วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 180 ความจริงถูกเปิดเผย ความทรงจำทำร้ายคนเกินไป

อันที่จริง เฉียวซินโยวไม่ได้เปลี่ยนไป แต่วันนั้นตอนเย็นเฉียวซินโยวกลับไปไข้ก็ขึ้นสูง พักฟื้นที่โรงพยาบาลสองวันถึงกลับมาดีขึ้น ตอนที่เธอไข้สะลึมสะลือโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน แต่ทว่าถูกเขาตัดสายทันที ในตอนนั้น เฉียวซินโยวก็ใจแข็งมากขึ้นกว่าเดิม

เธอทำลายเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ ก็ทำลายความรู้สึกของเขา ให้เขาอยู่คนเดียวในชาตินี้

มู่เวยเวยแปลกใจว่าทำไมเฉียวซินโยวไม่มาหาเธอ วันนั้นตอนบ่าย เธอบังเอิญเจอเฉียวซินโยว

เพียงแค่เธอดูซีดเซียวกว่าสองวันก่อนที่เจอมาก หน้าซีดขาว

“คุณฉู่ ฉันอยากจะเจรจากับคุณค่ะ”เฉียวซินโยวพูดด้วยเสียงแหบแห้ง

มู่เวยเวยกำลังกลับจากเดินเล่น เช็ดเหงื่อที่หน้าผากพูดว่า “คุณกับฉันมีอะไรต้องคุยกันอีก?”

“ระหว่างเราแน่นอนไม่มีอะไรที่ต้องคุย ถ้าหากเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน?”

มู่เวยเวยในใจคิดว่าในที่สุดก็มาแล้ว แต่ทว่าสีหน้าผ่อนคลาย ยักไหล่พูดว่า “ได้ อย่างไรฉันก็ว่างอยู่ ตรงหน้ามุมมีร้านน้ำชา พวกเราไปที่นั่นกัน”

ทั้งสองคนเดินออกจากบริเวณนั้น ด้านหลังมีผู้ชายสองคนตามพวกเธอไป

ร้านน้ำชาสงบมาก พนักงงานต้อนรับพาทั้งสองไปที่ห้องส่วนตัวที่สงบเงียบ

“ทั้งสองท่านต้องการดื่มชาอะไร?”

“เอาชาเขียวหลงจิ่งหนึ่งกา “มู่เวยเวยพูด

“โอเค จะมาโดยทันที ทั้งสองท่านรอสักครู่”

พนักงานออกไปได้ไม่นาน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่ชุดกี่เพ้ายกน้ำชาเข้ามา ก้มศีรษะให้ทั้งสองคน หลังจากนั้นก็คุกเข่าทั้งสองข้าง เริ่มต้นด้วยการใช้น้ำร้อนราดลงไปในกาน้ำชา ใส่ใบชาลง แช่ไว้ พอถึงแก้วที่สองใช้สองมือยกน้ำชาขึ้น

มู่เวยเวยชอบอยู่เงียบๆมองดูสาวงามทำการแสดงอย่างนี้ คล้ายกับว่ากำลังชื่นชมงานศิลปะอยู่

แต่เฉียวซินโยวไม่ได้มีอารมณ์อย่างนั้น ในใจเธอคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้หญิงเก่งเฉลียวฉลาดคนนี้ไปจากเย่ฉ่าวเฉิน

น้ำชาอยู่ในมือหนึ่งแก้ว มู่เวยเวยถามอย่างเกรงใจพนักงานที่กำลังก้มทำการแสดง ถามอย่างละเอียดถึงคุณสมบัติชา

“คุณฉู่ ฉันอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เฉียวซินโยวพูดกับเธออย่างระงับอดทนไว้ไม่ไหวแล้ว

มู่เวยเวยยิ้มร้ายในใจ หลังจากดื่มชาหอมๆแล้วพูดกับพนักงานว่า ” เดี๋ยวพวกเราจัดการเองค่ะ ”

“ได้ค่ะ เชิญชมอย่างพิถีพิถันนะคะ ”

ต้นไผ่สีเขียวด้านนอกหน้าต่างถูกลมพัดเสียงดังเหมือนเหยียบพื้นทราย มู่เวยเวยนิ่งเฉยรอเธอเอ่ยปากพูด

“คุณฉู่ ฉันคิดว่าคุณคงรู้แล้วว่าฉันจะมาคุยกับคุณเรื่องอะไร” เฉียวซินโยวพูดอย่างไม่เขินอายออกมา

มู่เวยเวยยิ้มเย็นชามองเธอ”คุณไม่พูดฉันจะรู้ได้อย่างไร?”

เฉียวซินโยวสะอึกกับคำพูดเธออยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็นับว่ายังมีความเด็ดเดี่ยว “อย่างนั้นฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมนะ วันนี้ที่ฉันมาหาคุณเพื่อจะบอกว่า คุณกับเย่ฉ่าวเฉินไม่มีอนาคตร่วมกันแล้ว”

มู่เวยเวยไม่ได้มีความประหลาดใจอะไร เพียงแค่แตะชาที่อยู่ในแก้วเล็กน้อย ยิ้มและพูดว่า”คุณเฉียว ฉันกับเย่ฉ่าวเฉินจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้น่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณนะ”

เฉียวซินโยวยิ้มเยือกเย็น “คุณฉู่ ฉันยังจำได้ว่าครั้งก่อนคุณพูดที่ห้องอาหารว่า คุณอยากเข้าไปเป็นมือที่สามในการแต่งงานของคนอื่น แล้วตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่? คุณไม่ใช่ว่ากำลังทำลายครอบครัวคนอื่นเหรอ?”

“เฉียวซินโยวฝีปากกล้าจริงๆ แต่ทำให้คุณผิดหวังแล้ว ฉันกับเย่ฉ่าวเฉินเป็นแค่เพื่อนร่วมทำธุรกิจกัน อาจจะความสัมพันธ์เป็นการเฉพาะตัวดีนิดหนึ่งแค่นั้นเอง”

เฉียวซินโยวไม่เชื่อคำพูดของเธอ พูดมาหนึ่งชุดเหมือนว่าคุณไม่ต้องมาโกหกอย่างนั้นว่า” ใช่หรือไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนทั่วไป ฉันตาเดียวก็มองรู้แล้ว อีกทั้งสายตาที่เย่ฉ่าวเฉินมองคุณไม่ใช่สายตาที่เพื่อนทั่วไปมองกัน คุณฉู่ คุณไม่ต้องมาโกหกคนอื่นแล้ว”

มู่เวยเวยวางแก้วชาที่อยู่ในมือลง มู่เวยเวยเทชาลงที่แก้วของตัวเองอย่างช้าๆไม่สะทกสะท้านว่า “เขาจะมองฉันอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ฉันไม่มีสิทธิห้าม”

เฉียวซินโยวมองมู่เวยเวยที่ดื้อรั้น ในใจกระวนกระวานพูดว่า”คุณรู้ไหมว่าทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงชอบคุณ?”

มู่เวยเวยประหลาดใจ “เขาชอบฉัน? ฮ่าๆๆๆ คุณเฉียว คุณอย่าพูดอะไรไปเรื่อยสิ เย่ฉ่าวเฉินเขาเป็นคนมีภรรยาแล้ว”

“แต่ว่าภรรยาของเขาหายตัวไป เรื่องนี้คุณก็น่าจะรู้ เป็นเพราะภรรยาของเขาหายไป เพราะฉะนั้นสายตาของเขาถึงหยุดมองอยู่ที่คุณ หรือว่าคุณไม่เคยคิด เขาเป็นผู้ชายที่เก่งทำไมถึงมาชอบคุณ?” เฉียวซินโยวพูดคำเหล่านี้อย่างรีบร้อน ลืมว่าฉู่เหยียนคือใคร

มู่เวยเวยสีหน้าเย็นชา สายตามองที่เธอนิ่ง “คุณเฉียว ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเย่ฉ่าวเฉินถึงตรงไหน ตรงกันข้าม ฉันรู้สึกว่าฉันมีอะไรที่ดีกว่าเขานะคะ”

เฉียวซินโยวรีบขอโทษทันที”ขอโทษค่ะ ฉันพูดผิดไปแล้ว คุณฉู่พูดถูก คุณสวยขนาดนี้ อีกทั้งยังฉลาด วงศ์ตระกูลก็ดี เพราะฉะนั้นยิ่งไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว ใช่ไหมคะ?”

มู่เวยเวยอยากพูดว่า คุณพูดถูก ฉันไม่อยากเสียเวลากับเขาเลยสักนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้สถานการณ์บังคับ

เฉียวซินโยวมองเธอขมวดคิ้วไม่พูดอะไร และพูดอย่างต่อเนื่องว่า “อันที่จริง เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกดีกับคุณ เพราะว่าคุณคล้ายกับภรรยาของเขามาก เขาเพียงแค่อยากจะฝากความหวังไว้ที่คุณเท่านั้นเอง ไม่ได้ชอบคุณจริงๆ”

มู่เวยเวยทำสีหน้าแปลกใจไปตามเธอ”ฉันคล้ายภรรยาของเย่ฉ่าวเฉินมากเลยเหรอ?”

“คล้ายมาก ไม่ใช่แค่ว่าหน้าตาคล้ายกัน แต่นิสัยเฉพาะตัวของคุณก็คือคล้ายมาก ขนาดเสียงยังเหมือนกันเลยค่ะ” เฉียวซินโยวพูดอย่างตื่นเต้น

มู่เวยเวยเงียบไปสักพัก เปลี่ยนไปคุยอีกเรื่อง”คุณเฉียวเข้าใจเย่ฉ่าวเฉินขนาดนั้น?”

เฉียวซินโยวทำเพื่อจะให้เธอเชื่อใจ ถอนหายใจออกมา ” แน่นอนว่าฉันเข้าใจเขา เพราะว่าฉันเคยรักเขามากๆ แม้กระทั่งตายแทนเขาได้ ถ้าเกิดไม่ใช่ว่ามู่เวยเวยปรากฏตัวออกมา คนที่แต่งงานกับเขาก็ควรเป็นฉัน ”

ฟังเธอพูดคำนี้ ในใจของมู่เวยเวยเกิดรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เธอยกชาแก้วที่สองขึ้นพูดอย่างไม่สนใจว่า “คุณแต่งงานกับเขา? นี่หมายความว่าอย่างไร?”

เฉียวซินโยวลังเลใจสักพัก เพื่อที่จะให้จุดมุ่งหมายหลุดออกไป เธอก็เริ่มจัดแจงพูดเรื่องในอดีตว่า “ฉันกับเย่ฉ่าวเฉินเจอกันที่โรงแรม วันนั้นเขาดื่มหนัก พวกเราก็มีความสัมพันธ์กัน ตอนนั้นฉันก็กลัวเขาหนีความรับผิดชอบ ภรรยาของเขาชื่อมู่เวยเวยเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน เธอบอกว่าเธอจะแต่งงานแล้ว เชิญฉันไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว ถึงวันแต่งงานวันนั้นฉันก็เพิ่งจะรู้ เย่ฉ่าวเฉินเป็นผู้ชายคนเดียวกันกับที่อยู่โรงแรม เขาตามหาฉันมาตลอด แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว เขากับมู่เวยเวยเป็นสามีภรรยากันแค่ในนาม แต่งงานเกี่ยวกับธุรกิจ ตอนเริ่มต้นเขารักฉัน แต่ค่อยๆผ่านไป เขาก็ห่างไกลจากฉันไป”

“ทำไม?”

เฉียวซินโยวหน้าเคร่งขรึมขึ้น สายตาแสดงออกถึงความเกลียดชัง “ถ้าไม่ใช่ว่ามู่เวยเวยเข้ามาแทรกกลาง? เธอพูดเรื่องไม่ดีของฉันต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉินมากมาย ทั้งยังใส่ร้ายฉัน เพราะฉะนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็หมดความเชื่อใจฉัน”

มู่เวยเวยเงียบสนิท ผู้หญิงคนนี้ ก็เอาความชั่วความดีพูดกลับมา เธอไม่รู้สึกว่าคนที่เธอพูดออกมาเป็นตัวเธอเองเหรอ?

เฉียวซินโยวมองหน้าเธอที่มีความแปลกประหลาดใจ คิดว่าเธอเชื่อคำพูดของตัวเองแล้ว ภายในใจมีความสุข”คุณฉู่ วันนี้ฉันไม่ได้มีความคิดเสียมารยาทกับคุณ เพียงแค่อยากให้คุณเข้าใจความจริง อย่าถูกเย่ฉ่าวเฉินทำให้สับสน ถ้าหากว่ามีวันหนึ่งมู่เวยเวยกลับมา เขาสามารถที่จะไม่ลังเลถีบคุณไปอีกฝั่งหนึ่ง”

มู่เวยเวยมองเธอนิ่ง “คุณเฉียว ตอนนี้ฉันเป็นผู้รับผิดชอบบริษัทMKในเมืองA และเย่ฉ่าวเฉินเป็นผู้บริหารของบริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป พวกเราพบเจอกันก็บ่อย ถ้าหากคุณเฉียวไม่อยากให้เราเจอกัน คาดว่าจะไม่ได้นะคะ”

แน่นอนว่าเฉียวซินโยวเข้าใจความจริงเรื่องนี้ แต่ว่าถ้าคุณฉู่เชื่อในคำพูดของเธอ ก็เท่ากับว่าเธอสำเร็จไปแล้วหนึ่งก้าว

“ฉันไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คุณฉู่กับเย่ฉ่าวเฉินเจอกัน ฉันแค่อยากจะเตือนคุณเท่านั้น ไม่ต้องชอบผู้ชายที่อันตรายคนนั้น ฉันเป็นคนที่ถูกความรักทำร้ายมา ใบหน้าของเขานั้นมีผลกระทบต่อผู้หญิง ไม่ใช่เหรอ?”

ภายในใจของมู่เวยเวยสงสัยมาก เฉียวซินโยวไม่ใช่ว่าภาวนาจะได้แต่งงานกับเขา?

ทำไมตอนนี้มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปกับเขา ยังพูดถ่อมตน?

“คุณเฉียว ฉันไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ ที่รับประทานอาหารที่ห้องอาหารในวันนั้น ปฏิกิริยาคุณคล้ายกับ…….”

เฉียวซินโยวถอนหายใจออกมาเงียบๆ “ต้องโทษฉันที่ตอนนั้นไร้เดียงสาเกินไป ฉันเคยคิดว่าตัวเองตายแล้วครั้งหนึ่ง เขายังทุกข์ทรมานใจละอายใจกับฉัน คิดถึงฉัน หลังจากวันนั้นฉันเพิ่งจะเข้าใจ เขาเปลี่ยนจุดมุ่งหมายแล้ว ตอนนี้คุณเป็นเหยื่อใหม่ของเขา ถึงแม้ในใจเขาจะไม่มีฉันแล้ว ทำไมฉันจะต้องลำบากมารบกวน?”

มู่เวยเวยแปลกใจมากจริงๆ คาดไม่ถึงว่าเฉียวซินโยวจะมีคำพูดสำนึกตัวอย่างนี้?

เธอแสยะปาก พูดง่ายๆว่า”ขอบคุณมากที่คุณเตือนฉัน ฉันรู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว”

เฉียวซินโยวหลบตาลงยิ้มอย่างดีใจมีชัยชนะ “คุณฉู่ ฉันพูดจบแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”

มู่เวยเวยผงกศีรษะ

มู่เวยเวยเดินเบาๆออกไปทางด้านนอก กำลังเปิดประตู ก็ได้ยินเธออยู่ด้านหลังพูดว่า “คุณเฉียว ฉันยังมีเรื่องอยากจะถามอีกหนึ่งเรื่อง”

เฉียวซินโยวหมุนตัวกลับมา “ถามว่าอะไรคะ”

มู่เวยเวยเงยศีรษะขึ้น ยิ้มเล็กน้อย “วันนี้ที่คุณบอกเรื่องเหล่านี้กับฉัน จุดมุ่งหมายจริงๆแล้วคือจะเอาฉันที่เป็นอุปสรรคถีบออกไป เพื่อที่จะปูทางให้ตัวเองไหม”

เฉียวซินโยวชะงักงัน ครั้งแรกที่เธอได้ลิ้มรสชาติของความหวังดีที่ได้รับผลกลับมาที่ไม่ดี กักเก็บอารมณ์โกรธ พูดอย่างเย็นชาว่า “คุณฉู่ ฉันตั้งใจมาบอกพูดแนะนำด้วยความจริงใจ ถ้าหากคุณไม่เชื่อ อย่างนั้นก็รอให้ผู้ชายเลวคนนั้นมาหลอกเถอะ กำลังดีฉันจะได้มองดูเกมส์”

“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว กลับดีๆนะคะไม่ส่ง”

เฉียวซินโยวไม่อยากพูดอะไรอีก แต่ทว่าเธอมองอากาศดีสบายอกสบายใจ กัดฟันเดินจากไป

มู่เวยเวยนั่งคุกเข่าอยู่เพียงลำพังหัวเราะออกมาทันที ยิ่งหัวเราะเสียงยิ่งดังขึ้น เธอมีความรู้สึกโกรธอยู่นิดหนึ่ง แต่ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งตลก คาดไม่ถึงว่าเฉียวซินโยวจะใช้คำพูดอย่างนี้มาบอกผู้หญิงอีกคน เย่ฉ่าวเฉินเป็นผู้ชายเลว

เขาอยู่ในใจของเธอไม่ใช่ดำรงอยู่แบบทั่วไปเหรอ?

ดูเหมือนว่าครั้งแรกที่เธอเคยเจอเย่ฉ่าวเฉินหลังจากนั้นก็กลับไปเจอเขา และครั้งนี้ เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ไว้หน้าเธอ จนกระทั่งในใจเธอได้พบการเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่

วันนี้เฉียวซินโยวพูดกับเธอตั้งมากมาย เธอเห็นด้วยถูกใจกับคำพูดสุดท้ายของเฉียวซินโยว เย่ฉ่าวเฉินเป็นผู้ชายเลว

ที่แท้ คนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง เข้าใจลึกซึ้งมาก

แต่ตอนนี้ในใจเธอก็เข้าใจชัดแล้วหนึ่งเรื่อง ผู้ชายคนนั้นที่อยู่โรงแรมเป็นเย่ฉ่าวเฉินอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

ถ้าตามคำพูดของเฉียวซินโยว ในเวลานั้นเย่ฉ่าวเฉินกำลังตามหาเธอ อย่างนั้นต้องถือภาพออกแบบของเธอที่ทำหายแผ่นนั้นแน่นอน เธอนึกถึงการแข่งขันผลงานด้านศิลปะในครั้งนั้น เฉียวซินโยวไม่ได้เตรียมตัว ผลงานศิลปะที่ส่งก็คืออันใหม่ที่เธอทำหายนั่นเองและตอนนั้น เย่ฉ่าวเฉินก็เป็นกรรมการ……เพราะฉะนั้น ตอนที่เฉียวซินโยวพูดมาว่าอยากเข้ามาอาศัยที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะว่าเขาดูภาพศิลปะนั้นไว้แล้ว…….

หลังจากนั้นเธอก็ไปหาลู่จื่อหาง ลู่จื่อหางบอกว่าขายเธอให้กับหนานกงเฮ่า เขาน่าจะไม่ได้พูดโกหก ที่ใหญ่ไปกว่านั้นคือหนานกงเฮ่าไปที่โรงแรมไม่ทันเวลา ถูกเย่ฉ่าวเฉินแย่งไปก่อน เมื่อเธอถามหนานกงเฮ่า เขายอมรับว่าเป็นตัวเอง เพื่อที่จะโกหกเธอ

ถึงตอนนี้ เอาเรื่องทั้งหมดมารวมกันแล้ว

มู่เวยเวยนั่งเงียบๆอยู่ในห้องส่วนตัว ลมพัดผ่านม่านไม้ไผ่เข้ามา แต่ทว่าไม่สามารถพัดขจัดความเกลียดในใจเธอ

เพราะว่าเฉียวซินโยวกับหนานกงเฮ่า เธอได้รับการปฎิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมเท่าไหร่?

และเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าหากว่ามีวันหนึ่งที่คุณรู้ว่าคนที่อยู่โรงแรมวันนั้นเป็นฉัน คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร? ประหลาดใจ? โกรธ? หรือเสียใจภายหลังแต่ก็ไม่ทันแล้ว?

แต่สิ่งเหล่านี้ทำอะไรได้?

ทั้งหมดนี้คือย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว

แต่ว่า ด้วยสัญชาตญาณของคน มู่เวยเวยก็อยากจะเห็นวันนั้น มองเห็นเขาเสียใจภายหลังอย่างนั้น ถึงเวลานั้น อารมณ์น่าจะรู้สึกผ่อนคลาย

………..

เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งออกจากห้องประชุมมา ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากลูกน้อง แจ้งให้ทราบว่าเฉียวซินโยวไปพบฉู่เหยียน พูดคุยกันอยู่นาน หลังจากนั้นฉู่เหยียนอยู่ในแผงลอยชาคนเดียวเป็นเวลานานถึงจะออกมา คนไม่ได้รับบาดเจ็บ

ได้ยินข่าวนี้ เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้แปลกใจ จากที่เขารู้จักเฉียวซินโยว เธอไม่ไปพบฉู่เหยียนถึงจะแปลก

แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือเฉียวซินโยวพูดอะไรกับฉู่เหยียน

เดินอยู่ในห้องทำงานวนอยู่หลายรอบ เย่ฉ่าวเฉินอยากโทรหาฉู่เหยียนเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ แต่ทว่ากลัวเธอรู้สึกว่าเขาส่งคนติดตามไป หาข้ออ้างอะไรดีนะ?

“ตุ๊งๆๆ——” เสียงเคาะประตูดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินหยุดเดิน “เข้ามา”

รองประธานบริษัทคนหนึ่งเดินเข้ามา สีหน้าทุกข์ระทม “ประธานเย่ เกิดเรื่องแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“สองวันก่อนหน้านี้มีพายุเข้า? น้ำฝนที่อยู่ในสถานที่สถานที่ก่อสร้างระบายเข้าบ่อเก็บน้ำทั้งหมด ตอนบ่ายก็ระดับน้ำเกินเตือนให้ระวัง เมื่อกี้มีคนงานผ่านจากด้านข้าง ถนนลื่นตกลงไป…..”

เย่ฉ่าวเฉินใจกระตุกวูบ “จมน้ำแล้ว?”

รองประธานรีบพูดทันทีว่า”ไม่ครับๆ ถูกคนงานจำนวนหนึ่งช่วยขึ้นมาได้ ตอนนี้ส่งที่โรงพยาบาลแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินโล่งอก โครงการกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างก็จะมีคนได้รับอุบัติเหตุแล้ว ไม่เป็นสิริมงคลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมก็ไม่ดี

“คุณเป็นตัวแทนบริษัทไปเยี่ยมเขาหน่อยนะ ค่ารักษาพยาบาลบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ” เย่ฉ่าวเฉินออกคำสั่ง แต่ทว่ารองประธานยังคงขมวดคิ้ว เย่ฉ่าวเฉินถามเขา ” ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?”

รองประธานก้มหน้าต่ำลงพูดว่า “ค่ารักษาพยาบาลเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือคนงานคนนั้น ร่างกายเขามีบางอย่างที่พิเศษ”

“พิเศษ?” เย่ฉ่าวเฉินสงสัย พูดตำหนิว่า”พูดอะไรคลุมเครืออย่างนั้น มีเรื่องอะไรพูดให้ชัดเจน”

รองประธานมองเขา”เขามีลูกพี่ลูกน้องสองคนที่มีปัญหาอยู่ในสังคม เหมือนกับว่าหน่าเกรงขาม ตอนนี้กำลังนำคนมาก่อความวุ่นวานที่สถานที่ก่อสร้าง”

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ให้ค่า “ปัญหาในสังคม? หรือว่าพวกเขาไม่รู้ว่าสถานที่ก่อสร้างนี้เป็นของฉัน”

รองประธานยิ้มเหยเกไม่กล้าพูดออกมา เขารู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินเบื้องหลังมีด้านมืด แต่ไหนแต่ไรก็ไม่กล้าถามเยอะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะก้าวก่ายเกินขอบเขต

“ตอนนี้ใครอยู่ที่สถานที่ก่อสร้าง?”

“เป็นเฉินข่าย” รองประธานรีบพูดทันที เฉินข่ายอยู่ผู้จัดการแผนกวิศวกรรมของบริษัท เขาเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบโครงการนี้

เย่ฉ่าวเฉินมองนาฬิกาที่ข้อมือ “คุณไปเตรียมรถ ผมจะไปที่สถานที่ก่อสร้าง”

“ได้ครับๆ” รองประธานมองเย่ฉ่าวเฉินที่จะลงมือเอง เท้าก็เหมือนมีลม รีบวิ่งอย่างรวดเร็วออกไปเตรียมรถ

เย่ฉ่าวเฉินกำลังเดินเตร่อยู่ในห้องทำงานได้สองก้าว กัดที่ริมฝีปาก ต่อสายสายหมายเลขนั้นออกไป

โทรศัพท์ดังอยู่สองครั้งก็ต่อสายได้ เสียงที่ดังกลับมาความรู้สึกเหมือนถูกก่อกวน”เย่ฉ่าวเฉิน มีธุระอะไร?”

คิ้วของเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ขมวดรู้สึกสบายขึ้น เธอยังเรียกเขาว่าเย่ฉ่าวเฉิน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเฉียวซินโยวเท่าไหร่

“คืออย่างนี้นะ สถานที่ก่อสร้างเกิดเหตุขึ้นนิดหนึ่ง ตอนนี้ฉันต้องไปดูทางด้านนั้น คุณเป็นตัวแทนของบริษัทฮ่องกง ต้องการจะไป?”

“ได้สิ คุณมารับฉัน ฉันอยู่บริเวณปากซอยรอคุณ” มู่เวยเวยไม่ได้ลังเล เวลาเธอมีไม่มาก ต้องรีบเอาชนะใจให้เขาเชื่อใจเธอ

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มที่มุมปาก “ตกลง เธอลงมาจากตึกเถอะ อีกห้านาทีรถจะไปถึง จำไว้ว่าครั้งนี้ใส่รองเท้าไม่มีส้นนะ”

“รู้แล้ว ฉันก็ไม่ใช่คนโง่” มู่เวยเวยบ่นพึมพำแล้ววางสายไป

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าในใจอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เมื่อก่อนเวยเวยชอบพูดอย่างนี้

รถจอดอยู่ที่บริเวณหน้าปากซอยครึ่งนาที เย่ฉ่าวเฉินก็มองเห็นฉู่เหยียนเดินออกมา ผมยาวๆยุ่งเหยิงอยู่ทางด้านหลัง บนตัวใส่เสื้อทีเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีอ่อน เท้าใส่รองเท้าออกกำลังกาย ด้านหลังสะพายเป้เล็กๆสีดำ

ถ้าหากว่าไม่รู้จักเธอ เย่ฉ่าวเฉินต้องคิดว่าเธอเป็นนักเรียนแน่นอน

เขาลงจากรถ เปิดประตูรถด้านหลังให้เธอ

“สถานที่ก่อสร้างเกิดอะไรขึ้น?”

“ขึ้นรถค่อยคุย”

รถขับไปทางสถานที่ก่อสร้างด้วยความเร็ว เย่ฉ่าวเฉินอธิบายคร่าวๆว่าสถานที่ก่อสร้างเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สุดท้ายพูดว่า”รอสักพักเธอถึงที่สถานที่ก่อสร้างแล้วก็อยู่ด้านหลังฉัน ไม่ต้องพูดอะไร”

“อย่างนั้นแล้วคุณเรียกฉันมาทำอะไร?” มู่เวยเวยไม่เข้าใจ

เย่ฉ่าวเฉินคิดแล้วคิดอีก หัวเราะเล็กน้อยพูดขึ้นว่า”ก็ทำว่ามารู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคุณก็คือผู้รับผิดชอบ ทำให้คุณเข้าใจสักนิดหนึ่งว่าบริษัทของเราทำอะไรยากแค่ไหน ต่อไปก็หาข้อบกพร่องให้พวกเราน้อยๆหน่อย”

“ห้ะ วางแผนละเอียดรอบคอบจริงๆ ” มู่เวยเวยหัวเราะออกมา

เย่ฉ่าวเฉินผ่อนคลายมาก “เปรียบเทียบกับพ่อเธอขึ้นมา ฉันเทียบไม่ได้เลย”

มู่เวยเวยหัวเราะคิกๆ นึกถึงเรื่องที่เฉียวซินโยวมาพบเธอ คิดอยู่นานถึงพูดขึ้นมา “ครั้งก่อนที่เจอเพื่อนของคุณ วันนี้ตอนช่วงเช้าเธอมาหาฉัน”

เย่ฉ่าวเฉินสีหน้าเปลี่ยนไป แกล้งถามเธอว่า”คุณพูดถึงเฉียวซินโยว?”

“ใช่ เป็นเธอ”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเยือกเย็นพูดว่า”ฉันก็รุ้ว่าเธอไม่สงบใจ เฉียวซินโยวไปหาเธอทำอะไรเหรอ?”

มู่เวยเวยหันศีรษะทำปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดมองเขาสักพักหนึ่ง ถามว่า”คุณอยากรู้?”

“ไม่สามารถพูด?” เย่ฉ่าวเฉินถามกลับ

“ไม่ใช่ ฉันกลัวคุณฟังแล้วน่าจะโกรธช็อคตาย”

เย่ฉ่าวเฉินยิ่งแปลกใจ “พูดเถอะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

มู่เวยเวยกรอกตาไปมา ยิ้มแล้วพูดว่า”เธอพูดประวัติความรักของพวกคุณ ยังพูดอีกว่า คุณคนนี้เจอใครก็รัก ให้ฉันออกห่างจากคุณไกลๆ สรุป ในใจของเธอคุณก็เป็นแค่ผู้ชายเลว”

เย่ฉ่าวเฉินฟังเธอพูดจบชะงักไปสองวินาที ไม่โกรธทั้งยังยิ้มแบบฝืนๆ ถอนหายใจออกมา”เธอคิดอย่างนั้นก็ดี ก็จะไม่มาก่อกวนฉันอีก”

เย่ฉ่าวเฉินได้รู้คำพูดเหล่านี้ของเฉียวซินโยวรู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหนึ่ง เขาคิดว่า เฉียวซินโยวไปหาฉู่เหยียนก็เพื่อที่จะยั่วยุเธอ คาดไม่ถึงว่าจะไปพูดเรื่องให้ภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ดี

ดูเหมือนว่าเธอจะเกลียดเขาจริงๆ

“คุณไม่โกรธ?”

“เหอะๆ ภาพลักษณ์ของฉันเป็นอย่างไรในใจเธอ ฉันไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด เพราะว่าเธอไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉัน” เย่ฉ่าวเฉินมองตาเธอ “เธอล่ะ? เชื่อที่เฉียวซินโยวพูดไหม?”

มู่เวยเวยลังเลวูบหนึ่ง คิดพินิจพิเคราะห์ขึ้นๆลงๆคำพูดของเขา”ฉันรู้สึกว่า คุณก็โอเค รวมแล้วไม่ได้แย่เหมือนเธอพูดขนาดนั้น และอีกอย่าง พวกเราทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวคุณจะเป็นอย่างไร เพียงแค่พวกเราทำให้สนามเด็กเล่นสมบูรณ์แบบขึ้นมา ในใจของฉันคุณคือ…..เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด”

“ได้รับการประมาณค่าอย่างนี้ก็ไม่เลว” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มแห้งๆ ถ้าหากเธอคือมู่เวยเวย นี่คือคำพูดที่ออกจากใจ อย่างนั้นก็ไม่รีบ ช้าๆไปก่อน

ตลอดเส้นทางที่ว่างจนเบื่อ รถถึงที่สถานที่ก่อสร้าง

หลังจากผ่านการทำความสะอาดจากฝนตกหนัก สถานที่ก่อสร้างยังมีโคลนมาก เคราะห์ดีที่เริ่มซ่อมถนนปูนซิเมนต์เสร็จก่อน มู่เวยเวยหลีกเหลี่ยงการเหยียบปูนนั้น

มองเห็นกลุ่มคนที่กำลังก่อความวุ่นวาย เย่ฉ่าวเฉินหันศีรษะกลับไปพูดกับเธอว่า”ฉันพูดเธอจำได้ไหม?”

“จำได้ ฉันไม่มีทางสร้างความลำบากให้คุณหรอก ไปเถอะ”

มองเห็นพี่ใหญ่มาแล้ว กลุ่มคนที่กำลังสร้างความวุ่นวายเสียงดังก็ได้เงียบสงบลง ผู้จัดการด้านวิศวกรรมเฉินข่ายวิ่งเคารพเขา พูดว่า”ประธานเย่ คุณมาแล้ว ประธานฉู่สวัสดีครับ”

อยู่ด้านนอกเรียกฉู่เหยียน คุณฉู่ไม่ค่อยเหมาะ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ค่อยๆเปลี่ยนมาเรียกว่าประธานเย่

“สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร?”เย่ฉ่าวเฉินถามพร้อมกับก้าวยาวๆไปที่กลุ่มคน

“คนที่ก่อความวุ่นวายต้องการเงินชดเชยครับ”

เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเย็นชา”อย่างนั้นก็ต้องให้เหตุผล”

เดินถึงกลุ่มคนมากมายแล้ว เย่ฉ่าวเฉินมองหนึ่งรอบอย่างเยือกเย็น ตาเดียวมองก็รู้ว่าผู้ชายมีกล้ามคนที่ยืนอยู่แถวที่สองเป็นหัวหน้า

ยื่นมืออกไป ชี้ไปที่เขาพูดว่า”คุณ ออกมา”

สายตาของทุกคนโฟกัสกลับไป ผู้ชายคนนั้นเหมือนอันธพาลเดินออกจากกลุ่มคนมา คำพูดมีบางส่วนที่ร้าย”เย่ฉ่าว ว่าอย่างไร?”

เย่ฉ่าวเฉินถามออกไปตรงๆว่า”ใครสั่งให้คุณมา?”

คนนั้นสั่นๆมองพี่น้องที่อยู่ข้างกาย ให้ตัวเองมีความกล้า “พี่น้องของฉันเกิดอุบัติเหตุที่นี่ ฉันมาทวงความยุติธรรม มีอะไรที่ไม่ถูก?”

เย่ฉ่าวเฉินยืนกอดอก มองเขานิ่ง”ตอนนี้พี่น้องของคุณส่งตัวไปที่โรงพยาบาลแล้ว ค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างบริษัทพวกเรากับบริษัทซื่อกงเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่มีทางไม่ยุติธรรมกับเขา คุณมาทวงความยุติธรรมอะไร?”

“เชอะ ใครจะรู้ว่าตอนสุดท้ายพวกคุณจะกลืนคำพูดไหม? เงินมาอยู่ที่มือพวกเราถึงจะวางใจ”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเย็น “อยากได้เงิน?ฉัรุ้ไหมว่าคุณต้องการเงินกับใคร?”

ชายคนนั้นมองสายตาที่เย็นชาของเขาในใจรู้สึกหวั่น แต่ว่ามาก็มาแล้ว ตอนนี้ไปก็ดูหวาดกลัว

“เย่ฉ่าว ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่เมืองAเก่งมาก แต่ว่าพี่น้องเราได้รับบาดเจ็บจากที่นี่คือเรื่องจริง หรือว่าคุณยังคิดว่าตัวเองใหญ่โตกลั่นแกล้งคนด้อยกว่า?”

“ตัวเองใหญ่โตกลั่นแกล้งคนด้อยกว่า?”บทกลอนใช้ได้ไม่เลว วันนี้ฉันจะพูดให้ชัดเจน ถึงแม้จะให้เงิน ฉันก็จะให้กับมือคนที่บาดเจ็บ ส่วนพวกคุณ”เย่ฉ่าวเฉินใช้สายตามองทีละคน ทำให้คนจำนวนหนึ่งตกใจรีบก้มศีรษะลง “ตอนนี้มาจากไหน ก็ไสหัวกลับไปทางนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้พวกคุณไปอยู่เป็นเพื่อนพี่น้องคุณที่โรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด แต่ว่าค่ารักษาพยาบาลพวกคุณ ฉันไม่มีทางจ่าย”

ลูกสมุนด้านหลังจำนวนหนึ่งมองหน้ากันไปมา คุณมองฉัน ฉันมองคุณ มีความคิดที่อยากจะวิ่งออกจากตรงนี้ พี่ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้ายังดึงดัน “ที่พวกเรามาวันนี้ ไม่ได้คำตอบที่พึงพอใจก็จะไม่ไปไหน”

“เหอะ ปากยังแข็งอยู่” เย่ฉ่าวเฉินเริ่มกำหมัดหมุนมืออกกำลังกายข้อมือ “ฉันจะถามพวกคุณอีกรอบ?ใครสั่งให้พวกคุณมา?”

ชายคนนั้นถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไม่ได้พูดอะไร

“แมวดำ?นกอินทรี?”เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงหนึ่งคน มุมปากมีรอยยิ้มเย็น”ฉันรู้แล้ว หนานกงเฮ่าใช่ไหม”

ชายคนนั้นจ้องเขา ก็ก้มศีรษะลง

“หนานกงเฮ่าก็ยังไม่หยุดจริงๆ ไสหัวไปเถอะ เรื่องวันนี้ฉันจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ฉันให้เวลาพวกคุณวิ่งสองนาที ถ้าหากพวกคุณยังยึดมั่นอยากอยู่ตรงนี้…….”

เย่ฉ่าวเฉินพูดมาแค่ครึ่งหนึ่ง ลูกน้องจำนวนหนึ่งอดทนไม่ได้ถอยกลับวิ่งออกไปทางประตูสถานที่ก่อสร้าง พี่ใหญ่ที่ยังอยู่มองดูคนที่นำมาวิ่งหนีกันหมดแล้ว ก็ตื่นตระหนก

“ยังเหลืออีกหนึ่งนาที” เย่ฉ่าวเฉินใจดีเตือนเขา

ชายคนนั้นก็รักษาหน้าไว้ไม่ได้ วิ่งเร็วกว่าลูกน้องของตัวเอง

คนที่เหลืออยู่ในสถานที่ก่อสร้างผ่อนคลายลง เฉินข่ายพูดด้วยความนับถือว่า”ประธานเย่ คุณเก่งมากจริงๆ พูดไม่กี่คำพวกเขาก็ตกใจกลัววิ่งหนีกันหมด ตอนที่คุณยังไม่มา พวกเรากับคนเหล่านี้อีกนิ่ดหนึ่งก็ทะเลาะตีกันแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินมองเขาเขม็ง พูดอย่าทะนงว่า”ต่อไปถ้าคนพวกนั้นเข้ามาอีก สามารถตีได้ก็ตีให้ออกไปจากสถานที่ก่อสร้างนี้ ตีพิการตีแตกแล้วฉันจะเป็นคนจัดการเอง”

เฉินข่ายมึนงงแย่แล้ว อย่างนี้ก็ได้?

“ที่เมืองA ไม่มีคนที่ฉันจะจัดการไม่ได้” เย่ฉ่าวเฉินปัดไหล่ของตัวเอง “ทำงานต่อเถอะ”

“อ้อๆ….”

มู่เวยเวยเห็นเย่ฉ่าวเฉินกลับมา รีบยกนิ้วโป้งให้ทันที “น่าเกรงขาม”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างไม่อะไรนวดบริเวณคิ้ว ที่จริงเขาไม่ยินดีกับการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ เขาไม่เคยใช้วิธีการนี้มานานมากแล้ว เพียงแต่กับคนประเภทนี้พูดเหตุผลไปก็ไม่ได้อะไร มีแต่ใช้ความรุนแรงระงับความรุนแรง

“ตอนนี้จะไปไหน” มู่เวยเวยอยู่ด้านหลังเขา ถามด้วยความตื่นเต้น

เย่ฉ่าวเฉินคิดแล้วคิดอีก “อีกนานกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน พวกเราไปโรงพยาบาลกัน ถึงอย่างไรก็เกิดเรื่องในสถานที่ก่อสร้างของพวกเรา”

“พูดถูกแล้ว ไปกันเถอะ”

………………

ตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาล มู่เวยเวยถอนหายใจยาวอย่างสบายใจแล้วพูดว่า “โชคดีที่คุณไม่ได้ให้เงินผู้ชายคนนั้นไป ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงเอาเงินคนไข้แล้วหนีไป”

“ฉู่เหยียน ถ้าหากเรื่องแค่นี้ฉันยังคิดไม่ได้ ยังจะสามารถดูแลบริษัทเย่ฮวางที่ใหญ่อย่างนี้ได้อย่างไร?”

“ที่พูดก็ถูก” มู่เวยเวยมองดูเวลาแล้วก็พูดว่า “เลิกงานแล้ว คุณส่งฉันกลับไปเถอะ”

เย่ฉ่าวเฉินสีหน้าราบเรียบถามเธอว่า “เธอไม่รับประทานอาหารเหรอ?”

“วันนี้ตอนเย็นฉันจะทำอาหารเอง ไม่อยากรับประทานอารข้างนอกแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกใจกระตุกเล็กน้อย ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็พูดออกมาว่า “อย่างนั้นผมสามารถไปรับประทานอาหารที่บ้านคุณได้ไหม?”

มู่เวยเวยแปลกใจนิดหนึ่ง ขมวดคิ้วอย่างสงสัยคิดแล้วคิดอีก “จะว่าได้ก็คือได้ แต่ว่าผักในตู้เย็นมีไม่เยอะแล้ว แค่พอสำหรับฉันทำรับประทานได้คนเดียว”

“อย่างนั้นพวกเราไปตลาดซื้อผักกัน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างไม่ลังเล ไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ

มู่เวยเวยมองเขา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ตกลง อย่างนั้นคุณจำเป็นต้องสัญญากับฉันก่อน เมื่อไปแล้วห้ามทำอะไรนะ ห้ามแตะเนื้อต้องตัว”

หลังจากที่เธอพูดคำเหล่านั้นออกมา เย่ฉ่าวเฉินมองเธอเห็นได้ชัดว่าใบหน้าแดงเล็กน้อย

“ฉันให้สัญญากับเธอ “ เย่ฉ่าวเฉินรับปากอย่างจริงจัง

มู่เวยเวยหัวเราะอยู่ในใจ แต่ทว่าสีหน้าฝืนๆพูดขึ้นว่า“ฉันก็จะฝืนใจเชื่อคุณสักครั้งหนึ่ง”

จางเห่อนำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของตลาด มองดูสองคนพูดจาหัวเราะเดินเข้าไปในตลาด ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างดีใจผ่อนคลายแล้วโทรหาพ่อบ้านหวาง

“ลุงหวาง,คุณชาย ตอนเย็นไม่กลับไปรับประทานอาหารแล้ว คุณบอกให้ฉินหม่าไม่ต้องทำเยอะ”

“คุณชาย ไปงานเลี้ยงอีกแล้วใช่ไหม? จางเห่อ คุณอยู่ข้างคุณชายเกลี้ยกล่อม อย่าให้คุณชายดื่มเยอะนะ” พ่อบ้านหวางพูดอย่างเป็นห่วง

จางเห่อยิ้มแห้ง ”พ่อบ้านหวาง วันนี้เกรงว่าคุณชายจะไม่เมาแล้ว คุณสบายใจได้เลย”

“อย่างนั้นก็ดี ดื่มเหล้าเยอะไม่ดีต่อสุขภาพ…….. “ พ่อบ้านหวางพูดพึมพำเบาๆก่อนวางสาย

ในเวลานี้ ยังไม่ถึงหกโมง แล้วก็ยังไม่ใช่วันหยุด ผู้คนในตลาดก็เลยไม่เยอะมาก นานมากแล้วที่เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้มาตลาด เขาไม่ได้มีอะไรที่อยากซื้อ ถ้าเขาคิดต้องการอะไร ก็แค่บอกพ่อบ้านหวางหรือผู้จัดการ พวกเขาก็จะนำสิ่งของที่ดีที่สุดมาวางไว้ตรงหน้าเขา

เพราะฉะนั้น ตอนที่เขาเข็นรถเข็นซื้อของเป็นเพื่อนฉู่เหยียนเวลาก็จะค่อยผ่านไปช้าๆเนิ่นนาน มีความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย ภายในใจก็สงบ

มู่เวยเวยก็หยิบของที่จำเป็นทั้งหมดจากชั้นวางสินค้า ทุกอันที่เธอหยิบก็อ่านฉลากอย่างละเอียด ดูปริมาณแคลลอรี่ ดูแล้วรู้สึกว่าชอบก็ค่อยวางลงในรถเข็น

เย่ฉ่าวเฉินคิดว่าเธอจะดูสินค้าเพียงแค่ชิ้นสองชิ้น แต่ว่าเดินมาสิบกว่านาทีแล้ว ทุกครั้งที่เธอก็ซื้อต้องอ่านเหมือนกันทั้งหมด ถามอย่างประหลาดใจว่า “เธออ่านอะไร?”

ในตอนนั้นในมือของมู่เวยเวยกำลังถือคุกกี้อยู่ 1 ถุง “ดูว่าปริมาณแคลลอรี่เยอะหรือไม่เยอะ และดูว่าเป็นอาหารประเภทที่ใช้น้ำมันทอดหรือไม่”พูดจบก็นำคุกกี้กลับไปวางไว้ที่ชั้นสิ้นค้า เดินไปข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ “ฉันไม่ชอบรับประทานอาหารเหล่านั้น ไม่ดีต่อสุขภาพ อีกอย่างทำให้อ้วนง่าย”

เย่ฉ่าวเฉินกวาดสายตามองเธอ ถามด้วยความสงสัยว่า “เธอก็ไม่ได้อ้วน”

“ไม่ คุณไม่เข้าใจ รอให้อ้วนถึงเวลานั้นก็ไม่ทันแล้ว ฉันคนนี้ไม่ใช่ประเภทชอบออกกำลังกาย แล้วอีกอย่าง คุณไม่เคยได้ยินคำพูดนี้เหรอ ?การลดน้ำหนัก เป็นภารกิจอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องทำตลอดชีวิต” มู่เวยเวยพูดจบก็มองเห็นบริเวณที่ขายผักอยู่ไม่ไกล รีบเดินไปอย่างรวดเร็ว

เย่ฉ่าวเฉินหยิบของเหล่านั้นที่เธอวางใส่รถแข็น ดูแล้วดูอีก ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่แต่งต่างกัน

“คุณอยากรับประทานเนื้ออะไร?” มู่เวยเวยมองเขาที่เดินตามมา หันศีรษะกลับไปถามเขา

“ได้หมด”

“ถ้าอย่างนั้นไม่ซื้อเนื้อแล้ว รับประทานผักเถอะ” มู่เวยเวยตัดสินใจอย่างเบิกบาน ที่สำคัญคือเธอผัดเนื้อไม่ค่อยเก่ง หั่นเนื้ออะไรพวกนั้นก็ดูยุ่งยากเกินไป

เย่ฉ่าวเฉินเก้อเขิน ถ้าอย่างนั้นเธอจะถามฉันว่าอยากรับประทานเนื้ออะไรทำไม?

มู่เวยเวยกำลังเลือกผักอีกด้านหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินก็อดใจรออยู่ข้างๆ เขารู้สึกขึ้นทันทีว่าอย่างนี้ก็ดี ใช้ชีวิตที่ธรรมดาเรียบง่าย

คนที่ฐานะดีมีหน้ามีตาในสังคมก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้หญิงหนึ่งผู้ชายหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยใช้เวลาเดินในตลาดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว คนอื่นมองด้วยสายตาที่ชื่นชมอิจฉาทั้งคู่

ที่จ่ายเงินคนต่อแถวยาวมาก เด็กผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของมู่เวยเวย อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี พวกเธอหันศีรษะกลับมามองเธอกับเย่ฉ่าวเฉินไม่หยุด มองเสร็จแล้วยังหันกลับไปซุบซิบกัน พูดจบแล้วก็มองอีก

มู่เวยเวยถูกพวกเธอมองจนรู้สึกเก้อเขิน แต่ทว่าสีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเรียบเฉย เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา

รอพวกเธอหันกลับมามองอีกครั้งที่สาม มู่เวยเวยอดทนไม่ไหวถามว่า”สาวน้อย มองอะไรกันคะ?”

เด็กผู้หญิงก็หน้าแดง พูดเสียงเบาว่า “พวกเรารู้สึกว่าคุณกับแฟนของคุณคล้ายกับดาราสองคนคนไหน แต่ว่าก็คิดไม่ออก”

มู่เวยเวยได้ยินคำว่าแฟนคำนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นหันศีรษะกลับไปมองเย่ฉ่าวเฉิน หลังจากนั้นในที่สุดใบหน้าของเธอก็คลายมากขึ้นเธอยิ้มออกมาอย่างไม่ได้อะไร

“สาวน้อย ก่อนอื่นเลยเขาไม่ใช่แฟนของฉัน อีกอย่างนะพวกเราก็ไม่ใช่ดาราอะไรหรอก หนูไม่รู้เหรอว่าเวลาดาราออกไปข้างนอกพวกเขาจะใส่ผ้าปิดปากกับแว่นตา? หนูเคยเห็นดาราคนไหนจะมาเดินตลาดใหญ่ขนาดนี้อย่างเปิดเผย?” มู่เวยเวยพูดสอนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset