่! ซอนฮู!!”

เมื่อชาโซฮีเริ่มดีดดิ้น ด้วยเกรงว่าเธอจะบาดเจ็บ ฉันตัดสินใจปลดเปลญวนลงมา

ชาโซฮีรีบมาหลบหลังฉัน

“ทำไมแวมไพร์ถึงมาอยู่ที่นี่! ท…ทำไม!”

สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ เธอสามารถจำแนกได้ว่าเป็นแวมไพร์

ทั้งที่แวมไพร์ตนนี้ตื่นตอนกลางวัน ไม่มีเขี้ยว และมีบางจุดแตกต่างจากแวมไพร์ทั่วไป แต่ชาโซฮีกลับจำแนกได้ทันที

“ซอนฮู! แวมไพร์น่ะ! หูหนวกหรือไง?”

“ฉันรู้อยู่แล้ว”

“หา?”

“หล่อนอยู่แถวนี้มาสักพักแล้ว”

อันที่จริง ฉันไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร เมื่อไม่กี่วันก่อน แวมไพร์ตนนี้มาด้อมๆ มองๆ รอบกระท่อมฉัน บางครั้งก็แอบมองผ่านซอกต้นไม้

อีกฝ่ายพยายามซ่อนตัว แต่ฝีมือห่วยแตกจนฉันไม่จำเป็นต้องคิดมาก

อย่างไรก็ดี เธอไม่เคยรบกวนฉัน ไม่คิดจะโจมตี และไม่มีแม้แต่แง่มุมเดียวที่ดูอันตราย ฉันจึงปล่อยเธอไว้

บางที แวมไพร์คงตกใจเสียงแหกปากของชาโซฮี จึงรีบหลบหลังต้นไม้พลางชำเลืองมาทางฉันด้วยดวงตาเบิกโพลง

“โนเวิร์สnovers…”

หมายความว่าอะไร? การออกเสียงฟังดูคล้ายภาษารูน ฉันพอจะคุ้นหู แต่ก็มิอาจทำความเข้าใจ

ช่างเถอะ การได้เห็นชาโซฮีกับแวมไพร์เล่นจ้องตากันก็น่าสนุกไม่เลว

ว่าแต่… ทำไมแวมไพร์ถึงเลิกซ่อนตัว?

โครก~

บรรยากาศผ่อนคลายลงในทันที ชาโซฮีชำเลืองมาทางฉัน

“เด็กคนนี้คงจะหิว”

“…”

ฉันมีหลายสิ่งต้องจัดการ จึงรีบเดินเข้าไปในกระท่อมและปล่อยให้ทั้งสองจ้องหน้ากันต่อไป

* * *

ดูเหมือนว่า เหตุผลที่แวมไพร์เลิกซ่อนตัวจะเป็นเพราะความหิว หล่อนเอาแต่จ้องหม้อร้อนที่กำลังเดือดและเริ่มส่งกลิ่นอาหาร

ในต่างโลก แวมไพร์ก็แค่เผ่าพันธุ์หนึ่ง ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก้าวร้าว ชาโซฮีจึงเปิดใจรับได้ง่าย

“ขอแค่ไม่พูดถึงมนุษย์โลก การเผชิญหน้ากันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีมนุษย์หลายคนพยายามแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาวต่างโลก”

เดาได้ไม่ยาก ไม่อย่างนั้นจะมนุษย์โลกจะรู้จักภาษารูนได้ยังไง?

และข้อเท็จจริงดังกล่าวยังช่วยยืนยันด้วยว่า พวกเขาไม่ได้แลกเปลี่ยนอะไรกันเลย

“…ถ้าเป็นแวมไพร์… ก็ต้องดื่มเลือดใช่ไหม?”

ฉันพยักหน้ารับ อันที่จริงแวมไพร์ไม่ได้กินแต่เลือด เหมือนกับมนุษย์ที่ไม่ได้กินเฉพาะอาหารหลัก แต่ยังรวมถึงเกลือและพริกไทย

อาหารมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นในสายตาแวมไพร์

“หืม… จริงสิ!”

ชาโซฮีปรบมือประหนึ่งฉุกคิดบางสิ่งได้ เธอรีบลุกขึ้นยืน

“ฉันจะเข้าไปในหมู่บ้าน!”

ไม่นานชาโซฮีก็กลับมา เธอยืนกุมเข่าหายใจหอบอยู่สักพัก

แต่สิ่งที่เธอกำลังถือ ค่อนข้างผิดไปจากความคาดหมายของฉัน

“ซุปเลือดวัว?”

ซุปเลือดวัวกึ่งสำเร็จรูป พบได้บ่อยตามชั้นลดราคาในซูเปอร์มาร์เก็ต

“เอามาจากไหน?”

“แฮ่ก… แฮ่ก… มีขายในโรงแรม… ฟู่ว… แพงชะมัด ตั้งหมื่นห้าพันวอน ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

“ถูกกว่ากาแฟตั้งห้าพันวอน… แล้วเธอคิดจะทำอะไรกับมัน”

“เลือดไง! มันคือเลือดไม่ใช่หรือ?”

ชาโซฮีเงยหน้าพลางจ้องฉันด้วยรอยยิ้ม

“มันคือเลือด… ใช่ไหม?”

ยัยนี่เพี้ยนไปแล้วหรือ?

“สมแล้วที่เป็นเธอ พอพูดถึงเลือด เธอกลับคิดถึงซุปเลือดวัว… แถมยังลงทุนซื้อมาจริงๆ”

“นี่ ยัยแวมไพร์! ชอบเจ้านี่ใช่ไหม? หรือว่าฉันเข้าใจผิด?”

ฉันจ้องแวมไพร์ที่หลบหลังต้นไม้ อีกฝ่ายกำลังมองมาทางพวกเราโดยไม่ส่งเสียง

จากนั้น ฉันหันไปจ้องหน้าชาโซฮี

“รีบทำเข้าสิ”

ฉันไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อน

* * *

สมาคมฮาวนด์มิใช่องค์กรที่รักใคร่กลมเกลียว ออกจะคล้ายกับการรวมกลุ่มที่หวังผลประโยชน์มากกว่า

หากผู้ใดดำเนินนโยบายที่ทำให้ฮาวนด์เสียเปรียบ พวกมันจะรุมต่อต้านและขัดขวางทุกวิถีทาง

ฮาวนด์คือผู้กุมข้อมูลของต่างโลกและแบ่งปันแค่ในสมาคม

ดังนั้น หากต้องการสำรวจต่างโลก นอกเหนือจากการเข้าร่วมสมาคมฮาวนด์หรือรับงานจากบริษัทพาธไฟน์เดอร์ ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่หนทาง

เนื่องจากไม่ใช่สมาคมที่กลมเกลียว ฮาวนด์จึงมักรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มากกว่า

ประกอบกับการที่กฎหมายในต่างโลกไม่เข้มงวด มนุษย์บางกลุ่มจึงมิอาจละทิ้งสันดานดิบอย่างการก่ออาชญากรรม

พวกมันตัดสินใจรวมกลุ่มโดยมีหัวโจกคอยชักนำ

ซอจีอาคือหนึ่งในหัวโจกนั้น

“พวกนายก็เลย… คลาดกับแวมไพร์?”

“เรื่องนั้น… หล่อนถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยพบเข้าและขับไล่ออกจากเบสแคมป์”

“งั้นหรือ…”

ชิ้ง

ในท่าหันหลังคุยกับลูกน้องฮาวนด์ ซอจีอาเปิดโคมไฟ ยกมีดขึ้นมาลูบไล้ส่วนคม

นี่เป็นการตรวจสอบสภาพอาวุธตามปรกติ แต่ลูกน้องของเธออดไม่ได้ที่จะผุดเหงื่อเย็น

ฮาวนด์ผู้มีผลงานอันดับสิบของสมาคม

ฮาวนด์ผู้มีข่าวลือที่น่ารังเกียจว่า แอบลักลอบขนของผิดกฎหมายผ่านประตูมิติในหลายประเทศ ไม่มีใครในสมาคมฮาวนด์กล้าแตะต้องซอจีอา

“นี่ เจ้าคนตัวใหญ่”

“ครับท่าน”

“แนะนำตัวเองด้วยสิ”

“ข…ขอโทษครับ! ผมคือจีแทโฮ ฮาวนด์ระดับเจ็ด”

“นายรู้ใช่ไหมว่านั่งแวมไพร์นั่นเป็นชนชั้นสูง? คงเห็นรอยสักภาษารูนบนไหล่แล้วสินะ ราคาของหล่อนไม่ใช่แค่สองสามเพนนีหรอกนะ”

“ผมทราบครับ”

“นายรู้ใช่ไหม การที่ฉันปล่อยให้นายดูแลงานขนของ เป็นเพราะฉันเชื่อใจนายมาก”

“…ทราบครับ”

ชิ้ง-

“ถ้าอย่างนั้น ในเวลาแค่คืนเดียว คนระดับนายจะเสียลูกน้องสองคนไปพร้อมกับสินค้าได้ยังไง? คิดว่าฉันโง่มากนักหรือ”

“…ผมผิดไปแล้วครับ!”

“อย่าสักแต่ขอโทษ เล่าความจริงมา”

“…มีชายคนหนึ่งบุกเข้ามาในโรงแรม และทุบพื้นตรงเพดานห้องใต้ดินที่ใช้ขังแวมไพร์”

ซอจีอาผู้กำลังลูบคมมีดด้วยผ้า ชะงักมือพร้อมกับหันหลังกลับมาจ้อง

“…ไม่ใช่ฮาวนด์หรือ? ไม่ใช่คนของแก๊งอื่นแน่นะ?”

“ไม่ใช่แน่นอนครับ ผมตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่คนที่เคยลงทะเบียนกับสมาคม”

“…”

ทันใดนั้น ประตูห้องเปิดออก ลูกน้องอีกหนึ่งคนเดินเข้ามา

“ท่านประธาน!”

“มีอะไร”

“เอ่อ… แดรกคูล่าหรืออะไรสักอย่าง…”

“แวมไพร์”

“อ้า… ใช่! มีคนพบแวมไพร์ในป่าใกล้กับเบสแคมป์!”

ครุ่นคิดสักพัก ซอจีอาเงยหน้ามองอีกครั้ง ลูกน้องคนเดิมพูดต่อทันทีราวกับรอจังหวะอยู่

“แต่ว่า… ใกล้กับป่านั่นมีกระท่อมของชายประหลาดคนหนึ่ง เขามักป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นเสมอ เด็กๆ ของผมยืนยันเรื่องนี้ด้วยตาตัวเอง”

“กระท่อม?”

“อ๊า! ท่านประทานครับ! ผู้ชายที่อาศัยในกระท่อม เป็นคนเดียวกับที่หาเรื่องคนของเราในโรงแรม!”

ฉึบ

ทำความสะอาดอาวุธเสร็จ ซอจีอาเก็บกลับเข้ากระเป๋าและรูดซิป

“แล้วพวกนายจะทำยังไงต่อ”

“ต้องทวงสินค้าคืนครับ! ผมจะให้โอกาสลูกน้องแก้ตัวอีกครั้ง!”

“มีข่าวลือหนาหูว่า ผู้ชายคนนั้นรู้จักต่างโลกเป็นอย่างดี”

“ฉันกล้าเอาหัวเป็นประกัน คนเดียวในประเทศที่รู้จักต่างโลกมากกว่าฉัน คือท่านประธานสมาคม”

ซอจีอาหยิบดอกไม้ออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

“ฉันจะสอนให้หมอนั่นรู้จักต่างโลกเอง”

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก , 고인물은 이계가 너무 쉽다
Score 8.9
Status: Ongoing
อ่านนิยายวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก หลังจากเอาตัวรอดในต่างโลกอย่างยากลำบากเป็นเวลานาน ในที่สุดคังซอนฮู นักผจญภัยมากประสบการณ์ก็มีโอกาสได้กลับมายังโลกมนุษย์ แต่กลับต้องพบว่า เวลาบนโลกเพิ่งผ่านไปเพียงสองปี และการสำรวจต่างโลกนั้นแทบไม่มีความคืบหน้าเลย ผู้คนแทบไม่มีข้อมูลของต่างโลก ไม่เพียงเท่านั้น ภาษารูนที่มนุษย์โลกสรรเสริญประหนึ่งเวทมนตร์ คังซอนฮูกลับใช้มันได้อย่างชำนาญราวกับภาษาแม่ แถมยังมีแวมไพร์สาวสวยปริศนา ผู้สามารถมองเห็น 'โฉม' ของดวงวิญญาณได้อีก ที่ผ่านมา คังซอนฮูใช้ชีวิตแบบใดกันแน่ และสิ่งใดอยู่เบื้องหลังการดิ้นรนเอาชีวิตรอดตลอดหลายปีของเขา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset