วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 177 เย่ฉ่าวเฉิน หยุดนะ

“หนานกงเฮ่า นายแน่ใจนะว่าจะมาคุยกับฉันเรื่องใครผิดใครถูก?” ขณะที่พูดไปบรรยากาศรอบตัวเย่ฉ่าวเฉินก็ดูมีพลังหนักแน่นขึ้นมาก

หนานกงเฮ่ารู้สึกกลัวพลังลึกลับของอีกฝ่าย ไม่กล้าอยู่ต่อหน้าเขานานนัก จึงหันไปพูดกับมู่เวยเวยที่ยืนดูอยู่ว่า “คนสวย เย่เฉ่าเฉินมีภรรยาอยู่แล้ว อย่าถูกเจ้าหมอนี่หลอกซะล่ะ” เมื่อพูดจบ หนานกงเฮ่าก็พาสาวสวยของเขาเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้มู่เวยเวยได้เข้าใจชัดเจนแล้วว่า คนที่แสร้งทําตัวว่าเป็นพี่ชายมาที่วิลล่าเพื่อพาตัวเธอไปในครั้งแรกนั่นก็คือหนานกงเฮ่านั่นเอง แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนที่สวมหน้ากากสีเงินชิงตัดหน้าเสียก่อน เธอจึงถูกพาตัวไปที่เกาะ

ดังนั้นการที่เย่ฉ่าวเฉินเกลียดเขานั้นก็ย่อมมีเหตุผล เธอจําได้ว่าคืนนั้นเย่ฉ่าวเฉินไปงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านตระกูลหนานกง เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถกลับมาหยุดเธอได้ทัน มันจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างนั้นอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นด้วยความสามารถของเย่ฉ่าวเฉิน เขาสามารถมาอยู่ข้างกายเธอได้ในทันที

น่าเสียดาย สิ่งที่หนานกงเฮ่าตรากตรำมากลับกลายเป็นประโยชน์ให้คนอื่น ชายหน้ากากเงินได้เก็บเกี่ยวปลาที่คนอื่นจับได้ และเธอก็คือปลาใหญ่ตัวนั้นที่หลายคนต่อสู้แย่งชิงกัน

“คุณฉู่ครับ ถ้าในอนาคตชายคนนี้มาหาคุณ ถ้าไม่ไปพบกับเขาได้ก็จะดีกว่า” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงจัง

มู่เวยเวยคิดในใจว่า ฉันก็ไม่อยากเจอหมอนี่เหมือนกัน เธอจึงรีบพยักหน้า “อ้อ โอเค ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

“แล้วพบกันใหม่ครับ” เย่ฉ่าวเฉินอารมณ์ไม่ดี หลังจากกล่าวลามู่เวยเวยแล้ว เขาก็หันหลังกลับและขึ้นรถไปโดยไม่รอให้เธอได้ตอบอะไร

……

ในวันพิธีตัดริบบิ้นเปิดงาน อากาศค่อนข้างร้อนผิดปกติ

มู่เวยเวยสวมชุดเดรสสีขาว รองเท้าส้นสูงสีเงิน ผมยาวสลวยถูกรวบไว้หลังศีรษะ ความสดชื่นแจ่มใสนั้นดึงดูดความสนใจของผู้ชายในงานได้ไม่น้อย

มู่เวยเวยเป็นผู้หญิงประเภทเรียบร้อยน่ารัก แม้ว่าจะมีคนเหลียวหลังกลับมามองบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะฉู่เหยียนคนนี้หน้าตาสวยเกินไป และมีแรงดึงดูดความสนใจเพศตรงข้ามอย่างมาก

เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่หลังไมโครโฟน กล่าวถึงอนาคตอันยิ่งใหญ่ของโครงการนี้ และผลประโยชน์ด้านความบันเทิงและเศรษฐกิจที่จะนำมาสู่เมือง A

เมื่อเสียงประทัดดังขึ้น โครงการสวนสนุกจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยก็สำรวจสถานที่ก่อสร้างด้วยกัน เย่ฉ่าวเฉินมาฐานะประธานใหญ่จากเย่หวงก็ได้แนะนําสิ่งต่าง ๆ ให้เธอด้วยตัวเอง ว่าที่ตรงนี้จะสร้างอะไร ที่ตรงนั้นจะสร้างอะไร ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความร่วมมือกัน

หลังจากเดินไปได้สักพัก มู่เวยเวยก็รู้สึกปวดเท้า รู้อย่างนี้แต่แรกเธอน่าจะสวมรองเท้าส้นแบนมา การสวมรองเท้าส้นสูงนั้นเท่ากับเป็นการทรมานตัวเองเสียจริง

“ตรงนี้จะสร้างเป็นรถไฟเหาะ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะกลายเป็นรถไฟเหาะที่ใหญ่ที่สุดในเมือง A ส่วนด้านนั้นเป็นเวทีเทพนิยายต่าง ๆ จะมีเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ เจ้าหญิงออโรร่า เป็นต้น เทพนิยายต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีจะมาขึ้นแสดงอยู่บนเวทีนี้” เย่ฉ่าวเฉินเดินช้า ๆ พลางอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด แม้ว่าตอนนี้ที่ตรงนี้จะยังเป็นเพียงที่ว่างเปล่าก็ตาม

มู่เวยเวยตั้งใจฟังอย่างมาก และโดยไม่ทันระวัง เท้าของเธอก็เหยียบลงไปในหลุมดินเล็ก ๆ

“โอ้ย——”

เย่ฉ่าวเฉินโอบเอวเธอไว้อย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิในฤดูร้อนที่สูงอยู่แล้ว ประกอบกับทั้งสองที่เดินมานานกว่าสิบนาที อุณหภูมิของร่างกายก็สูงจนน่าตกใจ

มือของเย่ฉ่าวเฉินรั้งเอวบางของเธอไว้ ความร้อนแผ่ซ่านกระจายอย่างต่อเนื่อง ทำให้มู่เวยเวยรู้สึกว่าผิวหนังบริเวณที่เขาสัมผัสนั้นใกล้จะไหม้แล้ว

“ระวังหน่อยครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวขึ้นเหนือศีรษะของเธอ

มู่เวยเวยใช้ความแข็งแรงของเขาดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเธอแดงก่ำ “ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ ไซต์งานก่อสร้างก็จะเดินไม่ค่อยสะดวกนัก วันนี้คุณน่าจะสวมรองเท้าส้นแบนมา” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวอย่างใจเย็น แต่หัวใจเขากลับเต้นแรงไม่ปกติ

ลูกน้องที่เดินตามหลังมาก็สบตากันอย่างพร้อมเพรียง ราวกับต้องการสร้างพื้นที่ส่วนตัวให้พวกเขา จึงพากันเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า

มู่เวยเวยยิ้มเจื่อน “ฉันไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น ถ้ามาครั้งหน้า ฉันจะเชื่อฟังตามข้อเสนอของคุณ”

“ถ้างั้นยังจะดูต่อไหม?” เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองสถานที่ก่อสร้างที่ว่างเปล่า “จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าดู ถ้าคุณสนใจก็กลับไปดูแบบจากภาพได้ แถมอากาศก็ร้อนเกินไป และที่นี่ก็ไม่เหมาะสําหรับผู้หญิง”

มู่เวยเวยนั้นถูกแดดเผาจนแทบทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ แต่หากเธอกลับไปคนเดียว มันก็จะดูไม่เป็นมืออาชีพเกินไปหรือเปล่า?

“ทุกคนก็อยู่ที่นี่ ฉันกลับไปคนเดียวคงจะดูไม่ดี”

เย่ฉ่าวเฉินหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณรอผมสักครู่ ผมจะไปทักทายพวกเขาหน่อย แล้วจะกลับไปพร้อมกับคุณ”

“อา? นี่มัน……”

“ไม่มีปัญหาครับ ผมรู้ทุกอย่างที่นี่ดีอยู่แล้ว จุดประสงค์หลักของวันนี้คือการแนะนำให้คุณ ถ้าคุณไม่ไปต่อ ผมก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว คุณรอผมที่นี่สักครู่นะครับ”

พอเย่ฉ่าวเฉินพูดจบก็เดินไปยังกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่เห็นพวกเขามองมาที่มู่เวยเวย จากนั้นก็พากันพยักหน้า ไม่นานเขาก็เดินกลับมาแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ที่นี่มีประธานจางอยู่”

มู่เวยเวยถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณไปพูดยังไงกับพวกเขา?”

“ผมบอกว่าเท้าคุณเจ็บ และต้องการพักผ่อน” เย่ฉ่าวเฉินประคองเอวเธอไว้ ทั้งสองเดินออกจากไซต์งานก่อสร้าง โดยไม่เห็นสายตาที่มองมาอย่างสอดรู้สอดเห็นของคนข้างหลัง

เมื่อกลับเข้ามาในรถ พอเปิดเครื่องปรับอากาศ ลมเย็น ๆ ก็พัดโชยมา มู่เวยเวยก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก

เย่เฉาเฉินหยิบน้ำสองขวดจากท้ายรถ ส่งให้เธอขวดหนึ่ง บิดฝาแล้วดื่มเองไปอึกใหญ่ แล้วถามขึ้นลอย ๆ ว่า “โครงการนี้อาจใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในระหว่างนี้คุณไม่สามารถกลับฮ่องกงได้เลยงั้นเหรอ?”

สีหน้าของมู่เวยเวยสงบนิ่ง “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ถ้าโครงการนี้ไปได้ดี ฉันก็สามารถกลับไปฮ่องกงสักสองสามวันได้”

“แล้วท่านประธานฉู่ล่ะ? ท่านจะไม่มาดูงานสักหน่อยเหรอ?”

“คุณพ่อยุ่งมากค่ะ” มู่เวยเวยหันไปมองเขา ในใจรู้ดีว่าเขากําลังทดสอบเธอ จึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมคะ ท่านประธานเย่ไม่ไว้ใจฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินยกมุมปากขึ้นยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปสบตาเธอ “เปล่าครับ เพียงแต่ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่เคยพบประธานฉู่เลยสักครั้ง ก็แค่รู้สึกสงสัยเท่านั้นเอง”

“โอ้ อย่างนี้นี่เอง” มู่เวยเวยพยักหน้าแล้วเบนสายตาออกไป มองต้นไม้ต้นเล็กที่ถูกแดดเผาจนใกล้ตายตรงหน้าแล้วพูดว่า “ฉันนึกว่าคุณรังเกียจที่ฉันอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลย”

เย่ฉ่าวเฉินก็ละสายตาออกไป ดวงตาสีฟ้าของเขาดูราวกับเป็นส่วนลึกของทะเล “ไม่เลย ตรงกันข้าม คุณเป็นหุ้นส่วนที่ดีมาก คุณไม่เคยเรียกร้องอะไรมากเกินไป และรักษาความไว้วางใจสูงสุดกับบริษัทของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก”

มู่เวยเวยหัวเราะคิกคัก “เย่ฉ่าวเฉิน นี่คุณกำลังชมฉันหรือทําร้ายฉันกัน?”

“แน่นอนว่าชมคุณสิ” เย่ฉ่าวเฉินสตาร์ทรถ “ไปกันเถอะ คุณจะกลับโรงแรมหรือว่า……”

“งั้นรบกวนคุณพาฉันไปดูอพาร์ตเม้นต์ใหม่หน่อยค่ะ เมื่อวานพวกเขาให้กุญแจฉันมาแล้ว ดูเหมือนว่าจะย้ายเข้าอยู่ได้แล้ว”

“โอ้? ขอแสดงความยินดีด้วย ในที่สุดก็มีที่อยู่แล้ว”

รถออกจากสถานที่ก่อสร้างและมุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

มู่เวยเวยนึกถึงภารกิจที่ชายสวมหน้ากากมอบหมายไว้ เธอคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “จริงสิ คราวที่แล้วที่คุณบอกว่าคุณปู่ของคุณรักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศ คือประเทศไหนคะ ดีหรือเปล่า?”

เย่เฉ่าเฉินอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเธอและถามว่า “คุณถามถึงเรื่องนี้ทำไม?”

“ก็เพื่อนที่มาเมือง A เมื่อครั้งก่อนน่ะค่ะ อาการป่วยของเพื่อนเธอค่อนข้างพิเศษ แล้วสภาพแวดล้อมในประเทศเราก็แย่เกินไป โดยเฉพาะในฤดูหนาว หมอกควันรุนแรงเกินไป ดังนั้นเธอจึงอยากหาโรงพยาบาลที่ดีกว่าในต่างประเทศ หรือประเภทศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ” มู่เวยเวยพยายามทําให้เสียงของเธอฟังดูปกติ แม้ว่าเธอจะอยู่ในอาการประหม่ามากก็ตาม

เย่ฉ่าวเฉินดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจน “ปู่ของผมอยู่ที่ออสเตรเลีย ประชากรที่นั่นน้อยและอากาศก็ดี มีสถาบันทางการแพทย์ที่ดีอยู่ไม่น้อย เพื่อนของคุณสามารถไปลองดูได้”

ตอนนี้เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของฉู่เหยียน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ที่อยู่ของปู่ไปอย่างชัดเจน มันอันตรายเกินไป

มู่เวยเวยรับรู้ได้ถึงความระวังในคําพูดของเขา จึงไม่กล้าถามอะไรต่อ ได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ ไว้ฉันจะบอกกับเพื่อน”

คนสองคนที่ต่างมีเรื่องในใจ ทำให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่ารื่นรมย์กลายเป็นอึมครึมไปเล็กน้อย

……

อพาร์ทเมนต์ใหม่ของมู่เวยเวยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดใจกลางเมือง ห่างจากเย่หวงกรุ๊ปโดยใช้เวลาเดินเพียงสิบนาทีเท่านั้น และเพื่อให้ใกล้นี่เอง เย่ฉ่าวเฉินจึงตั้งใจหาเป็นพิเศษ

เปิดประตูแล้วเข้าไป

นี่คืออพาร์ทเมนต์เดี่ยวที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ผังห้องแบบเปิดโล่ง การตกแต่งก็สมกับฐานะคุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่ โซฟาสีเบจ ห้องครัวที่สวยงามประณีตและเรียบง่าย และห้องน้ำโปร่งใสทั้งหมด แต่ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเห็นจะเป็นเตียงขนาดใหญ่ทรงกลมที่ล้อมรอบด้วยผ้าม่านสีม่วง เพียงแค่มองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโรแมนติก

“ว้าว การตกแต่งถือว่าไม่เลวเลย พื้นที่ก็ค่อนข้างใหญ่” มู่เวยเวยดูจะพอใจพอสมควร

เย่ฉ่าวเฉินกวาดสายตาสำรวจอย่างรวดเร็วและไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเธอ “คุณฉู่ พื้นที่แคบๆ แบบนนี้ คุณถือว่าใหญ่?”

มู่เวยเวยกลอกตาใส่เขา “คุณเย่ คุณไม่รู้เหรอว่าที่ฮ่องกงพื้นที่เพียงตารางนิ้วแพงยิ่งกว่าทองคำ โปรดอย่าได้เชื่อในข่าวที่บอกว่าคฤหาสน์ของคนรวยในฮ่องกงเป็นอย่างไร บางทีอาจจะกว้างแค่ร้อยสองร้อยตารางเมตร ไม่สามารถมาเทียบกับคฤหาสน์บ้านคุณได้เลย อีกอย่าง ฉันก็อยู่ที่นี่แค่ปีครึ่ง สภาพนี้ฉันก็พอใจมากแล้วค่ะ”

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินคําพูดของเธอก็พูดอะไรไม่ออก

มู่เวยเวยเดินเข้าไปในครัวและเปิดดูตู้ครัวต่าง ๆ หม้อและกระทะอุปกรณ์ครบครัน ฮึ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดได้รอบคอบมาก

เธอลองบิดสวิตช์ของเตาแก๊ส “ชี่” เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้น

“ในที่สุดก็ทำอาหารกินเองได้แล้ว ฉันเกือบเลี่ยนตายกับการทานข้าวข้างนอกแล้ว” ความปีติของมู่เวยเวยในครั้งนี้ไม่ใช่การเสแสร้ง เธอเบื่อที่จะทานอาหารนอกบ้านจริง ๆ

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณทําอาหารเป็นด้วยเหรอ?”

มู่เวยเวยตอบกลับเขาว่า “เป็นสิคะ คุณเย่ ไม่ใช่ลูกคุณหนูทุกคนจะไม่เคยแตะต้องงานบ้าน สมัยที่ฉันไปเรียนที่ยุโรป ตอนที่เพิ่งไปถึงแรก ๆ ฉันไม่คุ้นเคยกับอาหารตะวันตก ก็เลยทำอาหารทานเอง อาจจะเป็นที่นั่นที่ฝึกฝนฉันมาก็ได้”

สายตาของเย่ฉ่าวเฉินจับจ้องไปที่นิ้วของเธอ คิดไม่ถึงว่ามือขาวราวกับหยกคู่นี้จะทําอาหารได้

“เอ๋? ไม่มีเขียงกับมีดทำครัวเหรอเนี่ย?” มู่เวยเวยเขย่งปลายเท้าไปเปิดตู้ครัวด้านบนสุด พยายามดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้น แต่ตัวเธอไม่สูงพอ เปิดอยู่หลายครั้งก็ยังเปิดไม่ได้

ในบ้านไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศและมันก็อบอ้าวมาก มู่เวยเวยขยับตัวไม่กี่ทีเหงื่อจากหน้าผากก็ไหลลงมาตามแก้ม และไหลลงไปที่คอยาวของเธอ……

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นภาพนี้เข้า ลูกกระเดือกในลําคอของเขาก็ขยับขึ้นลง

“ขอผมดูหน่อย” เขาหันเหความสนใจของตัวเอง และเดินไปช่วยเธอเปิด แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรอยู่ข้างใน ลองเปิดอีกตู้ก็ว่างเปล่าเช่นกัน

“ไม่มีนะ……” เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้าลง ขณะที่มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเขาก็ประทับเข้ากับริมฝีปากของเธออย่างจัง

ราวกับเวลาหยุดนิ่ง

เย่ฉ่าวเฉินบอกกับตัวเองในใจว่าต้องรีบออกไปโดยเร็วที่สุด แต่เขาก็ทำใจไม่ได้

มู่เวยเวยก็ตกตะลึง เธอไม่ได้คิดว่าตอนนี้ทําอะไรอยู่……

ริมฝีปากของเธอแห้งเล็กน้อย เธอจึงแลบลิ้นออกมาเลียปากเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่กลับสัมผัสเข้ากับริมฝีปากของเขา เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงในหัวใจของเขาขาดผึงอย่างชัดเจน

สำนึกหายไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น……มือทั้งสองข้างของเย่ฉ่าวเฉิน…….

หญิงสาวตกใจกับการกระทำของเขา……

“เย่ฉ่าวเฉิน……อย่าทำแบบนี้……” มู่เวยเวยพูดเสียงเบา

แต่เย่ฉ่าวเฉินในตอนนี้จะหยุดได้อย่างไร เขาแทบรอไม่ไหวที่จะทำให้ทั้งตัวเธอ……

สติของมู่เวยเวยก็ค่อย ๆ จางหายไป……

เธอผลักศีรษะของเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ตรงหน้าและพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉิน หยุด หยุดนะ”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสับสนกับลมหายใจของเธอ นี่คือกลิ่นของภรรยาชัด ๆ เขากลัวว่าจะไม่ได้รับมากกว่านี้ เขาจะหยุดได้อย่างไร?

มู่เวยเวยถูกมือเขากุมไว้จนสั่นไปหมด รู้ว่าหากยังไม่หยุดเขาอีก ก็คงจะถูกเขา…… ดังนั้นเธอจึงผลักเขาออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

เย่ฉ่าวเฉินไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกเธอผลักจนถอยหลังไปหลายก้าว

เมื่อมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าที่หน้าแดงด้วยความอาย เย่ฉ่าวเฉินพลันดึงสติกลับมา ทําไมเขาถึง……

มู่เวยเวยกอดปิดเนินอกที่เผยออกมาไว้อย่างกระอักกระอ่วน เธอหันไปด้านข้างไม่กล้ามองเขา พูดเสียงเบาว่า “เย่ฉ่าวเฉิน คุณยังไม่ไปอีก?”

เย่ฉ่าวเฉินก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นเขารีบเดินไปเปิดก๊อกน้ำ น้ำเย็น ๆ ไหลพุ่งออกมา เขาวักน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้าเพื่อเรียกสติกลับคืน

เขาหันหลังให้มู่เวยเวย เขาลังเลจนไม่กล้าหันกลับมา ไม่กล้ามองความขยะแขยงที่ส่งมาจากสายตาคู่นั้น

เขาบ้าไปแล้ว ทำไมเขาถึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ต่อหน้าเธอ

“เย่ฉ่าวเฉิน คือว่า……คุณกลับก่อนเถอะ ฉันอยากจะพักแล้ว” มู่เวยเวยพูดด้วยเสียงนุ่มนวล แต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจก็คือ ไม่มีการตำหนิหรือความเกลียดชังซ่อนอยู่ในนั้น

เขาค่อย ๆ หันกลับมามองเธอ เธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว แต่ผมเผ้ายังยุ่งอยู่เล็กน้อย และใบหน้าของเธอก็ยังแดงอยู่

“ผม……”

“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” มู่เวยเวยขัดจังหวะเขา จากนั้นเธอก็เดินไปเปิดประตู มองมาที่เขาแล้วพูดว่า “คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ อากาศร้อนเกินไป เราต่างต้องการสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง”

เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธออย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอครู่หนึ่ง แล้วเดินออกจากประตูไป

เธอพูดถูก ตอนนี้พวกเขาต้องสงบสติอารมณ์

ยิ่งไปกว่านั้นแรงกระตุ้นที่เขามีต่อเธอล้วนมาจากความปรารถนาของเขาที่มีต่อเวยเวย ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ถือเป็นการหยามเกียรติของฉู่เหยียน

ฉู่เหยียนไม่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

……ณ คฤหาสน์หนานกง

หนานกงเฮ่าดูข้อมูลต่าง ๆ ที่มีในมือ มุมปากเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา

คาดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่เจอที่โรงแรมวันนั้น จะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ โชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรเกินเลยออกไป

แต่ดูจากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย่ฉ่าวเฉินแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่หุ้นส่วนธรรมดา สายตาที่เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธอมันแฝงไว้ด้วยความคุ้นเคย นั่นเป็นสายตาที่เขาใช้มองมู่เวยเวย

ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เหยียนคนนี้ยังเหมือนกับมู่เวยเวยมากจริง ๆ หรือว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเลิกตามหาเวยเวยแล้ว แล้วคิดจะให้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นตัวแทน?

หากเป็นเช่นนี้ เขาคงต้องรีบให้คนที่หายตัวไปนั้นปรากฏตัวขึ้นแล้ว ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะถูกตัดสิน แล้วไพ่ในมือใบนี้ของเขาก็จะไร้ประโยชน์ทันที

“เด็ก ๆ” หนานกงเฮ่าตะโกนออกไปด้านนอก

ผู้ช่วยรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณชาย มีอะไรจะสั่งครับ?”

“ไปบอกผู้หญิงที่ท่องเที่ยวอยู่เกาหลีคนนั้น ว่าถึงเวลาที่เธอต้องออกโรงแล้ว”

“ครับ คุณชาย ผมจะรีบไปแจ้งทันที”

หนานกงเฮ่าลูบไล้ภาพถ่ายในมือไปมา ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์

เย่ฉ่าวเฉิน มีความแค้นทั้งเก่าและใหม่ระหว่างแกกับฉันตั้งมากมายขนาดนี้ แล้วฉันจะให้แกมีความสุขสมปรารถนาได้อย่างไร?

ในเวลานี้ชายที่ถูกเขาวางแผนให้ร้ายก็กําลังทุกข์ทรมานอยู่

เย่ฉ่าวเฉินไม่แน่ใจว่าเพราะตัวเองไม่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมานานจึงมีความรู้สึกต่อฉู่เหยียน หรือว่าเขาจะมีความรู้สึกเฉพาะต่อฉู่เหยียนเท่านั้น เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ เย่ฉ่าวเฉินจึงทําเรื่องโง่ ๆ

“คุณชาย คุณแน่ใจนะครับ?” จางเฮ่อไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน พระเจ้า นี่เป็นเย่ฉ่าวเฉินคนเดียวกับที่เขารู้จักหรือเปล่า?

เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันไปมองเขาอย่างเย็นชา “เดี๋ยวนี้นายกล้าตั้งคําถามกับคําสั่งของฉันแล้วเหรอ?”

จางเฮ่อรีบก้มหน้าลง “ผมไม่กล้า แต่ คุณชายครับ ถ้าหากวันหน้าคุณนายกลับมารู้เข้า คุณ……”

“บอกให้นายไปก็ไป ทําไมถึงได้พูดเรื่องไร้สาระมากมายขนาดนี้? ฉันมีแผนของฉันเอง”

จางเฮ่อไม่กล้าตอบโต้อีก “อ้อ เข้าใจแล้วครับ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “คุณชายต้องการแนวไหนครับ?”

ในหัวของเย่ฉ่าวเฉินปรากฏภาพของมู่เวยเวย เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “คนที่ดูสวย รูปร่างดี ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา”

“เข้าใจแล้วครับ” จางเฮ่อเดินออกจากห้องทํางานอย่างหดหู่ ในใจรู้สึกงุนงง คุณชายคิดจะทําอะไรกันแน่?

ตอนเลิกงาน จางเฮ่อก็โทรเข้ามา

“คุณชายครับ หาคนได้แล้ว ตอนนี้รออยู่ในโรงแรม”

เย่ฉ่าวเฉินกําลังยุ่งอยู่กับเอกสารสําคัญ จึงถามเขาว่า “โรงแรมอะไร?”

จางเฮ่อบอกชื่อโรงแรมไป เย่ฉ่าวเฉินที่มือกำลังเคาะแป้นพิมพ์อยู่ก็หยุดชะงัก นี่มันโรงแรมที่ฉู่เหยียนพักอยู่ไม่ใช่เหรอ? แต่ตอนนี้เธอก็ได้ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใหม่แล้ว คงจะไม่ได้เจอกันหรอก

“เข้าใจแล้ว พวกนายไปกินข้าวกันก่อน กว่าฉันจะเสร็จงานก็คงประมาณสี่ทุ่มแล้ว”

“ได้ครับ คุณชาย”

เมื่อออกจากบริษัทก็เป็นเวลาที่แสงไฟเริ่มสว่างไสวขึ้น

เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่กลางสายลมยามค่ำคืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่ลานจอดรถ เมื่อมาถึงโรงแรม จางเฮ่อก็ได้มาเปิดประตูให้เขา ที่ข้างในนั้นมีหญิงสาวผมยาวคลุมไหล่ยืนอยู่ ดูท่าทางเรียบร้อยบอบบาง สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้น เผยให้เห็นเรียวขายาว

เมื่อเธอเห็นเย่ฉ่าวเฉิน ดวงตาของเธอก็เป็นประกาย และมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นที่มุมปาก

เย่ฉ่าวเฉินฝืนมองดูเธออย่างเย็นชา

“นายลงไปรอข้างล่างก่อน” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับจางเฮ่อ

จางเฮ่อเงยหน้ามองดูเขา ในใจยังคิดจะเกลี้ยกล่อมเขาอีกสักหน่อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเขา จึงได้รีบเดินออกจากห้องไป

เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปนั่งบนโซฟา เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “รู้กฎไหม?”

หญิงสาวเดินมาคุกเข่าลงที่เท้าของเขาและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ทราบค่ะ เถ้าแก่”

กฎที่เย่ฉ่าวเฉินพูดถึงก็คือ เมื่อออกจากประตูไปแล้วก็จะถือว่าไม่มีใครรู้จักใคร ห้ามมาทำตัวติดหนึบเหมือนกาว

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ” เขาบอก

“ได้ค่ะ”

หญิงสาวหันหลังเดินเข้าห้องอาบน้ำ เสียงน้ำดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกลังเลเล็กน้อย ว่าเขาทำแบบนี้ถูกไหม?

ช่างมัน ในเมื่อมาถึงแล้ว เขาต้องพิสูจน์อะไรให้ได้

ไม่กี่นาทีต่อมา หญิงสาวก็สวมผ้าเช็ดตัวสีขาวออกมา เผยให้เห็นไหล่และเรียวขาขาว เธอเดินนวยนาดเข้าไปหาเย่ฉ่าวเฉินและมองดูเขาอย่างขลาดกลัว เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เธอก็กัดริมฝีปากล่าง และขึ้นไปปลดกระดุมให้เขา

เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธออย่างเย็นชา ภายในใจของเขาสงบไร้ความรู้สึก ไม่มีแม้แรงกระตุ้นที่อยากจะแตะต้องเธอ

ไม่รู้ว่าเธอจงใจหรือไม่ กระดุมเสื้อของเย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันได้ปลดหมด ผ้าขนหนูบนร่างของเธอก็พลันร่วงหล่นลงพื้น

ร่างกายที่บอบบางของเธอเหมือนน้ำนมภายใต้แสงไฟเปล่งแสงจาง ๆ และเนินใจของเธอก็ดูอวบอิ่มมีเนื้อมีหนัง

ถ้าเป็นผู้ชายธรรมดาก็คงจะกระโจนเข้าใส่เหมือนหมาป่าที่หิวโหย แต่เย่ฉ่าวเฉินมองแล้วกลับรู้สึกหงุดหงิด

ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเงียบ ๆ มือเล็ก ๆ ลูบไล้เข้าไปในเสื้อของเขา กล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแรงของเขาทําให้มือของเธอสั่นเล็กน้อย

มือของหญิงสาวลดต่ำลงเรื่อย ๆ และเมื่อเข้าใกล้เข็มขัดของเขา เย่ฉ่าวเฉินก็ผลักเธอออกไป

“พอได้แล้ว” เขาพูดขึ้นอย่างกะทันหันแล้วก็ติดกระดุมเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว

ไม่มีแรงกระตุ้นอะไรเกิดขึ้น ตรงกันข้าม เย่ฉ่าวเฉินกลับรู้สึกคลื่นไส้

เขากำลังทําบ้าอะไรอยู่? เขาถึงกับใช้ผู้หญิงแปลกหน้าเพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเวยเวย?

สมองเขามีปัญหาหรือยังไง?

หญิงสาวที่ถูกบอกหยุดอย่างกะทันหัน เธอทั้งผิดหวังและเป็นกังวล จึงถามเขาว่า “เถ้าแก่ ฉันทําอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ” เย่ฉ่าวเฉินหยิบเงินสดจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสตางค์ยื่นให้เธอ “ใส่เสื้อผ้า แล้วไปเถอะ”

ที่ชั้นล่างของโรงแรม จางเฮ่อนั่งรออยู่ในรถอย่างเบื่อหน่าย ทันใดนั้นร่างที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้นในสายตา เขาถึงกับนั่งตัวตรงขึ้นในทันที

นี่…… นี่ฉู่เหยียนไม่ใช่เหรอ?

ได้ยินมาว่าเธอย้ายไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แล้ว แล้วนี่กลับมาที่โรงแรมได้อย่างไร?

จางเฮ่อนึกถึงเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ข้างบนขึ้นมาทันที เขาภาวนาในใจ อย่าให้พวกเขาได้เจอกันเลย

จางเฮ่อมองไม่ผิด คนที่เดินตรงมายังโรงแรมคือมู่เวยเวย เพราะตอนที่จัดข้าวของในอพาร์ตเมนต์อยู่นั้น เธอพบว่าตัวเองลืมลิปสติกแท่งโปรดไว้ในโรงแรม เมื่อโทรสอบถามแผนกต้อนรับแล้ว แผนกต้อนรับบอกให้เธอมารับได้ในตอนกลางคืน

เมื่อเดินมาถึงหน้าโรงแรม มู่เวยเวยก็เห็นคาเยนน์สีดําจอดอยู่ที่ด้านข้าง เธอคิดในใจว่าทําไมรถคันนี้ถึงดูเหมือนรถของเย่ฉ่าวเฉินเสียจริง? เธอมองดูที่ป้ายทะเบียนรถ มันเป็นรถของเขาจริง ๆ

เขามาทําอะไรที่โรงแรม? มาทานอาหารหรือมาทํางาน?

มู่เวยเวยไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเดินตรงไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรม เมื่อแจ้งรายละเอียดแล้ว พนักงานก็ยื่นลิปสติกให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” มู่เวยเวยกล่าวอย่างสุภาพ

“ด้วยความยินดีค่ะ”

ขณะที่มู่เวยเวยกําลังจะหันหลังเดินจากไป ก็เห็นคนสองคนเดินออกมาจากลิฟต์ ราวกับสมองเธอแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

เธอยังคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินมาทำงานที่นี่ ที่แท้ก็เพื่อ……

ในยามค่ำคืน ผู้ชายพาผู้หญิงออกมาจากโรงแรม และผู้หญิงนั้นยังแต่งตัวมีเสน่ห์ ผมของเธอยังคงชุ่มชื้นอยู่ ใครมองก็ดูออกว่าพวกเขาเพิ่งจะทําอะไรไป

มู่เวยเวยรู้สึกว่าหัวใจของเธอแตกสลาย ไหนบอกว่าคิดถึงเธอรักแต่เธอ ล้วนเป็นเพียงคําโกหกของชายคนนี้ ที่เธอถึงกับหลงเชื่อ?

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกได้ว่ามีคนกําลังมองเขาอยู่ เมื่อหันมาดู เขาก็แข็งทื่อไปทั้งตัว

เธอมาทําอะไรที่นี่?

มู่เวยเวยแค่นเสียเย็นชาออกมา มองดูเขาอย่างเยือกเย็น แล้วเดินออกไปทางประตูโรงแรม

ไม่รู้ทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงรู้สึกตื่นตระหนก เขาช่างคุ้นเคยกับสายตาแบบนั้นเสียจริง นั่นเป็นสายตาที่ผิดหวังของมู่เวยเวย มันเป็นสายตาที่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถช่วยให้เธอดีขึ้นได้เลย

ในตอนนี้ เย่ฉ่าวเฉินมองว่าเธอเป็นมู่เวยเวย เขารีบสาวเท้ายาววิ่งไปหาเธอและคว้าแขนของเธอไว้

“คุณทําอะไรน่ะ?” มู่เวยเวยสะบัดมือเขาออก แล้วมองเขาอย่างเย็นชา ในขณะนั้นมู่เวยเวยลืมไปว่าเธอคือฉู่เหยียน เธอแค่รู้สึกโกรธและผิดหวัง

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset