วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 165 เวยเวยเป็นของฉัน การต่อสู้ครั้งใหญ่

“คือว่าภรรยาของผม” เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่มู่เวยเวย “เธอเป็นแฟนคลับของคุณ อยากถ่ายรูปด้วย ไม่ทราบว่าสะดวกไหม?”

“เป็นเกียรติของฉัน” หวางเจียข่ายพูดอย่างครุ่นคิด “แสงที่นี่ไม่ดีไปด้านภรรยาของคุณกันเถอะ”

“ขอบคุณมากนะครับ” เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากให้มู่เวยเวยเดินพอดี เขาพูดแบบนี้ยิ่งเข้าทางเลย

มู่เวยเวยมองไอดอลกับเย่ฉ่าวเฉินพูดคุยหยอกล้อกันเดินมาทางนี้ ใจเต้นแรง ใบหน้าเริ่มเขินแดง

ยังไงไอดอลก็คือไอดอล เขายื่นมือออกมาอย่างสุภาพและพูดว่า “สวัสดี ฉันหวางเจียข่าย”

มู่เวยเวยถูกรอยยิ้มเขาทำให้มึนมน รีบจับมือเขาและพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อมู่เวยเวย ฉัน…… ”

หวางเจียข่ายเห็นเธอกระวนกระวายจนพูดไม่ออก เขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้ จัดการได้อย่างสบายใจ “ขอบคุณที่สนับสนุน ฉันขอถ่ายรูปกับเธอได้ไหม?”

“อ้อ…… ได้ค่ะ ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ฉันชอบคุณมาหลายปีแล้ว…… ”

นายหวางเป็นสุภาพบุรุษมากเชิญเธอมาข้างๆ เขาตัวสูงและเมื่อถ่ายรูปเขาเอามือไพล่หลังและพิงขาเล็กน้อย มู่เวยเวยหัวเราะคิกคักเหมือนคนบ้า

เย่ฉ่าวเฉินถ่ายภาพเสร็จก็พูดขอบคุณเขาอีกครั้ง “หวังว่าฉันจะได้ร่วมงานกับคุณหวางในอนาคต”

“ ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอเหมือนกัน”

หลังจากที่ไอดอลจากไปมู่เวยเวยก็หายจากอาการช็อก

“ไหนรูปถ่าย? ให้ฉันดูหน่อย ” มู่เวยเวยถามเย่ฉ่าวเฉินด้วยความตื่นเต้น เขาเอารูปถ่ายในมือถือให้เธอดูอย่างไม่พอใจ

“ฉันขี้เหร่ไปไหม ฮ่าฮ่าฮ่า……แต่ว่าไอดอลของฉันหล่อก็พอละ”

ตอนแรกก็คิดว่าจะให้คุณหวางมาเป็นนายแบบ เห็นมู่เวยเวยคลั่งขนาดนี้ ก็ช่างมันเถอะ เขากลัวมู่เวยเวยจะหลงเกินจนจำตัวเองแทบไม่ได้ว่าเป็นใคร

หลังจากพิธีมอบรางวัลเสร็จก็มีงานเลี้ยงค็อกเทลสุดหรูซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษให้กับโลกธุรกิจและแวดวงบันเทิง

มู่เวยเวยดื่มเหล้าไม่ได้ น้ำอัดลมก็ไม่ได้ เย่ฉ่าวเฉินให้เด็กเสิร์ฟไปรินน้ำอุ่นให้หนึ่งแก้ว

“ ที่นั่นมีของหวาน อยากไปกินสักหน่อยไหม?” เขาถามด้วยความห่วง

มู่เวยเวยส่ายหัว ตอนนี้เธอไม่ชอบของหวานเลย

“ประธานเย่ ฉันตามหาคุณทุกที่เลย ทำไมมาหลบอยู่ที่นี่?”

เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยหันกลับมา ผู้อำนวยการของแฟชั่นนิตยสารที่กำลังถือแก้วไวน์มองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม มีสาวสวยยืนอยู่ข้างๆ

ดวงตาของมู่เวยเวยประกายขึ้น นี่ไม่ใช่ดาราที่เพิ่งได้รับรางวัลเหรอ?

เย่ฉ่าวเฉินยืนขึ้นและจับมือกับเขา “ประธานตู”

ประธานตูมองมู่เวยเวย ถามว่า “คนนี้คือ…… ”

“ภรรยาของฉัน มู่เวยเวย” เย่ฉ่าวเฉินแนะนำ ช่วยพยุงมู่เวยเวยลุกขึ้น “เวยเวย นี่คือมือหนึ่งแห่งวงการแฟชั่น”

“ที่แท้ก็เป็นคุณนายเย่นี่เอง ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆจัง?” ประธานตูมองเธอ รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน?

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เธอเคยขึ้นปกนิตยสารเสื้อผ้าที่สวยงามของคุณ”

ทันใดนั้นประธานตูก็นึกขึ้นได้ “อ้อ! ใช่ใช่ใช่ ฉันจำได้แล้ว ตอนนั้นฉันยังบอกกับเขาอยู่เลยว่า บริษัทเย่ฮวางครั้งนี้มีนักออกแบบที่หัวทันสมัยมาก รูปแบบการออกแบบมีความกล้าหาญและสร้างสรรค์ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภรรยาของประธานเย่”

มู่เวยเวยไม่ค่อยได้รับการยกย่องแบบนี้ เธอไม่รู้ว่ามันจริงใจหรือแค่พูดเอาใจต่อหน้าเย่ฉ่านเฉิน

“ คุณชมเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ” มู่เวยเวยพูดอย่างถ่อมตัว

ประธานตูแนะนำสาวสวยที่อยู่ข้างๆเขา “นี่คือคุณซูหยา ที่เพิ่งได้รับรางวัลดาราที่น่าสนใจประจำปี ซูหยา นี่คือประธานเย่ของบริษัทเย่ฮวางกรุ๊ป”

“สวัสดี เย่ฉ่าวเฉิน” เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือออกไปและจับมือของเธอเบา ๆ และรีบปล่อย

ซูหยายิ้มหวานและพูดว่า “ ประธานเย่ ฉันได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะได้พบคุณในวันนี้”

อุตสาหกรรมบันเทิงและผู้ประกอบการเชื่อมโยงกัน ประธานตูสามารถพาซูหยามาหาเย่ฉ่าวเฉินด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะใกล้ชิดกันมากและมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน

มู่เวยเวยเฝ้าดูพวกเขาคุยกัน เธอรู้สึกเบื่อเล็กน้อย จึงดื่มน้ำไปไม่กี่คำ ในตอนนี้เธออยากเข้าห้องน้ำมาก เธอกำลังจะบอกให้เย่ฉ่าวเฉินว่าจะไปห้องน้ำ ทันใดนั้นสาวเสิร์ฟที่สวมรองเท้าส้นสูงก็เดินเซ แก้วไวน์ที่อยู่ในถาดก็ร่วงลงมาที่เธอ ตาและมือของเย่ฉ่าวเฉินไวมาก รีบดึงมู่เวยเวยไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงแก้วที่แตกลงพื้น

“ ขอโทษนะคะ ขอโทษ ” หญิงสาวก้มลงขอโทษอย่างรีบร้อน

เย่ฉ่าวเฉินรีบดูร่างกายของมู่เวยเวยด้วยความกังวล แขนเสื้อของเธอมีไวน์เปื้อนเล็กน้อย รองเท้าสีขาวของเธอเต็มไปด้วยไวน์แดง

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันระวังเอง ขอโทษ…… ”

ก่อนที่เย่ฉ่าวเฉินจะโกรธ มู่เวยเวยก็พูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันไปล้างออกที่ห้องน้ำก็พอแล้ว”

“ ฉันต้องขออภัยด้วยจริงๆ หรือว่าฉันเอาเสื้อผ้าของคุณไปซักให้” หญิงสาวกังวลจนจะร้องไห้

มู่เวยเวยโบกมือให้เธอ “ฉันบอกว่าไม่เป็นไร เธอไปเถอะ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเธอไม่อยากให้พนักงานเสิร์ฟต้องอับอาย เขาจึงพูดกับประธานตูและซูหยาว่า “ฉันขอตัวไปห้องน้ำกับเวยเวยก่อน ทั้งสองคนรอสักครู่นะ”

ประธานตูรู้สึกเสียหน้า แถมนี่ยังเป็นงานของเขา เขาโกรธมากและตำหนิหญิงสาวว่า “นี่แกทำอะไรของแก?”

มู่เวยเวยรีบพูดแทนหญิงสาวว่า “ประธานตู ฉันไม่เป็นไรจริงๆ อย่าตำหนิเธอเลย”

“วันนี้ฉันเห็นแก่คุณนายเย่ไม่เอาเรื่องแก ครั้งหน้ายังเป็นแบบนี้ ก็ลาออกไปซะ”

หญิงสาวพูดเบาๆสองคำ”ขอโทษ” จากนั้นโค้งคำนับให้กับมู่เวยเวยและพูดว่า “ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร” มู่เวยเวยไม่ต้องการเป็นจุดสนใจของผู้คน ดึงแขนเสื้อของเย่ฉ่าวเฉินและกระซิบ “ไปกันเถอะไปห้องน้ำ”

เย่ฉ่าวเฉินจับมือเธอแล้วพูดว่า “เดินช้าๆ” โชคดีที่วันนี้ฉันใส่รองเท้าผ้าใบถ้าเป็นรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าแตะเท้าอาจถลอกได้

ทั้งสองเดินไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ซูหยายกแก้วไวน์ขึ้น มองไวน์สีแดงไหลลงมาในนั้นดวงตาของเธอแสดงความอิจฉาออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ประธานเย่ดีกับภรรยาของเขาจริงๆ” ซูหยาถอนหายใจ

ประธานตูพยักหน้า“ ดีมากจริงๆ ฉันยังไม่เคยเห็นเลยว่าเย่ฉ่าวเฉินจะใส่ใจใครขนาดนี้ อย่าว่าแต่เมื่อกี้ที่เขาคุยกับเราเลย จริงๆใจเขาอยู่ที่ตัวภรรยาเขา ไม่อย่างงั้นปฏิกิริยาเมื่อกี้จะไวขนาดนั้นหรอ?”

ซูหยายิ่งอิจฉา เธอสวยกว่ามู่เวยเวยมาก แต่ทำไมถึงไม่มีใครดีกับเธอแบบนี้บ้าง?

ที่ประตูห้องน้ำ เย่ฉ่าวเฉินจะตามเข้าไปด้วย แต่มู่เวยเวยห้ามไว้

“ เธอจะเข้าไปห้องน้ำผู้หญิงด้วยทำไม? รออยู่ที่นี่แหละ”

เย่ฉ่าวเฉินมองลงไปที่รองเท้าของเธอและพูดอย่างเป็นห่วง “เธอไปคนเดียวได้หรอ?”

มู่เวยเวยพูดไม่ออก“ ฉันแค่ท้อง ไม่ใช่คนพิการ”

“ ทำไมพูดแบบนี้?” เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและจ้องไปที่เธอ

มู่เวยเวยเหลือบมองเขาจากนั้นก็หันเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิง

เย่ฉ่าวเฉินเดินไปเดินมา ยืนอยู่ไม่กี่นาที เขายิ่งอยู่ยิ่งกระวนกระวาย แค่ไม่เห็นเธอวินาทีเดียว หัวใจของเขาก็ตื่นตระหนก

รอยยิ้มที่ขมขื่นในใจ เย่ฉ่าวเฉิน ไม่คิดว่าเธอจะมีวันนี้ด้วย

“ เฮ้ นี่ใช่ประธานเย่ไหม? คุณกำลัง…… ” คนรู้จักเดินออกมาจากห้องน้ำผู้ชาย

เย่ฉ่าวเฉินแสร้งทำเป็นหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “สูบบุหรี่”

“อ้อ ได้ยินมาว่าโปรเจคของคุณถูกบริษัทมู่ขโมยไปหรอ?” ชายคนนั้นหยิบบุหรี่ที่เย่ฉ่าวเฉินส่งให้และพูดต่อ “ตระกูลเย่ของคุณกับตระกูลมู่เป็นญาติกันไม่ใช่หรอ? ทำไมมู่เทียนเย่ถึงยังขโมยของคุณ?”

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะออกมา ไม่อยากยอมรับว่าเขาแพ้จึงพูดว่า “มู่เทียนเย่ไม่ได้ขโมยไปหรอกแต่ฉันมอบมันให้เขาเอง ถือว่าเป็นของขวัญที่เขากลับมา”

ชายคนนั้นตบไหล่เขาและพูดว่า “ประธานเย่นี่ใจถึงจริงๆ ให้ของขวัญเป็นร้อยร้อยล้าน…… ”

พูดถึงตรงนี้ ไฟทั้งหมดในงานเลี้ยงก็ดับลงอย่างกะทันหัน มืดสนิท

“ ไฟดับหรอเนี่ย?”

“ เอ้ะ ทำไมมืดไปหมด? ”

มีเสียงประหลาดใจในห้องโถง เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่ปกติ ไม่สนว่าข้างในจะเป็นยังไงเป็นห่วงผู้หญิงของเขาก็เลยบุกเข้าไป ทันทีที่เข้าไปถึงห้องน้ำ ไฟก็สว่างขึ้น

ที่หน้ากระจกผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนแต่งหน้า เธอยืนอยู่ที่นั่นก่อนที่ไฟจะดับแล้ว เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินเข้ามาก็ตกใจ “คุณ……คุณเข้ามาทำอะไร?”

เย่ฉ่าวเฉินไม่สนใจเธอและตะโกนว่า “เวยเวย คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

ไม่มีใครตอบ หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มกังวลและเขาก็ตะโกนอีกครั้งว่า “เวยเวย?”

ยังคงไม่มีใครตอบรับ

ห้องน้ำผู้หญิงมีอยู่สี่ห้อง มีสามห้องที่ว่างอยู่ แต่ห้องตรงกลางมีคนอยู่ข้างใน เย่ฉ่าวเฉินเดินไปและเคาะประตู “เวยเวย”

“อ๊าก-ใครอะ!!” มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันกลับไปถามผู้หญิงอีกคนอย่างใจจดใจจ่อ “ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาใส่เสื้อโค้ทสีชมพูอยู่ที่ไหน?”

“ คุณหมายถึงผู้หญิงที่ถูกไวน์หกใส่เสื้อเหรอ?”

“ใช่ เธออยู่ไหน?”

ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปที่ประตู “เธอออกไปเมื่อกี้แล้วนิ”

เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง เป็นไปไม่ได้เขายืนอยู่ที่ประตูตลอด หรือว่า……ตอนที่เขากำลังคุยกับผู้ชายคนนั้น เธอก็แอบวิ่งหนีไป?

เมื่อคิดถึงเช่นนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็วิ่งออกจากห้องน้ำและรีบวิ่งไปที่ประตู เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา “จางเหอ เฝ้ามองที่ประตูดี ถ้าเห็นมู่เวยเวยให้ตามไปทันที มู่เทียนเย่หรือหนานกงเฮ่าก็อย่าปล่อยมันไป”

“ครับ เจ้านาย!” จางเหอรีบตอบรับ เย่ฉ่าวเฉินวางสายโทรศัพท์ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเขาร้องออกมาคำนึง “เห้ย—“

เย่ฉ่าวเฉินวิ่งไปที่ชั้นสาม ทันทีที่ได้ยินเสียงของเขาจึงรีบถามว่า “เมื่อกี้แกเห็นใคร?”

“ มันคือมู่เทียนเย่ เขาพาคุณนายเย่ไปแล้ว……เจ้านาย พวกเขาขึ้นรถไปแล้ว”

“ตามไป” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างโมโห “โทรรายงานตลอด ฉันจะรีบตามไป”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

วิ่งไปถึงประตูโรงแรม ไม่มีรถ เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งไปที่ถนนไม่ไกล

เขาขึ้นแท็กซี่คันหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินรับสายโทรศัพท์ของจางเหอและถามว่า “ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”

“ บนถนนหวู่ตง มู่เทียนเย่ดูเหมือนจะขับรถมุ่งหน้าไปยังชานเมืองด้านตะวันออก”

“รู้แล้ว ตามพวกมันไป” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับคนขับรถ “คุณครับ ถนนหวู่ตง”

คนขับเหลือบมองเขาและพูดติดตลกว่า “เฮ้อ ไล่ตามคนหรอ”

“ เร็วกว่านี้ได้ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่

คนขับมองไปที่เขาสวมสูทและรองเท้าหนังและสีหน้าของเขาก็ไม่สบายใจ“ พี่ชาย นี่มันรถแท็กซี่นะจะเร็วแค่ไหนก็เทียบกับรถสปอร์ตไม่ได้หรอก”

เย่ฉ่าวเฉิน หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า

วางไว้ตรงหน้าเขา “ถ้าตามทันรถที่ฉันตามอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นของคุณ”

เมื่อคนขับรถเห็นมัน ดวงตาเต็มไปด้วยประกายเขาเหยียบคันเร่งและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “พี่ชาย ไม่ต้องเป็นห่วง ก็แค่ไล่ตามคนไม่ใช่หรอ ตามทันแน่นอน ”

แน่นอนว่าพี่ชายคนนี้ไม่ได้ขับแท็กซี่ด้วยความเร็วรถสปอร์ต แต่ด้วยความรู้เส้นทางถนนในเมือง A หลังจากเลี้ยวไปหลายทาง เย่ฉ่าวเฉินก็เห็นคาเยนน์ของเขา

“จางเหอ ฉันเห็นแกแล้ว รถของมู่เทียนเย่คันไหน?”

“ รถปอร์เช่สีแดงข้างหน้า” จางเหอจ้องมองไปที่รถเพราะกลัวว่ามันจะหายไปต่อหน้าต่อตา แต่เขารู้สึกแปลกๆในใจของเขา เห็นได้ชัดที่แยกเมื่อกี้ มู่เทียนเย่พยายามดีดตัวออก แต่ตรงกันข้ามตอนนี้เขากลับช้าลงราวกับว่ารอให้เขาตามทัน

คงไม่มีแผนการอะไรใดๆหรอกมั้ง

หรือว่า เขาไม่เคยสังเกตเห็นตัวเองเลย?

รถไล่ตามกันสามคัน หนึ่งชั่วโมงผ่านไปออกจากเมืองA เย่ฉ่าวเฉินสงสัยเล็กน้อยมู่เทียนเย่จะพาเวยเวยไปที่ไหน? ทางทิศตะวันออกตรงนั้นก็เป็นทะเล หรือว่าพวกเขาจะนั่งเรือหนีไป?

ตลอดทางไปทางทิศตะวันออก แท็กซี่ออกมาถึงชานเมืองก็ไม่มีประโยชน์ รถสองคันข้างหน้าเป็นรถสปอร์ต ต่อให้คนขับมีความชำนาญมากแค่ไหน ประสิทธิภาพของรถก็สู้ไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูรถสองคันยิ่งอยู่ยิ่งวิ่งไปไกล ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกสักพักก็คงไม่เห็นแม้แต่เงาของรถ

เย่ฉ่าวเฉินไม่มีทางเลือก “จางเหอหันกลับมารับฉัน คนขับรถ จอดรถ”

พี่ชายคนขับพูดอย่างอาย ๆ ว่า “ขอโทษด้วยนะความเร็วของรถคันนี้เทียบไม่ได้กับรถสปอร์ตจริงๆ”

หลังจากรถแท็กซี่จอดแล้ว รถคาเยนน์ก็มาถึง เย่ฉ่าวเฉินก็รีบลงรถและขึ้นรถ

พี่ชายคนขับมองไปที่คาเยนน์ที่หายไปในพริบตาพูดชมว่า “รถดีก็เร็วแบบนี้แหละ” แล้วนับเงินตรงหน้าด้วยความดีใจ

……

บนหน้าผาริมทะเลรถปอร์เช่สีแดงจอดอยู่นิ่งๆ เหมือนเสือชีต้าที่เหนื่อยล้า

“บูม -”

จู่ๆคาเยนน์ก็หยุดอยู่ห่างออกไปสิบเมตร

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่รถคันข้างหน้าอย่างเย็นชาและพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นอกเหนือจากเสียงลมและคลื่นแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นๆอีก มู่เทียนเย่คิดจะทำอะไรทำไมมาจอดรถไว้ที่นี่?

“ จางเหอ แกแน่ใจหรอว่าข้างในคือมู่เทียนเย่?” เย่ฉ่าวเฉินถามเขา

“เป็นมู่เทียนเย่แน่นอน เขายังยิ้มหยามออกมาให้ฉันเลย” จางเหอตอบด้วยความมั่นใจ

เย่ฉ่าวเฉิน เปิดช่องหน้ารถทางด้านขวามือของรถหยิบปืนพกออกมาและบรรจุกระสุนทีละนัด

จางเหอมองดูด้วยความตกใจ “คุณชาย คุณ…… ”

“ มู่เทียนเย่ชอบเล่นไม่ใช่หรอ? งั้นคราวนี้มาเล่นกันให้พอเถอะ” ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความกระหายเลือด เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เทียนเย่ท้าทายขีดจำกัดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีก เขาทนพอแล้ว ถ้าอย่างงั้นเรามาไขความคับข้องใจระหว่างเราในวันนี้กันเลยดีกว่า

จางเหอไม่กล้าที่จะพูด

เดินตามเขาออกไปจากรถอย่างเงียบ ๆ

“มู่เทียนเย่ มึงออกมาสิวะ!” เย่ฉ่าวเฉินตะโกนใส่ปอร์เช่

ประตูเปิดออกและมู่เทียนเย่ก็ลุกจากที่นั่งคนขับด้วยสีหน้าพอใจราวกับว่าเขากำลังพักผ่อนอยู่

มู่เทียนเย่มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยสายตาเย้ยหยันยิ้มมุมปากและพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉิน มึงตามกูมาตลอดทาง มึงอยากทำอะไร?”

“มึงว่ากูอยากทำอะไรล่ะ? มู่เทียนเย่ ครั้งก่อนกูไว้ชีวิตมึงเพราะเห็นแก่มู่เวยเวย ทำไมถึงไม่หลาบจำ อยากวอนลูกปืนมากนักหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินยกปืนขึ้นและเล็งไปที่หัวของมู่เทียนเย่“ เชื่อไหมกูส่งมึงไปสวรรค์ได้ตอนนี้เลย?”

มู่เทียนเย่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ยักไหล่“เย่ฉ่าวเฉิน มึงพูดเยอะขนาด กล้าเหนี่ยวไกไหมล่ะ?”

“ปั๊ง-” เย่ฉ่าวเฉินยิงไปที่ขาของมู่เทียนเย่ จากนั้นก็ไม่ขยับ

มู่เทียนเย่หัวเราะเยาะ“ เย่ฉ่าวเฉิน วิธียิงปืนของแกไปเรียนมาจากไหน? เมื่อหลายปีก่อนฉันไม่เคยสอนหรอว่ายิงคนให้ยิงที่หัว?”

“ มู่เทียนเย่ อย่ามาท้าทายขีดจำกัดของฉัน มู่เวยเวยอยู่ไหน?”

มู่เทียนเย่หัวเราะเบา ๆ “ เวยเวย? ในที่สุดแกก็นึกถึงเวยเวยแล้วหรอ ว่าแต่ พวกเธออยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอ? ทำไมมาถามหาคนกับฉันได้?”

เปลือกตาของเย่ฉ่าวเฉินกระตุกสองสามครั้ง“ มู่เทียนเย่ อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน คนที่นั่งอยู่ในรถไม่ใช่เธอหรอ?”

มู่เทียนเย่หัวเราะเสียงดัง“ ใครบอกแกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในคือเวยเวย?”

เย่ฉ่าวเฉินมองกลับไปที่จางเหออย่างกะทันหัน จางเหอดูงุนงง “ฉันเห็นเต็มตาว่าเขาพาคุณนาย……”

“จริงหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……โอ้ย ขำว่ะ ” มู่เทียนเย่หัวเราะจนน้ำตาไหล พูดกับจางเหอว่า “น้องชาย ตาของแกยังดีอยู่ไหม? ฉันพาแฟนของฉันขึ้นรถตางหาก”

“เป็นไปไม่ได้ ฉันเห็นเต็มตา…… ” จางเหอพูดอย่างแน่วแน่

จางเหอตบหลังคารถและตะโกนเข้าไปว่า “ออกมาสิ ให้พวกเขาเห็นกับตา ”

ประตูรถเปิดออกและสาวสวยคนหนึ่งก็ออกจากรถ ผมยาวคลุมไหล่ สวมเสื้อคลุมสีชมพูและรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่หนึ่ง……

พวกเขาสวมชุดเหมือนกัน แต่ใบหน้านั้นไม่ใช่มู่เวยเวย ถ้าหากไม่มองให้ดีๆก็จะเข้าใจว่าเป็นมู่เวยเวย แถมยังมีมู่เทียนเย่อยู่ข้างๆ……

“คุณชาย ฉัน……” จางเหอรู้สึกรำคาญและอยากจะกระโดดลงไปในทะเล ที่ทางเข้าของโรงแรมใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นถูกปิดกั้นด้วยผมยาวและเธอก็สวมชุดแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็เลยคิดว่าเป็นมู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆวางปืนลง เขาไม่ได้ตำหนิจางเหอ ถ้าเขาเห็นก็คงคิดว่าเป็นมู่เวยเวยเหมือนกัน

เขาโดนหลอกอีกแล้ว

ทั้งๆที่มีเวลารอผู้หญิงคนนั้นออกมาจากห้องน้ำ ด้วยความเฉียบแหลมของเขา หากมู่เวยเวยหายไปจากเขา ทำไมเขาจะรู้สึกไม่ได้ล่ะ?

เป็นห่วงจนวุ่นวายไปหมด

ดังนั้น ทันทีที่ได้ยินผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามู่เวยเวยออกไปแล้ว สมองของเขาก็ร้อนรุ่มและด้วยคำพูดของจางเหอเขาก็สูญเสียสติไปในทันที

ทำไมถึงโง่ได้ขนาดนี้?

“เห็นชัดหรือยัง? เธอไม่ใช่เวยเวย” มู่เทียนเย่เอนตัวไปในรถและยืดตัว “มันน่าผิดหวังจริงๆที่ออกไปข้างนอกกับแฟนสาวเพื่อดูทะเลแต่กลับถูกคนอื่นรบกวนแบบนี้”

……

ที่โรงแรม ก่อนไฟดับสามนาที

มู่เวยเวย เดินเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิง คนหนึ่งกำลังแต่งหน้า เธอเหลือบมองเธอผ่านกระจก มู่เวยเวยไม่ได้สนใจและไปที่ห้องน้ำเธอกดน้ำ ทันทีเปิดประตูออกมา ผู้หญิงตคนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตู

“จุ๊ๆ-” ผู้หญิงคนนั้นบอกให้เธอเงียบและพาเธอเข้าไปอีกห้อง

“คุณเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?” มู่เวยเวยถามด้วยความกังวล

ผู้หญิงคนนั้นกระพริบตา “จำฉันไม่ได้แล้วหรอ?”

มู่เวยเวยกระพริบและปิดปากของเธอ “ผู้ช่วยพยาบาล?”

“ อย่าส่งเสียงดัง ฉันพูดอะไรให้ทำตาม เข้าใจไหม?”

มู่เวยเวยพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คาดคิดว่าพี่ชายของเธอจะวางแผนไว้ แม้ว่าพยาบาลคนนั้นจะแต่งหน้า แต่เธอก็ยังจำได้

“ขึ้นไปยืนข้างบนนี้ อย่าให้คนมองจากข้างนอกแล้วเห็นขาของเธอ ฉันรู้ว่ามันยาก แต่แค่แปปเดียวอดทนไว้”

ห้องน้ำแต่ละห้องจะมีกล่องพิเศษ พยาบาลหมายถึงที่ๆเธอยืนอยู่ ทางโรงแรมทำกล่องจากโลหะซึ่งน่าจะรับน้ำหนักคนได้

“มาเร็ว ขึ้นไป ไม่มีเวลาแล้ว”

มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆและแอบพูดในใจ ลูกรัก เป็นกำลังใจให้แม่ด้วย ลูกจะต้องไม่เป็นอะไร

จากนั้นก้าวเท้าข้างหนึ่งบนโถส้วม เท้าอีกข้างหนึ่งบนกล่องโลหะจับขอบด้านบนของห้องไว้ ขยับเท้าอีกข้างไปข้างหน้า

ทันใดนั้น ไฟก็ดับลงทันที

มีเสียงหวีดหวิว และเธอก็ได้ยินเสียงพยาบาลเหมือนกำลังปลดกางเกงของเธอ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ไฟก็สว่างขึ้นอีกครั้ง

จากนั้น เสียงของเย่ฉ่าวเฉินก็ดังออกมาจากข้างนอก ใจของมู่เวยเวยเต้นแรงขึ้นมาทันที จับฉากกั้นไว้แน่นๆและรำพึงในใจของเธอว่า “อย่าเห็นฉัน ไม่เห็นฉัน”

เวยเวย เวยเวย —

เย่ฉ่าวเฉินตะโกนเสียงดังจากข้างนอก เมื่อเขาผลักประตูเข้ามา มู่เวยเวยก็กลั้นหายใจทันที

พยาบาลนั่งอยู่ที่โถส้วมกรีดร้องออกมาและด่าออกไปคำนึง

มู่เวยเวยลืมตาขึ้นและมองลงไป เธอถอดกางเกงออกแล้วนั่งลงบนชักโครกจริงๆ

พูดได้ว่าเล่นได้สมบทบาทมาก ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินจะเปิดประตูแล้วมู่เวยเวยอยู่หลังประตูสิ่งแรกที่เขาเห็นคือพยาบาล ตามความคิดปกติเขาต้องรีบออกไปทันที

ไม่คาดคิด เย่ฉ่าวเฉินไม่แม้แต่จะเปิดประตู เขาไปถามผู้หญิงอีกคนผลก็คือเขาถูกหลอกให้ออกไปได้อย่างง่ายดาย

หลังจากที่ฝีเท้าของเย่ฉ่าวเฉินหายไป ผู้หญิงที่กำลังแต่งหน้าอยู่ข้างนอกก็วิ่งออกไปดูและเห็นเขาวิ่งไปไกลแล้ว จากนั้นก็รีบกลับมาและบอกว่า “เขาไปแล้ว พวกเธอเร็วเข้า”

ตอนนี้พยาบาลก็รีบใส่กางเกงเรียบร้อย แล้วช่วยมู่เวยเวยลงมาและถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?”

“ฉันไม่เป็นอะไร” มู่เวยเวยกังวลมาก ทั้งหมดนี้น่าตื่นเต้นเกินไป

ผู้หญิงสองคนพามู่เวยเวยไปตามทางเดินของโรงแรมอย่างรวดเร็ว มีรถรออยู่ที่ประตูแล้ว เธอนั่งลงในรถอย่างสงบ หัวใจของมู่เวยเวยเต้นแรงและมือสั่นเบาๆ

พยาบาลสังเกตเห็นอาการของเธอและเอามือมาปลอบเธอว่า “อย่ากังวลมาก คุณกำลังท้อง การวิตกกังวลมากเกินไปไม่ดีสำหรับเด็ก”

“อืมอืม ฉันรู้แล้ว แต่ฉันก็อดไม่ได้นี่หนา” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับร้องไห้และยิ้ม

“เมื่อกี้คุณกล้าหาญมาก ลองหายใจเข้าลึกๆสักสองสามครั้ง”

ภายใต้การปลอบของพยาบาลทำให้มู่เวยเวยค่อยๆสงบลง ในเวลานั้นรถก็ขับออกมาจากโรงแรม

“ พี่ชายของฉันล่ะ? พวกเราจะไปไหน?” มู่เวยเวยถามพยาบาล

“เจ้านายหลอกเย่ฉ่าวเฉินออกไปอีกทาง ตอนนี้พวกเราต้องออกจากเมือง A ก่อน” พยาบาลตอบสั้น ๆ

มู่เวยเวยตกตะลึง เธอคิดว่าพี่ชายของเธอรอเธออยู่ที่นี่ แต่ไม่คาดคิดว่าพี่จะเป็นคนไปล่อเย่ฉ่าวเฉิน

“ เขา……เขาไม่บอกหรอว่าต้องไปเจอกันที่ไหน?”

“ไม่ได้บอกค่ะ ถ้าถึงแล้วจะมีคนมารับเรา คุณไม่ต้องเป็นห่วง” พยาบาลนึกอะไรบางอย่างได้ หยิบเอกสารจากกระเป๋ามาให้เธอ “เจ้านายบอกให้เอานี่ให้คุณ ”

มู่เวยเวยเปิดมันและเห็นว่ามันเป็นเอกสารการโอน อีกด้านเป็นชื่อของมู่จางรุ่ย อีกด้านเป็นชื่อเธอ เมื่อเธอเห็นก็ลืมตาโตขึ้น พี่ชายของเธอนำทรัพย์สินทั้งหมดที่มู่ชางรุ่ยที่เอาไปจากตระกูลมู่เปลี่ยนเป็นชื่อของตัวเอง ซึ่งรวมทรัพย์สินหลายอย่าง ส่วนของบริษัท และรถหรูหลายคัน

อสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ถูกขายและเงินจะถูกฝากไว้ในบัญชีธนาคารของสวิสที่เขาเปิดให้เธอและเธอสามารถนำมันไปเบิกได้ เมื่อเธอไปถึงที่นั่น

มู่เวยเวยไม่เข้าใจเขาทำแบบนี้ทำไม เขาให้พวกนั้นเพื่ออะไร? จัดแจงทุกอย่างเหมือนว่าเขาจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว?

ยิ่งคิดยิ่งไม่ถูก ไม่ได้ เธอจะไปง่ายๆแล้วปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้

เธอเข้าใจเย่ฉ่าวเฉิน หากเขารู้ว่าพี่ชายหลอกเขา เขาจะลงไม้ลงมืออย่างรุนแรง หรือไม่ก็อาจลงมือฆ่าพี่ชาย……

เธอไม่สามารถเอาอิสระของตัวเองมาแลกกับชีวิตของพี่ชายได้ ถ้าอย่างงั้นเธอยอมอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินทั้งชีวิตก็ยังได้ เธอต้องการให้พี่ชายมีชีวิตอยู่

“คุณรู้ไหมว่าพี่ฉันจะพาเย่ฉ่าวเฉินไปไหน” มู่เวยเวยพูดขึ้น

พยาบาลมองเธออย่างกังวล“ คุณจะถามทำไม?”

“พาฉันกลับไป” มู่เวยเวยพูดอย่างหนักแน่น “คุณต้องรู้แน่ว่าพี่ฉันอยู่ที่ไหน พาฉันกลับไป”

พยาบาลและสาวแต่งหน้าเหลือบมองหน้ากันแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้านายสั่งให้ฉันพาคุณออกจากเมือง A ส่วนเรื่องอื่นเราไม่ต้องไปยุ่ง”

มู่เวยเวยจับแขนเธออย่างกระวนกระวาย“พี่สาวคนสวย เขาเป็นพี่ชายฉัน ไม่สนได้ยังไง พวกคุณไม่รู้จักเย่ฉ่าวเฉิน เขาเป็นคนบ้า ถ้าเขารู้ว่าพี่ฉันหลอกเขา เขาต้องฆ่าพี่ฉันแน่ๆ แล้วพวกเขายังมีเรื่องบาดหมางกันมากขนาดนั้น”

เห็นได้ชัดว่าพยาบาลมั่นใจในตัวมู่เทียนเย่มาก “คุณหนูมู่ ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินจะฆ่าเจ้านาย เขาก็ต้องมีความกล้านั้นถึงจะทำได้”

มู่เวยเวยไม่สามารถบอกพวกเขาได้ว่าเย่ฉ่าวเฉินมีพลังเหนือธรรมชาติดังนั้น เธอจึงสามารถอธิบายได้แค่“ ไม่ คุณไม่เข้าใจความสามารถของเย่ฉ่าวเฉิน ไม่อย่างงั้นพี่จะเอาทั้งหมดนี่ให้ฉันทำไม นี่คือการเตรียมไว้ก่อนไปตาย ฉันจะปล่อยให้พี่ชายตัวเองไปตายได้ยังไง?”

พยาบาลยังคงไม่เห็นด้วย“ คุณหนูมู่ ยกโทษให้พวกเราด้วยที่ไม่สามารถฟังคุณได้ ยังยืนยันคำนั้น เจ้านายสั่งอะไรไว้เราทำอันนั้น อย่างอื่นก็ไม่ต้องสนใจ”

มู่เวยเวยรู้สึกกังวล“ เขากำลังจะตายแล้ว ยังจะมาอะไรเจ้านงเจ้านายอีก จะให้ฉันเป็นคนทำพี่ตายหรอ?”

บรรยากาศในรถเริ่มนิ่ง……

หลังจากที่มู่เวยเวยสงบลง เธอก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “เอาอย่างงี้ พาฉันไปที่พี่ฉันอยู่ และคอยดูจากไกลๆถ้าพี่ชายของฉันสบายดีเราจะหันหลังกลับและหากเขาโทษพวกคุณ ฉันจะรับโทษแทนเอง โอเคไหม?”

ผู้หญิงสองคนในรถก็ไม่พูด

“ พี่สาว ฉันขอร้องล่ะ……พวกคุณก็ไม่อยากเห็นพี่ฉันตายใช่ไหม? พี่สาว……”

“เอาล่ะเอาล่ะ เสี่ยวจาง เลี้ยวกลับไปที่ทะเล” พยาบาลอดทนไม่ไหว เธอถูกมู่เวยเวยพูดให้ใจอ่อน เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้เจ้านายตัวเองตาย

มู่เวยเวยดีใจมาก กอดไหล่ของพยาบาลและพูดว่า “ขอบคุณ”

“เธอ…… เธอรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฝ่าฝืนคำสั่ง” ผู้หญิงอีกคนหันศีรษะและจ้องมองไปที่พยาบาลด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ

พยาบาลเหลือบมองเธอและพูดว่า “ก็ต้องรอดูถ้าเขายังมีชีวิต”

ถ้าเขาตาย จะพูดถึงบทลงโทษทำไม?

ไม่มีใครพูด

……

ริมทะเล

ดวงอาทิตย์กำลังจะจมลงสู่ก้นทะเล แสงของดวงอาทิตย์ทำให้พื้นผิวทั้งหมดเปียกโชกราวกับทะเลเพลิง

รถสองคัน คนสี่คนกลายเป็นสิ่งที่สะดุดตาในทะเลเพลิง

หลังจากที่เย่ฉ่าวเฉินบังคับตัวเองให้สงบลง เขาก็เริ่มไถ่ถามอีกครั้ง“ มู่เทียนเย่ แกพยายามหลอกฉันให้ออกมาที่นี่ เพื่ออยากพามู่เวยเวยไปใช่ไหม”

มู่เทียนเย่มองลงไปที่นาฬิกาของเขาและถอนหายใจอย่างโล่งอก“ สองชั่วโมงกว่าแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เวยเวยก็น่าจะขึ้นเครื่องบินแล้ว” หึม เขาไม่อยากจะเชื่อ เขากลัวที่จะเกิดอันตราย รีบโอนย้ายไปยังเครื่องบินทันที

อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินสงบลงอีกครั้ง“ มู่เทียนเย่ ทำไมแกจ้องจะแยกฉันกับเวยเวย?”

ท่าทีของมู่เทียนเย่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและพูดว่า“ เย่ฉ่าวเฉิน ไม่ใช่ฉันอยากแยกพวกคุณ แต่เวยเวยต้องการที่จะไปจากคุณ ถ้าเธอไม่อยากไปจากคุณ ฉันอาจละทิ้งความสงสัยก่อนหน้านี้ และพยายามยอมรับคุณเป็นน้องเขยของฉัน แต่ว่า ภาพแบบนี้ชาตินี้พวกคุณคงไม่ได้เห็นมันอีกแล้วล่ะ”

คำพูดของมู่เทียนเย่คมเหมือนมีด

ในใจของเย่ฉ่าวเฉิน เขาพูดถูก เหตุผลที่มู่เวยเวยถูกมู่เทียนเย่พาตัวไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเธอต้องการจากไป หากเธอไม่ต้องการไปจากฉัน ครั้งที่หนานกงเฮ่าพาเธอไป เธอก็คงโทรหาฉันให้ไปช่วยแล้ว…..

เขาทำดีไปขนาดนี้แล้ว มันไม่ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเธอกลับมาอบอุ่นอีกครั้งหรอ?

ไม่ ต่อให้เปลี่ยนกลับไม่ได้แล้วยังไง? ตราบใดที่เธออยู่ในสายตา ให้กำเนิดลูก เขาไม่เชื่อว่าชาตินี้จะเอาชนะใจเธอไม่ได้

แต่ว่า ก่อนที่จะไปหามู่เวยเวย เขาต้องจัดการกับมู่เทียนเย่ก่อน ต่อให้ไม่ฆ่าเขา ก็ต้องทำให้เขาลุกจากเตียงไม่ได้สักปี แบบนี้ มู่เทียนเย่จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเขาและเวยเวย

“ มู่เทียนเย่ ไม่กี่ปีที่แล้ว ทำให้น้องฉันเหมือนตายทั้งเป็น ปล่อยให้เขาต้องทุกข์ทรมานอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน แถมยังเสียแขนไปอีกข้าง บัญชีนี้เรามาคิดกันวันนี้ดีกว่า” เย่ฉ่าวเฉินโยนปืนลงบนพื้น ดึงเสื้อคลุมอีกข้างขึ้น

แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของมู่เทียนเย่จะยังไม่หายดี แต่ตอนนี้เขาจะยอมได้อย่างไร?

“พอดีเลย หนึ่งปีมานี้ แกทำให้เวยเวยต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันก็อยากคิดบัญชีเหมือนกัน” มู่เทียนเย่ถอดเสื้อออก โยนปืนลงที่พื้น

ทั้งสองจ้องมองอย่างเย็นชา ขยับเท้าและพุ่งเข้าหากัน …

การต่อสู้ด้วยมือเปล่านั้นน่าตกใจยิ่งกว่าดาบและกระสุน ยิ่งทั้งสองคนฝีมือไม่มีใครยอมใคร

ครั้งที่แล้วต่อสู้กันที่โรงพยาบาล สถานที่มีพื้นที่จำกัด ใช้เท้าใช้ขาก็ไม่ได้ แต่ตอนนี้ พื้นที่อำนวยต่อสู้ยังไงก็ได้ ไม่มีใครมารบกวนอีกด้วย

ทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นสิงโต อีกคนเป็นเสือ จางเหอเป็นเสือดาวตัวน้อย ทำได้เพียงยืนดูการต่อสู้ ถ้าลงสนามด้วยสิ่งเดียวที่ได้คือความพ่ายแพ้

รถที่มู่เวยเวยนั่งอยู่ก็มาจอดอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ จากมุมนี้เธอสามารถมองเห็นสถานการณ์ของทั้งสี่คนได้ แต่อีกฝ่ายมองไม่เห็นตัวเอง

สังเวียงที่สมบูรณ์แบบ

ในขณะนี้ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ ยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้เขาก็ถือโอกาสกระโดดไปเตะที่หน้าอกของมู่เทียนเย่ เตะเขาถอยหลังไปหลายก้าว เกือบล้มลงกับพื้น

“พี่!” มู่เวยเวยอุทานออกมา กำลังจะเปิดประตูและลงจากรถ แต่ถูกพยาบาลดึงไว้ “ตอนคุณกลับมาพูดว่ายังไง? อีกอย่างพวกเขาก็คงกำลังเคลียร์ศีกดิ์ศรีของตัวเอง ยังไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายหรอก”

“เธอรู้ได้ยังไง?”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset