วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 139 : เรื่องจริง ผมเชื่อคุณ

“ห่ะ?” มู๋เวยเวยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “พระเจ้า… บนโลกใบนี้มีเทวดาอยู่กี่คน? เขาเป็นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง หล่อไหม?”

เสี่ยวจื่อเหมือนจะโกรธอยู่นิดๆ เขาพึมพำคาถาเงียบๆ แล้วผมของมู่เวยเวยก็ตั้งขึ้นราวกับไฟฟ้าสถิต ปลิวว่อนอยู่ในอากาศ

“อ่ะๆๆๆ ฉันผิดไปแล้วๆ” มู่เวยเวยรีบขอโทษ “เสี่ยวจื่อเป็นเทวดาที่หล่อที่สุด ไม่มีใครเก่งเท่านายอยู่แล้ว”

“จริงเหรอ?” เสี่ยวจื่อถามเธอ เปลี่ยนนิ้วที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยรู้ว่าตัวเอง…

ค่อยๆ ลอยออกจากเตียง ทั้งตัวลอยขึ้นไปบนอากาศช้าๆ

ไอโหย๋ว เวลาเสี่ยวจื่อโกรธน่ากลัวชะมัด

“ฉันสาบานได้ ฉันพูดเรื่องจริง” มู่เวยเวยคว้าแขนเขาไว้ เพราะกลัวว่าตัวเองจะลอยขึ้นไปติดเพดานด้านบน

“ก็เหมือนๆ กันนั้นแหละ” เสี่ยวจื่อหยุดการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ มู่เวยเวยหล่นลงบนเตียงเสียงดัง ‘ตุบ!’

หล่นลงมาจนเจ็บไปหมด

“จะดีจะเลวก็เป็นเพื่อนกัน นายลงไม้ลงมือเบาๆ หน่อยสิ” มู่เวยเวยนวดไปตามลำตัว

ขยับเข้าไปหาเขาแล้วถามขึ้น “เขาเลวมากไหม? นายจำเป็นต้องฆ่าเขาไหม?”

เสี่ยวจื่อเงียบไปสักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “จริงๆ แล้วมันก็ไม่แน่นอน…”

“งั้นก็ไม่ได้น่ะสิ? มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน แล้วทำไมยังต้องฆ่า?” มู่เวยเวยเอนกายพิงหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคาง “นายเป็นใจกว้างขวาง ให้อภัยเขาเถอะ”

“ไม่ได้ ผมเป็นคนมีหลักการ” เสี่ยวจื่อพูดอย่างจริงจัง

“อ่ะๆ เอาล่ะ น่าเสียดายที่ฉันไม่มีความสามารถพิเศษอะไร ไม่อย่างนั้นฉันจะช่วยนาย”

เสี่ยวจื่อหันกลับไปมองเธอ แล้วแอบถามอยู่ในใจ ถ้ารู้ความจริง แล้วคุณยังจะช่วยผมไหม?

“ดึกขนาดนี้ทำไมคุณยังไม่นอน?” เขาถามเปลี่ยนเรื่อง

มู่เวยเวยเริ่มง่วง จ้องมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันเป็นโรคนอนไม่หลับ แต่เมื่อนายมา ตอนนี้ฉันอยากนอนแล้วล่ะ”

“งั้นคุณไปนอนเถอะ” เสี่ยวจื่อยกนิ้วขึ้น จากนั้นผ้าห่มก็เลื่อนไปคลุมตัวมู่เวยเวยไว้

“อืม… งั้นนายก็ไปนอนเร็วๆ หน่อยละกัน ฉันไม่ไปส่งนะ” พูดจบมู่เวยเวยก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

เสี่ยวจื่อเฝ้ามองเธอเป็นเวลาเนิ่นนาน ทันใดนั้นก็ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเธอ แล้วหายตัวไปทันที

……

มู่เวยเวยที่เพิ่งถูกควบคุมตัวกลับมาที่บ้านตระกูลเย่ พอเข้าใกล้มุมกำแพงหรือประตู ก็จะถูกพนักงานรักษาความปลอดภัยขวางทางไว้ เพราะฉะนั้น เธอจึงทำได้แค่เดินเล่นในคฤหาสน์ และเรียนทำอาหารกับฉินหม่าเป็นครั้งคราว

อย่างไรก็ตาม แต่เธอกลับไม่ได้อยู่คนเดียวเลยสักนิด เพราะมีคนคอยมีปัญหากับเธออยู่เสมอ นั้นก็คือเฉียวซินโยว

อย่างเช่นตอนนี้ มู่เวยเวยล้างองุ่นเอาไว้ เฉียวซินโยวก็เดินเข้ามาหยิบไป

“ไม่มีมือหรือไง? ล้างเองไม่เป็นเหรอ?”

เฉียวซินโยวสั่นผ้าก็อชบนมือให้ดู แล้วพูดโกรธๆ “เหอะ! พี่ชายเธอทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ ให้ฉันล้างเองถ้าเกิดอักเสบขึ้นมาจะทำยังไง?”

“อักเสบก็ตัดมันทิ้ง ยังมีให้เหลืออีกข้างหนิ” มู่เวยเวยพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องครัว พลางสาปแช่งให้เธอท้องเสียเพราะกินองุ่นจานนั้น

“มู่เวยเวย ระวังคำพูดของเธอหน่อย พูดแบบนี้ระวังพี่ชายเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน” เฉียวซินโยวหยิบองุ่นแล้วโยนเข้าปาก มันทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน อร่อยเหลือเกิน

มู่เวยเวยล้างแอปเปิ้ลแล้วหยิบออกมา “ขอบคุณสำหรับความห่วงใย พี่ชายยังอยู่ดี ไม่จำเป็น”

เฉียวซินโยวกำลังจะตอบโต้กลับ เมื่อเห็นว่าเย่ฉ่าวเหยียนเดินมา จึงพูดขึ้น “เฮ้ พูดแบบนี้เธอก็รู้สิว่าพี่เธออยู่ที่ไหน?”

“ถึงฉันรู้ฉันก็ไม่บอกเธอหรอก” มู่เวยเวยกัดแอปเปิ้ลแล้วเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น ก็ชนเข้ากับเย่ฉ่าวเหยียน เธอทำตัวไม่ถูกอยู่สองสามวินาที จากนั้นก็เดินผ่านเขาไปที่สวน

“ดูสิ ฉันบอกแล้วว่าเธอรู้ว่ามู่เย่เทียนอยู่ที่ไหน ฉันไม่ได้โกหกคุณ” เธอพูดอย่างภาคภูมิใจ

เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม “แต่คุณก็ไม่ได้ถามว่ามู่เย่เทียนอยู่ที่ไหน”

“รีบร้อนทำไม? เขาอยู่ที่เมืองAแน่นอน”

และอีกอย่าง ฉันอยากให้เขาปรากฏตัวออกมาที่ไหนสักที่ ปรากฎตัวเมื่อไหร่ เขาก็จะเชื่อฉัน

……

ช่วงบ่าย เฉียวซินโยวนอนดูทีวีอย่างเกียจคร้านอยู่ในห้องนั่งเล่น ราวกับเป็นภรรยาเจ้าของบ้าน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงหยิบขึ้นมาดู จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เมื่อมองดูรอบๆไม่เห็นใคร จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเดินไปที่สวน

“ฮัลโหล คุณโทรมาหาฉันตอนนี้ทำไม?” เธอหลบอยู่ตรงกระถางดอกไวโอเล็ตหนาทึบ ถามขึ้นเสียงต่ำ

“คุณออกมาตอนนี้ ผมมีเรื่องจะปรึกษา” หนานกงเฮ่าพูด

เฉียวซินโยวไม่สบอารมณ์อย่างมาก “มีเรื่องอะไรค่อยพูดพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ ต้องไปบ่ายวันนี้เลย?”

“พรุ่งนี้ผมไม่ว่าง คุณจะมาหรือไม่มา?”

เฉียวซินโยวกลอกตาไปมา พลางก่นด่าอยู่ในใจ “ได้ ฉันจะไป ที่เดิมหรือเปล่า?”

ใช่”

“รู้แล้ว รออีกหนึ่งชั่วโมง”

“นานเกินไป”

“หนานกงเฮ่า ตอนนี้ร่างกายฉันบอบช้ำไปหมด คุณต้องให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า…”

“ยุ่งยากจริงๆ เร็วๆหน่อย” หนานกงเฮ่ากดวางสาย

เฉียวซินโยวบีบโทรศัพท์ พลางสาปแช่งเสียงเบา “หนานกงเฮ่า รอให้เรื่องนี้จบลง ฉันจะคอยดูว่าคุณจะกล้าจองหองต่อหน้าฉันอีกไหม?

เฉียวซินโยวกระทืบรองเท้าแตะออกไปจากสวน บนเก้าอี้หวายด้านหลังกระถางดอกไม้ มู่เวยเวยถอดหมวกคลุมหน้าเอาไว้ แววตาของเธอเป็นประกาย

ถ้าตัวเองเดาไม่ผิด จริงๆ แล้ว เรื่องนี้เฉียวซินโยวและหนานกงเฮ่ายังมีความสัมพันธ์ต่อกันอยู่

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเธอหายไป มู่เวยเวยจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย แล้วเข้าไปในบ้าน

ทำยังไงดี? เฉียวซินโยวและหนานกงเฮ่าต้องวางแผนทำอะไรบางอย่าง แต่เย่ฉ่าวเฉินสั่งห้ามให้อยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรเธอก็ออกจากบ้านตระกูลเย่ไม่ได้อยู่ดี

ทำยังไงดี ทำยังไงดี?

จะหนีออกไปยังไงดี?

หูของเธอพลันได้ยินเสียงเฉียวซินโยวของให้พ่อบ้านหวังหารถให้ บอกว่าจะออกไปซื้อของ

จะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้…

เดี๋ยวก่อน เธอลืมคนคนหนึ่งได้อย่างไร แสงสว่างของเธอ มู่เวยเวยเดินตรงไปยังห้องของเย่ฉ่าวเหยียน เธอจำได้ว่าวันนี้เย่ฉ่าวเหยียนไม่ได้ออกไปข้างนอก

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!” มู่เวยเวยเคาะประตูอย่างรีบร้อน หวังว่าตอนนี้เขาจะยังไม่นอนนะ

“เข้ามา”

มู่เวยเวยผลักประตูเข้าไป เห็นมือขวาของเขากำลังยกดัมเบลล์อันเล็กๆ อยู่

“ฉ่าวเหยียน ฉันมีเรื่องจะขอร้องให้คุณช่วย!” มู่เวยเวยไม่พูดพล่ามทำเพลง

เย่ฉ่าวเหยียนวางดัมเบลล์ในมือลง เช็ดเหงื่อด้วยผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างๆ “เรื่องอะไรล่ะ ทำไมคุณดูร้อนใจขนาดนี้?”

“ฉ่าวเหยียน ฉันอยากให้คุณพาฉันออกไปข้างนอก คุณก็รู้ เมื่อวานเย่ฉ่าวเฉินสั่งห้ามฉันไว้ ฉันออกไปคนเดียวไม่ได้ ตอนนี้มีแต่คุณเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”

เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มเบาๆ “ผมพาคุณออกไปก็ได้ แต่คุณต้องบอกอะไรบางอย่างกับผม”

มู่เวยเวยยื่นน้ำที่อยู่บนโต๊ะให้เขา พูดอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องวันเกิดของฉันวันนั้น ที่ฉันได้รับของขวัญใช่ไหม? รูปร่างเหมือนพี่ชายมาก เย่ฉ่าวเฉินเดาว่าเป็นพี่ชายฉันที่ส่งมาให้ จากนั้นเฉียวซินโยวก็ถูกข่มขู่และถูกทำร้ายอีก เบาะแสทุกอย่างชี้ไปที่พี่ชายของฉัน แม้ว่าหลักฐานทุกอย่างจะแน่นหนา แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ”

“แปลกยังไง?”

“นี่ไม่ใช่สไตล์ของพี่ชาย เขารู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินกำลังพลิกแผ่นดินตามหาเขา แต่กลับมาทำอะไรเอิกเกริกแบบนี้ ไม่เท่ากับว่าเปิดเผยความจริงออกมาเหรอ? ฉะนั้นฉันค่อนข้างมั่นใจ มู่เย่เทียนที่ปรากฏตัวออกมาครั้งนี้ไม่ใช่พี่ชายฉันแน่นอน และมีใครบางคนคอยบงการอยู่เบื้องหลัง” มู่เวยเวยพูดอย่างรีบร้อน เธอกลัวว่าพูดเรื่องนี้ยังไม่จบ เฉียวซินโยวก็จะออกไปซะก่อน

“ยังมีอีก ตอนที่ฉันนอนเล่นอยู่ในสวน ฉันได้ยินเฉียวซินโยวคุยโทรศัพท์กับหนานกงเฮ่า พวกเขานัดเจอกัน ฉันเดาว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับมู่เย่เทียนคนนี้ ดังนั้นจึงอยากตามไปดู แต่…” มู่เวยเวยมองไปที่เย่ฉ่าวเหยียน พร้อมกับคำอ้อนวอนบนใบหน้าเธอ ราวกับว่าถ้าเขาไม่ตอบตกลง เธอจะคุกเข่าลงทันที

เย่ฉ่าวเหยียนได้ฟังเธอพูด ก็ครุ่นคิดอยู่สักครู่ “โอเค ผมจะพาคุณออกไป”

เขาก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้จะถูกต้องหรือไม่

“จริงเหรอ?” มู่เวยเวยประหลาดใจ “ขอบคุณๆ เย่ฉ่าวเหยียนคุณใจดีมาก รีบไปเถอะ ฉันกลัวว่าเราจะตามเฉียวซินโยวไม่ทัน”

เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น “งั้นคุณก็ต้องให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

มู่เวยเวยชะงักไป พบว่าเสื้อยืดที่อยู่บนตัวเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ จึงรีบขอโทษ “อ่า ขอโทษๆ คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเถอะ ฉันจะไปรอคุณอยู่ข้างนอก”

เขาเปิดตู้เสื้อผ้า เย่ฉ่าวเหยียนหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำออกมา อันที่จริงจากที่เขาถูกเฉียวซินโยวข่มขู่ จึงเริ่มสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน สำหรับมู่เย่เทียนก็ยังเข้าใจอยู่บ้าง จากวิธีการลงมือบุ่มบ่ามแบบนี้ ต่อมาเฉียวซินโยวยังถูกมู่เย่เทียนทุบตีอีก มันจะบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร?

ตอนที่เฉียวซินโยวมาเจรจากับเขาครั้งที่สอง เขาก็เพียงแค่รับปากไปเท่านั้น เพราะเขารู้ว่าเฉียวซินโยวมีเซอร์ไพรอะไรให้เขาแน่

ตอนนี้ดูเหมือนว่าเซอร์ไพรส์นี้จะไม่ใช่เล็กๆ

เมื่อเปิดประตูออกไป เห็นมู่เวยเวยยืนอยู่บนทางเดินมองลงไปยังด้านล่าง เห็นเฉียวซินโยวใส่กางเกงขายาวและออกไปจากบ้าน

“ไปเถอะ พวกเราไปที่โรงรถกัน”

“โอเคๆ…”

มู่เวยเวยเดินตามหลังเย่ฉ่าวเหยียนไป แอบซ่อนตัวและกระโดดขึ้นไปเบาะหลัง คนขับรถส่วนตัวของเย่ฉ่าวเหยียนมองดูเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ไปเถอะ ตามรถคันนั้นไป” เย่ฉ่าวเหยียนนั่งอยู่ข้างๆ มู่เวยเวย สั่งคนขับรถ

“ครับ คุณชายเหยียน”

เขาสตาร์ทรถ ตอนที่ขับผ่านประตู มู่เวยเวยหมอบตัวลงโดยอัตโนมัติ ผมยาวปกคลุมขาและมือของเย่ฉ่าวเหยียนโดยบังเอิญ เส้นผมดำขลับลูบไล้ผ่านหลังมือเขาไปอย่างใจเย็น จากนั้นก็จับมันไว้เบาๆ รอให้รถออกผ่านออกไปเรียบร้อย แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า โอเค ไม่ต้องซ่อนแล้ว”

มู่เวยเวยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นขึ้นมานั่งตัวตรง ผมยาวไล้ไปตามนิ้วของเขา “ฉันตกใจแทบตาย กลัวว่าเขาจะให้หยุดรถแล้วค้นซะอีก”

“พวกเขาไม่กล้าจะตรวจรถผมหรอก” เย่ฉ่าวเหยียนกล่าวอย่างสุภาพ

“ใช่ ฉันลืมไป คุณเป็นคุณชายรองนี่นา” มู่เวยเวยโง่จริงๆ

เย่ฉ่าวเหยียนจ้องมองใบหน้าเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้านของเธอ แล้วพูดหยอกล้อ “อีกอย่างกระจกหน้าต่างรถผม คนนอกมองเข้ามาไม่เห็นหรอก”

มู่เวยเวยตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง “ทำไมเมื่อกี้ไม่บอกฉัน?”

เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างอารมณ์ดี “คุณยังไม่ทันถามผมก็ก้มลงไปแล้ว จะให้ผมพูดตอนไหน”

“อ่า——ฉันนี่โง่จริงๆ” มู่เวยเวยหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างพูดอะไรไม่ออก

ขับรถตามเฉียวซินโยวมาจนถึงร้านกาแฟในเมืองA หลังจากเห็นเธอลงไปจากรถ เย่ฉ่าวเหยียนและมู่เวยเวยก็ลงรถตามไป ซื้อนิตยสารที่อยู่ริมถนนมาบังหน้าเอาไว้และเดินตามเข้าไปในร้านกาแฟ

“ดู เธออยู่ตรงนู้น” เย่ฉ่าวเเหยียนสะกิดแขนมู่เวยเวย แล้วกระซิบ “ตามผมมา”

มู่เวยเวยไม่ได้หันไปมอง ก้มหัวลงแล้วเดินตามเย่ฉ่าวเหยียนไปนั่งที่โซฟาด้านใน

“คาปูชิโน่หนึ่งแก้ว บลูเม้าเท่นท์หนึ่งแก้ว ขอบคุณ”

“ค่ะ ทั้งสองท่านรอสักครู่นะคะ”

หลังจากที่พนักงานเดินออกไป มู่เวยเวยเอ่ยถามเงียบๆ “แน่ใจนะว่าจากมุมนี้พวกเขาจะมองไม่เห็นเรา?”

เย่ฉ่าวเหยียนลืมตาขึ้น “คุณวางใจได้ ไม่เห็นแน่นอน”

เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด มู่เวยเวยก็กล้ายืดตัวขึ้น มองไปรอบๆ ในที่สุดก็เห็นเฉียวซินโยวอยู่อีกมุม

“ตรงนี้ดีจริงๆ เรามองเห็นพวกเขา แต่พวกเขากลับมองไม่เห็นเรา” มู่เวยเวยพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ

ทันที่ที่พูดจบ ก็เห็นหนานกงเฮ่าเดินเข้ามาจากไกลๆ เธอเคาะโต๊ะอย่างตื่นเต้น “ดูๆ หนานกงเฮ่า ฉันเดาไม่ผิดจริงๆ เฉียวซินโยวนัดพบกับหนานกงเฮ่า”

เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับไปมอง หนานกงเฮ่านั่งอยู่ตรงข้ามเฉียวซินโยว สีหน้าของทั้งคู่ดูจริงจิง ดูเหมือนว่ามีเรื่องไม่ได้ดั่งใจบางอย่างเกิดขึ้น

“เขาพูดว่ายังไง? สองคนนั้นอยู่ด้วยกันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ฉันอยากเข้าไปฟังจัง” มู่เวยเวยจ้องมองทั้งสองคนที่อยู่ไกลๆ ถ้าเป็นไปได้ เธอคงอยากวางหูตัวเองไว้ที่โต๊ะของพวกเขา

เย่ฉ่าวเหยียนพยักหน้า “อืม คุณพูดถูก พวกเขาสองคนต้องกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง”

มู่เวยเวยหันกลับมาทันควัน “คุณเชื่อที่ฉันพูดแล้วใช่ไหม?”

เย่ฉ่าวเหยียนมองเธออย่างมีความหมาย แล้วพูดขึ้น “ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว ไม่งั้นจะพาคุณออกมาทำไม?”

“ฉ่าวเหยียน คุณเป็นคนดีจริงๆ!” มู่เวยเวยพูดด้วยความรู้สึก

เป็นเวลาเดียวกันที่พนักงานนำกาแฟสองแก้วเข้ามาเสิร์ฟ จากนั้นก็เดินออกไป เย่ฉ่าวเหยียนพูดขึ้นว่า “ อันที่จริงผมสงสัยสองคนนี้มานานแล้ว”

มู่เวยเวยแปลกใจ “ห่ะ? ทำไม? ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เย่ฉ่าวเหยียนคนกาแฟในมือ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังจำเรื่องรูปถ่ายครั้งที่แล้วได้ไหม? มีครั้งหนึ่ง คนของผมเห็นเธอไปหาแฮกเกอร์คนนั้น จากนั้นผมก็รู้เรื่องทุกอย่าง”

“พระเจ้าช่วย! นี่คุณไปหาเขามาเหรอ?” มู่เวยเวยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาพูด “เรื่องนี้ฉันก็รู้มาเหมือนกัน เฉียวซินโยวนัดเจอกับผู้ชายคนนั้น ฉันจึงปลอมตัวเป็นเธอแล้วไปพบเขา จากนั้นก็เอารูปพวกนั้นมา เฮ้! อันที่จริงอยากใช้ประโยชน์จากโอกาสนั้นเพื่อออกไปจากเย่ฉ่าวเฉินอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะยังไม่ทำก็ไม่สำเร็จซะแล้ว”

“ดังนั้น ฉันจึงรู้ว่าเฉียวซินโยวและหนานกงเฮ่าอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา”

มู่เวยเวยนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดต่อไปว่า “อันที่จริงคุณก็รู้ใช่ไหม? เรื่องรูปพวกนั้น เฉียวซินโยวโกหก เธอไม่เคยไปที่โรงแรมในวันนั้น แต่อยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอด ตรงข้ามกับฉัน…”

“คุณอะไร?” เย่ฉ่าวเหยียนอดถามขึ้นไม่ได้เมื่อเห็นเธอหยุดพูดกะทันหัน

มู่เวยเวยครุ่นคิด เรื่องนี้เธอไม่อยากพูดอะไรกับเย่ฉ่าวเหยียน “ตรงกันข้ามกับฉันในตอนนั้นที่ถูกผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่ง นัดให้ไปที่โรงแรมแห่งนี้ หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น เฮ้อ… ตลอดชีวิตนี้ฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก”

เย่ฉ่าวเหยียนได้ยินเช่นนั้น ก็นึกขึ้นถึงวิดีโอที่เขาได้จากแฮกเกอร์คนนั้นทันที ตอนนั้นคิดว่าผู้หญิงที่ปรากฎอยู่ในวิดีโอท่าทางคุ้นๆ อยู่หน่อย แต่ตอนนี้…

เขามองไปที่มู่เวยเวยอย่างใจเย็น เป็นไปได้ไหมว่าหญิงสาวที่เข้ามาในโรงแรมคือมู่เวยเวย

งั้นเธอกับพี่ชายก็?

แต่ดูจากท่าทีของเธอ คงไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นพี่ชาย

หลังจากที่ครุ่นคิดเป็นเวลานาน เย่ฉ่าวเหยียนจึงหยั่งเชิงพูดขึ้น “เวยเวย ผมขอถามละลาบละล้วงสักหน่อย คุณจะพูดหรือไม่พูดก็ได้”

“คุณก็ถามมาสิ”

“คุณเพิ่งพูดไปว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกตลอดชีวิต…”

มู่เวยเวยหลับตาลง จิบกาแฟ แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้มันน่าขำมาก ตอนนี้ฉันคบกันผู้ชายห่วยแตกอยู่คนหนึ่ง เขาหลอกฉันไปขายเพื่อเงิน วันนั้นเขาส่งข้อความมาหาฉัน ให้ไปหาเขาที่โรงแรม สุดท้ายคนที่มาคือใครคุณลองทายดูสิ?”

หัวใของเย่ฉ่าวเหยียนที่ตายด้านมานานหลายปี ก็พลันสะดุ้ง “ใคร?”

มู่เวยเวยชี้นิ้วไปหาหนานกงเฮ่าที่อยู่ไกลๆ

“หนานกงเฮ่าเหรอ?” เย่ฉ่าวเหยียนผงะ เป็นไปได้อย่างไร?

มู่เวยเวยพยักหน้า “ใช่ ตอนนั้นมันมืดมาก ฉันมองเห็นไม่ชัด แต่หลังจากนั้นมา ฉันก็ไปถามผู้ชายสารเลวคนนั้น เขายอมรับว่าคือ หนานกงเฮ่า!”

มู่เวยเวยมองไปยังหนานกงเฮ่า ดวงตาสีดำฉายความเกลียดชังออกมาก ตลอดชีวิตนี้เธอไม่มีวันให้อภัยหนานกงเฮ่าเด็ดขาด

ราวกับพายุหมุนอยู่ในใจของเย่ฉ่าวเหยียน เรื่องทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็คงไม่ถูกเขียนขึ้น เรื่องนี้น่าติดตามชมยิ่งกว่านิยาย

มู่เวยเวยคิดว่าผู้ชายคนนั้นคือหนานกงเฮ่า และพี่ชายก็คิดว่าผู้หญิงคนนั้นคือเฉียวซินโยว ฮ่าๆๆ มีอะไรผิดพลาดไปมากกว่านี้อีกไหม?

แต่ถ้าวันหนึ่ง พวกเขาสองคนรู้ว่าเป็นกันและกัน จากท่าทีของพี่ชายในตอนนี้ที่มีต่อเฉียวซินโยว เขาคงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อมู่เวยเวยไปแบบร้อยแปดสิบองศา แต่มู่เวยเวยล่ะ? เธอจะละทิ้งความขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้านี้ไป และมีความรู้สึกให้กับพี่ชายหรือเปล่า?

“หือ? เฉียวซินโยวกำลังจะออกไป?” มู่เวยเวยพูดขัดจังหวะความคิดเขาขึ้นมา

เย่ฉ่าวเหยียนมองข้ามไป ทั้งสองกำลังพูดคุยเจรจาบางอย่าง เฉียวซินโยวออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระเป๋าในมือ

เมื่อมู่เวยเวยเห็นเฉียวซินโยวออกไป เธอจึงถามเขา “เธอไปแล้ว เราไม่ไปเหรอ?”

“รีบร้อนอะไร? ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอดื่มกาแฟแก้วนี้ให้เสร็จก่อน”

“ก็ถูก ไม่ง่ายเลยที่ฉันจะได้ออกมาข้างนอก”

เย่ฉ่าวเหยียนก้มหน้าลงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร มู่เวยเวยเห็นสีหน้าเขาเศร้าๆ จึงถามขึ้น “คุณกำลังคิดอะไรอยู่?”

“อ่อ เปล่า”

เขาไม่พูด มู่เวยเวยก็ไม่เซ้าซี้ ทุกคนล้วนมีความลับ ความลับบางอย่างก็ไม่ควรแบ่งปันให้คนอื่นรับรู้

คาปูนิโน่ใกล้จะหมดแล้ว แต่หนานกงเฮ่ายังไม่ไปไหน มู่เวยเวยจึงนึกสงสัย “หนานกงเฮ่ายังรอใคร?”

“หรือบางทีเขาอาจจะรอดื่มให้เสร็จ? งั้นพวกเราไปกันเถอะ”

เฉียวซินโยวหายไปแล้ว นั่งรอข่าวใหญ่จากตรงนี้คงไม่ได้ และอีกอย่างเย่ฉ่าวเฉินก็ใกล้จะเลิกงานแล้วด้วย ส่วนนี้ให้เธอบอกว่าเธอวิ่งออกมาเอง และโดนทำโทษก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่เธอกลัวว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะพลายซวยไปด้วย

คิดถึงตรงนี้ มู่เวยเวยก็พูดขึ้น “ไปกันเถอะ”

ทั้งสองคนลุกขึ้นจากโซฟา มู่เวยเวยมองเห็นคนคนหนึ่งที่คุ้นเคยเดินเข้ามาในร้านกาแฟ เธอปิดปากด้วยความตกใจ พลางจับแขนของเย่ฉ่าวเหยียน “คนนั้น… คนนั้น…”

เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับไปมอง เขาก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่ยังดังสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว บอกให้มู่เวยเวยนั่งลง และตัวเองก็นั่งลงเช่นกัน สายตาจับจ้องไปที่ชายคนนั้น เขาตรงไปหาโต๊ะของหนานกงเฮ่า จากนั้นก็เข้าไปนั่ง

“เห็นไหม เห็นหรือเปล่า?” มู่เวยเวยคว้าข้อมือของเย่ฉ่าวเหยียนอย่างตื่นเต้น พูดตะกุกตะกัก “ฉันบอกแล้วว่าตัวปลอม… ตัวปลอม… พระเจ้า เหมือนเกินไปแล้ว”

เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่มือ เขาไม่ได้ดึงมันออก ปล่อยให้เธอจับอยู่อย่างนั้น “ใช่ เหมือนมาก หนานกงเฮ่าสุดยอดจริงๆ เพื่อแสดงละครเรื่องนี้ เขาไปหาคนที่เหมือนมู่เย่เที่ยนขนาดนี้มาจนได้”

เหมือนมาก ถ้าคุณไม่คุ้นเคยกับมู่เย่เทียนจริงๆ ต้องถูกเขาทำให้สับสนแน่ๆ

ไม่ว่าจะเป็นความสูง รูปร่าง ลักษณะภายนอกต่างๆ เหมือนมู่เย่เทียนทุกอย่าง

นิ้วเล็กๆ คิ้วดกดำ เบ้าตาลึก จมูกโด่ง ริมฝีปากเยือกเย็น และใบหน้าที่ถูกสลักขึ้นมาด้วยมีดหมอ ในวินาทีแรกที่เธอเห็น มู่เวยเวยคิดว่าเธอเจอพี่ชายของเธอแล้วจริงๆ

แต่อย่างไรก็ตาม อารมณ์ที่แสดงออกจากของปลอมคนนี้ ยังห่างจากมู่เย่เทียนหลายขุม

มู่เย่เทียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น จิตวิญญาณชั่วร้ายครอบงำจนไม่เคารพตัวของตัวเอง และคนๆ นี้เชื่อเลยว่าคงน่าหน้าดีอยู่ไม่น้อย

“สัญชาตญาณของฉันไม่ผิด ฉันรู้ว่ามู่เย่เทียนคนนี้เป็นตัวปลอมอย่างที่ดาดการณ์ไว้” มู่เวยเวยเพิ่งได้สติกลับมา คิ้วสวยขมวดแน่น “แต่หนานกงเฮ่าหาคนๆ นี้มาทำไม?”

เย่ฉ่าวเหยียนก็อยู่กลางหมอกหนาทึบเช่นกัน “ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ยืนยันได้หนึ่งอย่าง มู่เย่เทียนยังไม่ปรากฎตัวออกมา ทั้งหมดนี้เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของหนานกงเฮ่า เมื่อรู้ความจริงข้อนี้ หลังจากนี้พวกเราจะได้ไม่ถูกเขาจูงจมูกเดิน”

มู่เวยเวยรู้สึกโล่งใจมากที่เธอได้หมดหวังกับหนานกงเฮ่าไปแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เธอและหนานกงเฮ่าเลิกแล้วต่อกัน เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเธออีกเลย เธอคิดว่าเขาปล่อยเธอไปแล้วจริงๆ เธอยังรู้สึกมีความสุขกับมัน

คิดไม่ถึงว่าหนานกงเฮ่าจะเป็นทำหูทวนลมกับคำพูดของเธอ ไม่เพียงไม่หยุดความคิดบ้าๆ นี้ และยิ่งทำให้มันแย่ลง สร้างพี่ชายปลอมๆ ขึ้นมาเพื่อก่อกวนเธอ

หนานกงเฮ่า เราจะได้พบกันอีกไหม?

“คุณ… ไม่เป็นอะไรนะ” เย่ฉ่าวเหยียนถามด้วยความกังวล เมื่อเห็นสีหน้าเธอไม่ดีนัก

มู่เวยเวยมองไปยังรูปร่างที่คุ้นเคย “ฉันไม่เป็นไร แค่รู้สึกเศร้านิดหน่อย… ครั้งหนึ่ง หนานกงเฮ่าเคยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เพิ่งได้ค้นพบว่าเบื้องหลังสิ่งพวกนี้ช่างเน่าเฟะสิ้นดี เขาอ้างว่าชอบฉัน แต่สิ่งที่ทำกับเป็นเรื่องที่ทำร้ายฉัน ฉันว่ามันเพียงพอแล้วจริงๆ”

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเสียใจไปกับคนแบบนี้” เย่ฉ่าวเหยียนปลอบโยนเธอ

“ฉันรู้” มู่เวยเวยเช็ดน้ำตาหยดหนึ่งจากหางตา เธอสาบานว่าจะไม่เชื่อคำพูดของหนานกงเฮ่าอีก และก็จะไม่เสียน้ำตาให้เขาอีกแล้ว

อีกมุมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มู่เย่เทียนตัวปลอมนั่งด้วยท่าทีเคารพ พยักหน้าเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่า หนานกงเฮ่ากำลังมอบหมายงานให้เขา

เย่ฉ่าวเหยียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “อาเจี๋ย ตอนนี้มารอที่ทางเข้าร้านกาแฟหงเฟิงเย่ มีธุระด่วน มาเดี๋ยวนี้”

“ฉ่าวเหยียน จะบอกเรื่องนี้กับเย่ฉ่าวเฉินไหม?” มู่เวยเวยถาม

เย่ฉ่าวเหยียนมองเธอ “คุณอยากพูดไหม?”

มู่เวยเวยครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วส่ายหน้า “ไม่ ไม่ต้องบอกเขา ถ้าเขารู้เขาต้องไปถามเฉียวซินโยวแน่นอน พวกเรายังไม่มีหลักฐานในมือแน่ชัดที่จะแสดงให้เขาเห็น ฉะนั้น อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ดูก่อนว่าหนานกงเฮ่าพวกเขาจะทำอะไร? และยังมี…”

มู่เวยเวยหยุดพูดกะทันหัน เย่ฉ่าวเหยียนจึงถามขึ้น “ยังมีอะไร?”

“เย่ฉ่าวเฉินกำลังสงสัย ถ้าวันนี้เขารู้ว่าคุณพาฉันออกมา เขาต้องถามคุณแน่ๆ ฉันไม่อยากให้คุณมีปัญหา และก็ไม่อยากให้สองพี่น้องต้องมาทะเลาะกันเพราะฉัน”

รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่ฉ่าวเหยียน “โอเค ตามที่คุณพูด”

“ขอบคุณนะคะฉ่าวเหยียน” มู่เวยเวยขอบคุณอย่างจริงใจ และขอบคุณที่เชื่อใจฉัน

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset