วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 173 : ลองใจ ความคิดถึงที่หวนคืนมา

ฉู่เหยียนสังเกตอย่างเห็นได้ชัดว่าสายตาของเย่ฉ่าวเฉินที่มองมายังเธอมีบางอย่างแปลกๆ เธอจึงวางถ้วยโยเกิร์ตลง

แล้วยิ้มให้เขา ก่อนเอ่ยเสียงเล็กว่า “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะ”

ฉู่เหยียนลุกขึ้น นิ้วมือที่เผลอปัดผมยาวนั้น ทำให้ผมเป็นลอนคลื่นเล็กๆ

ภายในห้องน้ำเล็กที่สว่างไสว ฉู่เหยียนเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้า มีความเด็ดเดี่ยวฉายอยู่ในแววตา

เวลามีไม่มาก เธอถอยไม่ได้แล้ว

ถ้าเธอเดาไม่ผิด เย่ฉ่าวเฉินจะอยู่ที่ด้านนอกของประตู

ฉู่เหยียนรองเอาน้ำขึ้นมาบ้วนปาก ดึงกระโปรงลงสักสองสามนิ้ว พิจารณาผู้หญิงที่อยู่ในกระจก แล้วก้าวออกจากห้องน้ำไป

ห้องส่วนตัวอยู่สุดทางเดิน ฉู่เหยียนเพิ่งเดินมาได้ไม่ไกล ถูกดึงแขนเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ไม่มีใครอยู่ในนั้น แล้วถูกคนข้างในจูบเข้า

เดาไม่ผิดเลย คือเขาเอง เย่ฉ่าวเฉิน

ฉู่เหยียนดิ้นไปมาพอเป็นพิธี หลังจากเห็นว่าเป็นเขา จึงแสร้งเบิกตากว้างทำเป็นตกใจ

จูบของเธอที่เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งสัมผัสไป ในหัวของเขาไม่เคยลืม นี่คือรสจูบของมู่เวยเวย

ครั้งนี้ เขาโมโหแทบบ้า

บางทีเขาคงอาจจะคิดถึงเธอมากเกินไป รสจูบในช่วงปลาย ความคิดถึงก็สาดซัดเข้ามาราวกับน้ำทะเล

……

ฉู่เหยียนตกใจกลัวพละกำลังของเขา ลมหายใจที่รินลดมาโดนหน้า อบอวลไปด้วยกลิ่นของไวน์แดงจากชายที่โตเต็มวัย

นานเกินไปแล้ว เขาเริ่ม…

“ประธานเย่ ฉันขอร้องอย่าทำอย่างนี้…” เธอเอ่ยบอกเสียงเบา สุดท้ายเขาก็ปล่อยเธอ

เธอยังพูดไม่ทันจบ แต่พอจะพูดขึ้นอีก เย่ฉ่าวเฉินก็เหมือนจะบ้าขึ้นอีกครั้ง

“ประธานเย่…คุณ….”

“ไม่ต้องพูด” เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยเสียงกระซิบ “เวยเวย..ฉันคิดถึงเธอ…เวยเวย…”

ความในใจที่เหมือนกับถูกเปิดออก ฉู่เหยียนได้สติกลับคืน เขากำลังเรียกหา เวยเวย? ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น ?

ฉู่เหยียนไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง รู้เพียงแต่ว่าต้องออกไปจากที่นี้ เธอใช้แรงที่มีผลักเขาออกไป เย่ฉ่าวเฉิ่นถอยออกไปสองสามก้าว

ล้มกระแทกลงบนเก้าอี้ ความเจ็บปวดทำให้เขาสร่างเมาขึ้นมาเล็กน้อย เงยหน้ามองฉุู่เหยียน เธอทั้งอายทั้งโกรธให้ตัวเอง

“ประธานเย่ ฉันไม่ใช่เวยเวย คุณจำผิดคนแล้ว” ฉู่เหยียนแต่งตัวด้วยความอับอาย น้ำตาของความเสียใจที่ไหลออกจากหางตา

เย่ฉ่าวเฉิ่นจ้องมองใบหน้าสวยอย่างมึนงง สติที่เลือนรางและความสับสนค่อยๆกลับคืนมา

เธอไม่ใช่เวยเวย เธอไม่ใช่เวยเวย

เขาทำอะไรลงไป? เขาเพิ่งเจอผู้หญิงคนนี้ได้เพียงแค่สองครั้งเอง ไม่นึกเลยว่าเกือบจะบีบบังคับเธอแล้ว

เย่ฉ่าวเฉิ่นกดเข้าไปที่ขมับพลางถอนหายใจ พูดอย่างละอายว่า “ขอโทษ ฉันดื่มมากไปหน่อย”

ฉู่เหยียนไม่พูดอะไร เพียงแค่ก้มหน้าจัดเสื้อผ้าของตัวเอง เอาแต่คิดอยู่ในใจว่าเธอควรแสดงความรู้สึกโกรธออกมาหรือเฉยๆดี?

“คุณฉู่ ผมขอโทษ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอีกครั้ง

ฉู่เหยียนกอดอกและเงยหน้ามองเขา สายตาหญิงสาวมีความสับสนอยู่ในนั้น “คุณไม่ต้องพูดแล้ว ฉันจะถือว่าคุณเมา เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” เย่ฉ่าวเฉิ่นใช้มือยันเก้าอี้ ค่อยๆพยุงร่างกายที่โซเซขึ้นมา

ซิปกระโปรงที่อยู่ด้านหลัง ฉู่เหยียนพยายามรูดหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้สักที

“อยากให้ฉันช่วยไหม?” เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยเสียงเรียบ

ฉู่เหยียนหน้าแดง หันหลังให้เขาและเอ่ยเสียงเบา “อืม”

เมื่อได้รับอนุญาต เย่ฉ่าวเฉินถึงก้าวเข้าไป มือนึงจับขอบกระโปรง มือนึงก็ค่อยๆดึงซิปกระโปรงขึ้น

เขาจำได้ว่า เขาเคยพามู่เวยเวยไปร่วมงาน ซิปกระโปรงที่อยู่ด้านหลัง ก็เป็นเขานี่แหละทำขั้นตอนสุดท้ายนั้นให้ ขณะแผ่นหลังของทั้งสองซ้อนทับกันอยู่นั้น คนบางคนที่เพิ่งจะใจเย็นลง ก็แทบจะควบคุมมือตัวเองไว้ไม่อยู่

ทั้งข่มอารมณ์ ทั้งคอยเฝ้าบอกกับตัวเองว่าไม่ได้

เย่ฉ่าวเฉิ่นถูกความทรมาณด้วยความรู้สึกที่อยากจะหยุดแต่ก็หยุดไม่ได้เล่นงานเข้า

ฉู่เหยียนหายใจเข้าลึกๆแล้วหันมาสบตาสีฟ้าของเขา พูดอย่างเย็นชาว่า “ประธานเย่ หวังว่าครั้งหน้า คุณจะไม่จำคนผิดอีก ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อนนะ รบกวนคุณบอกกับโต๊ะนั้นด้วย ลาก่อน”

“ขอโทษด้วยนะ” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสับสน ตั้งแต่มู่เวยเวยตั้งท้องจนกระทั่งหนีหายไป หลายปีมานี้เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนเลย

หรือว่าเขาจะโหยหามากเกินไป ?

กลับไปถึงโรงแรม ฉู่เหยียนนอนอยู่บนเตียงสักพัก ก็รู้สึกเจ็บที่ใบหน้าขึ้นมา เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาแล้ว

เธอเดินไปห้องน้ำใกล้ๆ หยดยาสองสามหยดลงในน้ำ และรีบเอามาล้างหน้า หน้ากากก็ค่อยๆจางและหลุดออกลงบนมือ เผยให้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของมู่เวยเวยอีกครั้ง

หน้ากากนี้เหมาะกับหน้าเธอมาก คอนแทคเลนส์ก็ค่อยข้างที่จะบางเบา แต่กลับเปลี่ยนบุคคลิกภายนอกได้อย่างง่ายดาย เพื่อปรังปรุงหน้ากากนี้และทำให้มันเหมือนจริงมากขึ้นจนถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น พวกเขาไปไกลจนถึงขั้นการดึงกระชับใบหน้ากว่าร้อยจุด ทั้งการเสริมจมูกและผ่าตัดโหนกแก้มออก

เพียงแต่ว่าหน้ากากนี้ยังมีข้อเสียอยู่มาก ก็คือต้องถอดทุกๆสองวันและแช่ไว้ในน้ำหนึ่งวัน ไม่อย่างนั้นใบหน้าของมู่เวยเวยจะทั้งเจ็บทั้งคัน

มู่เวยเวยใช้นิ้วมือสัมผัสผิวหน้าจริงของเธอ เธอรู้สึกทรมาณมากที่สุด

ใบหน้าของคนเปลี่ยนไปได้ แต่น้ำเสียง นิสัย ท่าทางการเดินและอื่นๆ ไม่ทางปลี่ยนไปได้ภายในเวลาอันสั้น วันนี้เข้าเพิ่งได้พบเย่ฉ่าวเฉินเป็นครั้งที่สอง เขาเกือบจะจำเธอได้แล้ว หลังจากนี้ เธอจะทำอย่างไรดี ?

เพียงแค่วันนี้เธอมองเขามากขึ้นกว่าเดิม ก็เกือบจะถูกกินซะแล้ว ถ้าเธอหวั่นไหวต่อเขามากกว่านี้ จะไม่ถูกเขากินจนเหลือแต่กระดูกเลยหรือไง?

เธอเข้าใจถึงอารมณ์ของเขาดี แต่นี้ก็ห่างกันมานานมากแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาก็ไม่ได้มีผู้หญิงอื่น?

เธอไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเขาจะรักมู่เวยเวยขนาดนี้ แล้วก็ไม่เชื่อด้วยว่าเขาจะทนอยู่อย่างนี้ได้เช่นกัน

……

คฤหาสน์ตระกูลเย่ ห้องหนังสือ

เย่ฉ่าวเฉิ่นกำลังแปลเอกสารที่จางเฮ่อส่งมาให้ด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง

คุณหนูฉู่เหยียนคือคุณหนูของบริษัทMK บนภาพขณะอ่านหยังสืออยู่ยุโรปนั้นก็เหมือนกับคนที่เพิ่งเห็นวันนี้ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งกลับมาจากฮ่องกง

เขาโยนรูปลงบนโต๊ะ ทุกอย่างล้วนถูกต้อง เธอคือฉู่เหยียน

แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนเห็นภาพหลอน คิดว่าเธอคือมู่เวยเวย ยังเกือบจะ…

มันบ้ามากจริงๆ

วันที่สองของการประชุมอีกวัน เย่ฉ่าวเฉินคิดว่าฉู่เหยียนจะโกรธและหลบหน้า ไม่คิดเลยว่าเธอจะลงมาจากรถอย่างสง่าผ่าเผยทั้งยังจับมือกับเขา

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน เย่ฉ่าวเฉิ่นจึงเลี่ยงเธอให้ไกลเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและแสดงออกถึงความเฉยเมย ทั้งยังตอนที่เธอมองเขา เขาก็มักจะหลบตาได้อย่างแนบเนียน

มู่เวยเวยแปลกใจ ทำไมเขาต้องคอยหลบเธออย่างนี้?

แต่เธอต้องใกล้ชิดเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้เรื่องอะไร?

เวลาพัก เธอมองเย่ฉ่าวเฉินเดินออกไปและกัดฟันเดินตามเขา

เย่ฉ่าวเฉินยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่ สังเกตเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้จึงหันหน้าไปมอง เป็นเธอเอง

“ประธานเย่ ขอถามหน่อยนะคะว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?”น้ำเสียงของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความโกรธและการกล่าวหา

เย่ฉ่าวเฉิ่นเขี่ยบุหรี่ในมือทิ้ง ขมวดคิ้วและถามว่า“คุณหนูฉู่ทำไมถึงถามแบบนี้ครับ?”

“ประธานเย่ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานฉันไม่ได้อยากให้คุณรับผิดชอบ แล้วฉันก็ไม่ได้ต้องการให้คุณรับผิดชอบอะไร คุณเองก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะกวนใจอะไรคุณ นอกจากนี้ ในฐานะที่คุณเป็นท่านประธานของหวงเย่มันเหมาะสมเหรอที่จะทำตัวเย็นชาใส่คู่ค้าของคุณเช่นนี้?”มู่เวยเวยแสยะยิ้ม

เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งเข้าใจ ว่าเธอเข้าใจผิด และเขาก็ยังมีข้อสงสัยในท่าทีของเธอจริงๆ

“คุณหนูฉู่ คุณอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ทั้งหมดนี้มันเป็นปัญหาของผม ขอโทษด้วยนะครับ”

มู่เวยเวยร้องเฮอะและถลึงตาใส่เขาก่อนเดินจากไป

เธอสะใจมาก ไม่เคยพูดจาเย่อหยิ่งต่อหน้าเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่แปลกเลยที่คนส่วนใหญ่ชอบใช้อำนาจและเหยียบย่ำกดขี่คนที่เกลียดหรือไม่ชอบได้ตลอดเวลา

เย่ฉ่าวเฉิ่นมองตามแผ่นหลังเธอ เขาร้อนใจ ถ้าใกล้เกินไปก็กลัวว่าเธอจะหนีห่าง

หลังถูกตำหนิท่าทีของเย่ฉ่าวเฉิ่นก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยในที่ประชุมเขาก็ทำตัวปกติ

เพื่อประหยัดเวลา จึงเลือกทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารของบริษัท

เย่ฉ่าวเฉิ่นยื่นจานข้าวให้เธอ “ คุณหนูฉู่ชอบทานอะไรก็เลือกเองได้เลยนะครับไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณค่ะ ประธานเย่ไม่หลบหน้าฉันแล้วหรอ?” มู่เวยเวยถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีเจตนาร้ายอะไร “คิดๆแล้วฉันต้องเป็นฝ่ายหลบหน้าคุณ ทำไมถึงกลับกันอย่างนี้ละ”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของเธอ ข่มความสั่นไหวของหัวใจแล้วฝืนยิ้มออกมา “คุณหนูฉู่ ให้ผมขอโทษคุณสักครั้งไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ” หลังจากมู่เวยเวยเดินตามเขาไป เธอทั้งคีบอาหารในจานทั้งพูดไปด้วยพร้อมกัน “จริงๆแล้วอาหารก็ไม่เลวนะ ขอโทษด้วยละกัน ตอนนั้นฉันใจร้อนไปหน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินไม่นึกเลยว่าเธอจะขอโทษ“ไม่เป็นไร มันเป็นความผืดของฉันเอง”

“ฉันหวังว่ามันจะไม่ส่งผลต่อธุรกิจของเรานะ ไม่อย่างนั้นกลับไปฉันถูกพ่อด่าตายแน่” มู่เวยเวยพูด

เย่ฉ่าวเฉินมองหน้าที่ไร้เดียงสาของเธอ ครุ่นคิดอยู่พักนึงจึงเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนูฉู่ เรื่องเมื่อวาน…คุณไม่ถือสาอะไรแล้วจริงๆเหรอ?”

ใบหน้าของมู่เวยเวยพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ต้องพูดอย่างไรดี? เธอรู้สึกแย่จริงๆ แต่ไม่ได้จะว่าอะไร เพราะที่เธอมาก็เพื่อทำให้เขาชอบเธอ

“ประธานเย่ ถ้าฉันว่าอะไรคุณ คุณจะตอบฉันกลับมาว่าอย่างไร? คุณคิดว่าฉันอยากให้ปัญหาเล็กๆนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่งั้นเหรอ แล้วถ้าฉันไม่โกรธ คุณไม่คิดหรอว่าฉันจะดูเป็นผู้หญิงใจง่าย?”

ประธานเย่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ จริงๆแล้วปัญหานี้เขาไม่ควรพูดขึ้นมา แต่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ตั้งแต่เธอปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็ทำเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทางไปมาก

“ขอโทษด้วย ฉันไม่ควรทำให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น” เขาพูดออกมาอย่างจริงใจ

มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มออกมา

เธอห่อกุ้งสองสามตัวเข้ากับผัก เนื้อตุ๋นมันฝรั่งพอดีคำ ตักซุปขึ้นมากินหน่อย เย่ฉ่าวเฉินมองเธอที่กินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้ตัว “คุณหนูฉู่ลองชิมผัดเผ็ดปลาของโรงอาหารเราหน่อยสิ อร่อยมากเลยนะ”

“ฉันไม่กินเผ็ด ก้างปลาก็หยิบออกยาก”มู่เวยเวยพูดออกมาโดยไม่ทันได้คิด ตั้งแต่เธอคลอดลูกชายออกมา การรับรู้รสของเธอก็กลับคืนมา เผ็ดนิดหน่อยก็กินไม่ได้แล้ว พอกินเข้าไปสิวก็ขึ้น และยิ่งไปกว่าในโอกาสพิเศษนี้ เธอจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นได้

เย่ฉ่าวเฉินชะงักมือและยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “ คุณหนูฉู่ไม่กินเผ็ดเหรอครับ”

มู่เวยเวยเงยหน้ามอง ในแววตาไม่มีความเอะใจสักนิด “ไม่กินเผ็ดนี่แปลกมากหรอ”

“เปล่า แค่เหมือนคนที่ผมรู้จักคนนึงเธอก็ไม่กินเผ็ดแล้วก็ไม่ชอบกินปลา ทั้งยังชอบบ่นว่าก้างปลานั้นทำให้กินยาก”

มู่เวยเวยใจสั่นเล็กน้อย ความอ่อนโยนที่เผลอแสดงมันออกมาผ่านสายตา เพราะเขาคิดถึงเธอขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ?

“อ้อ ฉันก็มีคนรู้จักอยู่หลายคนนะที่ไม่ชอบกินเผ็ด ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย” มู่เวยเวยลดสายตาลง เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกสงสัย

“ก็มีเยอะ” เย่ฉ่าวเฉิ่นพูดคล้อยตามไปอย่างนั้น ทว่าเขากลับนึกถึงได้เพียงผู้หญิงคนเดียว

เพราะเธอคุ้ยเคยกับข้างในนี้ มู่เวยเวยจึงคอยเตือนตัวเอง ต้องใจเย็นๆนิ่งๆ สายตาอย่าหลุกหลิก

แต่เธอไม่ได้มองคนอื่น กลับมีสายตาของคนมากมายแอบมองเธออยู่

เธอก้มหน้าก้มตากิน จู่ๆก็มีคนหนึ่งวิ่งมา ร้องเรียกอย่างจื่นเต้น “เวยเวย คุณกลับมาแล้วเหรอ?”

มู่เวยเวยตกใจ เมื่อได้ยินเสียงเธอ ก็รู้เลยว่าเป็นเสี่ยวหลี่คนซุ่มซ่ามแผนกออกแบบนี้เอง

เธอเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม และมองเสี่ยวหลี่นิ่งๆ เห็นใบหน้าเบิกบานของเสี่ยวหลี่ก็แทบจะทรุดลง ค่อยๆหันมามองสีหน้าอึมครึมของเย่ฉ่าวเหยียน รีบก้มหัวขอโทษทันที “ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ฉันจำคนผิด”

“ไม่เป็นไร” เสียงของเธอเรียบนิ่งราวกับการปฏิบัติต่อคนแปลกหน้า

เสี่ยวหลี่รีบวิ่งหนีสุดฝีเท้า มู่เวยเวยหันหน้ากลับมามองเย่ฉ่าวเฉิน ถามอย่างแสร้งอยากรู้อยากเห็น“ฉันกับเวยเวยคนนั้นเหมือนกันมากเหรอ? ทำไมคุณถึงจำผิดคนได้ พนักงานของคุณก็ยังจำคนผิดอีก”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองดวงตาของเธอ พูดเสียงต่ำ “นอกจากหน้าตาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนอื่นเหมือนกันหมด”

“อ้อ~” มู่เวยเวยก้มหน้าทานข้าวต่อ ถามเล่นๆว่า “เธอเป็นใครเหรอ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเจ็บปวด พูดเบาๆว่า “เธอคือภรรยาของผม”

มู่เวยเวยแสดงท่าทางแปลกใจ “ภรรยาคุณ? คุณแต่งงานแล้วเหรอ?”

“อืม ผมแต่งงานแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา อีกอย่างตอนนี้เขาได้เป็นพ่อคนด้วย แม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กคนนี้อยู่ที่ไหน

“คุณแต่งงานแล้วเมื่อวานคุณยัง…”มู่เวยเวยจิ้มอาหารด้วยความโกรธ ไม่แน่ใจว่าโกรธเพื่อตัวเธอเอง หรือเพื่อความไม่เป็นธรรมของฉู่เหยียน

เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากทานอะไรแล้ว จึงเอ่ยเสียงต่ำ “ขอโทษด้วยนะ ผมเห็นว่าคุณเป็นเธอ ผม ผมไม่ได้พบเธอมานานมากแล้ว ดังนั้น…”

มู่เวยเวยเอียงคอมองเขา ความเศร้าที่แจ่มชัดขึ้นมาบนหน้าชายหนุ่ม ทำให้คนมองรู้สึก…เจ็บปวด

“เธอไปไหน?” มู่เวยเวยถาม

“เธอ…ผมก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่อยู่ไหน…” เยว่ฉ่าวเฉินหยุดพูดแล้ววางตะเกียบและพูดกับมู่เวยเวยว่า “คุณหนูฉู่ค่อยๆทานนะครับ ผมเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องที่ต้องทำ”

มู่เวยเวยพูดยังไม่ทันจบ เขาก็เดินออกจากห้องอาหารไป

แผ่นหลังของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเหงาและความอ้างว้าง มู่เวยเวยคิด ถ้าเธอเป็นแค่เพียงฉู่เหยียน บางทีเธออาจจะชอบผู้ชายคนนี้ได้ แต่เธอไม่ใช่ฉู่เหยียน

เย่ฉ่าวเฉิน ฉันไม่ได้ชอบคุณเลยสักนิด ทำไมคุณต้องทำอย่างนี้?

คืนนี้ เย่ฉ่าวเฉินกลับมาบ้านก็ล็อคตัวเองอยู่ที่ห้องนอนของมู่เวยเวย ตอนทานอาหารเย็น พ่อบ้านหวังไปเคาะประตูก็ไม่ได้ยินเสียงคนจึงเดินส่ายหัวลงมาข้างล่าง

นานแล้วที่เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้เป็นอย่างนี้ มีเรื่องสะเทือนใจอะไรอีก ?

“จางเห่อ คุณชายเป็นอย่างไรบ้าง?”

จางเห่อยักไหล่พลางถอนหายใจ “สองวันที่ผ่านมานี้หุ้นส่วนธุรกิจที่ฮ่องกงเป็นผู้หญิงเนี้ยสิ”

“ผู้หญิง? แล้วมันมีปัญหาอะไร?”

จางเห่อเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วพูดเสียงกระซิบว่า “ผู้หญิงคนนี้ เหมือนคุณผู้หญิงมาก”

พ่อบ้านหวังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “เหมือนมากเลยเหรอ?”

จางเห่อส่ายหัว “หน้าตาไม่เหมือน รูปร่างไม่เหมือน แต่นิสัยส่วนตัว แผ่นหลัง และเสียงเหมือนมาก ครั้งแรกที่คุณชายเห็นเธอ ยังคิดว่าเธอเป็นคุณผู้หญิงเลย”

“ยังมีคนแบบนี้อยู่หรอ? พูดละฉันอยากเห็นจริงๆ” พ่อบ้านหวังมองไปข้างบนอย่างจนปัญญา

จางเห่อนั่งลงบนเก้าอี้ พูดด้วยสีหน้าหนักใจ “อาหวัง สิ่งที่ผมพูดถ้า ถ้าหากว่าเราตามหาคุณผู้หญิงไม่พบอีกเลย คุณผู้ชายจะทำยังไง?เขาจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไปไม่ได้”

หน้าตาอันสิ้นหวังของอาหวังเห็นได้ชัดว่าเขาเองก็มองเห็นถึงปัญหานี้ “ผมก็ไม่รู้ว่าตอนไหนคุณชายถึงจะลืมคุณผู้หญิงได้ แน่นอนละ สิ่งที่ดีที่สุดคือการที่คุณผู้หญิงกลับมา”

“นี้ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ” จางเห่อพูดออกมาทันที

พ่อบ้านหวังถลึงตาใส่เขา “ไอ้เด็กจาง ทำไมพูดกับฉันอย่างนี้”

“อะ อะ อาหวัง อย่าโกรธเลย ฉันก็ปากพล่อยไปงั้นแหละ”

บนบ้าน เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่โซฟาเอาแต่ดื่มเหล้า รูปคู่เมื่อวันแต่งงานวางอยู่บนโต๊ะ เขาหาอยู่ตั้งนานเพิ่งจะเจอมัน

หลังแต่งงาน ไม่นึกเลยว่าแม้แต่รูปแต่งงานเขาและมู่เวยเวยก็ไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรูปเดี่ยวของเธอ

ช่างน่าขันเสียจริง

……

การร่วมมือทางธุรกิจดำเนินการผ่านไปอย่างราบรื่น หลังจากนั้นไม่กี่วันการร่วมลงนามที่เกือบจะสำเร็จแล้ว ทว่ามู่เวยเวยก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ตั้งแต่วันนั้นหลังทานข้าวที่โรงอาหาร มู่เวยเวยก็พบว่าเย่ฉ่าวเฉินทำตัวห่างเหินกับเธอ นอกจากเรื่องมารยาทที่จำเป็นต้องทำแล้ว เขาและเธอแทบจะไม่ติดต่อกันเลย

หรือว่าเขามีจิตสำนึกขึ้นมา ถึงต้องการตีตัวออกห่างฉู่เหยียน

มู่เวยเวยกลุ้มใจกับข้อสรุปนี้ แต่ก็แอบดีใจอยู่นิดๆ

อยากจะช่วยลูกชายที่คลอดออกมา แต่ก็อยากถอย และกับเย่ฉ่าวเฉินนับแต่นี้จะได้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เรื่องนี้พูดออกมาเหมือนง่ายแต่ทำให้ได้มันยาก

แผนที่สมบัตินี้ไม่มีทางอยู่ที่บริษัท เป็นไปได้ว่าของสำคัญจะอยู่ที่ห้องหนังสือของคฤหาสน์เย่ เมื่อก่อนเธอพยายามคิดที่จะออกจากที่นั่น มาวันนี้กลับคิดหาวิธีที่จะเข้าไป หาเรื่องให้ตัวเองเสียจริง

แต่ว่า ทำอย่างไรถึงจะหาเหตุผลเข้าไปได้ ?

เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนเข้มงวดมาก ทุกๆวัน นอกจากไปทำงานแล้วกลับมาบ้านก็ไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไรเลย นอกจากที่บริษัทก็ไม่มีช่องทางไหนเลยที่เธอจะติดต่อกับเขาได้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ผ่านไปเป็นปีเธอก็ไม่มีทางทำสำเร็จหรอก

บ่ายวันนี้ เย่ฉ่าวเฉินและถังซื่อเซวียนร่วมลงนามธุรกิจในสัญญาฉบับสุดท้าย

“กว่าจะราบรื่นอย่างนี้ก็ลำบากมามากแล้ว ครั้งที่แล้วประธานเย่เป็นคนเลี้ยงต้อนรับพวกเราและคุณหนูฉู่ วันนี้ให้พวกเราบริษัทMK สร้างความสนุกด้วยเถอะ ขอเชิญทุกคนร่วมทานอาหาร จากนั้นพวกเราก็ไปต่อคาราโอเกะ ประธานเย่คิดว่าอย่างไร?” ถังซื่อเซวียนจับมือพร้อมพูดกับเขา

“ดีเลยครับ เราควรฉลองกันสักหน่อย” เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ปฏิเสธ

ทานข้าวเสร็จก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว มู่เวยเวยเดินไปแต่งหน้าที่ห้องน้ำก่อนเข้าห้องKTV กลับมาก็มีคนเริ่มร้องเพลงแล้ว แสงไฟสลัว เมื่อมองไปรอบๆเห็นที่นั่งว่างเหลือเพียงแค่มุมเดียว

มู่เวยเวยก้มตัวเดินไป ก่อนถึงที่ว่าง ไม่ทันได้ระวังเท้าก็เกี่ยวเข้ากับถาดเบียร์ ล้มถลาไปข้างหน้า เธอเกือบใกล้ชิดสนิทสนมกับโซฟาเสียแล้ว จู่ๆเงาของใครคนหนึ่งก็เข้ามารับมู่เวยเวยไว้ในอ้อมแขน

ห้องส่วนตัวใหญ่มากทั้งแสงไฟที่มืดสลัว คนอื่นๆไม่ร้องเพลงก็พูดคุยดื่มเหล้ากัน ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจกับอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นด้านนี่

มู่เวยเวยนอนอยู่บนอกเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงและกลิ่นกายที่คุ้นเคยของชายหนุ่ม

“ขอโทษค่ะ”มู่เวยเวยปีนออกจากอกและด้วยความตกใจจึงเอามือวางไว้ที่หน้าอกเขา “ขอบคุณค่ะ”

เสียงแหบที่พูดอยู่ข้างหู “ระวังหน่อย”

มู่เวยเวยพลิกตัวนั่งอยู่สุดขอบของโซฟา ที่ตรงนี้ไกลจากเข้ามาก

เธอรู้จักเย่ฉ่าวเฉินดี เขาเกลียดผู้หญิงที่ไม่รู้จักกาลเทศะอีกทั้งยังเคยบอกว่าเขาแต่งงานแล้ว ดังนั้น ต่อให้เธออยากยั่วยวนเขาแค่ไหนก็ไม่ควรแสดงออกชัดเจนเกินไป

เย่ฉ่าวเฉินเอื้อมมือหยิบแก้วเบียร์จากโต๊ะอย่างช้าๆ สายตาก็มองไปที่เธอโดยไม่รู้ตัว

ชั่วพริบตาที่เธอล้มลงบนตัวเขา ความรู้สึกอ่อนนุ่มช่างเหมือนกับหญิงสาวคนนั้นที่อยู่ภายในใจเขามากเสียจริง

มู่เวยเวยนั่งอยู่เพียงลำพัง ตำแหน่งของเธอสูงเกินไปจนไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดคุยด้วย เธอโน้มตัวไปหยิบกระป๋องเบียร์มาหนึ่งกระป๋อง

เบียร์เพียงขวดเดียวไม่พอทำให้เธอเมาได้ ปริมาณการดื่มของเธอคือสองขวด

“คุณหนูฉู่ไม่ไปร้องเพลงเหรอครับ?” จู่ๆเย่ฉ่าวเฉินก็ถามทำลายบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของทั้งสองคน

มู่เวยเวยดื่มเบียร์เข้าไปหนึ่งอึก และหัวเราะให้กับตัวเอง “ฉันต่อให้เลยค่ะ ฉันร้องเพลงไม่เพราะเอามากๆ”

“คุณหนูฉู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ชอบร้องเพลงอะไรครับ ผมช่วยคุณเลือกเอง” พูดจบเย่ฉ่าวเฉินก็ลุกขึ้นไปเลือกเพลง มู่เวยเวยรีบคว้ามือเขาไว้ “อย่าไปอย่าไป ฉันพูดจริงๆ อย่าทำให้ฉันขายหน้าสิ”

แขนของเย่ฉ่าวเฉินชาไปชั่วขณะ ราวกับถูกไฟช็อกจึงค่อยๆนั่งลง

มู่เวยเวยรีบปล่อยแขนเขา อย่างกับคนกลัวน้ำร้อนลวกอย่างไรอย่างนั้น

บรรยากาศของทั้งสองเริ่มมีบางอย่างแปลกๆกลับขึ้นมาอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินควานหาคำพูดแทบไม่เจอ “ตอนนี้การลงนามธุรกิจของเราก็จบลงแล้ว คุณหนูฉู่ต้องกลับฮ่องกงแล้วใช่ไหม?”

“ยังค่ะ พ่อฉันบอกว่า โครงการนี้เสร็จสมบูรณ์เมื่อใด ฉันถึงจะกลับไปได้” มองมู่เวยเวยพูดราวกับเสียใจ

“ทำไมพูดจาฟังดูน่าสงสารจัง?”เย่เฉ่าเฉินแกล้งเธอ

“ใช่น่ะสิ” มู่เวยเวยยู่ปาก(หน้ามุ่ย) พูดอย่างจนใจ “ฉันอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนสักคน ไปบริษัททุกๆวันก็มีแต่ผู้ชายตัวโตอย่างพวกคุณ น่าเบื่อจะตาย แถมยังไม่มีเพื่อนที่คอยชอปปิงกินข้าวด้วยกัน อยู่ที่ฮ่องกงฉันยังมีเพื่อนรู้ใจอยู่สองสามคน”

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้มองหน้าเธอ เพียงแค่ฟังเสียงเล็กบ่นให้ฟังไปอย่างนั้น แว็บนึงเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังฟังเสียงพึมพำของภรรยา กลั้นใจไม่พูดแทรกเธอ ถึงกับหวังอยากจะให้เธอพูดมากกว่านี้เสียหน่อย

“อีกทั้ง วันๆก็ได้อยู่แต่ที่โรงแรม ไม่สะดวกสบาย ตอนเช้ารู้ว่าจะพูดอะไร ก็ไม่ได้พูด…”

“คุณซื้อคอนโดใหม่ยังตกแต่งไม่เสร็จหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินถาม

“ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงยังไม่เสร็จ” มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นดื่มเบียร์อีกครั้ง เอนกายลงบนโซฟาเพ่งมองใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบของเขา มองดูเขาไม่พูดอะไร ภายในใจอดไม่ได้ที่จะระแวง ก่อนหน้านี้เฉียวซินโยวก็พูดว่าไม่มีที่อยู่ไม่ใช่เหรอ เขายังเรียกร้องให้เธอกลับมาอยู่บ้านเลย ตอนนี้เธอบอกว่าไม่อยากอยู่โรงแรมบ้าง ทำไมเขาไม่มีท่าทีอะไรเลยละ?

จู่ๆเธอก็คิดอะไรออก มู่เวยเวยถามอย่างตื่นเต้น “ประธานเย่ เมือง A มีที่ไหนอาหารอร่อยและน่าเที่ยวบ้างคะ? สองสามวันนี้ฉันไม่มีธุระอะไร อยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่เมือง A มาหลายปี แต่เรื่องการกิน ดื่ม เที่ยว กลับไม่เคยเอามาใส่ใจเลยสักนิด “ผมรู้แค่ว่ามีพิพิธภัณฑ์ และมีอุทยานฮวงฮัวซีอะไรประเภทนั้น”

“ฮ่าฮ่า ประธานเย่ นี่คุณใช่คนเมืองAหรือเปล่าคะ?”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ในความหมายของคำพูดเธอ จึงยิ้มและพูดว่า “ผมเป็นคนเมือง A แต่ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้จริงๆ เอาอย่างนี้ละกัน ผมจะกลับไปถามเลขาของผม เขาน่าจะรู้ดีกว่าผม”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset