วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 119 : อนาคตที่คุณต้องการ ฉันให้ไม่ได้

แขนของเขาตายด้านไปแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็กลับคืนสู่สภาพเดิมไม่ได้ เขาอยากบอกกับพี่ชายเรื่องนี้ แต่คิดแล้วคิดอีก ก็ไม่ได้บอก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เชื่อว่าพี่ชายจะหายดี

ทันใดนั้นเสียงของฉินหม่าก็ดังขึ้นตัดบทของทั้งสอง

“คุณชายทั้งสองคะ กับข้าวเตรียมเสร็จแล้วค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าแล้วพูดกับเย่ฉ่าวเหยียน “พวกเรากินข้าวไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า”

“โอเค”

พอถึงโต๊ะอาหาร เย่ฉ่าวเหยียนก็สังเกตุเห็นร่างบางๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง

ทั้งสองมองไปรอบๆ เย่ฉ่าวเหยียนเบิกตากว้าง พูดขึ้นอย่างนุ่มนวลว่า “นี่คงจะเป็นพี่สะใภ้สินะ?”

เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ได้เอ่ยปากพูด ฉินหม่าที่กำลังยกกับข้าวมาก็พูดขึ้นว่า “คุณชายรอง ก่อนหน้านี้คุณหนูไม่ระวังจึงหกล้ม ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ที่คุณเห็นคือคุณเฉียวซินโยวเพื่อนของคุณหนูค่ะ”

ฉินหม่าพูดเช่นนั้น เย่ฉ่านเฉินก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

เฉียวซินโยวได้ยินเช่นก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา

ทุกคนที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารไม่ทันสังเกตุ มีเพียงแค่เย่ฉ่าวเหยียนเท่านั้นที่มองเห็น เขานึกในใจ:หึ! ชักจะสนุกแล้วสิ…

เฉียวฉินโยวหยุดทำหน้าไม่พอใจ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉ่าวเฉิน คุณคนนี้คือฉ่าวเหยียนเหรอคะ?”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า ด้วยท่าทางอบอุ่น ดูท่าจะอารมณ์ดี

แต่เย่ฉ่าวเหยียนกลับรู้สึกแปลกๆ เจอกันครั้งแรกก็เรียก “ฉ่าวเหยียน”เลยเหรอ เขาอดคิดขึ้นมาเสียไม่ได้ว่าคารมของผู้หญิงคนนี้สูงไม่เบา!

เฉียวซินโยวนึกถึงเมื่อก่อนที่หนานกงเฮ่าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเหยียน การกลับมาของเย่ฉ่าวเหยียนทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ และเธอดีใจมาก

ถ้าจะใช้เย่ฉ่าวเหยียนกำจัดมู่เวยเวยก็น่าจะเป็นไปได้! ไม่ว่าจะอย่างไร มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเหยียนก็ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันอยู่แล้ว

……

ทางฝั่งนี้ต่างคนต่างมีเรื่องต้องให้คิด แต่กลับกันฝั่งมู่เวยเวยเธอกลับรู้สึกสบายยิ่งขึ้น

ทุกๆ วันก็คอยแต่ทำตามคำสั่งของคุณหมอ ต้องทำกายภาพบำบัด ถึงแม้จะลำบากแต่เธอก็พยายามเป็นอย่างมาก เพราะหากต้องใช้ชีวิตอยู่กับรถเข็น ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคงจะน่ากลัวน่าดู

หนานกงเฮ่ามาหาเธอบ่อยๆ ทุกครั้งที่มา ข้างนอกจะวุ่นวายมากเป็นพิเศษ พยาบาลก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะแอบดูราวกับคนกำลังหมดแรง

ครั้งก่อนเพราะเขาอยู่ข้างๆ พยาบาลที่เข้ามาฉีดยาจึงไม่ค่อยมีสติ ทำให้มู่เวยเวยถูดเข็มแทงไปสามรอบ

เพื่อไม่ให้สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เธอจึงสร้างกฎเหล็กให้กับหนานกงเฮ่า นอกจากเวลากินข้าวแล้ว ห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในห้องผู้ป่วย และนอกจากนั้นก็ห้ามมาให้เธอเห็นหน้า

พอถึงเวลาทานข้าว มู่เวยเวยมองจานข้าวทีมองนาฬิกาที มันเป็นเวลาที่หนานกงเฮ่าต้องปรากฎตัว ไม่ถึงห้านาที ใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฮ่าก็ปรากฏให้เห็นที่หน้าประตูห้อง

“เวยเวย วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”

หนานกงเฮ่าใช้วีธีนี้เข้าหามู่เวยเวย เขาคิดว่าแบบนี้เธอจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด

มู่เวยเวยขยับเท้าให้เขาดูผลลัพธ์ที่ได้จากการกายภาพบำบัด “เริ่มดีขึ้นแล้ว วันนี้จะได้ทำท่าที่ง่ายขึ้น”

พูดจบ หนานกงเฮ่าก็ชี้นิ้วไปที่หน้าประตู หลิวหม่านำกับข้าวที่มีแต่อาหารดีๆ เยอะแยะไปหมดเข้ามาส่งในห้อง

มู่เวยเวยกระซิบกับหนานกงเฮ่า “หนานกง ครั้งหน้าไม่ต้องเอามาเยอะขนาดนี้ ฉันกินไม่หมดหรอก มันเปลือง”

หนานกงเฮ่าได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้า พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ก็ได้ ครั้งหน้าจะให้หลิวหม่าทำอาหารง่ายๆมาให้”

ได้ยินเช่นนั้นมู่เวยเวยก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น “นายยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม มากินด้วยกันสิ”

หนานกงเฮ่าไม่แสดงท่าทีอะไร ทั้งสองนั่งลงกินข้าวด้วยกัน

จางเห่อมองผ่านหน้าต่างดูในห้อง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“คุณชาย”

สำเสียงอันน่าเกรงขามของเย่ฉ่าวเฉินดังออกมาจากโทรศัพท์ “หนานกงไปโรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ?”

จางเห่อไม่ปิดบัง “ใช่ครับ พอถึงเวลากินข้าวทุกๆ วันคุณชายหนานกงจะมาที่นี่ เพื่อมาทานข้าวร่วมกับคุณหนู”

เสียงในสายเงียบไปสักพัก “จางเห่อ ช่วยเป็นตัวแทนฉันไปถามไถ่พ่อของหนานกงเฮ่าหน่อย”

พูดจบ จางเห่อก็เข้าใจทันที “ครับคุณชาย ผมจะจัดการให้”

……

พอรับประทานอาหารเสร็จหนานกงเฮ่าก็เสนอตัวจะพาเธอไปเดินเล่น มู่เวยเวยลำบากใจที่จะปฎิเสธ จึงจำใจต้องไป

ตอนนี้มู่เวยเวยไม่จำเป็นต้องมีคนประคองแล้ว แต่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเพื่อจะได้ออกกำลังขาไปด้วย แต่สิ่งที่เธอตัดสินใจผิดก็คือ ไม่น่าไปตอบรับให้หนานกงเฮ่ามาดูแลเลย

เมื่อมองไปรอบๆ ผู้คนต่างมองพวกเขาด้วยความอิจฉา มู่เวยเวยลำบากใจมากจนไม่อาจยอมรับสายตาของผู้คนที่เพ้งมองมายังพวกเขา

หน้าโรงพยาบาลมีสวนสาธารณะ พอถึงที่นั่น มู่เวยเวยค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้น

พอมองดูบรรยากาศรอบๆ ร่วมถึงผู้คน มู่เวยเวยรู้สึกดีขึ้นมาก ได้เห็นดอกบัวสีขาวบริสุทธ์ช่างสวยงาม จนทำให้เธอลืมเวลาไปชั่วขณะ

พอเงยหน้าขึ้น ก็เจอหน้าของหนานกงเฮ่า เขายิ้มอย่างพอใจแล้วพูดว่า “มอบให้กับคุณ มู่เวยเวย”

มู่เวยเวยดีใจ แล้วรับดอกไม้ที่หนานกงเฮ่ามอบให้

พอได้เห็นมู่เวยเวยยิ้มอย่างมีความสุข ใจของเขาก็เต้นแรง เขาไม่คิดว่ารอยยิ้มของมู่เวยเวยจะมีเสน่ห์ได้ขนาดนี้

มู่เวยเวยไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ในสายตาของเธอตอนนี้มีแค่ดอกไม้ ทั้งจับทั้งดมกลิ่นหอมของดอกไม้ มันชวนให้เธอหลงใหลและรู้สึกผ่อนคลาย

ในขณะที่กำลังหลงใหลอยู่กับดอกไม้ ก็มีอะไรอุ่นๆ ประทับลงบนหน้าผากเธอ มู่เวยเวยตกใจสะดุ้งตัวขึ้น เงยหน้าขึ้นก็เห็นคางของหนานกงเฮ่า เธอลืมไปทันทีว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

จนกระทั่งเสียงของหนานกงเฮ่าดังขึ้น “เวยเวยเธออย่าเพิ่งตกใจไป ฉันแค่ห้ามใจตัวเองไม่อยู่”

มู่เวยเวยยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ที่เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “เฮ่าเฮ่า แกทำอะไรของแก?”

หนานกงเฮ่าตกใจจึงรีบหันกลับไปดูผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามาหา แล้วเรียกเธอว่า“แม่”

มู่เวยเวยสีหน้าไม่สู้ดี พอนึกถึงครั้งก่อนที่เคยเจอกันทำให้เธอรู้สึกอึกอัด แล้วก็จูบครั้งนี้อีก เธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

เฉินซูฮว่าเดินมาด้วยสีหน้าเย็นชามองไปที่พวกเขาสองคน “ฉันจะไปรอพวกเธอที่ร้านกาแฟ”

พูดจบก็เดินตรงออกไป

มู่เวยเวยถือไม้เท้า หนานกงเฮ่าจะช่วยพยุง แต่เธอปฏิเสธการช่วยเหลือจากเขา สีหน้าหนานกงเฮ่าราวกับโดนหักอก

เธอเดินไปอย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจ ในใจก็คิดโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ จึงต้องมาเผชิญหน้ากับแม่ของเขาอีก

เธอในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปสู้รบปรบมือกับใคร ยิงไปกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเธออ่อนแรงลง ถ้ามีเรื่องอะไรมากระทบจิตใจ ก็ยิ่งจะซ้ำเติมเธอให้เจ็บมากขึ้น

หนานกงเฮ่ามองร่างบางของเธอจากข้างหลัง ในใจขมขื่น ยากที่จะทำให้มู่เวยเวยเปิดใจให้เขา แต่ดูจากท่าทางของแม่แล้ว ตอนนี้เธอคงจะปิดตายมันไปแล้วด้วยซ้ำ ครั้งนี้เขาคงต้องไปต่อรองกับแม่ซะแล้ว

ในระหว่างที่เดินผ่านร้านสะดวกซื้อ มู่เวยเวยชนเข้ากับร่างที่คุ้นเคยของคนคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจ และสายตาของสองคนนั้นก็ดูแปลกไป

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพัก น้ำเสียงเป็นห่วงก็ดังขึ้น “เวยเวย เป็นอะไรไหม”

มู่เวยเวยส่ายหน้าแล้วเดินต่อ ก็พบว่าเงาของเย่ฉ่าวเฉินได้หายไปในกลุ่มคนที่เดินผ่านไปผ่านมา

เย่ฉ่าวเฉินคงจะเกลียดเธอมาก ถึงจะไม่ได้เผชิญหน้ากัน แต่เขาก็คงไม่อยากเห็นเธอมีความสุข และนึกขึ้นได้ว่าที่แม่ของหนานกงเฮ่ามาอยู่ที่นี่ได้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

เมื่อเดินเข้าไปในร้านกาแฟ ได้ยินเสียงเปียโนดังมาจากห้องโถง ภายในร้านเปิดแอร์เย็น และได้กลิ่นหอมของกาแฟที่ถูกพัดโชยมา

พอทั้งสองไปถึง เฉินซูฮว่ากำลังชิมกาแฟและมองมาที่มู่เวยเวย เธอกลัวมากเพราะเธอรู้ว่าแม่ของหนานกงเฮ่าน่ากลัวแค่ไหน และยากที่จะทำให้เธอใจเย็นลงได้

เฉินซูฮว่ามองพวกเขาทั้งสองแล้วพูดว่า “นั่งสิ”

มู่เวยเวยนั่งลง รับรู้ได้ถึงความน่ากลัว เฉินซูฮว่าถามเธออย่างตรงไปตรงมา “คุณหนูมู่ เราไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก ฉันคิดว่าเธอคงรู้ว่าจุดประสงค์ที่ฉันมาที่นี่คืออะไร”

มู่เวยเวยนิ่งเงียบและกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ถูกหนานกงเฮ่าพูดขัดจังหวะขึ้นซะก่อน “แม่ มีเรื่องอะไรเรากลับไปพูดกันที่บ้าน——”

“หุบปาก!!”

เฉินซูฮว่าเสียงหนักแน่น สีหน้าผิดหวังและน้ำเสียงที่กำลังโกรธ “เฮ่าเฮ่า พ่อของแกรู้เรื่องแล้ว ตอนนี้เขาโกรธมาก!ฉะนั้น เรื่องนี้ฉันจะจัดการเองเพราะเกรงว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

เฉินซูฮว่ากำลังสื่ออะไร มู่เวยเวยคงเข้าใจดี เธอกำลังจะบอกว่า ถ้าเกิดพ่อของหนานกงเฮ่ามาเองมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่งั้นเหรอ?

ตระกูลหนานกงเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับชื่อเสียงของกระกูลหนานกงผ่านสื่อมาบ้าง หนานกงยูมีความเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ ไม่มีเมตตาต่อฝ่ายตรงข้าม ดั่งที่เขาเคยพูด:การแสดงความกรุณาต่อศัตรูคือการทำร้ายตัวเอง!

เธอคิด ถ้าเกิดว่าหนานกงยูมองเธอเป็นศัตรู แม้จะมีอีกสิบชีวิตก็คงไม่พอ

หลังจากคิดได้แบบนั้นเธอก็หัวเราะ เธอมีอารมณ์ขันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

หนานกงเฮ่าคิดเหมือนกับมู่เวยเวย แม่พูดถึงพ่อขนาดนี้คงจะเป็นการตักเตือนครั้งสุดท้าย ถ้าเกิดพ่อมาเองคงจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ

พ่อของเขาไม่ใจดีเหมือนแม่ เขาจำได้เมื่อก่อนตอนที่เล่นสนุกจนเจ็บตัว เขาก็จะถูกพ่อเอาแส้ตี

ถ้าเกิดว่าพ่อเข้ามายุ่งเรื่องนี้ แล้วทำร้ายเวยเวยจะทำอย่างไร? เขาจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด!

พอเป็นเช่นนี้แล้ว ความคิดที่จะต่อรองกับแม่ก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร……

เฉินซูฮว่าดื่มกาแฟด้วยสีหน้าไม่พอใจ มองมาที่มู่เวยเวย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณหนูมู่ เธอคงจะเข้าใจดี ตอนนี้เธอแต่งงานแล้ว เธอเคยคิดไหมว่าถ้าคนอื่นเอาเรื่องนี้มาเล่นงานตระกูลเรา มันจะทำให้ตระกูลเราเสียชื่อเสียงมากแค่ไหน มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่มีวันรับได้ ”

มู่เวยเวยนิ่งเงียบ ได้ยินเช่นนั้นแล้ว น้ำเสียงอ่อนแรงก็พูดขึ้น “คุณผู้หญิง คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันกับหนานกงเป็นแค่เพื่อนกัน ฉันก็ไม่เคยคิดที่จะทำลายชื่อเสียงของตระกูลหนานกง”

เฉินชูฮว่าท่าทางเย็นชา น้ำเสียงแข็งกร้าวและพูดอย่างเฉยเมย “เธอจะบอกว่าสิ่งที่ฉันเห็นมันไม่มีอะไรอย่างนั้นเหรอ อย่าลืมนะว่ายังมีพยานอีกมากมาย!”

มู่เวยเวยเข้าใจว่าเธอหมายถึงคนที่กำลังเดินอยู่ในเวลานั้น และเธอไม่ต้องการโต้เถียง เธอไม่อาจพูดได้ว่าการจูบที่เกิดขึ้นเป็นเพราะลูกชายของคุณ มันไม่เกี่ยวกับฉันเลย

มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดออกไปแบบนั้น เพราะเฉินชูฮว่าได้เห็นฉากนั้นแล้ว และเธอก็ไม่ได้ตาบอดที่จะมองไม่ออกว่าตอนนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตอนนี้เธอกล่าวหามู่เวยเวย และมันก็ให้ชัดเจนว่าเธอจงใจ แม้ว่าเธอจะพยายามอธิบายก็ไม่เกิดผล แต่เธอก็คิดหามาตรการรับมือกับเรื่องนี้แล้ว!

“ ฉันพูดได้แค่ว่าจูบนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด แม้ว่าคุณหญิงจะไม่เชื่อฉัน แต่คุณจะไม่เชื่อลูกชายตัวเองเหรอ?”

เฉินซูฮว่าเลิกคิ้ว ทำตัวไม่ถูก เหมือนโดนตอกหน้ากลับ “ฉันไม่แคร์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันแค่ต้องการให้เธอพูดต่อหน้าฉันและลูกชายฉันในสิ่งที่เกิดขึ้น และหวังว่าคำพูดนั้นจะทำให้ฉันพอใจ”

มู่เวยเวยขมวดคิ้วเล็กน้อยใบหน้าของเธอพยายามรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ เธอรู้ดี เธอไม่เก่งเท่าคุณหญิง เธออ่อนแอเกินไป!

หรือว่านี้เป็นวิธีจัดการกับปัญหาของคนรวย? หรือว่าในสายตาของพวกเขาคนรวยคือราชา?

ไม่ว่าพวกเขาจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม พวกเขามักจะยืนอยู่เหนือผู้อื่นและความยุติธรรมเสมอ จะมารังแกคนด่อยกว่าเพื่ออะไร?

“คุณอยากได้คำตอบแบบไหนที่ทำให้คุณพอใจ? ฉันพูดไปแล้วว่าฉันกับลูกชายคุณไม่ได้มีอะไร ฉันยังตอบอะไรคุณได้อีก?”

หรือจะบอกว่าเรื่องนี้มีอะไร? พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ไม่เรียกว่าบิดเบือนความจริงเหรอ?

จากนั้นเธอก็จะถูกตราหน้าเรื่องแต่งงาน ว่าเธอมีชู้ สุดท้ายก็จะทำตัวมีเมตตาแล้วสั่งสอนมู่เวยเวย……

ผลสุดท้าย มู่เวยเวยกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนที่ล่อลวงลูกชายเธอ แต่เธอกลับต้องมาสั่งสอนผู้หญิงคนนี้ ทุกคนต่างก็พูดว่าเธอเป็นคุณนายผู้ใจดี มีคุณธรรม

ความปีกกล้าขาแข็งของมู่เวยเวย ทำให้เฉินซูฮว่ารู้สึกโกรธมาก เมื่อรู้ว่าไม่ยุติธรรมต้องให้เวลาเพื่อปรับความเข้าใจ แล้วค่อยสั่งสอนเธอด้วยตัวเอง แต่ไม่ควรมาต่อปากต่อคำแบบนี้!

“คุณหนูมู่จะบอกกับฉันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา คือลูกชายฉันที่เป็นฝ่ายเข้าหาเธอเหรอ? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ถ้าตามที่เธอคิดละก็ คุณควรค่าอะไรที่ลูกชายฉันจะไปสนใจเธอ! ”

เฉินซูฮว่าพูดอย่างเย็นชา ในใจคิดว่าเป็นเพราะมู่เวยเวยล่อลวงลูกชายเธอ ลูกชายตัวเองไม่มีทางชอบผู้หญิงอย่างเธอแน่ เขาอาจจะแค่หลงผิดไป หรืออาจจะเพราะความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งมู่เวยเวยเคยช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วรู้สึกขอบคุณ!

แต่ลูกชายกลับเปลี่ยนจากความรู้สึกนั้นเป็นความชอบ ก็แค่นั้น

“แม่ครับ ผมเป็นคนเข้าหาเธอเอง ผมขอร้องแม่อย่าไปหาเรื่องเธอเลย!” หนานกงเฮ่าทนไม่ไหวอีกต่อไป ที่แม่ไปโทษมู่เวยเวยแบบนั้น ทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้น

ตัวเขาเองอยากให้เกียรติและทะนุถนอมผู้หญิงคนนี้ ทำไมแม่ไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาบ้าง?

หรือว่าอาจจะรู้แต่จงใจทำแบบนี้ เธอมีความคิดที่จะให้ลูกชายชอบพอกับคนที่คู่ควรเท่านั้น

เมื่อเห็นลูกออกตัวปกป้องมู่เวยเวย เฉินซูฮว่าก็ไม่พอใจอย่างมาก พูดเสียงหนักแน่น “เฮ่าเฮ่า หลังจากที่รู้จักกับเธอแกก็เริ่มต่อต้านฉันครั้งแล้วครั้งเล่า แกใช่ลูกชายฉันจริงๆหรือเปล่า!”

เฉินซูฮว่าตำหนิลูกชาย ทำให้มู่เวยเวยถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

มู่เวยเวยเข้าไปอยู่ในสังคมแบบนี้ไม่ได้ เธอเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง คงเป็นเหมือนพวกเขาไม่ได้

หนานกงเฮ่าเห็นแม่ตำหนิเช่นนั้นก็รู้สึกผิด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “แม่ครับ แม่อย่าเพิ่งโกรธสิ ผมแค่อยากให้แม่เข้าใจผม ลูกที่แม่รักและเป็นห่วงเสมอมา”

เมื่อเห็นลูกพูดเช่นนั้น เธอก็ใจเย็นลง “คุณหนูมู่ ฉันไม่อยากบีบบังคับเธอ แต่เธอต้องให้คำมั่นกับฉันว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปห้ามมาเจอลูกชายฉัน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ฉันจะไม่เอาเรื่อง”

“ไม่ได้!”

มู่เวยเวยยังไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่เป็นหนางกงเฮ่าที่พูดขึ้น เพราะว่าเขาจริงจังกับคำตอบมากเกินไป ทำให้กาแฟบนโต๊ะหกและเลอะเสื้อเขา

แต่หนางกงเฮ่าไม่ได้สนใจ จุดสนใจของเขาในตอนนี้ก็คือคำพูดของแม่ ถึงจะออกตัวแรงปกป้องมู่เวยเวยไม่ได้ แต่เขาก็พูดอย่างจริงจัง “แม่ครับ ผมชอบมู่เวยเวย ชีวิตนี้ผมจะชอบแค่เธอคนเดียว แม่หยุดบังคับผมได้แล้ว ผมหวังว่าแม่จะไม่เข้ามายุงเรื่องนี้อีก และพ่อก็ไม่มีสิทธ์มาบังคับผมเรื่องนี้เหมือนกัน!”

เฉินซูฮว่าขมวดคิ้วเข้ม น้ำเสียงโมโหเอ่ยตำหนิลูกชาย “เฮ่าเฮ่าหยุดทำให้ฉันโกรธได้แล้ว ฉันไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายชีวิตแกเด็ดขาด บอกให้ฉันเลิกยุ่งเรื่องนี้ ไม่มีทาง!ช่วยไม่ได้เพราะนายคือลูกของเฉินซูฮว่า”

“ก็เพราะว่าแม่เป็นแม่ผม เรื่องนี้ทำไมแม่ถึงไม่เข้าใจผมเลย! แม่คือคนที่เข้าใจผมมากที่สุด แม่ก็ควรรู้ว่าครั้งนี้ผมจริงจัง ผมชอบมู่เวยเวยจริงๆ!”

ความรู้สึกของเฉินซูฮ่าไม่ได้อ่อนไหวไปกับคำพูดของลูกชายแม้แต่น้อย “เพราะว่าแกเป็นแบบนี้ไง แม่ถึงได้เข้ามายุ่ง ถ้าแกแค่เล่นๆ แม่จะไม่ขัดขวางแกสักนิด แม่ไปสืบประวัติครอบครัวเธอมาหมดแล้ว เธอมีอนาคตที่ดีกับแกไม่ได้ และอีกอย่างเธอแต่งงานแล้ว!”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset