วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 155 : ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง

“เจ้านาย…” อาเจี๋ยไม่ได้ชวนคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หยิบเหล้าแก้วออกไป

เย่ฉ่าวเหยียนกำลังเมาหนัก มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

“นี่ไม่ใช่คุณชายรองของตระกูลเย่หรอกเหรอ?” ชายคนหนึ่งยิ้มอย่างมีเจตนาร้าย

อาเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าเย่ฉ่าวเหยียน จ้องมองผู้มาเยือนอย่างเย็นชา “พวกนายเป็นใคร มีธุระอะไร?”

“สหาย จริงจังทำไมหนักหนา? เจ้านายพวกเราอยากชวนคุณชายรองไปดื่มด้วยหน่อย”

อาเจี๋ยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้านายพวกนายเป็นใคร?”

“ไปแล้วเดี๋ยวก็รู้” ชายคนนั้นกวักมือ ชายฉกรรจ์อีกเจ็ดแปดคนเข้ามาล้อมเย่ฉ่าวเหยียนและอาเจี๋ยเอาไว้

อาเจี๋ยเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี กำลังจะชักปืนออกมาแต่ถูกชายคนนั้นกดเอาไว้ก่อน “สหาย เพียงแค่ดื่มเหล้าเอง ถ้าขยับเจ้านายจะเจ็บตัวเอานะ”

“ถ้าทำร้ายเจ้านายเรา เย่ฉ่าวเฉินไม่ปล่อยพวกนายไว้แน่” อาเจี๋ยรู้สึกผิดตอนที่ออกมาเขาน่าจะพาพรรคพวกมามากกว่านี้

“วางใจได้ แค่ไปดื่มกันเท่านั้น ไปกันเถอะ”

กว่าที่เย่ฉ่าวเหยียนจะสร่างเมาก็เป็นเวลาบ่ายโมง เมื่อลืมตาขึ้นก็ค้นพบว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ไม่เพียงแต่ถูกมัดแขนมัดขาติดไว้กับเก้าอี้ แต่สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวยิ่งไม่คุ้นเคย เป็นห้องเก่าๆ โล่งๆ ห้องหนึ่ง ไม่มีของตกแต่งมากมาย แต่ที่น่าแปลกใจคือ มีกล้องวิดีโอติดตั้งไว้รอบๆ ห้อง

ถูกลักพาตัว

คำสี่คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเย่ฉ่าวเหยียน แต่เขาก็ไม่ได้ขี้ขลาดตาขาวแม้แต่นิด ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกลักพาตัวมาแล้วหลายครั้ง รู้ว่ายิ่งหวาดกลัวยิ่งขี้ขลาด ยิ่งทำให้คนที่ลักพาตัวมายิ่งหยิ่งผยองมากขึ้น

แต่ ใครกันที่ลักพาตัวเขามา?

ขณะที่คิด ประตูก็ถูกผลักออกเสียงดัง ‘ปัง’ ใบหน้าคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันนานแสนนานปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู

“เย่ฉ่าวเหยียนในที่สุดคุณก็ตื่นสักที ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หนานกงเฮ่ายิ้ม และเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามา

เย่ฉ่าวเหยียนเข้าใจในทันที ที่เขามาอยู่ที่นี่เพราะพี่ใหญ่ งั้นคงไม่มีอะไรต้องกังวล”

“หนานกงเฮ่า ไม่เจอกันนานเลยนะ”

หนานกงเฮ่านั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา ไขว่ขาและยิ้ม “นายไม่สงสัยเหรอว่าผมเชิญคุณมาทำไม?”

เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มเบาๆ “นายจะบอกผมด้วยตัวเองเลยเหรอ?”

“โธ่ คิดไม่ถึงว่าออกไปเอ้อระเหยลอยชายอยู่ข้างนอกมาไม่กี่ปี ใจจะเย็นลงมาก”

“ชมกันเกินไป” เย่ฉ่าวเหยียนมองไปรอบๆ อย่างใจเย็นแล้วถามขึ้น “ อาเจี๋ยลูกน้องของฉันล่ะ?”

“เขาไม่มีประโยชน์สำหรับฉัน ถูกตีหัวจนสลบแล้วโยนทิ้งไว้ข้างถนน เดาว่าปานนี้ก็คงยังไม่ฟื้น”

“พูดมา เชิญฉันมาทำไม?”

หนานกงเฮ่าเอามือกุมที่หน้าอก แล้วพูดเบาๆ ว่า “ง่ายมาก ฉันแค่อยากให้นายช่วยสักอย่าง”

“พูดมา แต่ฉันไม่รับปากว่าจะช่วย”

หนานกงเฮ่าหัวเราะ “เรื่องนี้มีแต่นายเท่านั้นที่ช่วยได้ เพราะถ้าเย่ฉ่าวเฉินจะเป็นห่วงใครสักคนบนโลกนี้ นั่นก็ต้องเป็นนาย”

เย่ฉ่าวเหยียนขมวดคิ้ว “แสดงว่าที่พูดมา สิ่งที่จะให้ฉันช่วยเกี่ยวกับพี่ชายฉันงั้นเหรอ?”

“ใช่ ต้องเป็นนายเท่านั้น”

เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า “งั้นนายก็หาผิดคนแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันอยู่ เขาคงหวังว่าฉันจะตายไปแล้ว”

หนานกงเฮ่าเริ่มสนใจขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ทำไม?”

“เพราะฉันอยากพามู่เวยเวยไปจากเขา แต่ว่าเขาไม่เห็นด้วย ตอนฝนตกเมื่อสองวันก่อน เขาเกือบจะขับรถชนฉันตาย นายว่าทะเลาะกันจนถึงจุดๆ นี้แล้ว เขายังจะมาช่วยฉันงั้นเหรอ?”

หนานกงเฮ่าชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะออกมา เขาหัวเราะไปสักพักกว่าจะหยุดลง “เย่ฉ่าวเหยียน นายตกหลุมรักพี่สะใภ้นายใช่ไหม?”

เย่ฉ่าวเหยียนเหล่ตามอง “ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่ชินที่เห็นเขาปฎิบัติต่อผู้หญิงคนหนึ่งแบบนี้”

“งั้นก็ดี เราสองคนร่วมมือกันทำลายเย่ฉ่าวเฉินให้ชื่อเสียงป่นปี้ไม่ดีกว่าเหรอ ถึงตอนนั้นมู่เวยเวยจะได้หลุดพ้นสักที” หนานกงเฮ่าพูดอย่างตื่นเต้น

ชื่อเสียงป่นปี้? ไม่ ไม่ว่าเขาจะเกลียดพี่ชายแค่ไหน ก็ไม่อาจทำแบบนั้นกับเขาได้

“อย่ามัวพูดจาไร้สาระ นายต้องการอะไร?” เย่ฉ่าวเหยียนขี้เกียจพูดเรื่องไร้สาระกับเขา

สีหน้าของหนานกงเฮ่าไม่อาจคาดเดาได้ “ง่ายๆ นายแค่ต้องบอกกับคนทุกคน ว่าเย่ฉ่าวเฉินเป็นปีศาจ เขามีวิชาอาคมแปลกๆ ฉันกำลังคิดหาวิธีถ่ายรูปเขามาอีกครั้ง เราไม่ต้องแต่งให้มันเกินจริง นายคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมีจุดยืนอยู่บนโลกนี้ได้อีกงั้นเหรอ?

เย่ฉ่าวเหยียนตกตะลึง เดิมทีเขาก็มีความคิดแบบนี้

ถ้าทุกคนได้รู้ความลับของเย่ฉ่าวเฉิน ไม่ต้องพูดถึงแม้เรื่องดีๆ พวกนั้นจะปฎิบัติต่อเขาเหมือนสัตว์ประหลาด ถึงเวลานั้นจะมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยหาวิธีอย่างหนักเพื่อเอาเขาไปทดลอง

เพียงแค่คิดเหงื่อออกที่แผ่นหลัง เขาจะปล่อยให้พี่ใหญ่ได้รับการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร?

สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หนานกงเฮ่า ถ้านายอยากทำเรื่องนี้นายก็จัดฉากทั้งหมดได้หนิ ทำไมต้องให้ฉันพูด?”

“แน่นอนว่ามันต่างกัน แม้ฉันจะถ่ายรูปมาได้ เมื่อถึงเวลานั้นเย่ฉ่าวเฉินก็จะบอกว่ามันถูกแต่งขึ้นมา แปลว่าที่ฉันทำลงไปก็เปล่าประโยชน์ แต่นายเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา หากนายเป็นคนเปิดเผยความลับเรื่องนี้ ความน่าเชื่อถือก็มีมากขึ้น”

เย่ฉ่าวเหยียนจ้องมองชายหนุ่มสีหน้าร้ายกาจที่อยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยถามขึ้น “หนานกงเฮ่า นายกับพี่ใหญ่รู้จักกันมานานหลายปี แม้จะขัดแย้งกันเพราะมู่เวยเวย แต่จำเป็นต้องทำกับเขาขนาดนี้เลยเหรอ? นายไม่เพียงจะทำลายชื่อเสียงของเขา แต่อยากให้เขาตายมากกว่า ทำให้เขาตายทั้งเป็น”

ความเกลียดชังปรากฎขึ้นบนใบหน้าหนานกงเฮ่า “ฉันก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ทั้งหมดนี้เพราะเย่ฉ่าวเฉินบีบบังคับฉัน ถ้าเขาส่งมู่เวยเวยให้ฉัน ฉันจะทำแบบนี้กับเขาไหม?”

เย่ฉ่าวเหยียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็เดือดดาล “ให้นาย? มู่เวยเวยเป็นสิ่งของงั้นเหรอ? ที่จะโยนไปโยนมาก็ได้ แม้ว่าพี่ใหญ่จะให้ นายคิดว่ามู่เวยเวยอยากไปกับนายงั้นเหรอ?

เขาเกลียดพวกผู้ชายที่มีความคิดแบบนี้ที่สุด เขาชอบมู่เวยเวย แต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของเธอ เขาอยากพาเธอไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอเห็นด้วยไหม ไม่ใช่บังคับเธอ

“นั้นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องทำลายเย่ฉ่าวเฉิน เพียงแค่ทำลายเขา ฉันไม่เชื่อว่ามู่เวยเวยจะไม่มีใจให้ฉัน”

เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวที่อยู่ข้างในลึกๆ “หนานกงเฮ่า ทำไมนายถึงเปลี่ยนไปเป็นคนน่ากลัวได้ขนาดนี้?”

หนานกงเฮ่ามองท่าทางของเขา ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรก็ช่าง นายไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก แต่ฉันเข้าใจความหมายของนายดี นายไม่อยากร่วมมือกับฉันใช่ไหม?”

“เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของฉัน นายคิดว่ายังไงล่ะ?” เย่ฉ่าวเหยียนถามกลับ

“ดูเหมือนว่านายไม่เห็นโลงศพจะไม่หลั่งน้ำตาสินะ” หนานกงเฮ่าปรบมือ แล้วบอดี้การ์ดสองคนก็เดินเข้ามายืนอยู่ต่อหน้า “ลงมือ”

ทันทีที่สิ้นเสียง กำปั้นสี่หมัดก็ประโคมลงที่หน้าและลำตัว ในเวลาไม่กี่นาที เย่ฉ่าวเหยียนทนต่อไปอีกไม่ไหว

“เป็นยังไงล่ะ ? จะทำไม่ทำ?” หนานกงเฮ่าถามอย่างเย็นชา

เย่ฉ่าวเหยียนถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา พร้อมกับแสยะยิ้มแล้วพูดออกไปว่า“นายฆ่าฉันเลยเถอะ”

“คิดไม่ถึงว่าพี่น้องคู่นี้จะรักกันมาก จัดการมันอีก”

เสียงปึงปังดังขึ้นอีกครั้ง หนานกงเฮ่ามองดูเย่ฉ่าวเหยียนที่เกือบหมดสติไปจึงบอกให้หยุด เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดอยู่ในลำคออย่างโหดร้าย “เป็นไง? ยังจะไม่พูดอยู่อีกไหม ?”

“หนานกงเฮ่า ถ้านายเป็นผู้ชายพอก็ฆ่าฉันให้ตาย คิดว่าฉันจะทำเรื่องแบบนี้กับพี่ใหญ่ได้ลงเหรอ อย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย” สายตาเย่ฉ่าวเหยียนไม่หวั่นไหว

“ไม่ไม่ไม่ มันไม่คุ้มที่จะฆ่านายให้ตาย” หนานกงเฮ่าปล่อยเขาเป็นอิสระ แล้วล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสองสามรูป ขณะส่งรูปก็พูดไปด้วย “นายที่ซื่อสัตย์ต่อพี่ชาย ไม่อยากรู้หน่อยเหรอว่าพี่นายจะทำยังไงกับนาย หึ? ไม่ต้องรีบร้อน อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว”

เย่ฮว่างกรุ๊ป

ในห้องประชุม ผู้บริหารระดับสูงกำลังประชุมอยู่ โทรศัพท์เย่ฉ่าวเฉินก็มีเสียง “ติ๊ง ติ๊ง” ดังขึ้นมาติดต่อกัน

เขาเหลือบดูข้อความที่ส่งเข้ามา เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้สนใจทั้งยังบอกปัดๆ ให้ประชุมต่อ

หลังจากนั้นไม่กี่นาที โทรศัพท์ก็เสียงดัง “ติ๊ง ติ๊ง” ขึ้นมาอีก

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมทั้งกดเปิดข้อความ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที เขาเดินออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับต่อสายหาอีกฝ่าย

“เย่ฉ่าวเฉินในที่สุดนายก็ติดต่อฉันกลับมาสักที นายยังแคร์ความเป็นความตายของน้องอยู่นี่นา” เสียงหัวเราะเยาะของหนานกงเฮ่าดังเข้ามาในสาย

“หนานกงเฮ่า แม่งเอ้ย ! ฉันจะทำให้ตระกูลหนานกงหายไปจากสารบบเมืองA” เย่ฉ่าวเฉินตวาดด้วยความโมโหร้าย เหล่าผู้บริหารทั้งหลายได้แต่มองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่เคยเห็นประธานเย่โมโหเช่นนี้มาก่อน

“ฮ่าฮ่า ก่อนจะพูดอย่างนี้ นายเป็นห่วงชีวิตของฉ่าวเหยียนก่อนเถอะ”

เย่ฉ่าวเหยียนหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง “หนางกงเฮ่า ตกลงนายคิดจะทำอะไรกันแน่?”

“จำบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่พวกเราเคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ ได้ไหม ฉันและน้องชายที่นายรักจะรอนายอยู่ที่นี่ ถ้าจำได้ก็มา คนเดียว”

เย่ฉ่าวเฉินวางสาย แล้วรีบตรงดิ่งไปยังลานจอดรถ

……

รถที่แล่นอยู่บนท้องถนนด้วยความเร็วสูง เย่ฉ่าวเฉินไม่รู่ว่าหนาวกงเฮ่าคิดที่จะทำอะไรกันแน่ แต่เขามีอยู่ความคิดอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเขาต้องช่วยเย่ฉ่าวเหยียนออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

บ้านไม้ที่หนานกงเฮ่ากล่าวถึงอยู่แถบชานเมืองไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก ตอนเด็กๆ ที่นี่เป็นสถานที่ลับของพวกเขา ทั้งสองมักจะมาเล่นซ่อนหากันอยู่บ่อยๆ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่ฉ่าวเฉินมาถึงจุดมุ่งหมาย ที่หน้าประตูทางเข้ามีบอดี้การ์ดอยู่สี่ห้าคน แค่มองก็รู้ว่าเป็นมือสังหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินสั่นรัว ครั้งนี้ถ้าหนานกงเฮ่าไม่ได้ตามที่ต้องการคงไม่หยุด

บอดี้การ์ดที่อยู่หน้าประตูมองเห็นเขา ไม่มีใครขัดขวางเขาได้ เย่ฉ่าวเฉินถีบประตูเข้าไป เย่ฉ่าวเหยียนนั่งหัวตกอยู่บนเก้าอี้อยู่กลางห้อง เลือดไหลท่วมตัว ด้านหลังเขายังมีชายฉกรรจ์ยืนอยู่อีกสองคน หนานกงเฮ่านั่งอยู่ข้างๆ เย่ฉ่าวเหยียนอย่างสบายใจเฉิบ

“ฉ่าวเหยียน!” เย่ฉ่าวเฉินร้องเรียกด้วยความโมโหผสมกับความร้อนใจ เพ่งมองคนสำคัญที่อยู่เบื้องหน้า ขณะเดียวกันที่หนานกงเฮ่าเอาปืนไปจ่อที่ขมับของเย่ฉ่าวเหยียน

“อย่าขยับ! เดินเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันส่งน้องแกไปสวรรค์แน่”

เย่ฉ่าวเฉินหยุดฝีเท้า จ้องมองเขาอย่างไม่วางตา “หนานกงเฮ่า แกจะทำอะไรเขา?”

หนานกงเฮ่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ได้ทำอะไร ในเมื่อไม่รู้จักฟังก็ต้องสั่งสอนซะหน่อย วางใจเถอะ มันยังไม่ตายหรอก ดูสิ…” หนานกงเฮ่า กระทุ้งศอกไปที่หน้าอกของเย่ฉ่าวเหยียน หลังจากสลบไปพักนึง เขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

เย่ฉ่าวเฉินทนต่อการถูกกระทำอย่างนี้ไม่ได้ ตะโกนออกไปด้วยความโมโห “หนานกงเฮ่า ฉันบอกให้แกหยุด!”

หนานกงเฮ่ายักไหล่ “ฉันแค่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉ่าวเหยียนยังไม่ตาย แบบนี้เราถึงคุยข้อตกลงกันได้ง่ายๆ หน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินกำมือแน่น “โอเค ข้อตกลงอะไร แกพูดมาเลย”

หนานกงเฮ่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ “ฉันนะเหรอ เดิมทีฉันก็ไม่ได้อยากจะรบกวนอะไรนายหรอก อยากจะให้เย่ฉ่าวเหยียนถ่ายวิดีโอมาให้สักคลิปเพื่อประกาศให้โลกรู้ คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะยอมตาย ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชิญนายมาแสดงเอง แน่นอน ถ้านายยอมที่จะพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฉันก็จะยิ่งพอใจมาก”

เย่ฉ่าวเฉินมองด้วยความหม่นหมอง เพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่คิดเลยว่าจะลงมือทำเรื่องแบบนี้ได้

ให้เขาออกมาพูดเรื่องนี้ ก็เป็นการยอมรับกับทุกคน ว่าเขาคือปีศาจ เขาแปลกประหลาด

นี่เป็นจุดอ่อนจุดสุดท้ายที่เขาโกรธมากที่สุด

“หนานกงเฮ่า แกต้องการที่จะทำลายฉันอย่างนั้นเหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินถามขึ้น

หนานกงเฮ่าเงียบไปชั่วขณะ และพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ขอโทษนะ ฉันแค่ต้องการสิ่งที่ฉันอยากจะได้”

เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนอยากจะฆ่าเขาให้ตาย “แกทำลายฉัน แล้วคิดเหรอว่ามู่เวยเวยจะรับแกได้?”

“ไม่ลอง แล้วจะรู้ได้ยังไง?”

“พี่ อย่า ไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก”เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นพูด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ดวงตาและใบหน้าปูดบวม เลือดที่เปื้อนอยู่ตรงมุมปากนั้น

ภายในใจเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเจ็บปวดไปหมด นี่เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขานะ แม้ว่าตอนเช้าก่อนออกจากบ้านจะยังทำตัวเย็นชาเข้าหากัน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญกลับเอาแต่นึกถึงเขา

ครั้งที่แล้วก็เป็นอย่างนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันถามขึ้น “ถ้าไม่ทำล่ะ?”

ความจริงแล้วเย่ฉ่าวเฉินไม่กล้าที่จะเสี่ยง เพราะเขายังฝึกฝนทักษะได้ไม่ชำนาญ หากพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร? เพราะตรงหน้าเป็นน้องชายที่มีอยู่เพียงคนเดียว

หนานกงเฮ่าไม่ได้เร่งรัดอะไร ปล่อยให้เขาตัดสินเรื่องลำบากใจเอง

เวลาผ่านไปสักพัก ราวกับว่าเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของเย่ฉ่าวเฉิน ถามขึ้นด้วยเสียงเศร้า “อยากจะให้ฉันทำอะไร?”

เย่ฉ่าวเหยียนตะโกนอย่างร้อนใจ “พี่ใหญ่ อย่าทำอย่างนี้ พี่จะให้ไอ้บ้านั่นมาทรมาณพี่จนตายเลยเหรอ ผมไม่อยากให้พี่มาเจอเรื่องแย่ๆอย่างนี้เพราะผมนะ”

ความอบอุ่นพรั่งพรูออกมาผ่านสายตาเย่ฉ่าวเฉิน “ฉ่าวเหยียน นายคือน้องชายของฉัน ฉันทำให้นายตายไม่ได้หรอก จะว่าไป หนานกงเฮ่าก็กลัวว่าแผนการครั้งนี้อาจจะไม่สำเร็จ”

“พวกแกจะพล่ามอะไรหนักหนา?” หนานกงเฮ่ากลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจจึงขัดบทสนทนาขึ้น

นัยน์ตาสีฟ้าของเย่ฉ่าวเฉินฉายความดุร้ายออกมา “หนานกงเฮ่า หลังจากนี้นายอย่าได้ตกมาอยู่ในกำมือฉัน ไม่เช่นนั้นนายไม่มีทางได้มาขอร้องชีวิตกับฉันแน่”

“หึ อย่าปากดีหน่อยเลย ฉันอยากรู้นักว่านายจะปิดปากเงียบได้นานแค่ไหน”หนางกงเฮ่าเดินไปที่หน้ากล้องวิดีโอสี่ตัว กดลงไปที่ปุ่มอัดภาพ ไฟสีแดงเล็กๆ สว่างขึ้น เลนส์กล้องทั้งหมดเล็งไปที่เย่ฉ่าวเฉิน

“เริ่มได้ อย่างเช่นย้ายม้านั่งตัวนี้ไปทางนั้น หรือจะทำเหมือนครั้งนั้นที่บินไปบินมาบนอากาศก็ได้”ความตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้าหนานกงเฮ่า

เย่ฉ่าวเฉินหลับตาลง เมื่อลืมตาอีกครั้งนัยน์ตาสีฟ้าก็พลันเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม แม้ว่าหนางกงเฮ่าจะเตรียมใจรับมือมาแล้วเขาจะไม่เสียใจภายหลังแน่นอน ทว่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเย่ฉ่าวเหยียน กลับหน้าถอดสี ตกใจกลัวกันอย่างเห็นได้ชัด

“พี่ใหญ่ หยุดได้แล้ว อย่าทำอย่างนี้อีก ผมขอร้อง” เย่ฉาวเหยียนแทบจะร้องไห้อ้อนวอนเขา

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้ม เสียงสิ่งของแตกกระจายดังไปทั่ว หนานกงเฮ่ามอง แจกันดอกไม้เริ่มสั่นไปมาเบาๆ

“ใช่ใช่ใช่ อย่างนี้แหละ” เขาร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

พริบตาเดียวก็เกิดลมโหมพัดอย่างบ้าคลั่งไปทั่วห้อง เพียงไม่ถึงวินาทีลมก็หายไปราวกับถูกกดปุ่มให้หยุด แววตาของหนานกงเฮ่าลุกวาว

เย่ฉ่าวเฉินไม่รอช้า รีบวิ่งไปถอดเมมโมรี่การ์ดออกจากกล้องวิดีโอทั้งสี่ตัว จากนั้นก็แก้เชือกที่มัดมือมัดเท้าเย่ฉ่าวเหยียนแล้วรีบวิ่งออกไปให้ไกล

หน้าประตูทางเข้า มีบอดี้การ์ดห้าคนหยุดอยู่กับที่

เมื่อวางเย่ฉ่าวเหยียนไว้ที่รถ เย่ฉ่าวเฉินกลับไปที่บ้านไม้อีกครั้ง เขาแย่งปืนจากหนึ่งในนั้นมา ยิงไปที่หัวใจของทั้งเจ็ดคนโดยไม่มีความปราณีใดๆ หนานกงเฮ่ายืนอยู่ตรงหน้า เขาฆ่าหนานกงเฮ่าไม่ลง จึงยิงไปที่ขาของเขาแทน

ฆาตกรพวกนี้ มีใครบ้างที่มือไม่เปื้อนเลือด? ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้จะแพร่งพรายให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น

หลังจากนั้นสามนาทีรถก็แล่นมาได้ไกลจากบ้านไม้หลังนั้น กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

เลือดที่นองอยู่เต็มห้อง หนานกงเฮ่าไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหน้านั้นเย่ฉ่าวเฉินยังอยู่ต่อหน้าเขา หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีเขากลับพาเย่ฉ่าวเหยียนหนีหายไปแล้ว ทั้งยังฆ่าบอดี้การ์ดตายหมด

ถึงกับต้องใช้เวทมนตร์เลยเหรอ

หนานกงเฮ่าเดินลากขาไปที่กล้องวิดีโอ เมมโมรี่การ์ดถูกเอาไปแล้ว…

อดที่จะนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ เย่ฉ่าวเฉินน่ากลัวเกินไปแล้ว

ภายในรถ เย่ฉ่าวเหยียนฟื้นขึ้นมาแล้วหันกลับไปมองเย่ฉ่าวเฉินด้วยความช็อค ถามอย่างอึ้งๆว่า “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง”

เย่ฉ่าวเฉินมองตรงไปที่ถนนข้างหน้าและพูดอย่างใจเย็น “ฉันกำลังฝึกพลังใหม่ เพิ่งจะได้ใช้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะสำเร็จ”

“อะไร?”

ริมฝีปากเย่ฉ่าวเฉินขยับเอ่ยเบาๆ “หยุดเวลา”

“ห่ะ?” เย่ฉ่าวเหยียนแปลกใจมาก หยุดเวลา? เขา…เขาหยุดเวลาได้อย่างนั้นเหรอ?

“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก ฉันใช้ไม่กี่นาที นี่ใช้ครั้งแรกเลยนะ” เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองเขา เอื้อมมือไปลูบหัว และพูดต่อว่า

“ตอนนั้นฉันคิดว่า ถ้าทำไม่สำเร็จอย่างมากก็แค่กลับไปทำตามคำพูดของหนานกงเฮ่า ไม่คิดเลยว่าผลจะออกมาดีอย่างนี้”

เย่ฉ่าวเหยียนมองพี่ชายอย่างชื่นชม จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า “พี่จะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้นะ ถ้าพวกเขารู้เรื่องของพี่ต้องเอาไปพูดแน่”

“งั้น…นายพูดมาสิว่าต้องทำยังไง?”

เย่ฉ่าวเหยียนพูดโดยไม่ลังเลสักนิด “มีแค่คนตายเท่านั้นที่จะพูดความลับออกมาไม่ได้”

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะร่า ไม่เพียงแต่จะห่วงตัวเอง ยังซื่อสัตย์ต่อตัวเองอีกด้วย นี่สิถึงจะเป็นลูกหลานตระกูลเย่

“วางใจเถอะ ฉันจัดการไปหมดแล้ว ไว้ชีวิตแค่หนานกงเฮ่า

เย่ฉ่าวเหยียนเอนกายลงบนเก้า ความเจ็บปวดบนร่างกายที่ค่อยๆ จู่โจมขึ้นมา คอที่ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง —————————————-

“ฉ่าวเหยียน อดทนอีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถึงบ้าน ฉันบอกหมอหานไว้แล้ว” เย่ฉ่าวเฉินพูดพลางเหยียบคันเร่งให้หนักขึ้น

ในสายตาของเย่ฉ่าวเหยียนไม่เคยมีความสบายใจอยู่ในนั้นเลย เขาคิดอยู่เสมอว่าพี่ชายไม่เคยสนใจเขา ดังนั้นการกลับมาในครั้งนี้ เขาจะแอบช่วยเรื่องของเฉียวซินโยวและมู่เวยเวย ไม่อยากให้ความสุขของพี่ชายเป็นอย่างเหตุการณ์ในวันนี้ เขาเพิ่งได้รู้ว่า พี่ชายดีกับเขามาก ยอมสละชีวิตของตัวเอง

“พี่ เรื่องเวยเวย…แค่ก แค่ก แค่ก…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้รอให้นายดีขึ้นก่อนค่อยพูด” เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงสั่น เพราะสีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อยากสูญเสียน้องชายไปทั้งอย่างนี้

“ฉ่าวเหยียน นายจะต้องไม่เป็นอะไร พี่อยู่นี่แล้ว ฉันไม่ยอมให้นายเป็นอะไรไปเด็ดขาด”

……

คฤหาสน์ตระกูลเย่

หลังจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ก็ค่อยๆ เงียบสงบลง

เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงข้างๆ เตียง มองน้องชายที่นอนหลับไหลอยู่ ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนัก

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มองหน้าน้องชายอย่างจริงจังมานานแล้ว ฉ่าวเหยียนกลับมาครั้งนี้ เขารู้สึกขอบคุณมากที่น้องชายยังอยู่กับเขาและแอบสาบานอยู่ในใจว่าต้องดูแลฉ่าวเหยียนให้ดี แต่งานที่หนักและเรื่องจุกจิกทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไป

จำได้ว่าตอนเป็นเด็ก เย่ฉ่าวเหยียนเพิ่งเกิด เขามองเด็กอ่อนตัวเล็กๆ ด้วยความแปลกใจปนดีใจ จนไม่กล้าเข้าไปสัมผัส

พ่อพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยน “ฉ่าวเฉิน นี่คือน้องของแก ต่อจากนี้ต้องคอยปกป้องเขานะ”

“ครับพ่อ ผมจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเขาแน่นอน”

แต่ความเป็นจริงล่ะ?

เขาไม่เพียงแต่ดูแลน้องได้ไม่ดี กลับทำให้น้องชายได้รับบาดเจ็บเพราะเขาอีก

เขาไม่เหมาะที่จะเป็นพี่ชายเสียเลย

เย่เฉ่าวเฉินจับมือน้องชาย แล้วพูดกับตัวเองว่า “ฉ่าวเหยียน ฉันรอนายฟื้นขึ้นมาอยู่นะ อยากได้อะไรพี่ชายคนนี้จะหามาให้หมด ถ้านายชอบเธอ ก็พาเธอไปได้เลย”

มู่เวยเวยที่เพิ่งเดินมาถึงประตูได้ยินประโยคนี้เข้า ราวกับถูกฟ้าผ่าตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

เขาพูดถึงเธอ…คือเธอใช่ไหม?

มู่เวยเวยยืนพิงกำแพง คำพูดนั้นเข้ามาปกคลุมหัวใจ เธอไม่ได้หูฝาด คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดอย่างนี้ออกมา?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเย่ฉ่าวเหยียนถึงได้รับบาดเจ็บ ทำให้เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้?

พอยืนอยู่หน้าประตูได้สักพัก เมื่อทำใจได้มู่เวยเวยจึงเปิดประตูเดินเข้าไป

เย่ฉ่าวเฉินหันมามองเธอแล้วก็หันกลับไปมองเย่ฉ่าวเหยียนอีกครั้ง

มู่เวยเวยเดินไปนั่งบนโซฟาโดยไม่พูดอะไร พลางมองไปยังน้ำเกลือที่ไหลเข้าสู่เส้นเลือดของเขา

ภายในห้องเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

มู่เวยเวยนั่งเงียบอยู่นาน มองจนน้ำเหลือใกล้จะหมดถึงเดินไปหาหมอหาน

คืนนี้ เย่ฉ่าวเฉินนอนที่โซฟา เมื่อเย่ฉ่าวเหยียนร้องขึ้นมาว่าเจ็บเขาก็รีบลุกขึ้นไปดูทันที

เช้าตรู่ เมื่อเย่ฉ่าวเหยียนลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเย่ฉ่าวเฉินเป็นคนแรก

เขายังสวมเสื้อผ้าชุดเมื่อวาน ร่างสูงที่นอนขดอยู่บนโซฟาเล็กๆ ดูแล้วไม่สบายตัว

เขาเฝ้าอยู่ที่นี่ทั้งคืนเหรอ?

เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ แม้บาดแผลเต็มตัวไปหมดแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บขนาดนั้น

“พี่…” เย่ฉ่าวเหยียนเอ่ยออกมาเบาๆด้วยเสียงที่แหบแห้ง

เย่ฉ่าวเฉินตื่นง่ายมาก กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเย่ฉ่าวเหยียน ดังนั้นแค่เขาพูดออกมาคำเดียว เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกตัว

“นายรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ? ไม่สบายตรงไหนไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความเป็นห่วง

เย่ฉ่าวเหยียนรับรู้ถึงความจริงใจ ยิ้มอย่างอบอุ่น “ก็รู้สึกเจ็บๆ ที่หน้าอก ที่อื่นก็ไม่มีแล้ว”

“รอแปปนึงนะ ฉันไปเรียกหมอหานมาตรวจสักหน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินวิ่งไปราวกับลมพัด ยังไม่ทันได้ว่าอะไรก็ไปซะแล้ว

หลังจากตรวจอย่างละเอียด หมอหานก็พูดว่า “ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ไม่ต้องกังวล”

เย่ฉ่าวเหยียนเลิกคิ้วแล้วบอกกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “พี่ พี่ไปพักสักหน่อยเถอะ ตาพี่แดงหมดแล้ว”

“ฉันไม่เป็นอะไร”

เมื่อมีเพียงพี่น้องอยู่กันสองคน เย่ฉ่าวเหยียนจึงพูดขึ้นว่า “พี่ นั่งลงหน่อยสิ ผมมีอะไรจะพูดกับพี่น่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเรื่องอะไร จึงขัดขึ้นมาซะก่อน “รอให้ร่างกายนายหายดีก่อนค่อยพูด”

“ไม่ พี่ เรื่องนี้ต้องรีบพูดให้มันชัดเจน ผมจะได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา” เย่ฉ่าวเหยียนไม่มีท่าทีโลเล

เย่ฉ่าวเหยียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งลง

เย่ฉ่าวเหยียนพิงหัวเตียง สีหน้ายังซีดอยู่บ้าง “จะเริ่มพูดเรื่องนี้จากตรงไหนดีล่ะ? คิดๆ ดูแล้ว ผมก็ทำเรื่องเลวๆ ไว้ไม่น้อย”

เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจแล้วยิ้มเฝื่อน “หลายปีมานี้ฉันเอาแต่ลอยไปลอยมาอยู่ข้างนอกคิดอยากจะกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ หลังจากที่ฉันกลับมาถึงรู้ว่าพี่แต่งงานแล้ว ในใจรู้สึกอึดอัด เพราะตอนที่ผมอยู่ข้างนอกลำบากมาก แต่พี่กลับมีความสุขกับที่นี่ ผมรู้สึกไม่ยุติธรรม..”

เย่ฉ่าวเฉินนั่งฟังเงียบๆ ไม่ขัดสักคำ

“เพราะงั้นภายในใจจึงมีแต่ความโกรธ อยากที่จะให้พี่ไม่มีความสุขบ้าง ดังนั้นผมจึงทำเลวไว้มาก พี่ยังจำครั้งที่ผมและมู่เวยเวยถูกรถชนได้ไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า “จำได้ ครั้งนั้นที่เข้าโรงพยาบาล ยังไม่หายดีเลยก็เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว”

“ความจริงอุบัติเหตุครั้งนั้น เฉียวซินโยวเป็นคนผลักมู่เวยเวยไปกลางถนน ก่อนเกิดเรื่องเธอเตรียมการเป็นอย่างดี ผมอยู่แถวนั้น จึงเข้าไปช่วยเธอ”

เย่ฉ่าวเฉินมองเขาอย่างตกใจ “แต่นายไม่พูด…”

“ผมปกปิดเรื่องของเฉียวซินโยว” เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา “เพราะถ้าพี่รู้ความจริง เฉียวซินโยวต้องออกจากบ้านตระกูลเย่แน่นอน อย่างนี้ทุกคนต่างก็มีความสุข ผมบอกแล้ว ว่าผมไม่อยากเห็นพี่มีความสุข”

“ฉ่าวเหยียน…” เย่ฉ่าวเฉินมองน้อยชายที่แสดงถึงความอ้างว้าง เขาไม่มีความโกรธเคืองอยู่ในนั้นเลย มีเพียงความห่วยใยอยู่ในใจ

“เรื่องแบบนี้ยังมีอีกเยอะ หลังจากนี้พี่ต้องไล่เฉียวซินโยวออกไป ที่ผมช่วยเธอ พูดให้เธอได้อยู่ที่นี่ต่อก็เพราะอย่างนี้ และผมก็ตั้งใจทำให้เธอเข้าใจผิดว่าผมกับเวยเวย…” เย่ฉ่าวเหยียนหยุดพูด ความเศร้าฉายอยู่ในแววตาเขา “แม้ว่าผมจะชอบเธอมาก แต่เวยเวยไม่เคยรับรู้ และหลังจากที่ผมสารภาพไป เธอก็ปฏิเสธผมอย่างเห็นได้ชัด ที่ผมแกล้งทำเป็นห่วงเธอ ทั้งหมดก็เพราะโกรธพี่ พี่ ผมขอโทษ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเศร้าใจ ราวกับได้เห็นตอนตัวเองเป็นเด็กแล้วกระทำความผิดต้องก้มหน้ายอมรับความผิดนั้น

เขาเดินไปที่ข้างเตียง กุมมือน้องขึ้นมา แล้วถามว่า “ตอนนี้มือเป็นยังไงบ้าง?”

เย่ฉ่าวเหยียนไม่เข้าใจสิ่งที่พี่ชายพูดว่าหมายความว่าอะไร ได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างนั้น

“รู้สึกอะไร ?”

“ร้อน.. เหมือนได้จับมือพ่อในตอนที่ยังเด็ก” เย่ฉ่าวเหยียนพูดออกมาเบาๆ

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น “ใช่ พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว บนโลกนี้เหลือเพียงแค่เราสองคน นายคือน้องชายของฉัน นายไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันหรอก ยิ่งไปกว่านั้นเพราะฉันมือนายถึงเป็นอย่างนี้ ดังนั้นไม่ว่านายจะทำอะไร พี่ชายคนนี้ก็จะยอมรับนายและพร้อมที่จะสนับสนุนนาย”

“พี่.. พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ตอนนี้ไม่ใช่ว่ามันดีขึ้นแล้วเหรอ? อีกไม่นาน มือซ้ายของผมก็งอได้แล้ว” ในทางกลับกัน

เย่ฉ่าวเหยียนก็ปลอบใจพี่ชายไปด้วย

เย่ฉ่าวเฉินจับมือเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ฉ่าวเหยียน ถ้านายชอบ…”

“พี่ใหญ่” เย่ฉ่าวเหยียนพูดแทรกขึ้นมา เพราะเห็นท่าทางของเขา เย่ฉ่าวเหยียนเดาได้เลยว่าเขาต้องการพูดอะไร “พี่ใหญ่…ผมอยากรอให้ร่างกายดีขึ้น จากนั้นอยากไปเรียนต่อที่ยุโรป”

เย่ฉ่าวเฉินชะงักไปชั่วขณะ ไม่มีท่าทีโต้ตอบในความหมายของเขา “เรียนต่อต่างประเทศ?”

เย่ฉ่าวเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ สองสามปีนี้ที่ผมอยู่ต่างประเทศ ทุกครั้งเมื่อได้มองนักศึกษาเหล่านั้นผมรู้สึกอิจฉาเขามาก ผมอยากมีสักวันได้ใช้ความรู้ที่ตัวเองชอบเรียน ไปเรียนอย่างง่ายๆ สบายๆ ตอนนี้ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว”

“แต่…ไม่ใช่ว่านาย…” เย่ฉ่าวเฉินยังไม่เข้าใจ เขาตัดสินใจจะปล่อยมู่เวยเวยไป

“พี่ ผมยอมรับว่ายังชอบเธอ แต่เธอไม่ได้ชอบผม” เย่ฉ่าวเหยียนตัดพ้อออกมา “ชีวิตบนโลกใบนี้เหลือเพียงไม่กี่สิบปี ผมอยากหาใครสักคนที่ผมชอบเขาและเขาก็ชอบผมด้วยเช่นกัน อย่างนี้สิช่วงเวลาดีๆ ถึงจะไม่น่าผิดหวัง พี่..พี่ว่าใช่ไหมล่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินวางก้อนหินที่อยู่ในใจลง “แน่นอน น้องชายของฉันเก่งอยู่แล้ว ต้องหาสาวคนนั้นได้แน่นอน”

“เฮ้อ ในที่สุดก็ได้พูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมา รู้สึกโล่งขึ้นมาเยอะเลย” เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกสบายใจสุดๆ

“หลังจากนี้ถ้านายมีเรื่องอะไรต้องบอกกับฉันตรงๆ เข้าใจไหม?” เย่ฉ่าวเฉินทำสีหน้าเคร่งขรึม “และยังไม่อนุญาตให้ดื่มเหล้าอีกเด็ดขาด”

“รู้แล้วๆ” เย่ฉ่าวเหยียนรับปากซ้ำๆ

เย่ฉ่าวเฉินปล่อยมือเขา ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “นายพักผ่อนเถอะ ฉันจะไปอาบน้ำ”

“อืม”

ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินเดินไปถึงหน้าประตู เย่ฉ่าวเหยียนก็เรียกเขาไว้ “พี่ ยังมีอีกเรื่อง…”

“พูดสิ พูดมาให้หมด” เย่ฉ่าวเฉินยืนพิงผนังอย่างอ่อนล้า สองมือกอดอก

ในแววตาเย่ฉ่าวเหยียนฉายความซุกซนอยู่ในนั้น แล้วพูดขึ้นด้วยความจริงใจ “เวยเวยเป็นผู้หญิงที่ดี เธอแต่งงานกับพี่ ผมหวังว่าพี่จะปฏิบัติต่อเธอให้ดีกว่านี้ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แล้วพี่ไม่รู้สึกจริงๆ เหรอว่าพี่ตกหลุมรักเธอ?”

เย่ฉ่าวเฉินตัวแข็งทื่อ ราวกับว่าได้ยินเสียงเมล็ดพืชที่กำลังแตกหน่ออยู่ในใจ

“พี่ไม่ยอมให้ผู้ชายคนอื่นเขาใกล้เธอ ไม่ยอมให้เขาทำตัวดีกับผู้ชายคนอื่น หรือว่าจริงๆ แล้วพี่ต้องการยึดเธอไว้คนเดียว ถ้าพี่ไม่ได้ชอบเธอ ตอนเธอถูกเฉียวซินเหย่าผลักตกหน้าผา ทำไมพี่ถึงช่วยเธอ โดยไม่คิดว่ามันเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย ถ้าพี่ไม่ชอบเธอ ตอนเธอตกลงไปในน้ำ ทำไมพี่ต้องกังวลใจขนาดนั้น? ตอนที่ผมกับเธออยู่ด้วยกัน ทำไมพี่ถึงร้อนใจ มีเพียงเหตุผลเดียว พี่กลัวว่าเธอจะจากพี่ไป…”

“พี่ หนี้ที่มู่เทียนเย่ได้ติดค้างไว้ เวยเวยก็จ่ายให้แทนเกือบจะหมดแล้ว ความจริงพี่ไม่จำเป็นต้องทำร้ายเธอเพียงเพราะเธอเป็นคนของมู่เทียนเย่ ผมกลัวว่าถ้าวันที่มู่เทียนเย่ปรากฏตัวขึ้นมา เธอจะไปจากพี่โดยไม่ลังเล…”

เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ตัวว่าตัวเองออกจากห้องของน้องชายมาได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินเข้ามาที่ห้องนอนของมู่เวยเวยได้อย่างไรเช่นกัน ในหัวของเขาหลงเหลือเพียงคำพูดไม่กี่คำ

เขาชอบเธอ เขากลัวว่าเธอจะจากเขาไป

น้ำร้อนที่กระทบศีรษะลงมา ไหลไปจนถึงหน้าอก ราวกับมันได้ไหลเข้าไปในหัวใจ ดั่งเมล็ดพืชที่อยู่ในดินได้เติบโตเป็นต้นอ่อนขึ้นมา

มู่เวยเวย มู่เวยเวย

ฉันตกหลุมรักเธอเข้าแล้วเหรอ?

แต่ว่าฉันทำอะไรกับเธอไว้ตั้งมากมาย เธอจะให้อภัยฉันได้มั้ย ?

มู่เวยเวย ฉันควรจะทำอย่างไรกับเธอดี?

……

ตลอดทั้งวัน ในหัวของเย่ฉ่าวเฉินได้แต่คิดวกไปวนมา นอกจากการพูดคุยกับเย่ฉ่าวเหยียน ก็อยู่ในห้องหนังสือ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็รู้สึกไม่มีชีวิตชีวา จนกระทั่งมู่เวยเวยเลิกงาน ได้ก้าวเข้ามายังคฤหาสน์หลังนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็กระจ่างได้ทันทีว่า

ภาพรางๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาทั้งวัน ก็คือเธอ

ในห้องรับแขก สายตาของเย่ฉ่าวเฉินเอาแต่มองตามเงาของเธอ ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็ค่อยๆถูกเติมเต็มเข้ามา

“อาหวัง วันนี้ฉ่าวเหยียนอาการเป็นยังไงบ้างคะ?” มู่เวยเวยกำลังจะขึ้นไปข้างบน เจอพ่อบ้านหวังเข้าโดยบังเอิญจึงเอ่ยถาม

พ่อบ้านหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายรองตื่นตั้งแต่เช้าแล้วครับ อีกทั้งยังกินข้าวได้แล้วด้วย หมอหานดูแลเขาดีมาก”

มู่เวยเวยก็วางใจ “ดีแล้วค่ะ ฉันขอไปดูเขาสักหน่อยนะคะ”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset