วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 169 ชายชุดดำลึกลับ

รุ่นพี่เป็นคนฉลาด แปบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าแฟนของตัวเองไม่ปกติ ปกติเธอไม่ได้ใจดีกับเขาอย่างนี้ หรือว่า…..

สีหน้าของเขาค่อยๆเย็นชาขึ้น

เกิดความเงียบขึ้นมากะทันหัน แข้งเย่ฉ่าวเฉินถูกเตะเบาๆ เขาขมวดคิ้วมองผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามด้วยสีหน้านิ่งสงบ ตอนนี้เธอกำลังก้มหน้ากินข้าว ราวกับเมื่อกี้เป็นอุบัติเหตุ

เย่ฉ่าวเฉินถอยเท้าออกมาเล็กน้อย ตั้งใจดูแลมู่เวยเวยกินข้าวต่อ แต่จากนั้นแค่แปบเดียวก็มีนิ้วเท้ามาเขี่ยหน้าแข้งของเขา

หึหึ….

เย่ฉ่าวเฉินหยุดการกระทำในมือทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง ครั้งนี้เขาสบตากับสายตาเย้ายวนของเธอ หลังจากสบตากันอยู่หลายวิ เย่ฉ่าวเฉินก็เป็นฝ่ายหลบสายตาไป

ผู้หญิงคนนี้กล้าทำลายตัวเองในที่แบบนี้ ช่างกล้ามากจริงๆ

“ประธานเย่ปกติคุณชอบออกกำลังกายอะไรคะ” ผู้หญิงคนนั้นเอานิ้วเขี่ยขาเขาและถามไปด้วย

เย่ฉ่าวเฉินรู้จุดประสงค์ของเธอดี แต่ก็ไม่อยากหักหน้าเธอต่อหน้ามู่เวยเวย จึงตอบกลับไปอย่างเย็นชา “ไม่ชอบอะไรเลย”

“ไม่ชอบอะไรเลยยังดูแลรูปร่างได้ดีขนาดนี้ มีเคล็ดลับอะไรมั้ยคะ”

“ไม่มี มันเป็นเอง”

ยัยโง่ รู้ๆอยู่ว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่อยากคุยกับเธอต่อไป แต่หญิงงามคนนี้ก็ยังทำเป็นไม่เห็นความเย็นชาของเขา แล้วพูดอย่างใจดีต่อ “ฉันอิจฉาประธานเย่จริงๆกินยังไงก็ไม่อ้วน ประธานเย่คะ ฉันชอบชุดผู้หญิงของบริษัทคุณมากเลย คุณว่าฉันเหมาะกับตัวไหนคะ ช่วยแนะนำให้ฉันหน่อยได้มั้ย”

“เสี่ยวโยว ประธานเย่ยุ่งมากอย่าไปกวนเขา” รุ่นพี่ห้ามเธออย่างทนไม่ไหว เพราะเห็นสีหน้าเย็นชาของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆ

แฟนของเขาเบะปากตอบ “ตอนนี้กินข้าวไม่ใช่หรอ ไม่ได้กวนเวลาทำงานของประธานเย่สักหน่อย”

เขาแสดงความรังเกียจต่อการกระทำใต้โต๊ะของเธออย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตอบเธอ เมื่อเห็นมู่เวยเวยกินข้าวมาสักพักแล้ว ก็ถามเสียงอ่อน “อิ่มรึยัง ผมเห็นข้างหน้ามีร้านโจ๊ก ไปกินอีกชามละกัน”

“ไม่อยากกินแล้ว อิ่มแล้ว” มู่เวยเวยใช้ทิชชู่ซับปาก

สายตาของแฟนรุ่นพี่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เธอพูดแฝงไปด้วยอาการหึงหวง “น้องสะใภ้เวยเวยทะเลาะกับประธานเย่หรอ นี่น้องสะใภ้ ผู้ชายทำงานข้างนอกลำบากมากนะ เธอต้องเหรงใจหน่อย”

“หลินเสี่ยวโยว วันนี้คุณพูดมากไปแล้วนะ” รุ่นพี่ตำหนิเธอเสียงต่ำ

หลินเสี่ยวโยวเห็นมู่เวยเวยยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ฟังที่เธอพูด ความโกรธก็เริ่มปะทุขึ้นมามากขึ้น “น้องสะใภ้ทำไมไม่พูด หรือจะบอกว่าที่พี่พูดไม่ถูกหรอ”

มู่เวยเวยถอนหายใจในใจ ทำไมแค่เธอไม่อยากพูดก็ไม่ได้ ขณะที่กำลังจะเปิดปากอธิบาย เย่ฉ่าวเฉินก็ตอบเสียงเย็น “ขอแค่เวยเวยอยู่กับผม ไม่ว่าเธอจะทำกับผมยังไงผมก็ไม่ว่า แล้วก็คุณเลิกเอาขามาเขี่ยผมสักที ผมไม่สนใจคุณเลยสักนิด” จากนั้นก็พูดกับรุ่นพี่ด้วยสีหน้าสับสน “ผู้หญิงแบบนี้คุณไม่คิดจะเลิกแถมยังคิดจะแต่งงานด้วยอีกหรอ ถ้าเธอหาคนที่ดีกว่าคุณได้ เธอก็จะทิ้งคุณไปทันที”

“ประธานเย่….” รุ่นพี่หน้าแดง

หลินเสี่ยวโยวหน้าซีด กัดริมฝีปากล่างไม่กล้าพูด

เย่ฉ่าวเฉินหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ให้เขา พร้อมบอก “ครั้งที่แล้วคุณช่วยพวกเรา ถ้าต้องการอะไรให้รีบติดต่อผมมาได้เลย”

รุ่นพี่ยื่นมือสองข้างไปรับนามบัตร และพูด “ครับๆ รบกวนแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ โน้มตัวลงไปพูดกับเวยเวย “พวกเราไปกันเถอะ ออกมานานแล้ว อยากกลับไปพักผ่อนแล้วล่ะสิ”

มู่เวยเวยหันไปยิ้มให้รุ่นพี่บางๆ และลุกออกจากร้านอาหาร

เมื่อทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว รุ่นพี่ก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเราเลิกกันเถอะ”

หลินเสี่ยวโยวกำลังจะรั้ง แต่รุ่นพี่ก็ลุกเดินออกไปทันที ไม่ให้โอกาสนั้นกับเธอ

ความน่าเคารพของเขา ถูกผู้หญิงคนนี้ทำลายต่อหน้ามู่เวยเวย เขาหน้ามืดตามัวไปชอบเธอได้ยังไง

……

วันถัดไป เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป

เย่ฉ่าวเฉินอ่านเอกสารไปพลางเป็นห่วงที่บ้านไปด้วย สุดท้ายเขาก็เลือกโทรไปกลับไป

“อาหวัง หมอเหยียนมารึยัง”

“คุณชาย หมอเหยียนมาตั้งแต่สิบโมงแล้วครับ ตอนนี้อยู่ในห้องคุณหนู”

เย่ฉ่าวเฉินโล่งอก “อืม งั้นก็ดี มีอะไรให้โทรมาหาผมได้เลย”

“ครับคุณชาย”

เย่ฉ่าวเฉินวางสาย พอดีกับที่เลขาหลิวเดินเข้ามาบอก “ประธานเย่ มู่จางรุ่ยมาพบคุณค่ะ”

มู่จ่างรุ่ยหรอ เขามาทำไม อ๋อ ใช่สิ เย่ฉ่าวเฉินนึกออกแล้ว คราวก่อนเพื่อที่จะตามหามู่เทียนเย่ เขาเลยยอมตกลงที่จะทวงบริษัทมู่ซื่อคืนให้ เขาน่าจะมาเพราะเรื่องนี้

แต่นี่มันชุบมือเปิบชัดๆ ถึงมู่เทียนเย่ตายแล้วก็ยังมีมู่เวยเวย เมื่อก่อนสมบัติของตระกูลมู่เขาขี้เกียจเข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้ของที่ควรจะเป็นของมู่เวยเวย เขาไม่ยอมยกให้ใครแน่

“ประธานเย่ ให้เขาเข้ามามั้ยคะ” เลขาหลิวเห็นเขาพูดจึงถามออกมา

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้ม “ให้เขาเข้ามา” เขาอยากจะรู้นักว่าจิ้งจอกเฒ่านี่จะทำอะไรได้อีก

ประตูถูกเคาะอย่างรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินอ่านเอกสารในมือต่อโดยไม่เงยหน้าตอบ “เข้ามา”

มู่จางรุ่ยเข้ามาด้วยใบหน้าสดใส หลายวันมานี้เขาได้ยินมาว่ามู่เทียนเย่หายตัวไป เขาคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินแน่ๆ จึงรีบมาทวงสัญญา เขาอยู่บ้านเล็กๆนั่นหนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี บ้านที่มู่เทียนเย่มอบให้ ถูกมู่อี้เหยาผลาญทิ้งในเวลาไม่กี่วัน ตอนนี้แค่เขาได้กินข้าวสามมื้อก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว

“ประธานเย่ คุณยุ่งอยู่หรอ” มู่จางรุ่ยก้มหน้าโค้งคำนับ พลางทักทายอย่างกระตือรือร้น

เย่ฉ่าวเฉินถามเขาต่อ โดยไม่เงยหน้ามอง “มาหาผมมีอะไร”

มู่จางรุ่ยเดินตรงมาที่โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ของเขา และเหยียดมือวาง พร้อมพูดยิ้มๆ “ประธานเย่ยังจำสัญญารอบที่แล้วที่เราคุยกันได้มั้ย ถ้าคุณหามู่เทียนเย่เจอแล้วจะช่วยผมเอาบริษัทมู่ซื่อคืน”

เย่ฉ่าวเฉินวางเอหสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ ผมจำได้”

มู่จางรุ่ยตื่นเต้นตาเป็นประกาย “งั้น…งั้นตอนนี้ถึงเวลาแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังกอดอกพิงพยักเก้าอี้ “ถึงเวลาอะไร”

มู่จางรุ่ยเห็นท่าทางของเขาแล้วใจกระตุกทันที จีงรีบพูด “โอกาสที่จะทวงบริษัทมู่ซื่อคืนน่ะสิ ประธานเย่ผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ คุณคงไม่คิดจะกลับคำหรอกใช่มั้ย”

“อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง มู่จางรุ่ยคุณอย่าลืมว่าตอนนั้นก่อนเราจะสัญญากัน เราคุยกันว่ายังไง” เย่ฉ่าวเฉินช่วยเขาทวนความจำ “ตอนนั้นพวกเราคุยกันว่า ถ้าหามู่เทียนเย่เจอผมจะช่วยคุณ คุณเลยให้เบาะแสเป็นบ้านเก่าของตระกูลมู่หลายแห่ง ถ้าผมหามู่เทียนเย่เจอผมคงช่วยคุณไปแล้ว แต่สุดท้ายผมไปมาทุกที่ก็ไม่เจอมู่เทียนเย่ ตอนนี้คุณจะมาทวงสัญญาหรอ มู่จางรุ่ยคุณคิดถึงเงินจนเป็นบ้าไปแล้วรึไง”

หน้าของมู่จางรุ่ยแดงจัด เรื่องเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้มีแต่เย่ฉ่าวเฉินที่ช่วยเขาได้ เพราะพวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน

“ฮ่าๆ เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ” มู่จางรุ่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อย “แต่ประธานเย่ ไหนๆตอนนี้มู่เทียนเย่ก็หายตัวไปแล้ว ตระกูลมู่เหลือแค่ผมที่สามารถกุมบังเหียนได้ ถ้าคุณช่วยผมเอาบริษัทมู่ซื่อกลับมา ผมจะแบ่งหุ้นให้คุณ”

“คุณให้ผมได้เท่าไหร่” เย่ฉ่าวเฉินแอบยิ้มในใจ ตาเฒ่านี่ดูแล้วสิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ ถึงกับต้องพูดแบบนี้ออกมา

มู่จางรุ่ยเห็นว่าได้ผล จึงตัดใจตอบไป “สามสิบเปอร์เซ็น” เพื่อที่จะได้ผลตอบแทน เขาก็ต้องยอมแลก ยิ่งตอนนี้เขาเป็นเสือไร้เขี้ยวเล็บยิ่งต้องยอม

“ฮ่าๆๆๆ…..” เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเสียงดัง “มู่เทียนเย่คุณนี่ใจถึงจริงๆ”

ถ้าคิดแบบนักธุรกิจ ถือหุ้นในบริษัทมู่ซื่อสามสิบเปอร์เซ็น ก็เท่ากับเขาว่าเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่สองในบริษัท

“ประธานเย่พอใจในเงื่อนไขมั้ย” มู่จางรุ่ยต้องยอมกรีดเนื้ออย่างเจ็บปวด แต่เขาไม่มีทางเลือก

เย่ฉ่าวเฉินหยุดหัวเราะ และถามอย่างไม่เข้าใจ “ในเมื่อคุณบอกว่าคุณเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวในตระกูลมู่ ทำไมคุณไม่ไปรับช่วงต่อที่บริษัทเองโดยตรงเลย จะมาขอความช่วยเหลือผมทำไม”

พูดถึงตรงนี้ มู่จางรุ่ยก็กัดฟันด้วยความโกรธ

เขานั่งเก้าอี้ข้างๆ พลางพูดด้วยความโกรธ “ผมไปบริษัทมาแล้ว แต่คนพวกนั้นยอมรับแค่มู่เทียนเย่ บอกว่าถ้าไม่มีลายเซ็นของมู่เทียนเย่ก็จะไม่มอบบริษัทให้ผม ผมดูสีหน้าจริงจังของคนพวกนั้นแล้ว ถ้ามู่เทียนเย่ไปตายที่ไหน คนพวกนั้นคงจะแยกตระกูลมู่ของเรา…..”

“หุบปาก” เย่ฉ่าวเฉินพูดขัดจังหวะ ถึงมู่เทียนเย่จะเป็นศัตรูของเขา แต่ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านีบถือ แถมมู่เทียนเย่ยังเป็นพี่ชายของมู่เวยเวย ดังนั้นเขาจึงไม่อนุญาตให้คนอื่นมาว่าเขาลับหลัง

มู่จางรุ่ยไม่รู้ว่าตัวเองพูดผิดตรงไหนจึงรีบลุกจากเก้าอี้ และพูดอย่างระมัดระวัง “ประธานเย่ คุณไม่ใช่…..”

เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้ม และมองเขาอย่างไม่พอใจ “มู่จางรุ่ย คุณคิดว่าผมกับมู่เทียนเย่มีความแค้นส่วนตัวกันแล้วจะช่วยคุณแย่งเอาบริษัทมางั้นหรอ คุณดูถูกผมเกินไปแล้ว คนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือคนที่ทะเยอทะยานเห็นแต่ผลประโยชน์โดยไร้ศีลธรรมอย่างคุณ ถ้าคุณอยากได้ธุรกิจของตระกูลมู่ก็ไปแย่งเอาเอง ผมจะไม่ช่วยคุณ ไสหัวไปซะ ผมไม่ต้อนรับคุณ”

หลังจากมู่จางรุ่ยอึ้งไปหลายวิ เขาก็ยิ้มอย่างเหยียดหยามออกมา “แล้วคุณอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกันเย่ฉ่าวเฉิน วันนี้คุณปฏิเสธผม แต่ยังมีคนอีกเยอะที่อยากทำงานกับผม ผมไม่เชื่อหรอกว่าผลประโยชน์มากมายขนาดนี้อยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่มีคนสนใจ”

“งั้นก็ต้องดูว่าคนที่คุณไปหามีความสามารถมากพอมั้ย”

“ดี งั้นก็มาดูกันแล้วกัน” มู่จางรุ่ยทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น แล้วหันเดินออกไปด้วยความโกรธเคือง

เย่ฉ่าวเฉินจ้องประตูที่ปิดสนิท และคิดในใจว่าถ้าอารมณ์ของมู่เวยเวยดีขึ้น เขาสามารถแย่งทรัพย์สินของตระกูลมูลมาให้เธอได้ทั้งหมดแน่นอน แต่ตอนนี้แม้แต่ลูกเธอก็ไม่สนใจ เธอจะสนใจเรื่องเงินทองได้ยังไง

ปล่อยให้มู่จางรุ่ยวิ่งเต้นไปเถอะ ยังไงถ้าเวยเวยดีขึ้นแล้ว ถ้าอยากได้เขาค่อยไปแย่งมาก็ได้

คฤหาสน์ตระกูลเย่

หมอเหยียนตรวจอาการอย่างไม่ราบรื่น ไม่ว่าเธอจะถามคำถามอะไรกับมู่เวยเวย ก็เจอแต่ท่าทีเฉยชาหรือไม่ก็ถามยุ่งเหยิง มู่เวยเวยเป็นคนไข้ทางจิตที่อาการหนักที่สุด และไม่ให้ความร่วมมือที่สุดของหมอเหยียน เพราะเธอปฏิเสธการรักษา ในใจของเธอคิดถึงแต่ความตาย ไม่ได้คิดถึงการมีชีวิตอยู่ต่อ

ผู้ป่วยที่เธอรักษาทุกคนต่างต้องการชีวิตใหม่ แต่มู่เวยเวยกลับรอคอยความตาย

ถึงหมอเหยียนจะเก่งขนาดไหน ก็ไม่มีทางรักษาคนที่ใจตายได้

“หมอเหยียน คุณหนูของเราเป็นยังไงบ้างครับ” น้ำเสียงของพ่อบ้านหวังเต็มไปด้วยความกังวล

หมอเหยียนเงยหน้ามองระเบียงตรงชั้นสอง และพูดอย่างเสียใจ “พ่อบ้านหวัง บอกคุณเย่ด้วยว่าฉันไม่สามารถรักษาได้ ให้เขาหาคนอื่นมาเถอะ”

“คือ หมอเหยียน….” พ่อบ้านหวังกังวลมาก เขาไม่คิดว่าอาการของมู่เวยเวยจะหนักขนาดนี้ “หมอเหยียน คุณไม่มีวิธีเลยหรอ”

หมอเหยียนส่ายหน้า “ขอโทษค่ะ ความสามารถของฉันอาจจะยังไม่มากพอ ฉันพยายามรักษาคุณนายเย่เต็มที่แล้ว ฉันยังมีธุระต่อ ไปก่อนนะคะ”

พ่อบ้านหวังมองเธอไปจนสุดสายตา และถอนหายใจเฮือก ทำอย่างนี้ได้ยังไง

ตอนเย็น หลังจากเย่ฉ่าวเฉินกลับมาบ้านและได้ฟังคำบอกเล่าของพ่อบ้านหวัง เขาก็เงียบไปนานมาก

หรือเขาต้องปล่อยมือแล้วจริงๆ ในสมองของเขามีเสียงสะท้อนมาว่า ให้ปล่อยเธอไป อย่างน้อยก็จะทำให้เธอได้มีชีวิตอยู่ และลูกก็จะยังมีชีวิตอยู่

ตกดึกสาวใช้คนใหม่นอนหลับอยู่บ้านโซฟา แต่มู่เวยเวยยังคงลืมตาอยู่ นอนยังไงก็นอนไม่หลับ

เธอจำไม่ได้แล้วว่านอนไม่หลับมากี่คืน เธอก็อยากเป็นอย่างสาวใช้ที่หลับทันทีที่หัวถึงหมอน ไม่ต้องคิดอะไร แต่เธอทำไม่ได้ แค่เธอหลับตาก็เห็นภาพของพ่อกับแม่ที่จากไป ภาพที่พี่ชายตกหน้าผา เรื่องพวกนี้เหมือนหนังที่ฉายซ้ำๆอยู่ในหัวของเธอ….

เธอพยายามที่จะลบมันออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ลืมตา เขาว่ากันว่าคนท้องมักจะนอนหลับบ่อยไม่ใช่หรอ ทำไมเธอถึงหลับได้ยากขนาดนี้

ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากกินยานอนหลับ

นอกหน้าต่าง เสียงลมพัดกระทบอย่างรุนแรง

มู่เวยเวยพลิกตัว และกำลังจะผลอยหลับไป แต่ทันใดนั้นที่ระเบียงก็ปรากฏเงาเงาหนึ่ง

มู่เวยเวยจ้องเงานั้นเงียบๆโดยไม่ตกใจแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะเธอใจแข็งเพราะโดนเสี่ยวจื่อฝึกมาแล้ว และเธอก็รู้สึกด้วยว่าคนคนนั้นอาจเป็นเย่ฉ่าวเฉิน เพราะตอนที่เขาแกล้งเป็นเสี่ยวจื่อ ก็ชอบปรากฏตัวออกมากะทันหันแบบนี้

ระหว่างที่เธอคิดอยู่ คนชุดดำคนนั้นก็มองรอบๆ ก่อนจะค่อยๆย่องเข้าห้องมา

ไม่ นี่ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเป็นเขาเข้ามา เขาจะไม่ระวังขนาดนี้

เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร มู่เวยเวยจึงแกล้งหลับตาลง

ชายชุดดำเดินไปตรงหน้าสาวใช้ เอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกเธอ จากนั้นเสียงกรนของเธอก็ดังขึ้น ต่อจากนั้นมู่เวยเวยก็เห็นชายชุดดำคนนั้นเดินตรงมาที่เธอ

“คุณเป็นใคร คิดจะไปอะไร” มู่เวยเวยลืมตาจ้องเขาอย่างเย็นชา

ชายชุดดำตกใจกับความเย็นชาของเธออย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นหลายวิ เขาก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เธอไม่กลัวหรอ” ถ้าเป็นคนปกติคงกรี๊ดร้องไปแล้ว เขากำลังจะเตรียมปิดปากเธอ เพื่อขอเจรจาอยู่เลย

มู่เวยเวยลุกขึ้นมานั่ง ดึงผ้าห่มมาปิดจนถึงคอ และพูดเ้วยความสงบมาก “กลัวอะไร อย่างมากก็แค่ตาย ช่วยนี้ฉันกำลังคิดอยู่พอดีว่าจะตายยังไง ถ้าคุณสามารถช่วยฉันได้ ฉันก็จะยินดีมาก”

ชายชุดดำมองเธออย่างลำลึก และพูดเสียงต่ำ “ผมไม่ได้มาฆ่าคุณ ผมพาพาตัวคุณไป”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “พาตัวฉันไปหรอ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร ทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วย”

“ผมเป็นใครไม่สำคัญ ผมแค่ทำตามคำสั่งเจ้านาย”

“เจ้านายของคุณคือใคร”

ชายชุดดำหยุดไปหลายวิและพูด “เจ้านายของผมคือมู่เทียนเย่”

มู่เวยเวยตกใจ ก่อนที่สายตาจะเปล่งประกายขึ้นมา “พี่ชายหรอ”

“ครับ พี่ชายของคุณ ถึงเขาจะเกิดอุบัติเหตุ แต่เขาก็สั่งผมไว้ ผมต้องทำให้สำเร็จ” ชายชุดดำพูดอย่างเคร่งขรึม

สายตาของเธอหดหู่ขึ้น บนโลกใบนี้พี่ชายคนเดียวที่ทำดีกับเธอ กลับถูกเย่ฉ่าวเฉินฆ่า

“คุณมู่เชิญไปกับผมเถอะ ผมจะพาคุณออกจากบ้านตระกูลเย่อย่างปลอดภัย” น้ำเสียงของชายชุดดำเต็มไปด้วยความรีบร้อน

มู่เวยเวยเปิดผ้าห่ม กำลังจะลงจากเตียง แต่ทันใดนั้นก็หยุดลง

ทำไมเธอโง่ขนาดนี้ แค่เค้าบอกว่าพี่ชายสั่งให้มาก็ยอมแล้ว

ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ล่ะ

“พี่ชายให้คุณมาจริงๆหรอ” มู่เวยเวยสอดขาไว้ในผ้าห่มอีกครั้ง

“ครับ” ชายชุดดำมองไปนอกระเบียง ข้างนอกยังมีเพื่อนเขาอยู่ ถ้ายังช้าอยู่อย่างนี้ บอดี้การ์ดของบ้านตระกูลเย่จ้องจับสังเกตได้แน่ “คุณมู่เชื่อผมเถอะ ผมไม่โกหกคุณแน่”

“งั้นฉันถามหน่อย คุณรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายฉัน” มู่เวยเวยอยากมองอารมณ์ผ่านสายตาของเขา เพื่อจะดูว่าเขาโกหกรึเปล่า แต่สายตาของเขากลับสงบมาก เธอมองไม่เห็นอะไรเลย

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างผมต้องรู้ พวกเราแค่รับคำสั่ง และทำให้สำเร็จก็เท่านั้น เรื่องของหัวหน้าพวกเราไม่มีสิทธิ์ฟัง”

ความสงสัยของมู่เวยเวยมีมากขึ้น เขาเป็นลูกน้องของพี่ชายได้ยังไง ทำไมถึงว่าพี่ชายตายแล้ว

“คุณไปเถอะ ฉันจะคิดดูก่อน” มู่เวยเวยตอบอย่างสงบ

ชายชุดดำขมวดคิ้ว “คุณมู่ คุณยังต้องคิดอะไรอีก”

“คิดว่าที่คุณพูดมันจริงมั้ยไงล่ะ คุณไปเธอ คืนนี้ฉันจะไม่ไปกับคุณ”

“คุณ….” ชายชุดดำยังไม่ทันได้พูดก็ได้ยินเสียงเห่าดังมาไหลๆ บ้านตระกูลเย่เลี้ยงหมาตัวใหญ่ไว้หลายตัว พวกเขาอยู่นานไม่ได้ ในเมื่อมู่เวยเวยยึดมั่นอย่างนี้แล้ว เขาจึงพูด “ก็ได้ งั้นผมจะมาใหม่ หวังว่าคุณจะเปลี่ยนการตัดสินใจ”

“เดี๋ยว คุณทำอะไรกับเธอ” มู่เวยเวยชี้ไปที่สาวใช้ เธอยอมตาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธออยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์

ชายชุดดำพูดโดยไม่หยุดเดิน “ก็แค่ยาขับเหงื่อ พรุ่งนี้เช้าก็ตื่นแล้ว” จากนั้นชายชุดดำก็หายไปจากระเบียงภายในพริบตา

เสียงหมาเห่ายังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ผสานกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งไปด้วย

มู่เวยเวยสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม พลางคิดถึงคำพูดของคนเมื่อกี้ มันมีช่องโหว่มากเกินไป แต่ก็มีส่วนที่น่าเชื่อถือ เพราะตอนนี้นอกจากพี่ชายแล้วจะมีใครอยากพาเธอหนีอีก

ประตูถูกเปิด ‘แกรก’ เข้ามา มู่เวยเวยหลับตาทันทีที่ได้ยินเสียงเท้าที่คุ้นเคย

เย่ฉ่าวเฉินใส่ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามา เมื่อเห็นมู่เวยเวยยังหลับสนิทอยู่บนเตียง มือที่กำอย่างตึงเครียดก็คลายลง

เธอยังอยู่ เธอยังอยู่

เมื่อกี้มีคนมารายงานว่ามีคนบุกเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือต้องมาดูมู่เวยเวยว่าเธอเป็นอะไรมั้ย เมื่อเห็นเธอยังนอนหลับสนิทอยู่ จิตใจเขาถึงได้คลายความกังวลลง

เย่ฉ่าวเฉินเดินมาลูบหน้าเธออย่างอบอุ่น

ก้มหน้าลงจูบหน้าผากของเธอ จากนั้นก็ลุกออกไปจากห้อง

เมื่อประตูผิด มู่เวยเวยก็ลืมตาขึ้นด้วยความรังเกียจ เธอเงยหน้าขึ้นเช็ดหน้าผากเพื่อจะลบร่องรอยออกไปให้หมด

ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งยังเปิดไฟสว่างไสว

เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“จับตัวมาได้รึเปล่า” เขาถามจางเห่อที่เพิ่งเดินเข้ามา

จางเห่อส่ายหน้าอย่างขอโทษ “จับไม่ได้ครับ แต่ผมให้คนตามไปแล้ว”

บัดซบ คนอื่นบุกเข้ามาถึงในบ้าน แต่พวกแกกลับไม่รู้ตัว แล้วฉันจะเลี้ยงพวกแกไปทำไม” เย่ฉ่าวเฉินกดเสียงต่ำพูดด้วยความโกรธ ตอนนี้เขาก็ยังกลัวว่าคนที่หลับอยู่ข้างบนจะตื่นขึ้นมา

จางเห่อก้มหน้า “ขอโทษครับคุณชาย”

“อย่าให้พลาดเหมือนคืนนี้อีก”

“คุณชายโปรดวางใจ จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว” จางเห่อรับคำ

เยาฉ่าวเฉินพิงตัวนวดขมับอยู่บนโซฟา คนพวกนี้มาเพราะใคร เขาหรือมู่เวยเวย เขาไม่เชื่อว่ามันจะเป็นโจรทั่วไป ในเมืองAไม่มีโจรคนไหนกล้ามาแหมกับตระกูลเย่

คนที่หนีไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย แม้แต่หมาก็ตามไม่ทัน ต้องไม่ใช่คนธรรมดา แต่ต้องเป็นคนที่วางแผนมาแล้วอย่างรอบคอบ

ใครกันแน่ที่จับตาดูเขาอยู่ จุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร

มู่เทียนเย่ตายไปแล้วจะมีใครอีก

สมองของเย่ฉ่าวเฉินฉายภาพคนคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคย หรือจะเป็นเขา

ถ้าเป็นเขาจริงๆ เขาตั้งใจมุ่งเป้ามาที่มู่เวยเวย หรือมาแก้แค้นเขา

ไม่มีเบาะแสอะไรเลย

“จางเห่อ พรุ่งนี้เตรียมของขวัญชุดใหญ่ พวกเราไม่ได้ไปเยี่ยมคุณหนานกงมานานแล้ว”

“คุณชายคิดว่าคนเมื่อคืนเป็นคนของหนานกงเฮ่าหรอครับ” จางเห่อเดาความคิดของเย่ฉ่าวเฉินได้อย่างรวดเร็ว

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกล้าเล็กน้อย “ใช่ไม่ใช่ พรุ่งนี้ไปแล้วค่อยว่ากัน”

“ครับ” จางเห่อตอบรับ เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วมุ่น เขาก็พูดออหมาอย่างไม่อยากทน “คุณชายดึกมากแล้ว คุณไปนอนเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม มีอะไรคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบอีกที”

เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกว่ารอแบบนี้เสียเวลาเปล่า ไปนอนพักผ่อนดีกว่า

“ฝากด้วย”

คนที่สั่งให้ไปตามตามไม่ทัน ดังนั้นจึงถูกจางเห่อสั่งสอนไปตามระเบียบ

วันถัดไปสิบโมงหว่า เย่ฉ่าวเฉินก็มาถึงบ้านของหนานกง เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูเจอเขาก็รีบตอนรับอย่างอบอุ่นทันที

ท่านหนานกงมีผมสีดำสนิท หน้าเหลี่ยมแบบราบ อายุราวหกสิบปี รูปร่างดีมาก และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอย่างหลักแหลม

“คุณอาไม่ได้เจอกันนานเลย” เย่ฉ่าวเฉินกวักมือเรียกให้จางเห่อเอาของขวัญมาให้ “นี่คือโสมป่าจากภูเขาฉางป๋าย ตุ๋นซุปหรือกินกับเหล้าดีที่สุด”

ท่านหนานกงรับมาเปิดดู ได้ยินมาว่าเป็นโสมป่าอายุร้อยกว่าปี ของชนิดนี้หายากมาก”

ท่านหนานกงพูดยิ้มๆ “มาก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องเอาของขวัญราคาแพงแบบนี้มาให้เลย”

เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเกรงใจ “สมควรครับ ผมไม่ได้มาเยี่ยมผู้ใหญ่ทั้งสองท่านมานานแล้ว ถ้าพ่อแม่ผมยังอยู่ คงจะหาว่าผมไม่มีมารยาท”

“เห้อ อาเห็นแกตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้ประสบความสำเร็จแบบนี้ พ่อของแกถึงอยู่ใต้หล้าพสุธาก็ต้องเห็น”

เฉินชูฮว่าก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ “ใช่ ดูสิตอนนี้บริษัทดีขนาดไหน ทั้งยังแต่งงาน…อ้อใช่สิ ทำไมไม่พาภรรยามานั่งด้วยล่ะ ฉันไม่ได้เห็นเธอมานานแล้วเหมือนกัน”

เฉินชูฮว่าพูดอย่างเกรงใจ ที่จริงเธอไม่อยากเห็นหน้ามู่เวยเวยเลยสักนิด เพราะเธอหนานกงเฮ่าถึงได้ผิดใจกับคนในบ้านอยู่หลายครั้ง

เมื่อพูดถึงภรรยา สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็อบอุ่นลงมามาก เขาตอบยิ้มๆ “เวยเวยท้องครับ เดินไม่ค่อยสะดวก”

“ห๊ะ จริงหรอ” เฉินชูฮว่าตกตะลึง “งั้นดีมากเลยล่ะ โอ้ ถ้าเจ้าเฮ่าของฉันเชื่อฟังเหมือนคุณก็ดี หาเมีย มีลูก หัวหงอกของฉันคงจะบางลงมาก

เยาฉ่าวเฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าเรื่องที่ถูกเขายิงรอบที่แล้ว หนานกงเฮ่าไม่ได้บอกคนที่บ้าน ถ้าเขาบอก ผู้ใหญ่ทั้งสองคงไม่ทำดีกับเขาอย่างนี้

หึ หนานกงเฮ่าคงไม่กล้าล่ะสิ ลักพาตัวเย่ฉ่าวเหยียน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าท่านหนานกงโกรธขึ้นมาคงได้เสียขาไปข้างหนึ่ง

“จริงสิ หนานกงเฮ่าไม่อยู่หรอครับ” เย่ฉ่าวเฉินแกล้งทำเป็นถามเรื่อยๆ

ท่านหนานกงพูดต่อ “ช่วงนี้เขาพักอยู่ข้างนอกตลอดไม่เห็นแม้แต่เงา ลุงก็ไม่ได้เห็นเขานานแล้ว

“อ้อ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างฝากฝัง “งั้นคุณอาต้องดูแลเขาดีๆแล้ว คนนิสัยอย่างเขาทนความโดดเดี่ยวไม่ได้ กลัวจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมา”

ท่านหนานกงกะบภรรยาสบตากัน รอยยิ้มในตาค่อยๆจางลง “ฉ่าวเฉิน เขาทำอะไรข้างนอกอีกแล้วใช่มั้ย”

“เปล่าครับ ผมแค่พูดไปเรื่อย” เย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ก็เปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องธุรกิจ หลังจากคุยกันได้สักพัก เขาก็ลากลับ

“คราวหน้าก็มาบ่อยๆนะ” เฉินชูฮว่าพูดตามมารยาท

“ครับป้าเฉิน รอลูกผมคลอด เชิญคุณลุงคุณป้าไปรับขวัญหลานด้วยนะครับ”

“งั้นฉันต้องคิดแล้วว่าจะให้อะไรรับขวัญดี”

“มามือเปล่าก็ได้ครับ” เย่ฉ่าวเฉินจับมือกับท่านหนานกง กล่าวลาอละเดินเข้าไปในรถ

หลังจากรถคาเยนน์ขับไปจนลับตา ท่านหนานกงก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน สีหน้าเขาน่ากลัวมาก “พ่อบ้าน ให้คนไปตรวจสอบว่าไอ้ลูกเลวนั่นมันทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้อีก”

เฉินชูฮว่ามองสามีอย่างระมัดระวัง และพูดแทนลูกว่า “ช่วงนี้เจ้าเฮ่าสงบมากเลยนะ เย่ฉ่าวเฉินอาจจะพูดไปเรื่อยก็ได้”

ท่านหนานกงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “คุณคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินว่างขนาดนั้นเลยหรอ ตั้งใจเอาโสมราคาแพงมาให้โดยเฉพาะขนาดนี้ คุณไม่ต้องมาพูดแทนลูกเลวนั่นเลย ถ้าครั้งนี้มันก่อเรื่องอะไรอีก อย่าหาว่าผมมือหนักแล้วกัน

คิ้วโค้งมนดำสนิทของเฉินชูฮว่าขมวดเข้าหากัน เพราะเริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับลูกชาย

ถ้าให้พูดกันจริงๆ เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะมู่เวยเวยคนเดียว เมื่อคิดได้ว่ามู่เวยเวยท้องแล้วตามที่เย่ฉ่าวเฉินบอก เธอก็พูดด้วยความร้อนรน “ฉันจะให้เจ้าเฮ่าไปนัดบอร์ด ครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะยอมหรือไม่ยอม ก็ต้องไป เอาให้ได้แต่งงานตอนปลายปีเลยยิ่งดี อย่างนี้ปลายปีหน้าฉันจะได้อุ้มหลานเลย”

ท่านหนานกงรู้สึกแปลกใจกับความคิดก้าวกระโดดของภรรยา แต่เขาก็ไม่ได้ขัด เจ้าเฮ่าสมควรแต่งงานแล้วจริงๆ

จางเห่อถามเย่ฉ่าวเฉินในรถ “คุณชาย ท่านหนานกงจะเข้าใจความหมายของคุณมั้ยครับ”

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบตามองเขา “ที่ท่านหนานกงสามารถฝ่าฟันขึ้นมาเป็นที่หนึ่งของตระกูลได้ ท่ามกลางความวุ่นวายแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเด็ดขาด และโหดร้ายเพียงอย่างเดียว แต่เขายังฉลาดหลักแหลม ถ้าฉันพูดขนาดนี้แล้วเขายังฟังไม่ออก เขาก็คงถูกดึงออกจากตำแหน่งตั้งนานแล้ว”

จางเห่อยังคงรู้สึกเป็นกังวล “ถ้าคนชุดดำเมื่อคืนไม่ใช่คนของหนานกงเฮ่าล่ะ”

“ถ้าเรื่องเมื่อวานเกี่ยวข้องกับเขา ท่านหนานกงตรวจสอบแล้วก็จะหยุดการกระทำของเขา แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับเขา จากที่ฉันรู้จักหนานกงเฮ่า ช่วงนี้เขาคงก่อเรื่องไม่น้อย ให้ท่านหนานกงจัดการหน่อยก็ดี”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปนอกหน้าต่าง หนานกงเฮ่าอย่ามาแตะต้องบ้านตระกูลเย่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปเขาจะไม่ออมแรงแน่

ข้างในบ้าน

ตอนที่สาวใช้ตื่นขึ้นมา ตะวันก็ขึ้นจนสายโด่งแล้ว เธอรีบลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ ใบหน้าแดงก่ำ ตั้งแต่ทำงานมาเธอไม่เคยตื่นสายขนาดนี้มาก่อน

น่าอายจริงๆ

ใช่สิ คุณนายเย่ล่ะ

สาวใช้ทุบหัวหนักๆของเธอ เมื่อเห็นมู่เวยเวยยังคงนอนตะแคงหลับตาบนเตียง เธอก็ผ่อนคลายขึ้น คุณผู้หญิงยังหลับอยู่ เธอตื่นสายขนาดนี้คงไม่เป็นไรหรอก

ยังไงงานวันนี้ของเธอก็คืออยู่เป็นเพื่อนคุณผู้หญิง ป้องกันไม่ให้เธอเข้าใกล้อะไรที่เป็นอันตราย และทำร้ายตัวเอง

แต่ทำไมเธอถึงปวดหัวขนาดนี้ เมื่อคืนวานเธอไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย

มู่เวยเวยหลับยาวตื่นอีกทีตอนเที่ยงโดยที่สาวใช้ไม่ได้ปลุกเธอแต่อย่างใด กว่าเธอจะหลับสนิทไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่มีใครอยากกวนเธอ

หลังจากคืนนั้น ชายชุดดำก็หายไป ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

หลังจากนั้นมู่เวยเวยก็พิจารณาถึงเรื่องนี้จริงๆ ถ้าคนคนนั้นสามารถพาเธอออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ คนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นหรือไม่เป็นพี่ชายของเธอแล้วยังไง แค่เธอไปจากเย่ฉ่าวเฉินได้ก็พอ

วันนี้เป็นวันนัดตรวจครรภ์ เพราะมีประสบการณ์ในครั้งก่อน ครั้งนี้เย่ฉ่าวเฉินจึงตามเธอทุกฝีก้าว

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รุ่นพี่หมอเป็นคนตรวจ ประโยคแรกที่เธอทักมู่เวยเวยหลังจากที่เจอก็คือ “ทำไมสีหน้าไม่ดีเลยคะ”

“นอนไม่หลับ” มู่เวยเวยพูดห้วนๆ “ไม่ใช่นอนไม่หลับ แต่…นอนผิดเวลา ตอนเช้าไม่หลับ ตอนกลางวันนอนค่อนข้างเยอะ”

หมอขมวดคิ้ว “อย่างนี้ไม่ดีต่อเด็กในครรภ์นะคะ คุณต้องปรับเวลาใหม่”

มู่เวยเวยก็อยากปรับ แต่เธอไม่มีวิธีเลย จึงต้องขอความช่วยเหลือจากหมอ “สั่งยาให้ฉันได้มั้ยคะ”

“ไม่ได้ค่ะ ยานอนหลับจะทำร้ายสมองของเด็ก เรื่องนี้ต้องปรับด้วยตัวเอง” หมอพาเธอมาที่ห้องอัลตราซาวน์ที่อยู่ข้างหลัง “นอนลงไปค่ะ ฉันจะดูพัฒนาการของเด็ก”

เย่ฉ่าวเฉินรีบประคองเธอนอนลง เลิกเสื้อเธอขึ้น และก็ได้เห็นว่าตอนนี้ท้องเธอป่องมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นหน้าท้องนูนของเธอ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก

“เด็กมีพัฒนาการดีค่ะ ดูสิคะ” หมอที่ไปที่เครื่องอยู่หลายจุด “ตรงนี้เป็นแกเม นี่เป็นกราม หู เกือบดูหน้าได้แล้วนะคะ เห็นรึยัง น่าจะเป็นเด็กที่สวยเลยล่ะค่ะ”

มู่เวยเวยมองใบหน้าที่เหมือนมนุษย์ต่างดาวบนจอ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

นี่เป็นลูกของเธอ เขาเกิดแล้วต้องเป็นเด็กที่น่ารักมากแน่ๆ เธอจะให้เขาตายได้ยังไง

ในวินาทีนั้นเธอก็ตัดสินใจทันทีว่าเธอต้องมีชีวิตต่อ และต้องหนีจากเย่ฉ่าวเฉินให้เร็วที่สุด

เธอต้องการให้เด็กคนนี้เป็นของเธอแค่คนเดียว ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับเย่ฉ่าวเฉิน หลังจากนี้ลูกต้องใช้นามสกุลของเธอ อย่างนี้ถ้าเธอตายขึ้นมา ก็ยังมีเชื้อสายตระกูลมู่ไว้สืบสกุล

และเย่ฉ่าวเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆก็มีความคิดเดียวกับเธอเช่นกัน จากแววตาของเขาก็สามารถดูออกได้ว่าเขาตื่นเต้นขนาดไหน

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset