วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 135 มู่เทียนเย่ปรากฏตัว(1)

กลุ่มของเย่หวง

มู่เวยเวย โอบลูบเอวที่เจ็บปวดเดินเข้าไปในแผนกออกแบบ สาวสวยเพื่อนร่วมงามด้านตรงข้ามเดินผ่านเข้ามา

“เวยเวย เธอไม่ค่อยสบายเหรอ?” เธอถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ฉันไม่เป็นไร” มู่เวยเวยตอบกลับอย่างรวดเร็ว

หลังจากตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอแสดงความรักเป็นต้นมา ทำให้เพื่อนร่วมงานในบริษัทมีความกระตือรือร้นต่อเธออย่างมาก

“ฉันเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยสดชื่น แถมยังสวมเสื้อแขนยาวอีก เป็นไข้หวัดหรือเปล่า ? ฉันมียาลดไข้นะ”

“โอ้….ใช่ เป็นไข้หวัดนิดหน่อย ขอบคุณนะ” มู่เวยเวยค้อยตามไปกับคำพูดของเธอ

“ค่ะ เธอไปพักผ่อนก่อนเถอะ ฉันไปเอายาให้เธอ”

เมื่อเธอเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง เฉียวซินโยวซึ่งอยู่ด้านข้างๆเธอก็มองเธออย่างเย็นชา แล้วหันหน้าลาจากไป

มู่เวยเวยชินชากับพฤติกรรมของเธอมานานแล้ว ตราบใดที่เธอไม่ยั่วโมโห เธอก็จะไม่ทำให้ตัวเองเดือนร้อน

หลังจากที่มู่เวยเวยแก้ไขงานภาพออกแบบเสร็จ นำเข้าไปในห้องทำงานของเหอเหม่ยหลิง เมื่อเพียงเธอชำเลืองมองก็ทำให้ถูกดึงดูดตรึงตราใจ

ไม่เลว มันดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วมาก เธอเตรียมตัวให้พร้อม ในวันพรุ้งนี้เราจะนำเสนอต่อหน้าประธานเย่ โอกาสครั้งนี่พวกเราต้องได้รับชัยชนะให้ได้

มู่เวยเวยตอบอย่างมั่นใจ “ประธานเหอ ฉันจะพยายามให้สุดความสามารถ ”

“อื้ม ออกไปเถอะ” พร้อมยื่นเอกสารงานออกแบบให้มู่เวยเวยนำไปส่งให้ประธานเย่

เอ่อ…….

“ไปเถอะ!”ประธานเหอเหม่ยหลิงยักคิ้ว

“ค่ะ” มู่เวยเวยรับมันอย่างไม่เต็มใจ เธอรู้สึกเสมือนว่ากลายเป็นเลขาส่วนตัวของเหอเหม่ยหลิงเต็มที่แล้ว ตราบใดที่การเอกสารทั้งหมดตกอยู่ที่เธอ ก็ไม่เยียวยาความเจ็บปวดได้ เท้าของเธออาการเพิ่งจะหายดี

เมื่อถึงหน้าห้องทำงานประธานฉาย มู่เวยเวยก็นึกถึงความป่าเถื่อนเมื่อวานของเขา เป็นช่วงที่ไม่อยากเห็นใบหน้าเขาซะเลย เธอจึงหันหน้ากลับมาที่โต๊ะเลขา

“เลขาหลิว นี่ประธานเหอเหม่ยหลิงส่งมาให้ค่ะ รบกวนคุณส่งให้ประธานเย่”มู่เวยเวยพูดอย่างสุภาพ เธอจำขึ้นใจเสมอ เธอคือนักศึกษาฝึกงานแผนกออกแบบของบริษัท

เลขาหลิวมองที่เอกสารอย่างอ่อนโยน “มู่เวยเวย เอกสารนี่เธอเอาเข้าไปส่งเถอะ ไม่มีคนอยู่ด้านใน”

เพราะว่าไมมีคนเธอจึงไม่ต้องการเข้าไป

“เลขาหลิว โปรดช่วยเหลือฉันเถอะ” มู่เวยเวยยกมือพนมขอร้อง แต่เลขาหลิวก็เพิกเฉย

“มู่เวยเวย ประธานเย่ได้สั่งไว้ ถ้าเธอมาให้เข้าไปด้านในได้เลย”

แผนการนี่ได้มีการไตร่ตรองไว้แล้ว

ไม่มีทางเลือกจริงๆ มู่เวยเวยต้องนำเอกสารกลับเข้าไปในห้องของเย่เฉ่าเฉิน เปิดประตูออก

“ประธานเย่ นี่เอกสารที่ประธานเหอส่งมา”

“อื้ม วางไว้” เย่เฉ่าเฉินยุ่งกับงานที่กำลังทำอยู่ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

“ค่ะ งั้นฉันขอตัว คุณยุ่งเถอะ” มู่เวยเวยอุทาน “โอ้วเย้” ในใจ วันนี่เป็นยังไงบ้าง?

ยังไม่ทันออกจากประตูไปถึงไหน ก็ได้ยินเขาถาม “เธอเป็นไข้หวัดเหรอ?”

“ไม่นะ” มู่เวยเวยหันกลับไปกลับ บังเอิญเห็นแก้วถ้วยน้ำร้อนบนโต๊ะ ด้านข้างมียาลดไข้ ชนิดเดียวกับที่เพื่อนร่วมงานสาวสวยคนนั้นให้เธอ

เย่เฉ่าเฉินเงยหน้า “นี่เธอ…. ทำไมวันนี้ส่วมเสื้อผ้าเยอะจัง?หนาวเหรอ?”

มู่เวยเวยไม่พอใจ เธอส่วมเยอะขนาดนี่เขายังไม่รู้อีกเหรอ?

“เธอก็ดูเอาเองสิ แขนของฉันเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะสวมเสื้อยืดได้อีกเหรอ?” พูดจา มู่เวยเวยดึงแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยช้ำเขียวบนเขียวทั้งสองข้าง

ดวงตาสีฟ้าครามของเย่ฉ่าวเฉินขยายกว้างหยุดสองสามนาทีจากจิตสำนึกถึงความตื่นเต้นและความเสน่หาในห้องน้ำเมื่อคืน เขาหวังแค่สุขสมอารม์หมายของตนเองในเวลานั้น มันก็ช่างโหดร้ายต่อเธออย่างแท้จริง

“ไม่เป็นไร ฉันไปละ”มู่เวยเวยสังเกตเห็นลมหายใจของเขาผิดปกติ เธอดึงแขนเสื้อลงแล้วออกไปด้านนอกทันที

“หยุดก่อน!”เย่ฉ่าวเฉินตะโกน

มู่เวยเวยหยุดชะงัก แล้วหันไป “ประธานเย่ ยังมีธุระอะไรอีกค่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่โซฟา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันจะเลิกงานแล้ว เธอนั่งรอตรงนี้สักครู่ ฉันสั่งมื้อเที่ยงไว้แล้ว”

ทานข้าวด้วยกัน?

ไม่ต้องการ ฉันกลัวระบบอาหารไม่ย่อย

“ประธานเย่ ฉันไปรับประทานอาหารพนักงานได้ด้วยตัวเอง”

เย่ฉ่าวเฉินนิ่งไปสักครู่ “เธอต้องการให้พนักงานพูดถึงฉันล่วงเกินเธองั้นเหรอ?ฉันไม่พูดเป็นครั้งที่สองนะ”

มู่เวยเวยกัดริมฝีปากแล้วกวาดสายตาไปที่เขา เสียงเดินกระทืบเท้า “ตึง ตึง”ไปยังโซฟาแล้วนั่งลงด้วยความรู้สึกขัดขืน

ไม่กี่นาทีต่อมา เลขาหลิวเข้ามาพร้อมรถเข็นอาหารเจ็ดถึงแปดจาน

นี่อุดมสมบรูณ์เกินไปแล้ว

มู่เวยเวยช่วยเลขาหลิวยกอาหารวางไว้บนโต๊ะ พูดคำว่า “ขอบคุณ”หลายครั้งจนเลขาหลิวเขินยิ้มออกมาแล้วเดินจากไป

“ทานข้าวกันเถอะ” รีบทานรีบแยกย้าย หลีกเลี่ยงเขาจะเซ้าซี้อะไรอีก

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำพูดนั้น ก็ทำปากบึ้ง วางงานที่กำลังทำอยู่ ตรงดิ่งไปล้างมือ แล้วกลับมานั่งข้างเธอ

“ยังปวยแขนอยู่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่ากระทันหัน

ตะเกียบของมู่เวยเวยหล่นกระแทก เธอหันไปมองด้วยสายตาแปลก “เย่ฉ่าวเฉิน เธอโดนผีสิงหรือเปล่า?”

เขาเป็นห่วงตัวเองกระทันหัน?

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำพูกของเธอ ก็กัดฟันไปเคี้ยวข้าวไป

ผู้หญิงคนนี่ เหมาะสมแก่การถูกทารุณ ไม่คู่ควรต่อการผูกมิตร

ทำไมเห็นพฤติกรรมแบบนี้ของเธอแล้ว เหมือนตัวเองรู้สึกอยากจะบ้าคลั่งขึ้นมาล่ะ?

มู่เวยเวยรีบทานอย่างเร็ว แทบจะสำลัก กลืนน้ำซุปลงไปสองสามคำ

“เธอกินช้าลงหน่อยได้ไหม?” ไม่มีใครแย่งเธอหรอก เย่เฉ่าเฉินอดไม่ได้ที่จะตำหนิเธอ

“ฉัน…..ฉันหิวเหลือเกิน”มู่เวยเวยเสแสร้งแกล้งพูด

“หื่อ จริงเหรอ?งั้นก็กินเยอะๆหน่อย”เย่ฉ่าวเฉินตักเนื้อผัดพริกไทยใส่ลงไปในจากเธอ เขาจำได้ว่าเธอไม่ชอบกินเผ็ด

มู่เวยเวยมองเห็นน้ำมันพริกแดงเผ็ดร้อนที่อยู่บนผัก ดวงตาแห่งความตกใจโตขึ้นยิ่งกว่าลูกระฆัง เขาทำอย่างนี่ตั้งใจลงโทษฉัน

“กินสิ ไม่ใช่หิวหรอกเหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาที่โหดร้าย ดูเหมือนว่าหากเธอบอกว่าไม่กิน เขาจะยัดมันเข้าไปแน่ๆ

มู่เวยเวยพูดไม่ออก เธอวางชามลงบนโต๊ะ “กินอิ่มแล้ว” หากกินทั้งหมดนี่ลงไป พรุ้งนี้ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยสิวแน่นอน เธอยังจะมีชีวิตรอดอยู่ไหม?

“เธอแน่ใจ?”

เห็นได้ชัดว่าเธอถูกคุกคามจากคำพูด มู่เวยเวยมองไปเห็นข้าวในชามของเขา เธอรีบตักกับข้าวให้เขา “ประธานเย่ ฉันอิ่มแล้วจริงๆ เธอเพิ่งทานไปนิดหน่อยเอง ช่วงบ่ายจะมีแรงทำงานเหรอ? มามามา ชิมกุ้งนี้สิ่ อร่อยดีนะ”

เย่ฉ่าวเฉินกับความใส่ใจของเธอ ความโกรธที่เพิ่งก่อตัวขึ้นหายไปอย่างลึกลับ จากนั้นเขาก็ยอมรับการดูแลนั้นทันที

“อันนี่ก็อร่อยมากนะ เธอชิม”มู่เวยเวยตักเห็ดหอมเพิ่มเข้าไปในชามของเขา

เย่ฉ่าวเฉินเผ่งเล็งเพื่อจับสีหน้าที่ไม่มีความสุขบนใบหน้าเธอ เขาผลักเมนูปลาไปที่ด้านหน้าของเธอแล้วพูดอย่างเย็นชา “แยกก้างปลาออกให้ด้วย”

“ทำไมเหรอ? ฉันเพิ่มเนื้อปลาให้เธอได้นะ เธอต้องการก้างปลาไปทำไม?”มู่เวยเวยดึงดัน

“ฉันยินยอม มู่เวยเวย เจ้านายยืนยันว่าจะคัดค้านเหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินใช้ร่างกายบีบทับเธอ

มู่เวยเวยจับตะเกียบเเน่นจนมือสั่น กลั้นความรู้สึกเอาไว้ “ประธานเย่ ตอนนี่มันคือเวลาเลิกงาน”

“แต่ตอนนี่เธออยู่ในบริษัท ซึ่งเป็นพนักงานของฉัน”

“จ้า ได้ได้ได้ คุณเก่งกาจที่สุดแล้ว!”มู่เวยเวย ยกนิ้วโป้งชูใส่เขา แล้วก้มแยกก้างปลาด้วยท่าทีที่ประชดประชัน แยกก้างปลาไปพลางสาปแช่งไปพลาง ขอให้ติดคอตาย

ในร้านอาหารชั้นล่างของบริษัท

เฉียวซินโยวกินไปก้มดูตะเกียบที่อยู่ในมือไป แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทร “ฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับเธอ”

“ตอนไหน?”

“ตอนเย็นหลังเลิกงาน รอฉันส่งโลเคชั่น”

“ดี”

เฉียวซินโยวางสาย ก็ไม่ต้องการทานอาหารต่อ

แม้ว่าหนานกงเฮ่าด่าเธอว่าขยะ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจคำพูดเหล่านั้น

ช่างน่าหดหู่ใจจริงๆ

ในตอนเย็น เฉียวซินโยวมาถึงจุดนัดพบร้านหนานกงเฮ่า ฉันต้องการน้ำมะนาวหนึ่งแก้ว ช่วงนี่ต้องการสงบสติอารมณ์

แต่รอแล้วรอเล่า เลยเวลานัดไปแล้วครึ่งชั่วโมง ในร้านหนานกงเฮ่าก็ยังไม่มีใครโผล่มา

เฉียวซินโยวยิ่งรอยิ่งโมโห ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคุณหนูมหาเศรษฐีหรอกเหรอ? หากไม่มีพ่อแม่เขา หากไม่เกี่ยวข้องตระกูลหนานกง เฉียวซินโยวไม่มีทางผูกมิตรด้วยแน่นอน

เมื่อท้องฟ้ามืดลงดวงไฟสว่างไสวขึ้น หนานกงเฮ่าก็ปรากฎตัวต่อหน้าเธอ

ตั้งแต่เรื่องราวถูกเปิดเผย พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย ยกเว้นทางข้อความ

“หนานกงเฮ่า เธอช่วยมาให้ตรงต่อเวลาได้ไหม เธอดูสิสายไปนานขนาดไหนแล้ว ให้ผู้หญิงนั่งรออยู่คนเดียว รู้สึกผิดไหม?”เฉียวซินโยวยุให้เขาโมโห

หนานกงเฮ่าก็ไม่ใช่คนที่พูดจาประจบ “เธอรอไม่ได้ก็ไปสิ เรื่องราวครั้งที่แล้วฉันยังไม่ถามเธอนะ? แผนการเป็นความลับมากขนาดนั่น ทำไมถูกเปิดเผยได้ละ?”

“เรื่องนี่ไม่ต้องสงสัยฉันเลยนะ แฮ็กเกอร์ที่เธอหามาฝีมืออ่อนเกินไป ยังไม่เจอฉันตัวจริงๆเลยก็นำรูปให้ฉันดูซะเเล้ว….”

“เรื่องราวตอนไหน?ทำไมเธอไม่บอกฉัน?”หนานกงเฮ่าล้มหน้าหลบหลีกสิ่งที่เธอพูด

เฉียวซินโยวก้มหน้า ตอนนั้นเธอก็อยากจะบอกหนานกงเฮ่า แต่รอสองสามวันแล้วเงียบไม่มีความเคลื่อนไหว จากทัศนคติเรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นเรื่องที่เลวร้าย

หนานกงเฮ่าโมโหอย่างที่สุด “เฉียวซินโยว แกมีสมองหรือเปล่า? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกฉัน?แกคิดว่ามิตรภาพของเรายังไปได้รอดไหม?”

“ขอโทษ…..เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”เฉียวซินโยวขอโทษด้วยน้ำเสียงเบา ตอนนี่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เขาเพียงคนเดียวจะบรรลุเป้าหมาย

หนานกงเฮ่าจ้องมองเขาเป็นเวลานาน อยากหันหน้าเดินหนีจากไป แต่….

“พูดเธอ ครั้งนี้มาหาฉันมีธุระอะไร?”

เฉียวซินโยวกุมแก้วน้ำมะนาวที่อยู่ในมือ เธอพูดสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องเธอและเย่ฉ่าวเหยียน “เย่ฉ่าวเหยียนคนนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เขามาช่วยฉันทุกครั้งที่ฉันไม่ขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อฉันขอความช่วยเหลือจากเขากลับโดนปฎิเสธ เธอว่าเขาคิดยังไงของเขา?”

“เย่ฉ่าวเหยียน เขาคือคุณชายสองของตระกูลเย่ ทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง เขามีพฤติกรรมแบบนี้กับเธอก็ไม่แปลก”หนานกงเฮ่าเคยเจอเย่ฉ่าวเหยียนไม่กี่ครั้ง รู้จักเขาดีเหลือเกิน

“งั้นฉันจะได้รับความไว้วางใจจากเขาได้อย่างไร? ตอนนี่ตระกูลเย่ มีเพียงเขาที่สามารถช่วยเหลือฉันได้”

หนานกงเฮ่ากุ้มแก้วเหล้า แล้วพูดอย่างใจเย็น “เขาไม่ต้องการร่วมมือกับเธอ เพราะเขาอ่านเกมส์ออกว่าเธอจะจับเสือมือเปล่า นอกแต่ว่าเธอจะมีในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องไปหาเขา เขาจะขอสิ่งนั้นตามธรรมชาติ”

เฉียวซินโยวหดหู่ใจเหลือเกิน “ฉันรู้เขาต้องการรู้ข่าวสารของมู่เทียนเย่ แต่ทว่าฉันจะไปหามู่เทียนเย่

ได้ที่ไหน?”เขาพูดจบ กวาดสายตาไปที่หนานกงเฮ่า “หรือเธอมีมู่เทียนเย่เบาะแส?”

หนานกงเฮ่าหัวเราะถูกใจถูกคอ “ถ้าฉันรู้มู่เทียนเย่อยู่ที่ไหน พวกเรายังต้องเสียเวลาขนาดนี่ไหม?” เธอคิดว่ามู่เทียนเย่หาตัวง่ายนักเหรอ?เขาร้ายกาจยิ่งกว่าเย่ฉ่าวเฉินสะอีก

“หึ!งั้นที่เธอพูดมาก็ไม่ได้เสียเปล่า?”

หนานกงเฮ่าจิบเหล้าด้วยสายตามีเลห์ กลอุบาย “ซื่อบื้อเหรอ? เขาต้องการมู่เทียนเย่ แกก็ต้องให้มู่เทียนเย่สิ ว่าแต่มู่เทียนเย่ผู้นี้จะมีอยู่จริงหรือไม่ เหอะๆ….”

จู่ๆเฉียวซินโยวก็มีไหวพริบขึ้นมา เมื่อฟังหนานกงเฮ่าพูดจบ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เธอกำลังคิดใช้มู่เทียนเย่ตัวปลอมมาทำให้พวกเขาสับสน?”

“ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเขาสับสน แต่จะทำให้มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินแตกหักกันไปสักพัก ได้ยินว่ามู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเหยียนความสัมพันธ์ไม่เลว?”หนานกงเฮ่ายักคิ้วถาม

นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เฉียวซินโยวทั้งอิจฉาทั้งริษยา “มู่เวยเวยเคยช่วยเหลือเย่ฉ่าวเหยียน ส่วนเย่ฉ่าวเหยียนก็เคยช่วยยู่เวยเวยมาก่อนเช่นกัน เธอคิดว่าความสัมพันธ์พวกเขาจะดีไม่ดีละ?”

หนานกงเฮ่ามีความคับข้องใจที่อธิบายไม่ได้ มู่เวยเวยยังมีความกลมเกลียวกับผู้ชายคนอื่น แล้วทำไมเธอถึงยอมรับตัวเองไม่ได้ละ?แค่ความเป็นเพื่อนก็ไม่ยอมรับนั่นเหรอ?

“ถ้าอย่างนี่แล้ว เธอก็อยู่ตรงกลาง ให้พี่น้องทั้งสองของพวกเขาเปลี่ยนมู่เวยเวยเป็นศัตรูสิ เป้าหมายของพวกเราก็สำเร็จแล้ว?”

ดูเหมือนเฉียวซินโยวจะมองเห็นอนาคตสักอย่าง ดวงตาทั้งสองเปิดกว้างขึ้น “มู่เทียนเย่ตัวปลอมหาได้รึยัง?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงเวลาฉันจะให้เธอร่วมการแสดงครั้งใหญ่นี่”ใบหน้าของหนานกงเฮ่าแฝงร้อยยิ้มที่ร้ายกาจ

เฉียวซินโยว อดใจรอไม่ไหว “ฉันต้องทำอะไร?เธอพูด”

หนานกงเฮ่าก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “พวกเราแบบนี่ก่อน….”

ในวันรุ่งขึ้น เพื่อเลือกภาพวาดออกแบบที่ดีที่สุดร่วมมือกับแผนกแฟชั่นทั้งสองแผนกคัดเลือกโปรแกรมที่ดีที่สุด

เหอเหม่ยหลิงและผู้แข่งขันหลีจื่อเจี๋ยแยกที่นั่งสองด้าน ไม่มีใครยอมใคร แค่เพียงรอให้ที่นั่งในห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้ชม

มู่เวยเวยนั่งข้างๆเหอเม่ยหลิง ครั้งนี่เธอประหม่าจนในมือออกเหงื่อ ถึงแม้ว่าเขาเคยพูดต่อหน้าผู้คนจำนวนมากมาก่อน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา ยิ่งเธอถูกให้ความสำคัญก็จะยิ่งตื่นเต้น

เหอเหม่ยหลิงมองเห็นความผิดปกติของเธอ จึงหันไปกระซิบข้างหู“ไม่ต้องตื่นเต้น ฉันเห็นศักยภาพในภาพการออกแบบของเธอ แค่เธออธิบายแนวคิดอย่างชัดเจนก็ชนะขาดลอยแล้ว”

“ประธานเห่อ เธอยิ่งพูดฉันยิ่งตื่นเต้น” มู่เวยเวยพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

เหอเหม่ยหลิงจ้องตาเธอ “เธอกลัวประธานเย่เหรอ?”

“ไม่กลัว”

“เธอมองผู้คนในห้องประชุมสิ พวกเขาล้วนประหม่าเพราะเคารพและขี้ขลาดต่อประธานเย่ แต่เธอแม้แต่ประธานเย่ยังไม่กลัวด้วยซ้ำ แล้วจะประหม่าต่อพวกเขาทำไม?

คำพูดเหอเหม่ยหลิง ทำให้มู่เวยเวยผ่อนคลายขึ้นมาก ใช่แล้ว แม้แต่เย่ฉ่าวเฉินเธอยังไม่เกรงกลัว แล้วยังต้องกลัวอะไรอีก?

มู่เวยเวยหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วพูดด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น “ประธานเห่อ ฉันไม่ตื่นเต้นแล้ว ขอบคุณ”

“อื้ม งั้นก็ดีละ สักครู่ทำให้เต็มที่”เหอเหม่ยหลิงให้กำลังใจเธอ

ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบง่ายแต่ดูดีเป็นบ้า เขานั่งลงพร้อมกับเลขาที่นั่งอยู่ด้านหลัง

เสียงดังในห้องประชุมได้เงียบลง เย่ฉ่าวเฉินหวาดสายตาแวววาวไปหยุดนิ่งที่มู่เวยเวยจากนั่นก็กวาดมองไปที่ผู้คนในห้องประชุม

“ในการร่วมมือกับแฟชั่นแมกกาซีนครั้งนี้ ผมเชื่อมั่นว่าประธานเห่อและประธานหลีต่างให้ความสำคัญ เพื่อความยุติธรรมต่อแผนกออกแบบทั้งสองทีมในการร่วมงานกับพีเค สุดท้ายเลือกผลโหวตที่ดีที่สุดออกมา เอาละ พวกเธอจะเป็นเลือกใคร?”

หลีจื่อเจี๋ยแย่งพูดก่อน “ประธานเย่ ขอพวกเราก่อน”

“ได้ เริ่มเถอะ”

เฉียวซินโยวนั่งท่ามกลางผู้ชมสอดส่องจ้องมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน ในใจล้วนเปี่ยมล้นทั้งความสุขความเสน่หา นี่คือผู้ชายที่เขาเลือก ทั้งหล่อ มั่นใจ เต็มไปด้วยเสน่ห์

ทุกๆครั้งที่เฉียวซินโยวพบเจอเขาในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากที่จะครอบครอง ยิ่งเกลียดชังมู่เวยเวยมากขึ้น แต่ในไม่ช้า เธอจะได้ครอบครองเขาในที่สุด ปล่อยให้มู่เวยเวยยิ่งผยองไปชั่วขณะ

เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ผลงานของกลุ่มหลีจื่อเจี๋ยมีสามสไตล์ที่หรูหรา แต่เสื้อผ้าออกแบบได้สวยสดงดงามยิ่งนัก

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผลงานทั้งสามชิ้นก็ได้นำเสนอจนจบ พร้อมเสียงปรบมืออย่างคึกคักในห้องประชุม เย่เฉ่าเฉินชื่นชมอย่างเป็นทางการ “ไม่เลว”หลีจื่อเจี๋ยหันไปมองเหอเหม่นหลิงด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ

เหอเหม่ยหลิงกลุ่มนี่ก็เตรียมผลงานภาพวาดออกแบบไว้สามแบบ นอกจากมู่เวยเวยแล้วสองท่านที่เหลือคือนักออกแบบที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ แต่อย่างไรก็ตามเห่อเหม่ยหลิงมั่นใจความคิดสร้างสรรค์

ของมู่เวยเวยเช่นกัน ดังนั้นจึงให้เธออยู่ที่ท้ายสุดแต่โดดเด่นที่สุด

ผ่านไปแล้วยี่สิบนาทีกว่าๆ เหอเหม่ยหลิงเรียก “มู่เวยเวย รอบของเธอแล้ว”

มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น สงบสติอารมณ์ได้พักใหญ่ จิตใจของเธอนิ่งสงบ ลงขึ้นเดินตรงไปอย่างใจเย็นต่อหน้าทุกคน นำผลงานเสนอขึ้นบนโปรเจ็กเตอร์และภาพวาดออกแบบก็ถูกนำเสนอต่อ หน้าจอขนาดใหญ่จนทุกคนพูดด้วยน้ำเสียงพร้อมๆกันว่า “ว้าว”

“ทุกคนนี่คือผลงานที่ฉันออกแบบ เธอชื่อ ยี่เจี๊ยน”มูเวยเวยมองดูทุกคนอย่างสงบเสมือนแอ่งน้ำใส น้ำเสียงนุ่มนวลดุจสายน้ำไหล “อย่างที่ทุกคนเห็นว่าผลงานของฉันชิ้นนี้โดดเด่นด้วยสไตล์อังกฤษ ลวดลายบนกระโปรงเป็นลายดอกไม้โบราณเป็นสิ่งที่ทุกคนพบเห็นได้บ่อย แต่ถูกเปลี่ยนเป็นสีชมพู เสมือนอารมณ์ของผู้หญิงที่พบเจอรักแรกพบ ”

“ฉันรู้ว่าทุกคนต้องการถาม ทำไมถึงใช้ดอกไม้โบราณแบบดั้งเดิม ชื่อของผลงานชิ้นนี่คือพบเจอในแบบประเพณีดั้งเดิมตามแฟชั่นสไตล์จีนซึ้งเป็นที่ยอมรับระดับสากลใ้ช้อุปมาอุปมัยคือเจ้าหญิงราชวงศ์ถังได้พบเจอกับเจ้าชายแห่งจักรวรรดิอังกฤษอันสมบูรณ์แบบที่เจิดจรัสที่สุด”

ตรงข้ามโต๊ะประชุมขนาดยาว เย่ฉ่าวเฉินนั่งที่หัวโต๊ะ มองผู้หญิงที่บรรยายอยู่ด้วยความประภูมิใจ เธอเติบโตจากนักเรียนที่ัยงไม่บรรลุนิตภาวะจนเป็นนักศึกษาที่มีคุณภาพ อีกยังเป็นนักออกแบบที่ยอดเยี่ยม และผู้หญิงคนนี่มีความเป็นตัวของตัวเอง

“……นอกจากนี้ ฉันยังต้องการให้วัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยมของเราเป็นที่ประจักษ์แก่ต่างชาติ ฉันคิดว่านี่เป็นความปรารถนาของนักออกแบบทุกคนที่นี่”

เมื่อเสียงลำโพงในห้องประชุมเงียบลง จากนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างอบอุ่น มู่เวยเวยก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอหันไปมองเห่อเหม่ยหลิง เขาพยักหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

เมื่อมองไปที่เย่เฉ่าเฉินโดยบังเอิญ เขา….กำลังยิ้ม!

ยิ้มอะไรยิ้ม?

มู่เวยเวยมองกลับไปแล้ว กลับไปนั่งของตัวเอง

“คำอธิบายดีมาก ครั้งนี้พวกเราต้องชนะแน่นอน!” เหอเหม่ยหลิง กล่าวด้วยน้ำเสียงเบา

มู่เวยเวยพยักหน้า อย่างตื่นเต้น

“ค่ะ ชมผลงานเสร็จแล้ว พวกเรามาโหวตกันเถอะ”

การลงคะแนนเป็นการลงคะแนนไม่ระบุชื่อ แต่ละคนมีเพียงหนึ่งเสียง เมื่อได้ผลคะแนนเย่ฉ่าวเฉินส่งให้คณะกรรมการตรวจสอบ เป็นพิธีการโดยปกติ ผลลัพธ์ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง นี่เป็นแนวทางที่ปฎิบัติในช่วงหลายปี เพื่อให้ความเคารพต่อพนักงาน

ในขณะที่นับผลคะแนน มู่เวยเวยยิ่งเริ่มตื่นเต้น เพราะกลุ่มของหลีจื่อเจี๋ยมีดีไซเนอร์คนหนึ่งที่มีคะแนนโหวตแน่นหนา ทั้งสองคนคะแนนนำ ทุกครั้งที่มูเวยเวยคะแนนนำหนึ่งเสียง อีกฝ่ายคะแนนเสียงก็เพิ่มเสมอเธอ คะแนนโหวตของอีกสี่คนมีประมาณห้าใบไม่เปลี่ยนแปลง

บรรยากาศในห้องประชุมก็ร้อนระอุขึ้นมาทันที

“มู่เวยเวย…..จาวซา…..มู่เวยเวย…..จาวซา…..”

คะแนนโหวตเริ่มต่ำลง ทั้งสองคนเสมอกัน ขณะนี้ในมือเลขาหลิวมีตั๋วที่เหลืออยู่ใบสุดท้าย

เวลาหลิวก้มลงไปมอง เธอรู้สึกคุ้นเคยกับรูปลักษณ์อักษร คิดไม่ถึงว่าเขาก็โหวตให้เธอ?

หัวใจของทุกคนถูกเลขาหลิวแขวนไว้ มู่เวยเวยจับมุมกระโปรงอย่างตื่นเต้นจ้องไปที่ปากของเลขาหลิว

“มู่เวยเวย!”

“เย่ – -”สมาชิกทุกคนในทีมเหอเหม่ยหลิงโห่ร้อง ยกเว้นเฉียวซินโยว

มู่เวยเวยดีใจจนพูดไม่ออก เธอชนะแล้ว ผลโหวตมากกว่าหนึ่งคะแนน ช่างดีเหลือเกิน

“เวยเวย ยินดีด้วย” เหอเหม่ยหลิงโอบกอดเธอเบาๆ

“ขอบคุณประธานเห่อ”

เย่ฉ่าวเฉินใจกว้างให้พวกเขาตะโกนร้อง ฐานะเจ้านายเขาเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้อย่างดี

และมีความสุขที่ได้เห็นพนักงานฝึกทักษะแข่งขันกัน

“ประธานเห่อ ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะ”เย่ฉ่าวเฉินจับมือเห่อเหม่ยหลิงแสดงความยินดี แล้วรีบปล่อยมือ “ประธานหลี่ พวกเธอก็อย่าเพิ่งท้อ ปีหน้ายังมีโอกาส”

หลี่จื้อเจี๋ยยิ้มแบบเขินๆ

ในเวลานี้มีคนตะโกนว่า “ประธานเย่ จัดเลี้ยงทุกคนทานข้าวเถอะ”

อากาศในห้องเงียบลงทันที ใครจะไปรู้ มู่เวยเวยเข้ามาบริษัทวันแรก เย่เฉ่าเฉินเคยพูดไว้ไม่ควรดูแลเธอเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้มีคนเสนอจะเลี้ยงข้าวเธอ หรือแค่อยากรู้ว่า เย่ฉ่าวเฉินให้หน้ามู่เวยเวยหรือเปล่า

ใครละ? นี่ไม่ได้หาเรื่องให้เธอในที่สาธารณะเหรอ มู่เวยเวยสาปแช่งในใจอย่างลับ! แต่ใบหน้าเธอกลับร้อนระอุท่ามกลางความสนใจของทุกคน

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองไปที่ผู้คนอย่างไม่แยแส จากนั้นก็หันไปสั่งเลขาหลิว “โทรหาเผิ่งหลายเก่อจองห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด” จากนั้นเขาพูดกับทุกคน”ช่วงนี่ทุกคนทำงานหนักเลิกงานแล้วเชิญทุกคนทานข้าว

“ว่าซ่าย ——”

“ประธานเย่ หล่อจัง!”

มีเสียงเชียร์ดังสนันในห้องประชุม คุณต้องรู้ว่าเผิ่งหลายเก่อเป็นหนึ่งในร้านอาหารทะเลที่มีชื่อเสียง

ที่สุดในเมือง เอ อาหารไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังมีราคาแพงมาก

เชิญชวนผู้คนไปสถานที่หรูหราเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเอาใจใส่มู่เวยเวยมาก

มู่เวยเวยไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เธอแค่รู้สึกว่าเป็นการสมคบคิดของเย่เฉ่าเฉินเพื่อเอาชนะใจผู้คน

กลับมาถึงออฟฟิศ เลิกงานได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มู่เวยเวยทรุดตัวลงที่เก้าอี้เหมือนกำลังฝันในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ และอีกไม่นานเธอก็จะได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นแล้ว เรื่องราวเหล่านี้มาเร็วเหลือเกิน

“เวยเวย ครั้งนี้เธอต่อสู้เพื่อทีมของเรา เธอดูหลี่จื้อเจี๋ย ใบหน้าซีดเซียว”ครั้งล่าสุดเพื่อนร่วมงานคนสวยที่ให้ยาแก้ไข้เขาครั้งนั้นมาพร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้วใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความสุข

“ใช่แล้วใช่แล้ว ทีมพวกเรามักโดนทีมพวกเขากดเสมอ ในที่สุดครั้งนี่ก็ได้พ่นคำดูถูกออกมา เวยเวย เธอเป็นดาวเเห่งความโชคดีของพวกเราจริงๆ

มู่เวยเวยรู้สึกผิด จนต้องลุกขึ้นมาพูด “ไม่ขนาดนั้นหรอก จริงๆชัยชนะวันนี่ล้วนแต่ทุกคนช่วยเหลือกัน

ทุกครั้งที่ประชุมทุกคนล้วนแต่ให้คำแนะนำฉันจนได้มีวันนี้ ฉันต้องขอบคุณพวกเธอนะ”

เพื่อนร่วมงานได้ฟังก็ชุ่มใจ หยอกล้อเธอ “อยากขอบคุณพวกเรา งั้นอีกสักครู่พวกเราชนแก้วกับประธานเย่ เธอก็อย่าห้ามนะ”

“ไม่ห้าม ฉันไม่ห้ามแน่นอน!พวกเธอชนได้ตามสบาย” มู่เวยเวยพูดอย่างชอบธรรม ดีที่สุดให้เขาเมาแบบหลับไม่ตื่นไปเลย!

“งั้นพวกเราก็วางใจละ”

เฉียวซินโยวได้ยินเธอดังนั้น รู้สึกเหมือนเข็มทิ่มแทงที่หัวใจ ไม่อยากไปร่วมงานปาร์ตี้ กลัวจะพบเจอทุกคนกำลังชื่นชมมู่เวยเวย เธอจะไปทำไม? ไปเฝ้ามองพวกเขาสองคนแสดงความรักเหรอ?

แต่ก็ไม่ไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเพิ่งผ่านไป เธอไม่สามารถกระตุ้นความรังเกียจของเย่เฉ่าเฉินได้อีกต่อไป

หลายคนพูดคุยหัวเราะกัน ใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว มู่เวยเวยกำลังวางแผนที่จะขึ้นรถของเพื่อนร่วมงานไปที่เผิงไหลซวน

“เวยเวย เธอไม่นั่งรถประธานเย่ไปเหรอ?”

“ไม่ต้อง เขา…เขาอาจจะยังยุ่งอยู่ ไม่รู้จะถึงตอนไหน” มู่เวยเวยหาข้ออ้าง

“อ่อ แต่ก็ใช่ งั้นเธอก็นั่งฉันไปเถอะ”

“ขอบคุณนะ”

มู่เวยเวยขอบคุณอย่างสุภาพ แต่เมื่อกลุ่มคนเดินลงไปถึงชั้นล่าง ก็เห็นรถของเย่เฉ่าเฉินจอดอยู่ คนขับรถยื่นรออยู่ด้านนอกรถ

มู่เวยเวยหยุดชะงัก เขาก็ว่างซะจริงๆ

“มู่เวยเวยยังไม่รีบไปอีก อย่าให้ประธานเย่รอนานเลย” เพื่อนร่วมงานยิ้มให้เธอแล้วผลักเธอ มู่เวยเวยรู้สึกเหมือนเสียงกับไอ้เฒ่าในซ่องโบราณพูด

ในรถ เย่ฉ่าวเฉินกำลังอ่านเอกสาร มู่เวยเวยเข้ามานั่ง เหลือบมองเขา “เธอยุ่งขนาดนี่สักครู่ค่อยไปก็ได้นะ”

“เจ้าบ้านไม่อยู่ ทุกคนจะสั่งอาหารยังไง?” เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเบา

“ชิ เธอมาจ่ายเงินก็พอแล้ว ใครจะมองเธอละ”

รถเล่นไปอย่างช้าๆ มู่เวยเวยมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย พบว่าเฉียวซินโยวกำลังจ้องมองเธออย่างโศกเศร้า

ยังไงเป็นนักเรียนก็ดีที่สุด ซื่อๆบื่อๆ ก็ไม่สนใจเฉียวซินโยวหลอกใช้ตัวเองหรือไม่ ทุกวันล้วนตั้งใจ

เรียน

และตอนนี่ เพื่อนสนิทของฉันหันหลังให้กัน เฝ้าคอยจะแก้แค้นกัน ความรู้สึกแบบนี้เหนื่อยเหลือเกิน

“เธอกำลังมองอะไร?”เย่ฉ่าวเฉินถาม

“เฉียวซินโยว”มู่เวยเวยพูดแบบตรงไปตรงมาจงใจแกล้งเขา “เขาอยู่กับเธอมาสักพักแล้ว เธอก็ทิ้งเขาไปไม่ใช่เหรอ?”

เย่เฉ่าเฉินวางเอกสารที่อยู่ในมือลงแล้วหันไปมองเธอ “มู่เวยเวย ถ้าเธอยังพูดถึงเขาอีก เชื่อหรือไม่ ว่าฉันจะผลักเธอออกจากรถ”

มู่เวยเวยยกมือ ขึ้นอย่างยอมจำนน “ฉันผิดแล้วฉันผิดแล้ว ไม่พูดแล้ว”

ฉันนี่ปากเสียจริงๆ พูดมากทำไม? หาทุกข์ใส่ตัวจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้ชายคนนี้ไร้ความรู้สึกจริงๆ สิ่งที่เฉียวซินโยวพูดคืออะไร ตอนนี้ทั้งสองคนได้เจอหน้ากัน เฉียวซินโยวจ้องมองเขาอย่างอ่อนหวาน เขาเสแสร้งมองไม่เห็น เสมือนลมพัดผ่าน

บรรยากาศในรถเริ่มหดหู่ มู่เวยเวยเงียบสงบมองออกไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ทันใดนั้นนึกขึ้นได้ว่าอีกสองวันจะเป็นวันเกิดของเธอแล้ว

วันเกิดปีก่อนๆ ไม่ว่าพี่ชายของมู่เทียนเย่อยู่ที่ไหน ล้วนรีบนำของขวัญมามอบให้เธอ ตั้งแต่เกิดจนถึง

ปีที่ผ่านมาไม่เคยขาด

และปีนี้ เขาอยู่ที่ไหน ตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ มู่เวยเวยไม่สามารถรู้ได้เลย ก็ไม่สนใจที่จะจัดวันเกิด

ในรับรองส่วนตัวขนาดใหญ่เพิงหลายซวน เมื่อเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยถึง เพื่อนร่วมงานในแผนกออกแบบนั่งกันเต็มเหลือเพียงที่นั่งหลักสองคนที่หันหน้าไปทางประตู เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงอย่างไม่สนใจอะไร มู่เวยเว่ยเหลือที่นั่งข้างๆเขาเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้น เฉียวซินโยวก็นั่งตรงข้าม

ผู้หญิงคนนี่ จงใจแน่นอน

อาหารที่เย่ฉ่าวเฉินสั่งล้วนแต่เป็นอาหารขึ้นชื่อ ฟังเขาเรียกชื่ออาหารแต่ละครั้ง ต้องทำให้น้ำลายสอ เมื่ออาหารเสิร์ฟ ทุกคนต่างหันมามองหน้าตาตั้ง

“ช่วงนี่ทุกคนทำงานอย่างหนัก งานเลี้ยงคืนนี่เต็มที่ทำตัวตามสบายนะ” เย่ฉ่าวเฉินยกแก้วไวน์แดง ฉันดื่มให้ทุกคนหนึ่งแก้ว หวังว่าต่อไปนี้ทุกคนจะพัฒนาตัวเองในแต่ละแผนกให้การทำงานมี

ประสิทธิภาพมากขึ้น

“ขอบคุณประธานเย่”

“ขอบคุณประธานเย่”

มู่เวยเวยจิบไวน์แดง ยี่ ก็ไม่เลวนะ แต่กุ้งมังกรด้านหน้าฉันมีแรงดึงดูดมากกว่า วางแก้วไวน์ลงมู่เวยเวยหยิบตะเกียบขึ้นแล้วคีบไปที่กุ้งมังกร…….

ไวน์บนโต๊ะถูกเปลี่ยน กินไม่ทันเท่าไหร่ ก็มีคนมาชนแก้วกับเย่เฉ่าเฉิน “ประธานเย่ หลายปีที่ผ่านมาขอบคุณสำหรับการปลูกฝัง ฉันขอชนแก้วกับภรรยาของคุณเย่หน่อย”

มู่เวยเวย กำลังหมุกหมุ่นกับการกิน จนมีคนเรียกชื่อเธอ เช็ดปากแล้วยกแก้วไวน์ขึ้น

เธออยู่ในคฤหาสน์ไม่ต้องให้เกียรติเย่ฉ่าวเฉินได้ แต่อยู่ในโอกาสเช่นนี่ เธอยังรู้จักนิ่งเงียบ

ไวน์แดงลงไปในท้องอึกแล้วอึกเล่า ใบหน้าของมู่เวยเวยเริ่มๆแดง ดวงตาแวววาว เย่ฉ่าวเฉินนั่งด้านข้างคิดขึ้นได้ถึงครั้งครั้งที่เธอเมา มันช่างมีรสชาติจริงๆ…..

“รอสักครู่ เธอดื่มแทนฉัน” เย่ฉ่าวเฉินเอียงตัวไปถอนหายใจ พร้อมหยิบหอยเชลล์วางไว้บนจาน เหมือนกับให้รางวัลเขา

มู่เวยเวยหันหน้าไปอย่างกะทันหัน ริมฝีปากปัดไปโดนแก้มเขา หลังจากเกิดปฏิกิริยานั้นก็เว้นระยะห่าง มองไปที่เขา “เพื่ออะไรละ?”ฉันไม่ยอม!”

“ฉันช่วยคุณไม่ได้ ”เย่ฉ่าวเฉินท่าทีไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงเงียบขรึม สายตาเขาจดจ่อที่ริมฝีปากของเธอ “ถ้าเธอไม่ยอม ตอนนี่ฉันไม่จูบเธอ”

“เธอ…เย่ฉ่าวเฉิน เธอหน้าด้านหรือเปล่า?”

“มู่เวยเวย เวลามีคนจูบเธอ เธอไม่รู้สึกเปล่งปลั่งเหรอ?”

“ปล่อย….”มู่เวยเวยหุบปากของเธอ เหลือบมึงไปที่เพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบข้าง จูบเธอที่นี่ ก็ไม่ต้องอยู่ในบริษัทแล้ว “ได้ ฉันดื่มให้เธอ ถ้าหากฉันเมาแล้ว ทำเรื่องราวอะไร เธอต้องไม่โยนฉันลงข้างทาง”

เย่ฉ่าวเฉิน ขมวดคิ้ม เขาน่าเกลียดชังในใจของเธอ?

“จัดการ”

บทสนทนาระหว่างสองคนนี่ ตกอยู่ในสายตาของเฉียวซินโยว ว่าจุ๊บๆฉันๆ ความเกลียดและความหึงหวงเกาะกุมหัวใจของเธอ เธอไม่สามารถแยกสองคนนี่ออกจากกัน ทำได้แค่มึนงงกับแอลกอฮอล์ตลอดเวลา

เหอเหม่ยหลิงเดินออกมาพร้อมไวน์แดง “ประธานเย่ ขอบคุณที่สนับสนุนแผนกพวกเรา ฉันดื่มให้คุณหนึ่งแก้ว”

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองมู่เวยเวย มู่เวยเวยยื่นขึ้นอย่างหดหู่บีบรอยยิ้มออกมาอย่าง พูดอย่างสบายๆ “ประธานเห่อ ช่วงนี่กระเพาะเขาไม่ค่อยดี หมอสั่งห้ามไม่ให้ดื่มแอลกอฮอล์เยอะ แก้วนี่ฉันขอดื่มแทนเขาจะได้ไหมค่ะ?”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset