วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 141 การนองเลือด เย่ฉ่าวเฉินเกิดเรื่องแล้ว

“ถ้างั้นสิ่งที่คุณเพิ่งพูดมันน่าเวทนาขนาดนั้นเลย ?” มู่เวยเวยเช็ดน้ำตาเธอด้วยผ้าขนหนู และถามว่า “คุณบอกฉันมา คุณจะไปไหน ? ทำไมต้องบอกลา ?”

เสี่ยวจื่อขมวดคิ้วครุ่นคิด และพูดว่า “ผมมีภารกิจ ถ้าหากมันสำเร็จ บางทีอาจจะไม่ต้องจากไป”

“วางใจเถอะ คุณต้องทำสำเร็จแน่ !”มู่เวยเวยให้ความมั่นใจเขาอย่างเต็มที่

เสี่ยวจื่อจ้องมองไปที่ดวงตาที่เพิ่งเช็ดของเธอ ในใจก็สับสน เวยเวย ถ้าหากคุณรู้ความจริง บางทีคุณอาจจะเสียใจกับคำพูดวันนี้

“เวยเวย ถ้าวันหนึ่ง……คุณรู้ว่าที่จริงตัวผมไม่ใช่ผมในตอนนี้ แต่เป็นอีกคนที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง คุณยังจะเป็นเพื่อนกับผมไหม ?”

มู่เวยเวยจับมือของเขาและพูดอย่างหนักแน่นว่า “เสี่ยวจื่อ ในใจฉัน คุณก็คือเสี่ยวจื่อเสมอ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปเป็นยังไง คุณก็จะเป็นเพื่อนที่ดีของฉันเสมอ”

“จริงเหรอ ?”

“แน่นอน !”

แรงกระตุ้นพุ่งเข้ามาในใจเขา เสี่ยวจื่อจับมือเธอไว้แล้วพูดว่า “เวยเวย ผมพาคุณออกไปเที่ยวตอนนี้ดีไหม ?”

“คุณรอเดี๋ยว”มู่เวยเวยวิ่งไปหยิบเสื้อโค้ทขึ้นมาสวม จากนั้นพูดกับเสี่ยวจื่อว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

ที่เย่ฉ่าวเฉินไปหาเขา ค่อยคุยหลังจากเขารู้ละกัน

“โอเค คุณหลับตาลง”

เสียงลมพัดเข้าหูของเธอ มู่เวยเวยกอดเอวของเขาไว้แน่น และนึกถึงตอนที่เจอกับเขาครั้งแรก ในตอนนั้นเธอบอกกับเสี่ยวจื่อว่าถ้าจะไปให้พาเธอไปด้วย ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะลาไปแล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถไปกับเขาได้ เธอต้องอยู่ที่นี่เพื่อเปิดเผยแผนการของหนานกงเฮ่าและตามหามู่เทียนเย่

“โอเค ลืมตาขึ้นเถอะ ”เสี่ยวจื่อพูดเบาๆ

มู่เวยเวยรู้สึกว่าเท้าตัวเองเหยียบที่พื้นแล้ว จึงคลายมือออกจากเอวของเขาและลืมตาขึ้นมา

ว้าว สวยมาก

ทันใดนั้นบทกวีที่เคยเรียนตอนเด็กก็ดังก้องขึ้นมา:ดวงจันทร์ส่องแสงท่ามกลางความพริ้วไหวของต้นสน

มันคือฉากในช่วงเวลานี้

ที่นี่ที่ไหน ? ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็น ผมยาวของมู่เวยเวยสะบัดพริ้วไปตามลม เผยให้เห็นเรียวคอและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเธอ

เสี่ยวจื่อพับมือของเธอ ไม่รู้ว่าทำอะไร หลังจากนั้นไม่กี่วินาที หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…..หิ่งห้อยจำนวนนับไม่ถ้วนก็ส่องสว่างขึ้นในความมืด ดูเหมือนว่าพวกมันถูกเซียนเรียกออกมา ล้อมรอบตัวมู่เวยเวย และเต้นต่อหน้าเธอ

“สวยจังเลย”มู่เวยเวยยกมือขึ้นมาชี้ ทันใดนั้นก็มีหิ่งห้อยตัวหนึ่งหยุดลงที่ปลายนิ้วของเธอ จากนั้นไม่นานก็กระพือปีกบินจากไป

“เสี่ยวจื่อ คุณช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

เสี่ยวจื่อจ้องมองที่ใบหน้าอันสวยงามของเธอ และหวังว่าเธอจะจดจำช่วงเวลานี้ไว้ จำว่าเขาคือเสี่ยวจื่อที่ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้

หิ่งห้อยบินรอบๆพวกเขาสักพัก ก็ค่อยๆหายไป

ดวงตาของมู่เวยเวยมองตามแสงสว่างพวกนั้น “เอ๊ะ ? ทำไมพวกมันไปแล้ว ?”

“พวกมันต้องกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว”

“โอเค” มู่เวยเวยถอดรองเท้า และก้าวไปบนก้อนหินเรียบก้อนใหญ่ โดยมีน้ำไหลผ่านที่เท้าของเธอ “สบายจังเลย เสี่ยวจื่อ คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย ที่นี่คือที่ไหน ?”

“ที่นี่อยู่ห่างจากคฤหาสน์ไม่ถึงร้อยเมตร คุณแค่ยังไม่เคยมา”เสี่ยวจื่อตบไหล่เธอ มู่เวยเวยมองตามนิ้วของเขาไป “เห็นไหม ? ยังเห็นแสงไฟของคฤหาสน์อื่นอยู่เลย”

โอ้~ใกล้จริงๆด้วย มู่เวยเวยเหยียบน้ำด้วยเท้าเปล่า “เสี่ยวจื่อ ในอนาคตคุณจะยังจำฉันได้ไหม ?”

“ได้สิ” เสี่ยวจื่อตอบกลับ

มู่เวยเวยรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ถ้างั้นก็ดี”

คืนนั้น พวกเขาอยู่ที่ลำธารเป็นเวลานาน และเสี่ยวจื่อก็ส่งเธอกลับห้อง “ลาก่อน เวยเวย ”

น้ำตาของของมู่เวยเวยไหลลงมาทันที “ลาก่อน”

ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ทันใดนั้นดวงตาสีม่วงก็เข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอ มู่เวยเวยถูกเขาบีบจับเอวของเธอแน่น และโน้มตัวลงมาสอดปลายลิ้นเข้าไปในปากของเธอ

มู่เวยเวยตัวแข็งทื่อ นี่……เซียนจูบฉัน พระเจ้าจะฆ่าฉันหรือฆ่าเขากัน ?

เพียงแต่ ทักษะการจูบของเสี่ยวจื่อทำไมมันเหมือน……เย่ฉ่าวเฉินล่ะ ?

เออ………หรือว่าหน้าเหมือนกันแล้ว เวลาจูบใครก็ยังเหมือนกันอีก ?

มืดหยุดอยู่กลางอากาศ เธอไม่รู้ว่าควรพลักเขาหรือกอดเขาดี แม้ว่าลึกๆแล้วเธอรู้ว่าพฤติกรรมนี้ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคิดอีกครั้ง ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พบกับ “มนุษย์ต่างดาว” ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ จึงรับจูบของเขา และจูบของเขาก็ช่างเร่าร้อนจริงๆ

เอวถูกเขาบีบเอาไว้จนเจ็บ ในขณะอากาศในสมองระบายออกไปนั้น เสี่ยวจื่อก็ค่อยๆเลือนหายไป…….

มู่เวยเวยยืนอยู่ข้างหน้าต่างสักพัก ในที่สุดก็ยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปาก ยังมีลมหายใจของเขาเหลืออยู่

คนบ้า พอเสร็จแล้วก็หนีไป คนไร้มนุษยธรรม

ครั้งหน้าฉันไม่ปล่อยคุณแน่

……

มู่เวยเวยที่ไม่ยอมปล่อยคนอื่นไป ในค่ำคืนนี้เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ปล่อยเธอ หลังจากเสี่ยวจื่อไปได้ไม่นาน เย่ฉ่าวเฉินก็เข้ามาและเหวี่ยงเธอลงบนเตียง กดและแทะโลมเธอเป็นวลานาน ความดุเดือดจากความเศร้าทำให้เธอไม่เข้าใจ

ความเศร้า ?

เย่ฉ่าวเฉินก็เศร้าเป็นด้วย ?

เขาเป็นคนไม่มีหัวใจ จะเศร้าได้อย่างไร ?

มู่เวยเวยเหนื่อยล้าอย่างมาก ในตอนที่กำลังจะหลับไป เธอเหมือนจะได้ยินเขากระซิบอะไรที่ข้างหู แต่ตอนนั้นเธอเหนื่อยมาก จึงได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร

วันพุธ ที่ 15 กรกฎาคม มีเมฆมาก

เมื่อมู่เวยเวยตื่นขึ้นมา เย่ฉ่าวเฉินยังหลับอยู่ เธอมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ แปดโมงเช้า

เขาไม่ไปทำงานเหรอ ?

มู่เวยเวยเขย่าไหล่ของเขา เย่ฉ่าวเฉินขานออกมา หือ? คำเดียว เป็นเสียงที่มีเสน่ห์มาก

“คุณจะไปทำงานสายแล้ว” มู่เวยเวยเตือนเขาอย่างเยือกเย็น

เย่ฉ่าวเฉินจับแขนเรียวยาวของเธอ ดึงเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน และพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “วันนี้พักผ่อน”

มู่เวยเวยกลอกตา พักผ่อนวันพุธ ?

เอาเถอะ เขาเป็นเจ้านาย เขาว่าไงก็อย่างนั้น

เพียงแต่ปล่อยเธอออกไปก่อนได้ไหม ? เธอไม่อยากเป็นหมอนข้าง โดยเฉพาะให้กับเขา แต่เมื่อเธอขยับ มือของเย่ฉ่าวเฉินก็แบบแน่นขึ้น

“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันอยากลุกแล้ว”

“นอนต่ออีกหน่อย ”ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินอยู่ใต้ผมของเธอ ทำให้เสียงดูอู้อี้

อธิบายไม่ได้ว่า มู่เวยเวยมีรู้สึกเหมือนเป็นสามีภรรยากันมานาน

เออ……….ต้องเป็นเพราะเพิ่งตื่นนอนแน่ สมองขาดออกซิเจน

ดังนั้น มู่เวยเวยจึงลืมตาขึ้นมองเพดานห้อง เธอรู้สึกว่าวันนี้มีเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง แต่ว่าเรื่องอะไรนั้น เธอนึกยังไงก็นึกไม่ออก

ฟ้านอกหน้าต่างดูมืดครึ้ม และอาจจะมีฝนตกได้ทุกเมื่อ

วันที่ 15 กรกฏาคม เดี๋ยวก่อน วันที่ 15 เหมือนมีฟ้าผ่าลงมาในหัวของฉัน

วันนี้ไม่ใช่วันครบรอบวันตายของพ่อแม่เหรอ ?

ทำไมเธอถึงแย่ขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้เธอลืมไปได้อย่างไร ?

วันนี้เมื่อหนึ่งปีก่อน พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จากนั้นพี่ชายก็หายตัวไป เธอก็แต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน เพียงเพื่อก้าวมายังจุดที่เป็นอยู่ในวันนี้

“เย่ฉ่าวเฉิน ไม่ต้องนอนแล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ” มู่เวยเวยเขย่าตัวเขาให้ตื่น

เย่ฉ่าวเฉินลืมตาขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมาที่เธอใกล้ๆและถามว่า “มีเรื่องอะไร ?”

“วันนี้ฉันมีธุระสำคัญต้องออกไป คุณให้ฉันออกไปได้ไหม ?” มู่เวยเวยขอร้องเขาเบาๆ

ดวงตาของแย่ฉ่าวเฉินดูเยือกเย็นเล็กน้อย ธุระสำคัญ ? หรือว่าจะออกไปเจอมู่เทียนเย่ ?

“ธุระอะไร ? ถ้าไม่บอกให้ชัดเจนผมก็ไม่ให้คุณออกไป”

วันนี้ เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อแม่ฉัน ท่าทางของมู่เวยเวยดูเศร้าเล็กน้อย

ตาของเย่ฉ่าวเฉินกระตุก โอ้~ไม่แปลกใจเลยที่มู่เทียนเย่นัดดวลกับเขาในวันนี้ ช่างรู้จักตัวเองจริงๆ เลือกวันเดียวกับวันตายของพ่อแม่

มู่เวยเวยมองดูเขาขมวดคิ้ว กลัวเขาไม่ตอบรับ จึงพูดต่อไปว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ปกติคุณอยากทำอย่างไรฉันฟังคุณทุกอย่าง วันนี้คุณให้ความเมตตา ให้ฉันออกไป ได้ไหม ?”

รู้จักเธอมาตั้งนาน ยังไม่เคยเห็นเธอใจเย็นอย่างนี้ เธอเคยขอร้องเขามาก่อน

“ถ้าหากว่าผมไม่ตกลงล่ะ ?”

มู่เวยเวยกัดริมฝีปากและจ้องมองเขา เธอออยากจะบีบคอเขาให้ตายตอนนี้ ทำไมช่างไรมนุษยธรรมอย่างนี้นะ

แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ทำ แต่กลับพลิกตัวไปกดเขา และประกบริมฝีปาก……..

เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่คิดว่าเธอจะเคลื่อนไหวแบบนี้ หลังจากหยุดนิ่งไปสองสามวินาที เขายินดีรับบริการในครั้งนี้

เย่ฉ่าวเฉิน ตอนนี้ตอบตกลงได้รึยัง ? มู่เวยเวยอยู่บนร่างกายของเขา เธอหน้าแดงๆถามเขา

เป็นเรื่องอยากที่จะเห็นเธอรุกแบบนี้ เย่ฉ่าวเฉินจะปล่อยไปง่ายๆได้อย่างไร เขาม้วนริมฝีปากยิ้ม

“คุณรุกขนาดนี้แล้ว ผมจะไม่รับปากได้อย่างไร ?”

มู่เวยเวยถอนหายใจด้วยความโล่งออก ดีที่เขาเป็นแค่ประธานบริษัท ถ้าหากเขาเป็นจักรพรรดิโบราณ เขาต้องเป็นกษัตริย์โง่เขลาและทรราชเป็นแน่

……

ใกล้จะสิบโมงแล้ว ทั้งสองเพิ่งออกมาจากห้องนอน

เย่ฉ่าวเหยียนอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น เห็นทั้งสองก็ยิ้มออกมาอย่างมีเล่ศนัย เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “ฉ่าวเหยียน คุณยิ้มอะไร ?”

ผมคิดถึงบทกวีหนึ่ง เย่ฉ่าวเหยียนพูดพร้อมกับส่ายหัว “คืนฤดูใบไม่ผลินั้นสั้น กษัตริย์จึงไม่ออกมาในตอนเช้า ”

มู่เวยเวยกำลังดื่มน้ำได้ยินเสียง “หัวเราะคิกคัก”ก็น้ำพุ่งไปทั่ว เธอรีบเช็ดปากและพูดอย่างเขินๆว่า “ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“พี่สะใภ้ ปฎิกิริยาของคุณรุนแรงเกินไปแล้ว” เย่ฉ่าวเหยียนพูดติดตลก

มู่เวยเวยหน้าแดงและเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป เพราะเธอนึกไปถึงตอนเรียนก็ได้ยินเกี่ยวกับ “เกาฉี”คำนี้ งี่เง่าเกินไปแล้ว

เย่ฉ่าวเฉินกระโดดข้ามขาคุณชายรองไปนั่งที่โซฟา ขมวดคิ้วด้วยความอ่อนโยน

ฉ่าวเหยียน บ่ายวันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอก เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยท่าทางจริงจัง

เย่ฉ่าวเหยียนวางหนังสือในมือลง ในใจก็ตื่นเต้นเล็กน้อย ถ้าเป็นเรื่องงานปกติเย่ฉ่าวเฉินจะไม่บอกเขา หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเขา ?

พี่ชาย คุณหาเขาเจอแล้วเหรอ ? เย่ฉ่าวเหยียนตื่นเต้นเล็กน้อย

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ไม่ใช่ว่าหาเจอ แต่ว่าเขามาถึงหน้าประตู”

เย่ฉ่าวเหยียนประหลาดใจมาก หนานกงเฮ่ากล้าหาญมาก เขาคิดจะทำอะไร ?

“เขาจะทำอะไร ?”

เย่ฉ่าวเฉินมองผ่านหน้าต่าง ลดสายตาลงไปมองมู่เวยเวย “เขานัดเจอกับฉัน”

“ผมจะไปด้วย !”เย่ฉ่าวเหยียนพูด แต่ว่าเท้าของเขายังไม่หายดี

เย่ฉ่าวเฉินไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน และหันกลับไปมองน้องชาย “ฉ่าวเหยียน ฉันไปคนเดียวก็พอแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

“คุณจะไปคนเดียว ? ไม่ได้ อันตรายเกินไป คุณพาคนไปด้วยอีกสองสามคน ”เย่ฉ่าวเหยียนรู้ถึงอันตราย หนานกงเฮ่าจะต้องวางกับดักให้เขาไปติดแน่

“ฉันคนเดียวก็พอแล้ว ”เย่ฉ่าวเหยียนมั่นใจในตัวเองมาก เพราะเขามีพละกำลังมากที่หลายคนยังไม่รู้

เย่ฉ่าวเหยียนรู้อารมณ์ของพี่ชายดี การตัดสินใจของเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

“พี่ชาย เมื่อถึงเวลานั้นคุณต้องระวังมู่เทียนเย่ ผมคิดว่าเขาจะต้องมีปัญหาแน่” เย่ฉ่าวเหยียนเตือนเขาอีกครั้ง

เย่ฉ่าวเฉินหยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ฉันรู้แล้ว ”เมื่อพูกจบก็ยังเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเย่ฉ่าวเหยียน ยิ้มและปลอมเขาว่า “คุณไม่ต้องเป็นกังวล คุณไม่เชื่อพี่ชายของคุณรึไง ?”

“ผมเชื่อคุณแน่นอน ผมแค่กลัวว่าพวกเขาจะจัดฉากให้คุณไปติดกับดัก”

เย่ฉ่าวเฉินเลิกคิ้ว “หึ !ไม่ว่าจะเป็นฉากอะไร ก็จะต้องมีความสามารถถึงจะรั้งฉันไว้ได้”

เย่ฉ่าวเหยียนพูดไม่ออก ความกล้าหาญของพี่ชายเขา ชีวิตนี้เขาก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้

“ฉ่าวเหยียน ถ้าหากว่าครั้งนี้ฉัน……”

“คุณหุบปาก !”เย่ฉ่าวเหยียนขัดจังหวะเขาขั้นมา และพูดอย่างดุเดือด “คุณไปอย่างไรก็กลับมาอย่างนั้น ไม่งั้นฉันจะไม่ให้อภัยคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และยิ้มออกมาอย่างจริงใจ ปกติน้องชายเขามักจะดูอบอุ่น แต่เมื่อโกรธก็จะเหมือนเสือดาวตัวน้อย

“โอเค ฉันสัญญา ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

เย่ฉ่าวเหยียนสงบสติอารมณ์ และถามเขาว่า “กี่โมง ?”

“บ่ายสองโมง”

เย่ฉ่าวเหยียนมองดูเวลา เหลือเวลาอีกไม่ถึงสี่ชั่วโมง “ที่ไหน ?”

เย่ฉ่าวเฉินยกคางขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “พอแล้ว คุณไม่ต้องแล้ว ฉันรู้ว่าคุณจะทำอะไร บอกแล้วว่าจะไปคนเดียวก็ไปคนเดียว ถ้าคุณให้คนติดตามฉันไป ฉันกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะหนีไปอีก”

เย่ฉ่าวเหยียนอุทาน “หึ” ออกมา และหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ไม่บอกก็ไม่บอก เหนื่อยจะยุ่งแล้ว

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นพฤติกรรมของน้องชาย รู้ว่าเขาโกรธแล้ว แต่ความโกรธนี้ กลับทำให้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกอบอุ่น

ในขณะเดียวกัน มู่เวยเวยก็เดินเข้ามา และพูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณบอกให้คุณอาหวังเอารถให้ฉันคันหนึ่ง ฉันอยากไปตอนนี้”

“ทำไมรีบจัง ? ทานอาหารกลางวันก่อนแล้วค่อยไป” เย่ฉ่าวเฉินปฎิเสธอย่างไม่แยแส

มู่เวยเวยไม่พอใจกับการตัดสินในของเขามาก “แต่ว่าฉันยังต้องไปซื้อของในเมือง ถ้ายังล่าช้ากลัวว่าเวลาจะไม่พอ”

เย่ฉ่าวเฉินฟังก็รู้สึกสับสน เธอจะไปที่ไหน ?

ผมบอกว่ากินข้าวแล้วค่อยไป เย่ฉ่าวเฉินเห็นว่าน้ำตาเธอกำลังจะไหลลงมา เขาก็ใจอ่อน “เวลาทั้งบ่ายวันนี้ให้คุณ พอไหม ?”

“จริงเหรอ ?”มู่เวยเวยถามด้วยความประหลาดใจ

“จริงสิ” เย่ฉ่าวเฉินยากที่จะตอบด้วยอารมณ์ดีแบบนี้

มู่เวยเวยรีบวิ่งไปที่ห้องครัวทันทีที่ได้รับคำตอบ “ฉินหม่า อาหารกลางวันวันนี้ทานเร็วหน่อย เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”

เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่พี่ชายด้วยความงงงวย เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเย็นชาว่า “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อแม่เธอ”

แบบนี้นี่เอง

ไม่แปลกใจที่เธอดูวิตกกังวล

……

หลังจากทานอาหารเสร็จ รถคาเยนน์สีดำก็ได้มาจอดที่หน้าประตูคฤหาสน์รอเจ้านายแล้ว ด้านหลังรถคาเยนน์คือปอร์เช่ที่เย่ฉ่าวเฉินนั่งบ่อยๆ ในรถนอกจากมู่เวยเวยกับรถขับรถแล้วยังมีบอดี้การ์ดอีกสองคน

ก่อนจะขึ้นรถ เย่ฉ่าวเฉินดึงมู่เวยเวยไว้

“เป็นอะไรเหรอ?” มู่เวยเวยมองเขาอย่างระแวดระวัง ชายคนนี้คงจะไม่พูดกลับไปกลับมาใช่ไหม ?

เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธออย่างลึกซึ้ง หลังจากผ่านบ่ายวันนี้ไปแล้ว เขากลัวว่าความเกลียดชังที่เธอมีให้เขาจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก

มู่เวยเวยถูกดวงตาสีฟ้าของเขามองจนเสียวสันหลัง “คุณมีอะไรก็พูดมา ฉันยังยุ่งอยู่…….”

ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ก้มศีรษะลงกัดไปที่ริมฝีปากเธอ และกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน ที่ดูเหมือนจะไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

มู่เวยเวย ในเมื่อจะต้องเกลียด งั้นก็เกลียดให้มากขึ้นไปอีกหน่อย อย่างน้อยแบบนี้ ชีวิตนี้คุณก็จะไม่มีวันลืมผม

มู่เวยเวยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่เธอก็มีสติไม่ได้พลักเขาออกไป

หลังจากผ่านไปครึ่งนาที เย่ฉ่าวเฉินก็ปล่อยเธอและเดินขึ้นรถคาเยนน์สีดำไปโดยไม่หันกลับไปมอง จากนั้นเขาก็จากไป

มู่เวยเวยมองไปที่เย่ฉ่าวเหยียนอย่างงงงวย หลังจากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ บอกว่าเธอไม่รู้

เย่ฉ่าวเหยียนเป็นห่วงเย่ฉ่าวเฉิน แต่เขาก็ไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับมู่เวยเวยได้ เขาไม่อยากให้มู่เวยเวยไปเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นไม่อยากให้เธอไปสร้างความลำบากให้เย่ฉ่าวเฉิน

ลมค่อยๆพัด ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ

มู่เวยเวยซื้อดอกไม้สดสองช่อ ซื้อไวน์ที่พ่อแม่เธอชอบและซื้อผลไม้อีกสองสามอย่าง จากนั้นก็นั่งรถปอร์เช่ไปที่สุสาน

นับตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสีย มู่เวยเวยแทบจะไม่ได้มาหาพวกเขา เธอไม่กล้าก้าวเข้ามาที่นี่ เธอกลัวว่าจะเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของพวกท่านบนหลุมฝังศพ……..

เมื่อมาถึงสุสาน บอดี้การ์ดทั้งสองก็ตามติดเธออย่างใกล้ชิด มู่เวยเวยโกรธ “พวกคุณห้ามตามมา หรือว่าคิดว่าฉันจะหนีได้แม้กระทั่งที่นี่ ?”

วันนี้ เธอไม่อยากให้พ่อแม่ของตัวเองเห็นเธอถูกกักขัง

บอดี้การ์ดทั้งสองมองหน้ากัน แล้วหยุดเดิน

มู่เวยเวยถือของมากมายไว้ในอ้อมแขนของเธอ และเดินไปที่หลุมฝังศพทีละก้าวด้วยความโศกเศร้า และเอาดอกไม้วางที่หน้าแผ่นจารึก และเอาไวน์วางไว้ที่ “ใส่น้ำ”และคุกเข่าต่อหน้าหลุมฝังศพของพ่อเธอ

“พ่อ……”เมื่อเปล่งเสียงออกมา มู่เวยเวยก็ร้องไห้ทันที “พ่อ………..หนูของโทษคุณกับแม่ด้วย………หนูเพิ่งมาหาพวกคุณ……….พ่อ หนูไม่ได้ดูแลบริษัทให้ดี………หนูขอโทษ…….”

มู่เวยเวยร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆง และสุดท้ายเธอก็พูดอะไรไม่ออก แค่ร้องไห้อย่างขมขื่น

บอดี้การ์ดสองคนที่กำลังดูฉากนี้อยู่ไม่ไกลนัก ถอนหายใจออกมาและหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

หลังจากร้องไห้ไปรอบหนึ่ง มู่เวยเวยก็รู้สึกว่าอารมณ์ของเธอมั่นคงขึ้นมากแล้ว เธอเดินไปเช็ดรูปของแม่ด้วยมือเธอ และพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “แม่ ขอให้แม่กับพ่อวางใจ หนู………หนูสบายดี…….เย่ฉ่าวเฉิน เขาดีกับหนูมาก…….”ขณะที่พูดน้ำตาเธอก็ร่วงลงอีกครั้ง “หนูจะหาพี่ชายให้เจอ แม่กับพ่อที่อยู่บนฟ้าต้องอวยพรให้พี่ชายปลอดภัยด้วยนะคะ”

……

คาเยนน์สีดำที่เปรียบเสมือนลูกศรแหลมวิ่งไปบนด้วยความเร็ว เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ความปราถนาหลายปีของเขากำลังจะสำเร็จ ทำไมเขาถึงไม่ดีใจนะ ?

บ่ายโมงห้าสิบแปดนาที รถคาเยนน์สีดำจอดอยู่บนยอดเขา ฝุ่นและลมเข้าปกคลุมรถเขาไปทั่ว

เย่ฉ่าวเฉินสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างจริงจัง บอกว่าคือยอดเขา แต่แท้จริงแล้วคือพื้นที่กว้างใหญ่ ด้านบนมีศาลาให้นักท่องเที่ยวพักผ่อน บนยอดเขาล้อมรอบด้วยต้นสนและไซเปรชที่มักจะเป็นสีเขียวตลอดปี มีลมพัดโกรกเหมาะกับชาวทิเบตเป็นที่สุด

ลมหยุดนิ่ง ฝุ่นกลับไปเป็นปกติ ชายคนหนึ่งสวมเสื้อกันลมสีดำปรากฎตัวขึ้นในศาลาผ่านหน้าต่างของวิหาร พลังหยางของเย่ฉ่าวเฉินลุกโชนขึ้น ด้านหลังแบบนี้ เป็นเขา มู่เทียนเย่

ดีมาก ผมกลัวว่าคุณจะไม่มา

ปลดเข็มเข็ดนิรภัย และลงจารถ

มู่เทียนเย่หันกลับมา รอยยิ้มที่น่าหลงไหลผุดขึ้นที่มุมปากของเขา “เย่ฉ่าวเฉิน ไม่เจอกันนานนะ”

เย่ฉ่าวเฉินมองเขาอย่างเย็นชา “ใช่ไม่เจอกันนาน ฉันคิดว่าคุณจะตายไปที่ไหนสักที่แล้ว”

“ถ้างั้นก็คงทำให้คุณผิดหวังแล้วล่ะ” มู่เทียนเย่ไขว้มือไว้ด้านหลัง ยมบาลคิดว่าพลังหยางฉันแข็งแกร่งเกินไป จึงไม่รับฉัน

จริงเหรอ ? ถ้างั้นก็ดี วันนี้ฉันจะส่งคุณไปเจอยมบาลเอง เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำสั่งเสียของเย่ฉ่าวเฉินหรือว่าสัญชาติญาณ เขารู้สึกว่ามู่เทียนเย่คนนี้มีบางอย่างที่แปลกไป

ใบหน้าเขาเป็นใบหน้าของมู่เทียนเย่ แต่อารมณ์ไม่สอดคล้องกัน ยังมีดววตาคู่นั้นอีก ดวงตาของมู่เทียนเย่จะซ่อนความน่ากลัวราวกับสิงโตไว้ในตา แต่ดวงตาของคนๆนี้ดูอ่อนแอราวกับลูกแมวตัวโต

“มู่เทียนเย่ ทำไมฉันคิดว่าคุณแตกต่างจากเมื่อก่อน ?”เย่ฉ่าวเฉินถามตรงๆ

เปลือกตาของฝ่ายตรงข้ามกระพริบสั่นไหว และหายใจติดๆขัดๆ “โอ้ ? อะไรที่ไม่เหมือนเดิม ?”

เย่ฉ๋าวเฉินเอนกายพิงรถอย่างสบายใจ แต่จิตใจเข้ากลับบีบแน่น และสังเกตการเคลื่อนไหวรอบๆ

“ฉันรู้สึกว่า….คุณในตอนนี้เหมือนหมาข้างถนน ไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของฉันโดยสิ้นเชิง มู่เทียนเย่ พละกำลังของคุณก่อนหน้านี้ไปไหนแล้ว ? หรือถูกสุนัขกิน ?”

สีหน้าของฝ่ายตรงข้ามดูเปลี่ยนไป เขาตะโกนออกไปว่า “เย่ฉ่าวเฉิน วันนี้ฉันมาไม่ใช่แค่จะมาต่อสู้ทางวาจากับคุณ มีความแค้นอะไรพวกเรามาสะสางวันนี้เห็นชัดเจนไปเลย”

เย่ฉ่าวเฉินเริ่มสงสัยในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็คิดถึงมู่เวยเวย และอยากจะระเบิดเขา “ตกลง แต่ก่อนที่จะชำระบัญชี ฉันมีอะไรจะถามคุณ”

“คำถามอะไร ?”

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆวางมือลงบนเอว และถามด้วยท่าทางเดิม “ฉันอยากรู้มากว่า ทำไมคุณถึงเลือกที่จะยุติทุกอย่างในวันนี้ วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรรึเปล่า ?”

มู่เทียนเย่ตะลึกไปครู่หนึ่ง เขาจะรู้ได้ยังไงว่าทำไมถึงเลือกวันนี้ หนานกงเฮ่าก็ไม่ได้บอกเขาหนิ

“ไม่ทำไม ก็แค่รู้สึกว่าอากาศวันนี้เหมาะแก่การฆ่าคนก็เท่านั้น”

มู่เทียนเย่สร้างเหตุผลที่ฟังดูน่ากลัว แต่เย่ฉ่าวเฉินก็แทบจะอดหัวเราะไม่ได้

ผู้ชายคนนี้ออกมารนหาที่ตายจากไหนกัน ? ถ้าหากเป็นมู่เทียนเย่จริง ทำไมเขาจะจำวันครบรอบวันตายของพ่อแม่ไม่ได้ ?

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น คุณอยากจะคิดบัญชียังไง ?”

ก็คิดแบบนี้ไง !สิ้นเสียง เขาก็หยิบปืนพกออกมาจากเอว และยิงไปในทิศทางของเย่ฉ่าวเฉิน

เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่การเคลื่อนไหวของเย่ฉ่าวเฉินนั้นเร็วกว่า ในขณะที่เขาจ่ายเงิน คนก็ได้ซ่อนตัวอยู่ที่ข้างรถแล้ว กระสุนพุ่งไปที่หน้ารถของเขาเสียงดัง “ปัง”

แม่เจ้า เทคนิคแย่แบบนั้นยังกล้าแอบอ้างว่าเป็นมู่เทียนเย่ ?

ในพริบตา ชายชุดดำก็วิ่งออกมาจากป่าสนรอบทิศทาง ก่อนที่พวกเขาจะได้ยิง เย่ฉ่าวเฉินก็ “ปังปัง”ยิงร่วงไปสองคน หลังจากนั้นก็ใช้รถเป็นที่กำบัง และการต่อสู้อย่างดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้น

หลังจากต่อสู้ด้วยปืน เย่ฉ่าวเฉินก็อยู่คนเดียว เขาติดอยู่ข้างหลังรถคาเยนน์ และในขณะเดียวกันก็มีปืนนับสิบกว่ากระบอกเล็งมาที่เขา

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา ดวงตาสีฟ้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง หลังจากนั้นก็เงียบหายไปจากสายตาของทุกคน

ผู้คนนับสิบต่างตกตะลึง ผู้มีชีวิตที่ร่างใหญ่หายตัวไปต่อหน้าของตัวเอง ?

ตาเบลอแล้วรึเปล่านะ ?

ทุกคนมองหน้ากัน และล้วนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นต่อหน้า “เย่ฉ่าวเฉินล่ะ ? หายไปไหนแล้ว ?”

มู่เทียนเย่ที่ยืนอยู่ในศาลา ไม่รู้ว่าข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบตะโกนเสียงดัง “พวกคุณทำอะไรกันอยู่ รีบฆ่าเขาซะ !”

ฆ่าใคร ? จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นที่ข้างหูของเขา มู่เทียนเย่ตกใจกรีดร้อง หันกลับไปปากกระบอกปืนก็จ่ออยู่ที่หน้าผากเขา

“บอกมา คุณเป็นใคร ทำไมถึงแอบอ้างเป็นมู่เทียนเย่ ?”

ฝ่ายตรงข้ามคอแข็ง “ฉันก็คือมู่เทียนเย่”

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเยาะ “มู่เทียนเย่เป็นเหมือนคุณแบบนี้เหรอ ? คุณก็มีส่วนคล้ายเขาหน่อยนะ บอกมา ใครส่งคุณมา ถ้าไม่บอกฉันยิงคุณให้ตาย”

“ฉัน……..ฉันคือมู่เทียนเย่ !”ฝ่ายตรงข้ามยังคงปากแข็ง เย่ฉ่าวเฉินเห็นว่ามีชายชุดดำวิ่งมาทางนี้ จึงจับเขามาอยู่ข้างหน้าตัวเองคิดจะใช้เขาเป็นที่บังกระสุน ไม่คิดเลยว่า “มู่เทียนเย่” จะไม่ทำตาม เย่ฉ่าวเฉินเลยขยับมือ และส่งกระสุนไปที่กลางหัวใจของฝ่ายตรงข้าม และหยิบปืนของเขาไปอย่างราบรื่น

“ปังปังปัง…….”

มีการต่อสู้ด้วยปืนอีกครั้ง ชายชุดดำนับสิบก็ถูกวางไว้ที่พื้น

เย่ฉ่าวเฉินมองไปรอบๆไม่มีสิ่งมีชีวิตแล้ว จากนั้นก็เดินมาที่หน้าของมู่เทียนเย่ และใช้เท้าเตะไปที่เขา เขาตายแล้ว

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง เย่ฉ่าวเฉินรีบหยิบปืนมองไปรอบๆ แต่พบว่ามู่เวยเวยกับบอดี้การ์ดสองคนปรากฎตัวอยู่ในสายตาของเขา

เธอ……..ควรอยู่ที่สุสานไม่ใช่เหรอ ?

……..

ครึ่งชั่วโมงก่อน มู่เวยเวยกำลังพูดเรื่องงานของตัวเองกับพ่อแม่เธอ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

มู่เวยเวยเช็ดน้ำตา และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันป็นข้อความส่งมา และเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก

มู่เทียนเย่และเย่ฉ่าวเฉินกำลังต่อสู้กันบนยอดเขาในเขตหนานซาน คุณจะไม่ไปดูหน่อยเหรอ ?

มู่เวยเวยรีบสลัดความเศร้าในจิตใจเรียกสติ และอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง โดยมเน้นไปที่คำสองคำนั้น

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงพฤติกรรมของเย่ฉ่าวเฉินก่อนขึ้นรถ ในตอนนี้ยังรู้สึกงงงวย ที่แท้ก็เป็นเพราะ……..

ไปไม่ไป ?

หลังจากลังเลอยู่สามวินาที มู่เวยเวยก็ตัดสินใจ

ไป !

จำเป็นต้องไป !

แม้เธอจะรู้ว่ามู่เทียนเย่เป็นตัวปลอม แต่เธอก็ยังอยากไป เธอต้องการที่จะใช้โอกาสนี้กำจัดเย่ฉ่าวเฉินให้สิ้น

เมื่อนึกขึ้นได้ มู่เวยเวยก็หยิบโทรศัพท์และวิ่งไปทางบอดี้การ์ดสองคน “เย่ฉ่าวเฉินมีอันตราย พวกคุณรีบพาฉันไปหาเขา”

เมื่อบอดี้การ์ดเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอ และยังพูดเกี่ยวกับคุณชาย ก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างจริงจัง “คุณหนู เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”

มู่เวยเวยเอาข้อความให้พวกเขาดู ทั้งสองตกใจ คุณชายออกไปคนเดียวจริงๆ

“พวกคุณยังลังเลอะไรอยู่อีก? รีบพาฉันไปเร็ว”

“คุณหนู หน้าที่ของพวกเราคือปกป้องคุณ หนึ่งในบอดี้การ์ดพูดขึ้น ”

มู่เวยเวยรู้สึกกังวล “แต่เย่ฉ่าวเฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย หรือว่าพวกคุณก็ไม่สนใจเหรอ?”

“นี่ไม่ใช่ภารกิจของเรา” ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับ ใครจะรู้ว่านี่อาจจะเป็นกลลวงของคุณ ?

“พวกคุณ……” มู่เวยเวยหยิบมีดออกมาจากกระเป๋าแทงไว้ที่คอเป็นเวลานาน และขู่พวกเขาว่า “พาฉันไป ไม่อย่างนั้นฉันก็จะตายที่นี่ตอนนี้ ”

“คุณหนู คุณอย่าเพิ่งวู่วาม!” บอดี้การ์ดตกใจ และรีบพูดว่า “ตกลง พวกเราจะพาคุณไป”

ด้วยวิธีนี้ มู่เวยเวยก็มาถึงยอดเขา เธอมองไปที่ศพที่น่าสยดสยอง หลังจากมึนงงอยู่พักหนึ่ง ก็เดินโซเซหาไปตลอดทาง เมื่อมองเห็นร่างของมู่เทียนเย่ เธอก็ร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น

“พี่——พี่——”มู่เวยเวยล้มลงข้างร่างของเขา น้ำตาเธอพลั่งพรูออกมา พี่ชาย คุณตื่นขึ้นมาสิ…….คุณจะทิ้งฉันไปได้ยังไง ?

เย่ฉ่าวเฉินมีลางสังหรณ์ที่เลวร้ายมาก เขาก้มศีรษะลงและพูดอย่างเย็นชาว่า “คุณลืมตาดูให้ชัด เขาไม่ใช่มู่เทียนเย่”

มู่เวยเวยผงะ แต่ใบหน้าก็ยังคงดูเจ็บปวด และตะโกนใส่เย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณพูดบ้าอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นพี่ชายฉัน”

“เขาไม่ใช่!”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างหนักแน่น ต้องโทษที่เขามือไวไป น่าจะยังให้มีชีวิตอยู่

มู่เวยเวยจะเชื่อคำพูดของเขาได้อย่างไร แสร้งอุ้มร่างปลอมของมู่เทียนเย่ขึ้นมา ร้องไห้พลางพูดไปว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ตอนี้คุณมีความสุขที่ได้ฆ่าเขารึยัง? พอใจแล้ว ? ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ฆ่าฉันไปด้วยเลย ให้พวกเราได้กลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง ?”

เย่ฉ่าวเฉินโกรธ “มู่เวยเวย คุณบ้าไปแล้วเหรอ ? ผมบอกแล้วไงว่าเขาไม่ใช่มู่เทียนเย่ จะต้องให้พูดอีกกี่ครั้งคุณถึงจะเชื่อ”

พี่ชายถูกคุณทำร้ายจนตาย ตอนนี้ก็แล้วแต่คุณแล้ว !มู่เวยเวยร้องไห้สะอื้นดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เย่ฉ่าวเฉิน คุณก็ฆ่าฉันให้ตายตอนนี้เลยสิ มิฉะนั้นตราบที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะต้องแก้แค้นคุณ ฆ่าคุณเพื่อแก้แค้นให้พี่ชายของฉัน !”

คำสาบานที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังกระแทกเข้ากลางใจของเย่ฉ่าวเฉิน และจุดที่อ่อนก็ค่อยๆเจ็บขึ้นมา เจ็บจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก

ผู้หญิงคนนี้โง่รึเปล่า ? ทำไมไม่เชื่อคำพูดเขา ? ทำไมไม่มองหน้าคนๆนั้นให้ละเอียดชัดเจน ?

“มู่เวยเวย คุณอยากฆ่าผมขนาดนั้นเลยเหรอ ?”เย่ฉ่าวเฉินเจ็บอกทุกทำพูดที่พูดออกมา

“ใช่ !”

“โอเค โอเค โอเค” เย่ฉ่าวเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและหัวเราะ “ถ้าอย่างั้นก็มีชีวิตอยู่ให้ดีล่ะ ผมอยากเห็นจริงๆว่าคุณจะฆ่าผมยังไง !”

สิ้นเสียง ก็มีความเคลื่อนไหวออกมาจากป่ารอบทิศ เย่ฉ่าวเฉินเห็นเงาดำสองสามคนแวบผ่านไป เขาคว้าตัวมู่เวยเวยไว้เตรียมจะวิ่งไปที่รถ มู่เวยเวยอุ้มศพของมู่เทียนเย่ไว้ไม่ปล่อย และกัดไปที่มือของเขา

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเจ็บปวด เงาดำเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาใช้มืออีกข้างฟาดเข้าด้านหลังศีรษะของเธอ หญิงสาวคลายปากออกและล้มลง

บอดี้การ์ดทั้งสองไม่รอช้า เขารีบวิ่งไปปกป้องเจ้านาย

เย่ฉ่าวเฉินจับแขนของมู่เวยเวยและหลบไปข้างหลังรถ แต่ฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ไม่รู้ว่าต้องการให้เย่ฉ่าวเฉินตายหรือมู่เวยเวยตาย จากนั้นกระสุนทั้งหมดก็สาดเข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสอง

เย่ฉ่าวเฉินกอดมู่เวยเวยไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา และจัดการกับคนหลายคนได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือด รอบทิศก็เงียบสงบลงอีกครั้ง มีกลิ่นเลือดลอยคลุ้งอยู่เต็มอากาศ

“ไปเอารถมาที่นี่” เย่ฉ่าวเฉินสั่งหนึ่งในบอดี้การ์ด

บอดี้การ์ดล้มลงไป กำลังปีนไปถึงข้างรถ เขาก็ถูกศัตรูที่หลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดสังหาร

“คุณชาย คุณพาคุณหนูไป ผมจะคุ้มกันพวกคุณ หลังจากบอดี้การ์ดอีกคนพูดจบ ก็ถือปืนทั้งสองข้างและยิงเข้าไปในป่า

ใช้โอกาสนี้ เย่ฉ่าวเฉินจับเอวของมู่เวยเวย แล้วรีบไปที่หน้าประตูรถและเปิดประตู ในขณะที่กำลังจะพาเธอเข้าไป ก็มีแสงกระพริบมาจากฝั่งตรงข้าม เกือบจะไม่ทันระวัง เย่ฉ่าวเฉินหันตัวมากอดมู่เวยเวยไว้ในอ้อมแขน

“ปัง——”กระสุนพุ่งเข้าไปที่หัวไหล่ของเขา เขาสำลัก เย่ฉ่าวเฉินกอดมู่เวยเวยแน่นขึ้นกว่าเดิม

จากนั้นก้มีเสียงดัง “ปัง” ขึ้นอีกครั้ง ล้อข้างหนึ่งของรถคานเยนน์ก็ระเบิด

ฝ่ายตรงข้ามรู้จุดประสงค์ของเขาแล้ว

ทำอย่างไรดี ?

หรือว่าวันนี้จะตายอยู่ที่นี่จริงๆ ?

ในขณะเดียวกัน ก็มีรถปอร์เช่คันหนึ่งเข้ามาและมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่ฉ่าวเฉิน ประตูหลังยังเปิดอยู่

“คุณชาย รีบขึ้นรถ” คนขับรถตะโกนรียกเขา

ไม่มีเวลาคิดแล้ว เย่ฉ่าวเฉินโยนมู่เวยเวยไปที่เบาะหลัง และเข้าไปนั่ง

“บรื้น——”ปอร์เช่เริ่มเคลื่อนอีกครั้ง วิ่งมาที่หน้าบอดี้การ์ด เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือออกมาและพูดกับเขาว่า “ขึ้นรถ !”

บอดี้การ์ดจับมือของเย่ฉ่าวเฉินอย่างขอบคุณ และใช้แรงปีนขึ้นรถ ในตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งสังเกตเห็น ที่ไหล่และแขนของเขาเต็มไปด้วยเลือด เลือดไหลออกมาเหมือนกับไม่ต้องการเงิน………

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset