วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 175 เวยเวย ผมอยากได้ยินเสียงของคุณ

หลังจากกินยาตอนบ่ายเสร็จ มู่เวยเวยก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

ในเวลานี้ พ่อบ้านหวังน่าจะช่วยฉินหม่าอยู่ในครัว

รอบด้านไม่มีคนอยู่ มู่เวยเวยจึงรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องหนังสือบนชั้นสาม จากนั้นก็ค่อยๆปลดล็อกประตู

“แกร๊ก”เสียงเปิดประตูห้องหนังสือเปิดออก

เย่ฉ่าวเฉินและพ่อบ้านหวังต่างมั่นใจมากว่าพวกเขาไม่ได้ล็อกประตู แต่นี่ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเธอ

และรีบแวบเข้ามาในห้องหนังสือ

มู่เวยเวยพลิกหาในลิ้นชักอย่างระมัดระวัง หลังจากพลิกหาเสร็จ เธอก็ใส่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิม เย่ฉ่าวเฉินความรู้สึกไวมาก แค่เปลี่ยนไปนิดเดียว เขาก็สามารถรับรู้ได้

ในลิ้นชักสองสามอันนี้ไม่มี มู่เวยเวยพยายามหาบนตู้หนังสืออีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เจออะไร ในขณะที่กังวล มู่เวยเวยก้เหลือบไปเห็นกล่องสีดำเล็กๆที่ล็อครหัสอยู่บนสุดของชั้นหนังสือ

จู่ๆก็ใจเต้นขึ้นมา เย่ฉ่าวเฉินมีของสำคัญอะไรถึงต้องเอามาใส่ในกล่องล็อครหัสนี้ ? คงไม่ใช่แผนที่ขุมทรัพทย์ที่ล้ำค่าหรอกนะ ?

สูงเกินไปแล้ว มู่เวยเวยผลักเก้าอี้มาข้างหน้าชั้นหนังสือ ยังไม่ทันได้ขึ้นไปยืน เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างล่าง เย่ฉ่าวเฉินกลับมาแล้ว

ตอนนี้เพิ่งกำลังห้าโมงเย็น ทำไมเขาถึงกลับมาแล้ว ?

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นไปมองกล่องใบเล็กนั้น จึงรีบผลักเก้าอี้กลับไปที่เดิม ตอนนี้ต้องรักษาชีวิตตัวเองก่อน เจ้ากล่องเล็ก เดี๋ยวฉันจะกลับมาหาใหม่

หลังจากออกจากห้อง มู่เวยเวยก็ไม่กล้าหยุดนิ่ง จึงวิ่งลงไป เมื่อไปถึงชั้นสองก็ได้ยินเสียงเยฉ่าวเฉินที่กำลังขึ้นบันไดมา จะกลับห้องตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว จึงทำได้เพียงแกล้งลงไปข้างล่าง

“คุณฉู่ ? ร่างกายคุณเป็นอย่างไรบ้าง ? ”เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ที่มุมบันได เงยหน้ามองเธอด้วยความประหลาดใจ

“ดีขึ้นมากแล้ว อยู่แต่ในห้องทั้งวันรู้สึกเบื่อ ฉันเลยอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก”

เย่ฉ่าวเฉินหันหลังและเดินลงไป “ถ้างั้นไปกันเถอะ ผมไปเป็นเพื่อนคุณ”

มู่เวยเวยคิดถูกแล้ว มีบางเรื่องที่เธอไม่ควรถาม แต่ตอนนี้เธอคือฉู่เหยียน มันเลยง่ายที่จะถาม

ทั้งสองคนเดินเล่นที่ข้างนอกคฤหาสน์ มู่เวยเวยรู้สึกร่างกายเริ่มหนาว จึงรีบเอาเสื้อมาคลุมตัวแน่น “ขอบคุณมากที่พาฉันมา ไม่อย่างนั้นฉันได้เฉาตายอยู่ที่โรงพยาบาลแน่”

หน้าของเย่ฉ่าวเฉินดูเย็นชา “ไม่เป็นไร”

“เดิมทีจะท่องเที่ยวอยู่ที่เมือง A แค่สองวัน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าอยู่คฤหาสน์ตระกูลเย่มาสองวันแล้ว”ฮ่าฮ่า แต่ทิวทัศน์ของบ้านเขานั้นไม่เลวเลย มู่เวยเวยส่ายหัวราวกับว่าเธอมาเป็นครั้งแรก จึงถามอย่างประหลาดใจว่า “สถานที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ คุณอยู่คนเดียวเหรอ ? พ่อแม่ของคุณล่ะ ?”

เสียงฝีเท้าของเย่ฉ่าวเฉินหยุดลง สีหน้าดูเฉยเมยและพูดว่า “พวกท่านเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว”

“เอ๊ะ ? ขอโทษ ฉันไม่รู้ ”มู่เวยเวยกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านมานานแล้ว”เมื่อเย่ฉ่าวเฉินพูดจบ ก็เหมือนจะคิดอะไรได้จากนั้นก็คลายคิ้ว “ผมยังมีคุณปู่กับน้องชาย”

ครั้งนี้มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจ “คุณปู่ ?” เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขายังมีคุณปู่

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธออย่างสงสัย “มีคุณปู่มันแปลกมาเลยเหรอ ?”

“ไม่ไม่ ถ้างั้นแล้วคนอื่นล่ะ ?”มู่เวยเวยปิดบังดวงตาที่สั่นไหวของเธอ

“เขารักษาตัวอยู่ต่างประเทศ นับตั้งแต่พ่อแม่เสีย เขาก็ไปต่างประเทศ” สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินแสดงความอบอุ่นออกมา

อ่อ อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นควรถามดีไหมว่าพ่อแม่ของเขาตายยังไง ? แบบนี้มันดูกังวลเกินไปรึเปล่า ? ถ้าเขาเกิดสงสัยขึ้นมาล่ะ ?

ในขณะที่กำลังสับสน เย่ฉ่าวเฉินก็หยุดอยู่ที่เก้าอี้อาบแดดริมทะเลสาบ และนิ้วเรียวยาวของเขาก็ปัดรอยที่เก้าอี้เล็กน้อย “ในฤดูร้อนภรรยาของผมชอบมานั่งตากลมชมวิวอยู่ที่นี่”

หัวใจของมู่เวยเวยเต้นรัว เธอไม่กล้ามองใบหน้าที่เศร้าหมองของเขา

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว จึงยับยั้งความอ่อนโยนภายในตาไว้ และก้าวเท้าเดินต่อ

ลมของฤดูร้อนแผดเผา แม้ในกระทั่งช่วงเย็นก็ยังมีความร้อนจากฤดูร้อน

มู่เวยเวยเดินตามหลังเขาไปช้าๆ พยายามควบคุมอารมณ์ที่สั่นไหว และถามเขาว่า “คุณรักภรรยาของคุณไหม ?”

เย่ฉ่าวเฉินหยุดและก้มลงจ้องมองเธออย่างจดจ่อ ราวกับกำลังมองคนอื่นผ่านตัวเธอ จากนั้นเธอก็ได้ยินเขาพูดด้วยความรักว่า “ใช่ ผมรักเธอมาก”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงทิ้งไปล่ะ ?”

ดวงตาเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา บีบแขนเธออย่างแรง และถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าเธอทิ้งผมไป ?”

มู่เวยเวยยิ้มอย่างข่มขื่น “คุณเย่ ฉันก็มีเหตุผลแบบคนปกติรึเปล่า ? ในเมื่อคุณรักเธอขนาดนี้ ดังนั้นคุณไม่มีวันไล่เธอไปแน่ ถ้างั้นก็มีเพียงเธอหนีไปจากคุณ หรือคุณไม่คิดว่าแค่เรื่องง่ายๆแค่นี้ฉันจะคิดไม่ได้ ?”

ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ปล่อยแขนเธอ เขากระตือรือร้นเกินไป และคิดว่า……….

“ฉันก็แค่ถามดู ทำไมคุณดูตื่นเต้นและแรงเยอะขนาดนี้” มู่เวยเวยถูที่แขนของตัวเองและบ่นอุบอิบที่ปาก

ร่างสูงของเย่ฉ่าวเฉินหยุดลงตรงหน้าเธอ เขาดูอ่อนแอลงเล็กน้อย

“เป็นความผิดผมเอง” เขาพูดเสียงเข้ม

“แน่นอนว่าเป็นความผิดคุณ”มู่เวยเวยคิดว่าเขากำลังขอโทษ และเพียงไม่กี่วิต่อมาก็พบว่าเขากำลังตอบคำถามด้านบน

แน่นอนเย่ฉ่าวเฉินพูดต่อไปว่า “เป็นความผิดผมเอง” ผมทำเรื่องที่ผิดกับเธอไว้มาก ดังนั้นเธอถึงทิ้งผมไป นี่คงเป็นบทลงโทษของผม”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ แววตาของมู่เวยเวยก็มีความสุขขึ้นมา เธอยอมรับว่าอยากเห็นเขาเจ็บปวดและผิดหวัง ขอแค่เป็นแบบนี้ เธอก็สบายใจขึ้นมา ใครบอกให้เขาทรมานเธอก่อนละ ?

“คุณไม่ไปตามหาเธอเหรอ ?”

“หาแล้ว สถานที่ที่หาได้ก็ไปหาหมดแล้ว แต่ก็ไม่เจอ”เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ตอนนี้ ไม่ว่าเธออยู่ที่ไหน ความหวังเดียวของผมในตอนนี้ก็ขอให้เธอใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

มู่เวยเวยรู้สึกงุนงง เย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนไปมากจริงๆ

“ฉันเชื่อว่า เธอจะต้องอยู่อย่างสุขสบาย” มู่เวยเวยพูดอย่างหนักแน่นเหมือนจะปลอบเขา แต่จริงๆแล้วกำลังปลอบตัวเอง

ในที่สุดใบหน้าของเยฉ่าวเฉินก็มีรอยยิ้ม “ผมก็เชื่ออย่างนั้น ไปเถอะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว”

สวมหน้ากากเป็นเวลาสองวันแล้ว รวมกับที่เธอป่วย ในขณะที่ทานอาหารเธอก็รู้สึกคันที่หน้า เธอก็ไม่กล้าเอามือไปโดน จึงทำได้เพียงมัดผมทั้งสองข้าง เพราะกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ

หลังจากรีบทานข้าวไปสองสามคำ มู่เวยเวยก็พูดกับเขาว่า “ตอนกลางคืนไม่ต้องให้คนรับใช้หญิงมาดูแลฉัน ฉันคุ้นเคยกับการนอนคนเดียวแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินเห็นว่าสภาพจิตใจเธอดีขึ้นมากแล้ว จึงพยักหน้าเห็นด้วย

เมื่อกลับมาถึงห้อง มู่เวยเวยก็ล็อคประตู และรีบไปที่กระจก แก้มของเธอเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆแล้ว

“โชคดีที่ผมยาวปิดบังไว้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องมองเห็นแน่” มู่เวยเวยพึมพำไปด้วยพลางเทยาลงน้ำ

ไม่ช้า ผิวหนังบนใบหน้าเธอก็ถอดออกมา ในสถานที่แบบนี้ เพื่อให้ใบหน้านี้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง จึงทำให้มู่เวยเวยรู้สึกประหม่า

หลังจากแน่ใจว่าปิดประตูแล้ว มู่เวยเวยก็นอนอยู่บนเตียง

มีรูปถ่ายใบหน้าของเป่าเปยอยู่ในอัลบั้มรูปในโทรศัพท์เธอ เขาเบิกตากลมโตพร้อมหัวเราะคิดคัก รอยยิ้มนั้นเหมือนธารน้ำแข็งที่ละลายมาหลายหมื่นปี

มู่เวยเวยร้องไห้ขอสิ่งนี้เป็นเวลานาน กว่าเจ้านายที่ลึกลับจะส่งรูปภาพนี้ให้กับเธอ

เมื่อมองไปที่หน้าของเป่าเป้ย น้ำตาของมู่เวยเวยก็ไหลออกมา

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโอเคดีไหม จะร้องไห้รึเปล่า ? จะลืมแม่คนนี้ไปรึยัง?

มู่เวยเวยไม่กล้าที่จะคิดเรื่องแบบนี้ แค่คิดเธอก็ทนไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด

เธอเป็นแม่ที่ไม่ดี ไม่สามารถปกป้องลูกได้

มู่เวยเวยเอาหน้ามุดผ้าห่มและร้องไห้ออกมาอย่างหดหู่ ทันใดนั้นเสียงประตูก็ดังขึ้น

“คุณฉู่ คุณอยู่ข้างในไหม ?” เป็นเสียงของคุณหมอหาน

มู่เวยเวยรีบหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดน้ำตาของเธอและถามว่า “มีธุระอะไรรึเปล่า ?”

“ผมยังต้องตรวจอีกครั้ง”คุณหมอหานอธิบายง่ายๆ

มู่เวยเวยตื่นตระหนก ในตอนบ่ายที่ออกไปเดินเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ ตอนนี้ไม่สามารถให้เขาเข้ามาได้ อีกทั้งยังต้องใช้เวลานานในการสวมหน้ากาก

“คุณหมอหาน ฉันรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยมาตรวจฉัน”

คุณหมอหานที่อยู่ข้างนอกคิดว่าเธอกำลังอาบน้ำหรือทำอะไรอยู่ เลยไม่อยากเข้าไปและไม่ได้คิดอะไรมาก จึงพูดว่า “อย่างนั้นก็ได้ ถ้างั้นคุณฉู่รีบพักผ่อนเถอะ”

มู่เวยเวยที่ยืนพิงประตูฟังเสียงฝีเท้าของเขาหายไปแล้ว จึงถอนหายใจออกมา

ดูเหมือนว่าไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นสายลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอไม่ได้ฝึกมาโดยตรง โชคดีที่เมื่อก่อนถูกเย่ฉ่าวเฉินฝึกให้มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้น หัวใจคงจะหยุดเต้นภายในไม่กี่นาที

ในตอนนี้ มู่เวยเวยก็คิดถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือพลังเหนือธรรมชาติของเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเกิดว่าเขาสนใจขึ้นมา และผ่านกำแพงเข้ามาที่นี่จะทำอย่างไร ?

แต่ เขาก็ไม่ควรแปลงร่างแบบนี้นะ

พระเจ้าอวยพรด้วย

ด้วยอารมณ์ที่ประหม่าแบบนี้ มู่เวยเวยจึงหลับไปด้วยความมึนงง บางทีอาจจะเป็นเพราะคิดถึงลูกมากเกินไป ในคืนหนึ่งเธอฝันว่าลูกร้องไห้ใส่เธอใหญ่ เธออยากจะวิ่งไปอุ้มเขามากอด แต่ขาก็ถูกโซ่รัดไว้ ขยับไปไหนไม่ได้

ในตอนเช้า มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า และหมอนก็ชื้นๆ

เย่ฉ่าวเฉินอยู่ที่บริษัทไม่ไปไหน มู่เวยเวยใส่สายน้ำเกลือเสร็จก็หันหลังเดินไปชั้นล่าง มองเห็นพ่อบ้านหวังกำลังสั่งคนรับใช้ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ ฉินหม่ากำลังเด็ดผักอยู่ในครัว ในใจรู้สึกตื่นเต้น และรีบขึ้นไปที่ชั้นสาม

กล่องสีดำขนาดเล็กยังวางอยู่ที่เดิม เพียงแต่บนโต๊ะมีเอกสารวางอยู๋สองสามฉบับ แต่ดูเหมือนจะเกี่ยวกับบริษัท มู่เวยเวยจึงไม่สนใจของพวกนั้น และยกเก้าอี้ไปที่หยิบกล่องเล็กนั่นลงมา

กล่องเล็กเบามาก มู่เวยเวยเขย่าดู ด้านในมีของอยู่จริงๆ ในใจรู้สึกตื่นเต้น และนั่งอยู่บนเก้าอี้และเริ่มไตร่ตรองรหัสผ่านทั้งสี่ตัว

เย่ฉ่าวเฉินจะใช้รหัสผ่านเป็นอะไรนะ ? ถ้าหากว่าเป็นของสำคัญ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่วันเกิดของเขา เพราะแบบนั้นจะเดาได้ง่ายเกินไป

หรือว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง ? มู่เวยเวยหลงตัวเอง ในใจก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่มือเธอก็ยังกดรหัสผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว ตัวเลขทั้งสี่หมุน และกล่องเล็กก็ยังไม่ขยับ เป็นเรื่องจริง เธอหลงตัวเองเกินไปจริงๆ

ถ้าอย่างนั้นจะเป็นอะไร ?

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว และพูดว่าเกลียดที่ตัวเองรู้น้อยจริงๆ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอรู้เรื่องของเย่ฉ่าวเฉินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากว่าเขาตั้งใจใช้รหัสที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ล่ะ เธอแทบจะไม่รู้อะไรเลย

เมื่อเห็นว่าความลับอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เปิดไม่ได้ ในใจของมู่เวยเวยก็รู้สึกกังวล

ไม่ว่ายังไง ก็ต้องลองสุ่มนดู

เลขหกสี่ตัว เลขแปดสี่ตัว เลขศูนย์สี่ตัว……..

“แกร๊ก——”

เอ๊ะ ใส่อะไรเข้าไป ? ทำไมถึงเปิดแล้ว ?

มู่เวยเวยจ้องมองด้วยความประหลาดใจ 0428 เลขนี้ดูเหมือน……วันแต่งงานของพวกเขา

มู่เวยเวยตกตะลึงอยู่สองสามวินาที เธอจะใส่รหัสนี้โดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร ครั้งนี้ เธอตกใจกับเย่ฉ่าวเฉิน เขาใช้วันแต่งงานตั้งเป็นรหัสผ่านจริงๆ ?

เธอเปิดฝากล่องอย่างสั่นๆ มู่เวยเวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ด้านในมีสมุดสีแดงเล่มเล็กวางอยู่สองเล่ม นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอยู่

ชายคนนี้เก็บทะเบียนสมรสไว้ในนี้จริงเหรอ อะไรจะไร้เดียงสาขนาดนี้ ?

ไม่แปลกใจที่ใช้วันแต่งงานตั้งเป็นรหัสผ่าน ล็อคทะเบียนสมรสคงไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันหรอกมั้ง เพียงแต่ นี่มันเกินไป…….

มู่เวยเวยมองไปที่สมุดสีแดงเล่มเล็กที่สวยงาม มีความรู้สึกยิ้มทั้งน้ำตา

ทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ

เธอค่อยๆปิดกล่องเล็กด้วยความโกรธ และใส่รหัสไปมั่วๆ จากนั้นก็วางมันกลับไปที่บนสุดของชั้นหนังสือ

ยังจะมีที่ไหนอีกล่ะ ?

มู่เวยเวยยกมือขึ้นมากุมหน้าอก ค้นหาทุกซอกทุกมุมในห้องหนังสือ แน่นอนว่าของที่สำคัญแบบนี้คงจะหาเจอไม่ได้ง่ายๆ แต่นอกจากห้องหนังสือแล้ว ยังมีสถานที่ใดในคฤหาสน์ที่เป็นความลับอีก ?

ช่างเถอะ กว่าจะเข้ามาแต่ละครั้งไม่ง่ายเลย จะต้องหาอีกสักครั้ง เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรอีก ?

มู่เวยเวยเปิดลิ้นชักอีกครั้ง ไม่มี เปิดตู้อีกครั้ง ก็ยังไม่มี……เดี๋ยวก่อน นี่คืออะไร ?

กระดาษที่ดูเก่าถูกกดทับไว้ใต้เอกสาร มู่เวยเวยออกแรงเล็กน้อยดึงกระดาษออกมา กระดาษปิดเข้าหากัน เมื่อได้มาอยู่ในมือ เธอก็มีความรู้สึกคุ้นเคย

เหมือนเคยเจอสิ่งนี้ที่ไหนมากก่อน และค่อยๆเปิดออก

มู่เวยเวยแทบจะหยุดหายใจ นี่มัน….นี่มันเป็นรูปออกแบบที่ตัวเองทำหายใบนั้นไม่ใช่เหรอ ?

ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ?

เห็นได้ชัดว่าเธอทำหายที่โรงแรม ทำไมถึงมาอยู่กับเย่ฉ่าวเฉิน

ทันใดนั้นความคิดที่เลวร้ายก็ผุดขึ้นมา หรือว่าคนในคืนนั้นจะเป็น……เย่ฉ่าวเฉิน ?

ไม่ เป็นไปไม่ได้ ลู่จื่อหางเจ้าคนทรยศนั้นบอกแล้ว เธอถูกขายให้กับหนานกงเฮ่า และหนานกงเฮ่าก็ยอมรับแล้ว แต่เพราะอะไร…….

ในหัวของมู่เวยเวยรู้สึกสับสน แต่เธอก็จำได้เสมอว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน

วางภาพออกแบบไว้ไกลๆ และมู่เวยวยก็วิ่งอออกจากห้องหนังสือด้วยความงุนงง

ตลอดทั้งบ่าย เธอคิดเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องนี้

ถ้าหากว่าตอนนี้เธอคือมู่เวยเวย เธอคงสามารถวิ่งไปถามเย่ฉ่าวเฉินต่อหน้าได้ ว่าทำไมภาพออกแบบถึงอยู่ในมือเขา แต่ตอนนี้มันตลกมาก เธอคือฉู่เหยียน

เธอไม่สามารถถามอะไรได้เลย

เรื่องย้อนกลับไป ถึงแม้ว่าคืนนี้ที่โรงแรมจะเป็นเย่ฉ่าวเฉิน แต่เธอจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ? ไม่มีอะไรเสียหายไปอีกแล้ว ตอนจบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม มีแค่ความเกลียดชังในใจเธอที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเกลียดหนานกงเฮ่ามากขึ้น และเกลียดเย่ฉ่าวเฉินมากขึ้นไปอีก

เมื่อถึงเวลาทานอาหารค่ำ มู่เวยเวยซ่อนสิ่งต่างๆไว้ในใจ และตาของเธอก็จ้องมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นก็คิดถึงความทรงจำที่เลือนลางของเธอ เธอแทบจะลืมรูปร่างของคนที่ปรากฎตัวในโรงแรมคืนนั้นไม่ได้แล้ว

มองแค่ครั้งสองครั้งยังได้ แต่ถ้ามองมากเกินไป เย่ฉ่าวเฉินจะรู้สึกได้

เมื่อมู่เวยเวยจ้องมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินอีกครั้ง ก็บังเอิญถูกจับได้ มู่เวยเวยจึงรีบเบนสายตาหนี

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกมึนงง จึงถามเธอว่า “คุณฉู่ คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม ?”

“เอ่อ………”มู่เวยเวยอ้ำอึ้ง

อำอึ้ง และคิดหาเหตุผล คุณหมอหานบอกว่าฉันหายป่วยแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปพักที่โรงแรม แม้ว่าพักที่นี่จะสะดวกสบาย แต่ก็อันตรายเกินไป ถ้าไม่ระวังให้ดีก็จะถูกจับได้

ยิ่งไปกว่านั้น เย่ฉ่าวเฉินเหมือนกำลังหลบเธอ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี

ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินดูมืดมนลง แต่ก็ไม่ได้รั้งไว้ “เอาล่ะ พรุ่งนี้ตอนไปทำงาน ผมจะแวะไปส่งคุณ”

“ครั้งนี้ฉันอยากขอบคุณคุณมากจริงๆ เอาแบบนี้ รอให้ฉันแข็งแรงแล้ว ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณ ห้ามปฎิเสธเด็ดขาด” มู่เวยเวยยิ้มพูด

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะคิดให้ดีว่าอยากทานอะไร ? จะไม่เกรงใจคุณหนูรองของบ้านฉู่แล้ว”

“ฮ่าฮ่า ประธานเย่ฮวางผู้สง่างาม ยังมีอะไรที่ไม่เคยทานในเมือง A อีก ? ตกลง ฉันจะรอดูว่าคุณจะสามารถเลือกได้แพงแค่ไหน”

“ถ้างั้นก็ถือว่าตกลงแล้ว เมื่อถึงเวลาห้ามกลับคำนะ ผมเลือกแล้วจะโทรหาคุณ”

มู่เวยเวยแสร้งทำเป็นลูบกระเป๋าของเธอ “ไม่ต้องห่วง ทานข้าวแค่มื้อเดียวไม่ทำให้ฉันจนหรอก”

ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พ่อบ้านหวังมองดูทั้งคู่ด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า คุณชาย ไม่ได้หัวเราะอย่างนี้มานานแล้ว

เช้าตรู่ มู่เวยเวยนั่งอยู่ในรถคานเยนน์สีดำออกไป เมื่อหันกลับไปมองคฤหาสน์ในยามเช้า ในใจก็มีสัญชาตญาณบางอย่าง บางทีในเร็วๆนี้ เธออาจจะได้กลับมา เพราะว่าเธอยังไม่เจอของที่ต้องการ ความลับของคฤหาสน์นี้ยังไม่ถูกเปิดเผย

……

เมื่อถึงโรงแรม มู่เวยเวยเปิดคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่ของเย่ฉ่าวเฉินทั้งหมด

แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ข้อมูลทั้งหมดบนอินเตอร์เน็ตบอกเพียงแค่พ่อแม่ของเย่ฉ่าวเฉินเสียชีวิตโดยไม่คาดคิด แต่เสียชีวิตยังไงนั้น ไม่มีพูดถึงเลย แม้แต่คุณปู่ของเย่ฉ่าวเฉินที่เป็นผู้นำตระกูลเย่คนก่อนก็ไม่พูดอะไรเลย

โลกอินเตอร์เน็ตนั้นทรงพลังมาก ด้วยเรื่องภูมิหลังของตระกูลเย่แล้ว น่าจะมีคนอยากรู้อยากเห็นอยู่ไม่น้อยเลย แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรมาก เหตุการณ์นี้ผิดปกติจริงๆ

ดูเหมือนว่า ถ้าไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินสร้างกลอุบาย ก็ต้องมีคนที่มีแรงจูงใจที่ไม่อยากให้คนนอกรู้สาเหตุการตายที่แท้จริงของพ่อแม่ตระกูลเย่ ดังนั้นจึงลบมันออกไปจนหมด

ตอนนั้นแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?

ในหัวของมู่เวยเวยตีกันไปหมด เธอโง่เกินไปแล้ว เธอเหมาะกับงานภาพวาดเท่านั้น ภาพยนตร์แนวสืบสวนแบบนี้ไม่เหมาะกับเธอจริงๆ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือต้องทำให้เย่ฉ่าวเฉินรักเธอ แบบนี้เธอถึงจะถามสิ่งต่างๆได้มากขึ้น แต่เธอก็ไม่สามารถรุกได้มาก จึงทำได้เพียงรอโทรศัพท์จากเขา

เมื่อกำลังนึกถึงเรื่องนี้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดู มู่เวยเวยก็ลุกขึ้นมาจากโซฟา

รีบรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล ?”

“คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ? คุณมู่สุดที่รัก ?” เสียงหวานของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากโทรศัพท์

“เป็นไปด้วยดี ลูกของฉันล่ะ ? ฉันอยากเห็นลูก” มู่เวยเวยพูดอย่างกังวล เพราะว่าเธอได้ยินเสียงเด็กทารกร้องอ๊าอ๊าอ๊าอยู่แถวนั้น

“โอ้ เป่าเป้ยสบายดี เขากำลังหัวเราะและเต้นรำกับผมอยู่ตอนนี้ ”

ดวงตาของมู่เวยเวยดูชื้นขึ้นทันที “ให้ฉันดูเขาหน่อยได้ไหม ? หรือถ่ายรูปมารูปหนึ่งได้ไหม ? ขอร้องคุณล่ะ ”

“ไม่ไม่ไม่ ไม่ได้ ถ้าอยากเจอลูก ก็รีบเอาของที่ฉันต้องการกลับมา เป็นยังไง ? มีข้อมูลอะไรสำคัญไหม ?” ชายคนนั้นถาม

มู่เวยเวยนึกถึงคำพูดของเย่ฉ่าวเฉิน และพูดว่า “คุณปู่ของเย่ฉ่าวเฉิน พักรักษาตัวอยู่ต่างประเทศ”

ชายคนนั้นดูแปลกใจ “ชายชราคนนั้นยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ ? ฮ่าฮ่า ดีมากดีมาก ถามที่อยู่ของคุณชายชราเย่มา ผมกำลังเบื่ออยู่พอดีไปเยี่ยมหน่อยดีกว่า”

มู่เวยเวยรู้ดีว่าการไปเยี่ยมของเขามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถึงแม้ว่าเธอไม่อยากจะทำร้ายชายชราผู้ไม่เคยเห็นหน้าคนนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เธอไม่สามารถทำร้ายลูกตัวเองได้

“ฉันรู้แล้ว ขอดูลูกฉันหน่อยได้ไหม แค่แปปเดียว”

“ตู๊ดตู๊ดตู๊ด——”คำตอบของเธอคือเสียงวางสาย

น้ำตาของมู่เวยเวยไหลลงมา แทบจะทนไม่ไหวโยนโทรศัพท์ลงพื้น ชาติที่แล้วเธอไปทำอะไรไว้ ทำไมถึงต้องมาเจอเย่ฉ่าวเฉินไอ้คนเลวนี้ ถ้าหากว่าไม่เจอเขา ลูกของเธอจะต้องเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก

……

ณ เย่ฮวางกรุ๊ป

เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังฟังรองประธานอธิบายอยู่ๆก็จามขึ้นมา รองประธานตกใจและพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า ดูเหมือนว่าจะมีคนคิดถึงประธานเย่แล้ว แต่เมื่อได้รับสายตาสังหารจากเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็รีบพูดเกี่ยวกับงานอย่างจริงจัง

“ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองต้องจัดการให้เร็วที่สุด เอกสารที่ต้องทำก็ต้องรีบจัดการ โครงการสวนสนุกไม่สามารถล่าช้าได้แล้ว คนฮ่องกงมีประสิทฺธิภาพมาก” เย่ฉ่าวเฉินมองอย่างไม่แยแส

รองประธานยิ้มและพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ประธานเย่ เมือง

“ทางนั้นแค่อยากเห็นหน้าของคุณ พวกเราทางนี้ไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเจ้านาย”

เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองเขา “ปกติคุณวิ่งตั้งเยอะยังไม่ชินอีกเหรอ ?”

รองประธานไม่พูดอะไร ปกติถ้ามีเวลาก็ต้องวิ่ง อีกอย่างพวกผู้นำพวกนั้นใช่ว่าใครอยากเจอก็เจอได้

“ช่างเถอะ ฉันกำลังฟังยู๋ซวนจัดโต๊ะในคืนนี้ ฉันจะไปสักหน่อย”

“ตกลง ผมจะรีบจัดการทันที”

เมื่อรองประธานจากไป เย่ฉ่าวเฉินก็คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของเขา ใครกำลังคิดถึงเขา ?

ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา จะเป็นเธอไหมนะ ?

ไวน์บนโต๊ะล้วนมาจากแต่ละแผนก

ไม่ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะร่ำรวยแค่ไหนก็ต้องขอร้องให้คนอื่นจัดการธุระให้ ใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงขึ้นมา

“ผู้อำนวยการจางไม่ต้องเป็นห่วง บริษัทของพวกเราต้องเป็นผู้รักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ทำให้คุณหลุดหรอก” เย่ฉ่าวเฉินตบที่หน้าอกหัวหน้าผู้คุ้มครองสิ่งแวดล้อมอย่างสุภาพ

ผู้อำนวยการที่สวมแว่นอยู่หัวเราะอย่างร่าเริง “ไอ้ย๋า ประธานเย่จัดการผมก็วางใจ พรุ่งนี้ให้คนส่งเอกสารมา ผมมีเวลาพอดีจะเซ็นให้คุณ นอกจากนี้คุณยังมีส่วนช่วยพัฒนาเมือง A พวกเราต้องสนับสนุน”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้……”

หลังจากทานอาหาร เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็ดื่มจนสลบไปแล้วเช่นกัน

จางเห่อพยุงเขาเข้าไปในรถ ทุกคนล้วนเห็นด้านที่รุ่งโรจน์ของเขา ใครจะคิดว่าประธานระดับสูงอย่างเขาจะมีใบหน้ายิ้มแย้มให้กับคนอื่น ?

เย่ฉ่าวเฉินนอนอยู่ในรถ ในหัวเต็มไปด้วยใบหน้าของมู่เวยเวย

“เวยเวย…..เวยเวย…..”เขาพูดกระซิบออกมาจากปาก ความคิดของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า

ในใจจางเห่อรู้สึกคร่ำครึม เขาดื่มเมาแล้ว เพราะถ้ายังมีสติ เขาจะไม่มีวันเรียกชื่อของคุณหนูออกมาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ จะมีก็แค่ตอนดื่มเมาแล้วเท่านั้น ถึงจะปล่อยตัวเองแบบนี้

เย่ฉ่าวเฉินหยิบโทรศัพท์อกมาอย่างเมา และกดหมายเลขที่คุ้นเคย มีเสียงอัตโนมัติของผู้หญิงดังขึ้น สวัสดีค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกได้ปิดใช้งานในขณะนี้

หลังจากวางสาย เขาก็กดชื่อของอีกคนขึ้นมา และโทรออกด้วยมือที่สั่นเทา

มู่เวยเวยที่กำลังอาบน้ำเสร็จและเตรียมจะเข้านอน จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อมองไปก็เป็นเย่ฉ่าวเฉินเธอประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมเขาถึงโทรมาหาตัวเอง ?

ทันทีที่รับโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงอู้อี้จากทางนั้น “เวยเวย……”

มู่เวยเวยตัวแข็ง เขารู้แล้ว ?

“เวยเวย…..เวยเวย…..คุณพูดอะไรหน่อยสิ พูดกับผม เวยเวย……”

หลังจากฟังสักพัก มู่เวยเวยก็รู้ว่า ชายคนนี้เมาแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจลง

“ประธานลู่ คุณเมาแล้ว” เธอพูดเสียงเรียบ

“ผมไม่ได้เมา เวยเวย คุยกับผมได้ไหม ? ผมรู้สึกอึดอัดใจ…….”

มู่เวยเวยใจสั่นไหว และเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก “เย่ฉ่าวเฉิน คุณอยากพูดอะไร ?”

“อะไรก็ได้ ผมก็แค่อยากได้ยินเสียงของคุณ”

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้น พูดอะไรก็ได้ ? จากนั้นก็เหลือบไปเห็นนิตยสารแฟชั่นข้างเตียง จึงถามเขาว่า “ถ้างั้นฉันอ่านนิตยสารให้ฟังได้ไหม ?”

“ได้ อะไรก็ได้”

มู่เวยเวยเปิดไปหน้าหนึ่ง และพูดด้วยเสียงนุ่มนวลดังผ่านโทรศัพท์เข้าหูเย่ฉ่าวเฉิน

บางทีเขาอาจจะรู้อยู่ในใจ ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่มู่เวยเวย แต่ตอนนี้หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน เขาต้องการเสียงของเธอเพื่อให้ตัวเองมึนงง ถึงแม้จะแค่คืนเดียวก็ตาม

เสียงดังขึ้นระหว่างคนสองคน เย่ฉ่าวเฉินเหมือนนักเรียนที่เชื่อฟัง ไม่ได้รบกวนเลย

เมื่อนิตยสารเปิดไปหน้าที่สี่ มู่เวยเวยก็ได้ยินเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของฝ่ายนั้น ในที่สุดเขาก็หลับแล้ว

มู่เวยเวยวางสาย และโยนนิตยสารไปอีกทาง จากนั้นก็ดื่มน้ำให้ชุ่มคอ

หนังสือเล่มนี้ดีกว่าหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขาอ่านให้เธอเยอะเลย ถ้าหากครั้งหน้า……

มู่เวยเวยรู้สึกหวาดกลัวกับความคิดของเธอ ครั้งหน้าอะไร ? ไม่มีครั้งหน้าเด็ดขาก เธอไม่ต้องการนอนข้างเย่ฉ่าวเฉิน ฟังเขาอ่านหนังสือ แม้แต่นิยายเรื่องโปรดก็ตาม

ตอนนี้ เธอต้องคิดให้ดี ถ้าพรุ่งนี้ชายคนนี้โทรมาขอโทษ เธอจะพูดอย่างไรดี

……

ในตอนเช้า เย่ฉ่าวเฉินตื่นมาด้วยความกระหายน้ำและปวดหัวอย่างรุนแรง นี่เป็นสิ่งตอบแทนสำหรับการเมาเหล้า

เขาเข้าไปในอาบน้ำในห้องน้ำ เพื่อให้มีชีวิตชีวาขึ้น

เมื่อเดินลงมาก็เจอกับจางเห่อ เขาเหลือบมองมาที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยท่าทีแปลกๆ และกล่าวสวัสดี “คุณชาย คุณตื่นแล้ว”

“อืม” เย่ฉ่าวเฉินดื่มน้ำพลางเดินไปห้องอาหาร “เมื่อคืนส่งคนพวกนั้นกลับอย่างปลอดภัยกันหมดแล้วใช่ไหม ?”

“ส่งกลับไปหมดแล้ว” จางเห่อเหลือบมองเขาอีกครั้ง เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าเขาแปลกๆ จึงถามขึ้น มีอะไรก็พูดมา อย่ามาอ้ำอึ้งต่อหน้าฉัน

“อ้ำอึ้ง”

จางเห่อลังเลเล็กน้อย “คุณชาย คุณดูที่โทรศัพท์ของคุณก็รู้แล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินหยิบโทรศัพท์ออกมาจากเสื้อของเขาด้วยความสงสัย และเลื่อนเปิดไปที่การโทร เขาเห็นประวัติการโทรล่าสุด เขาก็หยุดฝีเท้าลง

ทำไมเมื่อคืนเขาถึงโทรหาฉู่เหยียน ? และยังโทรนานถึงสิบหกนาที….

เย่ฉ่าวเฉินเบิกตาขึ้นมองไปที่จางเห่อ แววตาแทบไม่อยากจะเชื่อ เขาโทรหาฉู่เหยียน ? จำไม่ได้แม้แต่น้อยเลย

“ฉันโทร ? ”เขาถามจางเห่ออย่างประหลาดใจ

จางเห่อพยักหน้า ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไรดี “เมื่อคืนคุณดื่มจนเมา และ…..เลือกเรียกชื่อคุณหนูตลอดเลย จากนั้นก็โทรไปหาคุณฉู่ บอกว่าอยากได้ยินเสียง……”

เย่ฉ่าวเฉินตบหน้าผาก พระเจ้า เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ?

“ถ้างั้นทำไมถึงโทรนานขนาดนี้ ? ฉันพูดอะไรที่เกินเลยออกไปรึเปล่า ?”

“คุณไม่ได้พูดอะไรเลย เหมือนว่าคุณฉู่จะอ่านหนังสือให้คุณฟัง จากนั้นคุณก็หลับไป”

เย่ฉ่าวเฉินพูดอะไรไม่ออกเลย นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว ครั้งที่แล้วก็จูบเธอ ครั้งนี้ก็โทรหาเธอหลังจากดื่ม และเธอยังตอบรับคำขอของตัวเองที่เมาอยู่…….

นับตั้งแต่ฉู่เหยียนปรากฎตัว ทำไมทุกอย่างถึงไม่เป็นไปตามนั้น ?

“คุณชาย คุณควรจะโทรหา…….”จางเห่อหยุดความคิดเขา และเตือนเรื่องซุบซิบ

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองไปที่เขา จางเห่อรีบวิ่งหนีไป

ช่างเถอะ ต้องโทรไปขอโทษเธอก่อน เขาพบว่าเขามักจะพูดกับเธอแค่ “ขอโทษ ขออภัย” ไม่กี่คำนี้

เย่ฉ่าวเฉินกุมขมับและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกดโทรศัพท์ไปหาฉู่เหยียน

“ฮัลโหล ?” เสียงดังฟังชัดที่สดใสของมู่เวยเวยดังขึ้น “โอ้ ประธานเย่ตื่นเช้าจังเลย”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงเยาะเย้ยของเธอ ในใจที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงมาก “เมื่อคืนผมดื่มเยอะไปหน่อย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า นิดหน่อยที่ไหนกัน เยอะเลยไม่ใช่เหรอ ?”

“ขอโทษจริงๆที่รบกวนคุณ” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความเกรงใจ

มู่เวยเวยดูเหมือนจะมีความสุข “ไม่เป็นไร เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เห็นด้านน่ารักแบบนี้จากประธานผู้เย็นชา นอกจากนี้ เสียงของฉันก็สามารถปลอบโยนผู้บาดเจ็บได้ ฉันรู้สึกดีทีเดียว”

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินแน่ใจว่าเธอไม่ได้โกรธ ก็รู้สึกโล่งใจ “ขอบคุณที่คุณเข้าใจ”

“ไม่เป็นไร ถ้างั้นฉันวางก่อนนะ ฉันยังมีธุระที่ต้องทำอีกเยอะ”

“ตกลง ลาก่อน”

คนที่บอกว่ายุ่งมาก ตอนนี้กำลังนั่งสบายๆอยู่นร้านอาหารและเพลิดเพลินกับอาหารเช้า ค่อยๆว่างโทรศัพท์ลง และเธอก็เชื่อว่า ผู้หญิงที่ทั้งน่ารักใจกว้างและเหมือนภรรยาเขาเช่นนี้ เย่ฉ่าวเฉินจะไม่รู้สึกอะไร

ในบางครั้ง มู่เวยเวยก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเศร้ามาก ทั้งๆที่เธอเป็นภรรยาของเขา แต่ก็ยังต้องแกล้งเป็นผู้หญิงคนอื่นเพื่อหลอกล่อเขา นี่เป็นอาการทางจิตรึเปล่า ?

เมื่อออกมาจากร้านอาหารในตอนเช้า มู่เวยเวยก็เดินไปทางบริษัทมู่ซื่อ เธออยากรู้ว่า ตั้งแต่พี่ชายตาย คุณลุงใจร้ายของเธอได้กลับมายึดบริษัทอีกหรือไม่

มันผ่านช่วงเวลาที่ทำงานหนักมาแล้ว มู่เวยเวยยืนอยู่ใต้อาคารสูงใหญ่ ด้วยความอึดอัดใจ

ที่นี่เป็นบริษัทที่พ่อแม่เธอสร้างขึ้นมากับมือ และพี่ชายก็พัฒนาจนเติบโต ไม่คิดเลยว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่อยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าจะมีวันนี้ เธอจะไม่เรียนแฟชั่นดีไซน์ แต่จะเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์การบริหารธุรกิจ แบบนี้ บริษัทก็จะไม่โดนคุณลุงแย่งไป

หลังจากยืนอยู่เงียบๆ มู่เวยเวยก็ก้าวเท้าเดินเข้ามา ที่พื้นหินอ่อนสีสวยงามระยับสีทองขนาดใหญ่ ยังมีภาพของหญิงโบราณขนาดใหญ่อยู่ที่ผนัง ทุกอย่างดูคุ้นเคยไปหมด

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเห็นเธอสวมชุดไม่ธรรมดา จึงถามอยากสุภาพว่า “คุณผู้หญิง คุณมาพบใครคะ ?”

“ฉันมาหา……ฉันมาหาคุณมู่เทียนเย่” มู่เวยเวยฝืนทนกับความเศร้าภายในใจ

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับงงงวยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า คุณผู้หญิง ประธานมู่ไปต่างประเทศนานแล้ว เขาไม่อยู่ที่บริษัท ขออนุญาติถาม คุณเป็นใครคะ ?

ปรากฎว่า ทุกคนล้วนพูดแบบนี้

“ฉันเป็นเพื่อนเก่าของเขา เพิ่งมาจากต่างประเทศ”

“อ่อ อย่างนี้นี่เอง โชคไม่ดีจริงๆ”

มู่เวยเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และพูดต่อไปว่า “ถ้างั้นคุณลุงของประธานมู่ คุณมู่จางรุ่ยอยู่บริษัทไหม ?”

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับเห็นว่าเธอรู้จักตระกูลมู่ดี จึงอดไม่ได้ที่เคารพเธอ “คุณมู่จางรุ่ยไม่ได้รับตำแหน่งใดๆในบริษัทนานแล้ว”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ มู่เวยเวยก็รู้สึกงงงวย ถ้างั้นกิจการบริษัท…….

“คุณผู้หญิง คุณยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ?” หญิงสาวที่แผนกต้อนรับถามอย่างสุภาพ

ใครเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทพวกคุณ ? ฉันต้องการพบเขา มู่เวยเวยแสดงท่าทีที่จริงจัง

หญิงสาวที่แผนกต้อนรับไม่กล้าละเลย แต่ก็ไม่อยากทำลายระบบ “คุณผู้หญิง ผู้จัดการของพวกเราเป็นคนที่คุณมู่เชิญมาคุณเจี๋ยเคอ แต่คุณไม่ได้นัดหมายไว้ วันนี้จึงไม่สามารถพบเขาได้”

เจี๋ยเคอ ? คือคนที่พี่ชายเชิญมาเขาคือหัวหน้าทีมผู้จัดการมืออาชีพคนนั้น ?

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset