วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 188 : เป่าเป้ย หัวเราะหน่อย

เย่เฉ่าเฉินใช้เวลาว่างในตอนกลางวันค้นหาข้อมูลของฉู่เซวียน บนอินเทอร์เน็ตก็คือคนนี้ เขากับฉู่เหยียนเป็นพี่น้องกัน ถ้าฉู่เหยียนมีอะไรแปลกๆ ไป แน่นอนว่าเขาต้องมองออก แต่กลับมาจากสนามบิน การสื่อสารในระหว่างทางนี้ยิ่งเพิ่มการยืนยันมากขึ้น ว่าฉู่เหยียนก็คือน้องสาวของเขา

ฉู่เหยียนปลอมตัวได้ ฉู่เซวียนคนนี้ก็เป็นตัวปลอมเหรอ?

อิทธิพลของตระกูลฉู่ร้ายกาจขนาดนั้น จะยอมให้มีคนแอบอ้างว่าเป็นลูกสาวของตระกูลฉู่ได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เช่นนั้น เป็นการตัดสินใจผิดในระยะยาวของตนเองหรือไม่? บนโลกนี้จะมีคนสองคนที่เหมือนกันเช่นนี้จริงๆ เหรอ? ไม่เคยพบเจอกัน ทว่าเหมือนเงาของกันและกันก็ไม่ปาน

เย่เฉ่าเฉินสูบบุหรี่หนึ่งที จมดิ่งอยู่กับความเงียบและความยุ่งเหยิง

พ่อบ้านหวังช่วยมู่เว่ยเว่ยยกกระเป๋าเดินทางลงมา มีเสื้อผ้าหน้าร้อนสองสามตัวอยู่ข้างใน ไม่หนัก ของสำคัญอื่นๆ มู่เวยเวยแบกไว้เอง

เย่เฉ่าเฉินเห็นเธอออกมา ปล่อยวางความสงสัยในใจไปก่อน เดินอ้อมมาด้านหลังรถ เปิดท้ายรถ จากนั้นก็ยกกระเป๋าเดินทางในมือพ่อบ้านหวังวางเข้าไป

“ประธานเย่ คุณหาคนขับรถส่งเราไปก็ได้ ไม่ต้องรบกวนให้คุณขับเองหรอก” ฉู่เซวียนกล่าวเรียบๆ

เย่เฉ่าเฉินเดินตรงไปที่ที่นั่งคนขับ เปิดประตูแล้วพูดว่า “แต่ว่าประธานฉู่เป็นแขกคนสำคัญที่สุดของเรา แน่นอนว่าฉันต้องมาต้อนรับด้วยตนเอง เชิญทั้งสองท่านขึ้นรถเถอะ” พูดจบเขาก็มองไปที่ฉู่เหยียนที่กำลังมองมาที่เขา ยิ้มให้เธอ แล้วเข้าไปนั่งในรถ

มู่เวยเวยไม่รู้ว่ารอยยิ้มของเขานี้หมายความว่าอะไร ยังไม่ทันได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริง ก็ถูกคนข้างๆ สะกิดไหล่เบาๆ “ขึ้นรถเถอะ ทำไมยังลังเลที่จะจากไปเหรอ? ”

มู่เวยเวยหันกลับมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้เขา “ใช่ อาหารบ้านพวกเขาอร่อยมาก ไม่เหมือนที่โรงแรมเลย ทั้งมันและเค็ม”

“ข้อเรียกร้องเยอะจริงๆ ขึ้นรถ” ฉู่เซวียนเร่งให้เธอขึ้นรถแล้ว จึงเดิมอ้อมไปอีกข้างเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ

ฉู่แซวียนบอกชื่อโรงแรมที่เขาจะไปกับเย่เฉ่าเฉิน ผู้ช่วยติดตามและพนักงานได้จองห้องพักไว้ล่วงหน้าแล้ว ระหว่างทางทั้งสามคนก็ไม่ได้พูดถึงความในใจของแต่ละคน

มาถึงโรงแรม เย่เฉ่าเฉินถือกระเป๋าเดินทางมาถึงห้องที่จองไว้ของฉู่เหยียนและฉู่เซวียน เพราะว่าเป็นห้องติดกัน ฉู่เซวียนยืนมองอยู่ข้างหลังเธอรอให้เธอเปิดประตู ยิ้มอย่างเงียบๆ แล้วเสียบการ์ดเข้าไป

เย่เฉ่าเฉินจับรอยยิ้มที่มุมปากเข้าได้ ในใจก็จมดิ่งลง ตามฉู่เหยียนเข้าไปในห้อง

“ขอบคุณนะที่ส่งพวกเรากลับมา” มู่เวยเวยเห็นว่าสีหน้าเขาไม่ดีใจ ทว่าไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เลยลองสอบถามดู “ทำไมคุณโกรธเหรอ? ”

“ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก” เย่เฉ่าเฉินวางกระเป๋าเดินทาง มองไปรอบๆ ห้องและถามว่า “ความผูกพันของคุณกับพี่ชายของคุณดีมากเลยนะ”

“นั่นมันก็แน่นอน เขาเป็นพี่ชายของฉัน” มู่เวยเวยตอบอย่างระมัดระวัง สายตาเคลื่อนไปมาตามฝีเท้าของเขา

“ฉู่เหยียน” เย่เฉ่าเฉินหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาสีฟ้ามองเธออย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าต้องการจะมองเข้าไปในใจเธอ “ถ้าวันหลังคุณมีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันได้เลยนะ ไม่ว่าเรื่องอะไร”

มู่เวยเวยถูกเขามองจนว้าวุ่นใจ จึงใช้รอยยิ้มเพื่อปิดบังความตึงเครียด “ฉันมีเรื่องอะไรที่ต้องโทรหาคุณเหรอ? เย่เฉ่าเฉิน คุณคาดหวังอะไรกับฉัน? คุณยังหวังให้ฉันถูกลักพาตัวไปอีกครั้งใช่ไหม? ”

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้……”

“ฉันรู้ฉันรู้ ล้อเล่นนะ” มู่เวยเวยตัดบทเขา “ดึกมากแล้ว คุณรีบกลับบ้านเถอะ เดินทางปลอดภัยนะ”

มู่เวยเวยพูดจบ ก็หันไปทางประตู ตอนนี้เธอแค่อยากจะให้เขาไป เธอต้องการที่จะถามฉู่เซวียนคนนั้น ท้ายที่สุดแล้วหมายความว่าอะไร

“คุณรีบไล่ฉันขนาดนี้เลยเหรอ? ” เย่เฉ่าเฉินกดมือของเธอที่ต้องการจะเปิดประตู ไล่เธอไปชิดกำแพง จ้องตาเธอแล้วพูดว่า “ฉันเป็นธุระให้ขนาดนี้ ไม่คิดจะให้รางวัลฉันหน่อยเหรอ? ”

มู่เวยเวยด่าความทะลึ่งของเขาในใจ เหล่มองแล้วพูดว่า”รางวัลที่ฉันให้เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอ? น่าเสียดายตอนนี้เอวฉันยังเจ็บอยู่”

เย่เฉ่าเฉินเชิดคางเธอขึ้น อดไม่ได้ที่อยากจะปิดปากเธอ จูบจนมู่เวยเวยหายใจกระชั้น ใบหน้าแดงก่ำจึงปล่อยเธอ

“ต่อไปถ้าไล่ฉันอีก ฉันก็จะลงโทษคุณอย่างนี้” เย่เฉ่าเฉินพูดกระซิบ

“ได้คืบจะเอาศอก” มู่เวยเวยหัวเราะแล้วด่าไปประโยคหนึ่ง เปิดประตูโรงแรมแล้วผลักเขาออกไป “รีบไปเถอะ เดินทางปลอดภัย”

“ราตรีสวัสดิ์”

เย่เฉ่าเฉินหันกลับเดินตรงไปที่ลิฟต์ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปในทันใด

โผล่ออกไปดูเย่เฉ่าเฉินที่หายไปจากมุมตึก มู่เวยเวยจึงดึงการ์ดห้องออกแล้วปิดประตู เดินไปสองสามก้าวถึงห้องถัดไปแล้วเคาะประตู

รอไม่กี่วินาที ประตูก็เปิด ฉู่เซวียนเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแบบใช้ครั้งเดียวของโรงแรม ดูเหมือนว่าเพิ่งล้างหน้า จอนผมยังคงเปียกชื้น

เขาเห็นมู่เวยเวยก็ไม่ได้ประหลาดใจ เพียงแค่ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา “เย่เฉ่าเฉินไปแล้ว คุณก็ไปล้างหน้าเถอะ ฉันเห็นแล้วมันเกะกะตา”

มู่เวยเวยตกตะลึง ก็ถูก เดิมทีเธอก็ไม่ใช่ฉู่เหยียน ทว่ายังใช้หน้าของน้องสาวเขามาพูดคุยกับเขา ในใจเขาต้องไม่สบายใจอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ฉันใส่หน้ากากมาสองวันแล้ว ติดอยู่บนหน้า อึดอัดหน้าอย่างยิ่ง

ได้ฟังเขาพูดแบบนี้ มู่เว่ยเว่ยไม่พูดจากลับไปที่ห้องของตนแล้วถอดหน้ากากออก เปิดเผยตัวตนออกมาแล้วเดินมาที่หน้าประตูของเขา

ฉู่เซวียนเปิดประตู ครั้งเห็นใบหน้าของเธอก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วจึงให้เธอเข้ามา

“ดูเหมือนว่าคุณก็ไม่ได้หน้าตาขี้เหร่นะ” ฉู่เซวียนปิดประตูแล้วเย้าแหย่เธอ

“ขอบคุณ ฉันก็จะคิดว่าคุณชมเชยฉัน” มู่เวยเวยยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองชายแปลกหน้าคนนี้อย่างระวังตัว ถามอย่างกำปั้นทุบดินว่า “ท้ายที่สุดคุณมาเมืองAเพื่อทำอะไร? ”

ฉู่เซวียนผายมือออก ท่าทีดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก “วันเกิดน้องสาวของฉัน ฉันมาส่งของขวัญวันเกิดให้คุณไง”

“ฉู่เซวียน พวกเราก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ด้วย” มู่เวยเวยมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

“OK ที่จริงมีคนขอให้ฉันมาช่วยเหลือ แกล้งเป็นพี่ชายของคุณ ฉันก็เลยมา”

มู่เวยเวยไม่เชื่อ “มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ”

“งั้นยังมีอะไรอีกล่ะ? หื๊เม อย่างไรก็ตามจะดูแลความคืบหน้าในการทำงานเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีการดูแลโครงการสวนสนุก นี่คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดของตระกูลฉู่ของเราในปีนี้ อย่าทำพลาดเด็ดขาด” ฉู่เซวียนพูดหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ นั่งลงบนโซฟาอย่างเฉื่อยชา

มู่เวยเวยได้ฟัง จึงถามเขาตรงๆ ว่า “คุณกับชายที่สวมหน้ากากเงินนั้นรู้จักกันเหรอ? ”

“อะไรคือชายที่สวมหน้ากากเงิน? ฟังไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไรอยู่” ฉู่เซวียนเปิดทีวี

มู่เวยเวยไปขวางหน้าทีวี “คุณไม่รู้จักเขา? งั้นใครให้คุณมาล่ะ? ”

ฉู่เซวียนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับคำถามของเธอ ในใจก็โกรธนิดหน่อย มีน้อยคนที่พูดกับเขาแบบนี้ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่ ทำไมคุณถามมากมายขนาดนี้? คุณมั่นใจอะไรว่าฉันจะตอบคำถามเหล่านี้ของคุณ? มีอะไรสงสัยก็ไปถามคนเบื้องบนของคุณ อย่ามารบกวนฉัน”

มู่เวยเวยถูกเขาตะคอก ก็โกรธเล็กน้อย “งั้นเพราะอะไรคุณถึงเรียกฉันออกมาจากตระกูลเย่ล่ะ? คุณรู้ไหมว่าฉันเข้าไปได้ยากมาก นี่คือคุณกำลังทำลายแผนการของฉันนะ”

“คุณผู้หญิง น้ำเข้าสมองคุณเหรอ? ” ฉู่เซวียนโจมตีเธออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย “คุณคิดเอาเอง ฉันมาเมืองA แต่น้องสาวของฉันอาศัยอยู่ในบ้านของชายอื่น นี่มันไม่มีเหตุผลเกินไปเหรอ? หรือจะบอกว่า ตัวคุณผู้หญิงเองเดิมทีก็ชอบอยู่ในบ้านของชายอื่นมาก”

มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฉู่เซวียน ฉันว่าสมองคุณน่าจะมีปัญหานะ ไม่ว่ายังไงเย่เฉ่าเฉินก็เป็นสามีของฉัน เขาเป็นชายอื่นเหรอ? ”

ฉู่เซวียนได้สติ ตบๆ หน้าผาก “ลืมสิ่งนี้ไปเลย ใช่แล้ว คุณชื่ออะไรนะ? ”

มู่เวยเวยจ้องมองเขาโดยไม่พูด

ฉู่เซวียนเห็นว่าเธอไม่ตอบความคิดเห็นของตน เติมคำต่อท้ายเองโดยอัตโนมัติ “อ่อ มู่เวยเวย คุณผู้หญิงมู่เวยเวย ฉันไม่จำเป็นต้องตอบข้อสงสัยของคุณทั้งหมด เชิญคุณไปถามคนที่ควรถามเถอะ ตอนนี้ ฉันต้องการพักผ่อนแล้ว คุณออกไปได้ไหม? ”

มู่เวยเวยออกมาจากห้องของฉู่เซวียนด้วยความโกรธ แยกเขี้ยวยิงฟันอยู่หน้าประตูเขา ฉับพลันก็เปิดประตู มู่เวยเวยก็กลับสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว หยิบคีย์การ์ดออกมาและรูดเปิดห้องของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฉู่เซวียนชะโงกออกไปมองเธอ พูดเบาๆ ว่า”ประสาท”จากนั้นก็ปิดประตู

มู่เวยเวยหมุนอยู่ในห้องอย่างนั่งไม่ติด เธอมักรู้สึกเสมอว่าจุดประสงค์ของฉู่เซวียนในการมาเมืองAนั้นไม่ง่าย ชัดเจนมาก ชายที่สวมหน้ากากคนนั้นกับฉู่เซวียนมีความสัมพันธ์ที่โยงใยกัน มิเช่นนั้นเธอจะไม่สามารถกลายเป็นฉู่เหยียนได้ และเป็นไปไม่ได้ที่ลูกชายคนโตของตระกูลฉู่คนนี้จะเต็มใจเป็นพี่ชายจอมปลอมเช่นนี้

หยิบโทรศัพท์ออกมาและครุ่นคิดอยู่นาน มู่เวยเวยกดเบอร์โทรนั้น โทรศัพท์ใช้เวลานานมากในการรับสาย

“ฮัลโหล ฉันคือมู่เวยเวย” มู่เวยเวยรายงานครอบครัวของตน แล้วรีบถามว่า “ลูกของฉันสบายดีไหม? ”

เสียงผู้ชายหัวเราะอย่างแปลกประหลาดแล้วพูดว่า “คุณมู่ ฉันเคยบอกแล้ว ภายในครึ่งปี ลูกของคุณจะปลอดภัยและมีสุขภาพดีมาก เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนี้วิกฤติการณ์ของคุณได้แก้ไขแล้วใช่ไหม? ”

มู่เวยเวยคิดอยู่นาน เดิมทีก็ไม่อยากตอบคำถามของเขา แค่ต้องการเห็นลูกก็เท่านั้น “ทุกๆ ครั้งคุณก็บอกว่าลูกของฉันสุขภาพดีมาก แต่ไม่ให้ฉันเจอลูกเลย ฉันจะเอาอะไรมาเชื่อใจคุณล่ะ? ”

“เห๊อะ ขนาดขึ้นแล้วสิ ไม่มีอะไรที่จะให้คุณดูหรอก เปิดวิดีโอคอลสิ”

มู่เวยเวยเพียงแค่ลองดู ไม่คาดคิดว่าคำร้องขอของตนจะถูกยอมรับ เปิดวิดีโอคอลอย่างมือสั่น ตามด้วยกดปุ่มบันทึกวิดีโอ เช่นนี้อย่างน้อยเมื่อคิดถึงลูก เธอก็สามารถกลับมาดูอีกได้

ไม่นานก็ปรากฏภาพบนหน้าจอ เป็นห้องห้องหนึ่ง ภาพกะพริบเล็กน้อย จากนั้นภาพเปลเด็กก็ปรากฏ มู่เวยเวยกุมหัวใจด้วยน้ำตาคลอ ในที่สุดก็ได้เห็นลูกของตนเองแล้ว เขาผิวขาวอ้วนท้วนนอนโบกมืออยู่ด้านใน พูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษา มองแวบหนึ่งดูโตขึ้นมาก

มู่เวยเวยน้ำตาไหล ได้ยินผู้ชายปลายสายนั้นพูดว่า “มา เป่าเป้ยน้อยหัวเราะหน่อย”

ลูกได้ยินคำพูดของเขา ทำตาม”แหะๆๆ”หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะดังมาทางโทรศัพท์ น้ำตามู่เวยเวยยิ่งไหลมากขึ้น

“เอาล่ะ ตอนนี้เห็นลูกแล้ว ทำงานที่คุณได้รับให้สำเร็จด้วย มิเช่นนั้น เด็กน่ารักขนาดนี้ ฉันลำบากใจที่จะลงมือจริงๆ ”

“อย่า อย่าเด็ดขาด” มู่เวยเวยรีบเช็ดน้ำตา กล่าวกับคนด้านในที่มองไม่เห็น “ฉันจะทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด อย่าทำร้ายลูกของฉันนะ”

“เข้าใจก็ดีแล้ว” ผู้ชายพูดจบ เหมือนว่าเตรียมจะวางสาย มู่เวยเวยจึงรีบพูดว่า “เดี๋ยว ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณ”

“เรื่องอะไร? ” น้ำเสียงหงุดหงิดของชายคนนั้นทอดออกมา กล้องหันไปทางมุมหนึ่งของบ้าน มู่เวยเวยเดาว่าเขาน่าจะไม่สวมหน้ากาก จึงกลัวว่าตนจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา

“ฉู่เซวียนคนนั้น เขามาที่เมืองAนอกจากจะพิสูจน์ตัวตนของฉันแล้ว ยังมีอื่นๆ อีกใช่ไหม? ”

“คุณมู่ เขาจะทำอะไร คุณไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่ดูแลเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ เขาไม่ขัดขวางคุณ เขาสามารถช่วยคุณได้เมื่อจำเป็น”

มู่เวยเวยได้ฟังคำนี้ก็วางใจ ขอเพียงแต่เขาไม่มาก่อกวนก็พอ

“จะว่าไปคุณไปอยู่ใกล้ชิดเย่เฉ่าเฉินนานขนาดนั้น ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าสักนิดเลย? ครั้งที่แล้วข่าวของผู้เฒ่าตระกูลเย่ก็ครุมเครือเกินไป อย่างนี้ต่อไป……”

มู่เวยเวยกลัวว่าเขาจะทำอะไรรุนแรงกับลูก พูดอย่างจริงจังทันทีว่า “เวลาที่คุณบอกคือครึ่งปี นี่เพิ่งผ่านไปสองเดือน เวลายังไม่ถึง คุณต้องรักษาสัญญาสิ”

ชายคนนั้นทำเสียงไม่พอใจ แล้วตัดสายไป

มู่เวยเวยล้มลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง เล่นวิดีโอที่เพิ่งบันทึกเมื่อกี้อีกครั้ง ทุกๆ ครั้งที่เห็นลูก น้ตาของเธอก็ไหลไม่หยุด ในที่สุดก็เห็นว่าแบตโทรศัพท์หมดจึงนอนอยู่บนเตียงสักพัก จากนั้นก็พลิกตัวไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำ

……

วันต่อมา แวบแรกที่ฉู่เซวียนเห็นมู่เวยเวย ยังตกตะลึงโดยไม่รู้ตัว แทบจะคิดว่าเธอเป็นน้องสาวของตนอีกครั้ง เหมือนกันมากจริงๆ ยกเว้นดวงตาคู่นี้

ในแววตาของน้องสาวมีความสดใสลอยอยู่ตลอด แต่ดวงตาคู่นี้สงบนิ่งมาก บางครั้งยังรู้สึกว่ามองไม่ทะลุปรุโปร่ง

“พี่ชาย สวัสดีตอนเช้า” มู่เวยเวยตะโกนด้วยน้ำเสียงกังวาน ฉู่เซวียนซวนที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ในห้องอาหารของโรงแรมถึงกับขนลุกไปทั้งตัว

เขาเงยหน้ามอง กัดเกี๊ยวทอดหนึ่งคำ รอเธอหยิบอาหารเช้ามานั่งตรงข้ามกับตนเอง จึงพูดเบาๆ ว่า “นี่คุณเล่นละครได้เต็มที่จริงๆ ”

มู่เวยเวยรู้ว่าเขาพูดเหน็บแนมตนเอง กินซาลาเปาในจานของตนแล้วพูดว่า “ฉันก็จะทำให้คุณร่วมกับการแสดงด้วย อีกทั้งใครจะรู้ว่าบริเวณนี้มีดวงตาของเย่เฉ่าเฉินอยู่หรือเปล่า”

ฉู่เซวียนเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเธอค่อนข้างละเอียดรอบคอบ

“น้องสาวที่รักของฉัน กินเสร็จแล้วก็ตามฉันไปที่บริษัทด้วย ฉันต้องการทราบความคืบหน้าของโครงการในตอนนี้”

มู่เวยเวยถูกเขาพูดว่า”ที่รัก”ก็สะอิดสะเอียนเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแล้วพูดว่า “ดีเลย พอดีว่าฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณมาแล้วฉันก็น่าจะวางมือไม่ต้องดูแลแล้ว”

ฉู่เหยียนอยากจะพูดว่า ถึงแม้ว่าคุณอยากจะก้าวก่าย จะมีอำนาจไหนล่ะ?

เย่ฮวางกรุ๊ป

เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยง เย่ฉ่าวเฉินได้รับโทรศัพท์ของจางเห่อ “คุณชาย พี่น้องตระกูลฉู่ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม หลังจากนั้นก็นั่งรถไปยังสถานที่ทำงานของพวกเขา ไม่มีการเดินทางอะไรเป็นพิเศษ”

เย่ฉ่าวเฉินคลึงหว่างคิ้ว ” งั้นการอยู่ร่วมกันของพวกเขาสองคนล่ะ? ”

“รู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมมาก ตอนที่ฉู่เซวียนจะออกจากโรงแรมยังตบที่บ่าของคุณฉู่เหยียน คนทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้ม”

“โอเครู้แล้ว คุณติดตามต่อไป อย่าให้ถูกพวกเขาจับได้”

“ครับ คุณชาย”

วางมือถือ เย่ฉ่าวเฉินหงายหน้าพิงหลังที่พนักพิงเก้าอี้หนังแท้แล้วครุ่นคิด สติปัญญาของเขาบอกกับตัวเอง ฉู่เหยียนคือน้องสาวของฉู่เซวียน การกระทำที่สนิทชิดเชื้อของพวกเขาไม่มีอะไรสักนิด แต่บนความรู้สึกก็ยังปล่อยไปไม่ได้เล็กน้อย

เขามักจะมองฉู่เหยียนเป็นมู่เวยเวยอยู่เสมอ ดังนั้นฉู่เซวียนพบเจอกับฉู่เหยียน ก็เหมือนกับพบเจอกับมู่เวยเวย ในใจเขารู้ว่าความคิดนี้ของตนเองผิดปกติอย่างมาก แต่ก็ควบคุมตนเองไม่ได้

เวลานี้ เลขาฯ หลิวเคาะประตูแล้วเข้ามาพร้อมกับอาหารกลางวันที่ห่อมาจากภัตตาคารระดับสูง

“ประธานเย่ ควรทานอาหารกลางวันได้แล้ว”

“วางไว้ที่โต๊ะน้ำชาก่อน เออใช่ เดี๋ยวคุณไปจองโต๊ะที่ร้านลั่วอวี่เซวียนโต๊ะหนึ่งนะ วันนี้ตอนเย็น แล้วแจ้งให้คนอื่นๆ สองสามคนที่รับผิดชอบโครงการสวนสนุกมาเข้าร่วมด้วย”

เลขาฯ หลิวตอบรับว่าค่ะ แล้วถามอีกประโยคหนึ่งว่า “ประธานเย่ เชิญมากี่ท่านเหรอคะ? ”

“ผู้จัดการใหญ่บริษัทMK คุณชายใหญ่ฉู่เซวียนของตระกูลฉู่” เย่ฉ่าวเฉินพูดเรียบๆ

เลขาฯ หลิวตกใจ ทำไมไม่เคยได้ยินข่าวคราวเขาเลยสักนิด คุณชายฉู่คนนี้มาแบบเงียบๆ จริงๆ

หลังจากเลขาฯ หลิวออกไป เย่ฉ่าวเฉินคิดๆ แล้วก็หยิบมือถือโทรไปที่ฉู่เหยียน

“ยุ่งอะไรหรือเปล่า? ” เขาเอ่ยปากถาม

“อยู่ที่บริษัท พี่ชายของฉันพวกเขากำลังประชุม ถึงยังไงฉันก็ฟังไม่เข้าใจ ก็เลยอยู่ด้านนอกเล่นเกมรอพวกเขาสักครู่แล้วจะไปทานข้าวเที่ยง” เสียงที่เกียจคร้านของมู่เวยเวยแทรกเข้ามา เย่ฉ่าวเฉินฟังอยู่นาน อดไม่ได้ที่จิตใจจะสั่นไหว

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองที่กล่องข้าวบนโต๊ะน้ำชา ทันทีก็ไม่ได้สนใจ พูดว่า “ต้องการให้ฉันไปรับคุณไหม จากนั้นพวกเราก็ไปทานข้าวกัน ยังไงก็อยู่ห่างกันไม่ไกล”

“ดีเลยๆ ” มู่เวยเวยพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว คุณรีบมาเลย ฉันจะรอคุณอยู่ที่ชั้นล่างบริษัท”

“โอเค คุณอย่าเพิ่งรีบลงมานะ ผ่านไปสิบนาทีแล้วค่อยลงมา”

“อืมๆ รับทราบ”

มู่เวยเวยวางสายโทรศัพท์ สุดท้ายก็เป่าปากโล่งอก เย่ฉ่าวเฉินชอบฉู่เหยียนเพราะคิดว่าฉู่เหยียนคือมู่เวยเวย ตอนนี้พิสูจน์และยืนยันว่าเธอก็คือฉู่เหยียน เธอยังกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นไม่สนใจตนเอง ต่อไปนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว

โอ้เอ้ไปมาอยู่ที่ห้องทำงานหลายนาที มองเวลาก็ใกล้เคียงแล้ว เตรียมเก็บกระเป๋าแล้วลงไปชั้นล่าง ประตูห้องประชุมเปิด พวกเขาเลิกประชุมแล้ว

ฉู่เซวียนรีบก้าวเท้าเข้ามา เห็นเธอท่าทางจะไป ถามเธออย่างไม่เข้าใจว่า “ไปไหนเหรอ? ”

มู่เวยเวยพูดอย่างไม่หันกลับไป “ไปทานข้าว” พูดจบก็เงยหน้าแล้วทิ้งท้ายอีกประโยคว่า “กับเย่ฉ่าวเฉิน”

ฉู่เซวียนแสดงท่าทียักไหล่เข้าใจ “OK บอกประธานลู่ด้วยนะ ตอนบ่ายฉันเตรียมไปที่สถานที่ก่อสร้าง”

“รับคำสั่ง บ๊ายบาย พี่ชายสุดที่รัก” มู่เวยเวยยิ้มๆ ให้เขา วิ่งไปที่หน้าประตูลิฟต์อย่างรวดเร็ว มองรอยยิ้มลูกชายทั้งคืน ตอนนี้เธอมีพละกำลังอย่างมาก ไม่ได้ต้องการเย่ฉ่าวเฉินมาเป็นแฟน

ฉู่เซวียนเห็นรอยยิ้มนั้นที่ปรากฏอย่างฉับพลันบนใบหน้านั้นของน้องสาว อดไม่ได้ที่จะครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อย ครั้งแรกที่เห็นเธอที่สนามบินเมื่อวาน ในใจของฉู่เซวียนก็เต้นอย่างรุนแรง เหมือนกับน้องสาวมากเกินไปจริงๆ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะให้เธอเป็นน้องสาวของตัวเองไปโดยอัตโนมัติ สิ่งที่ดีคือเธอมีความสามารถในการโต้ตอบที่เด็ดเดี่ยว การกระทำของคนทั้งสองจึงราบรื่นอย่างมาก

ภายหลังกลับถึงโรงแรม เขาจึงค่อยๆ สงบลงมา เธอไม่ใช่ฉู่เหยียนจริงๆ ด้วยเหตุนี้ภายหลังกลับถึงโรงแรมท่าทีที่มีต่อมู่เวยเวยจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ชั้นล่างของบริษัท มู่เวยเวยรอเย่ฉ่าวเฉินอยู่ในร่ม สองสามนาทีต่อมาก็เห็นปอร์เช่คาเยนน์คันสีดำคันหนึ่งขับเข้ามา เธอจึงออกมาจากในร่มเงา พอรถจอด ก็นั่งคู่กับคนขับ

“พวกเราไปทานที่ไหนกันดี? ” มู่เวยเวยคาดเข็มขัดนิรภัยไปพลาง กล่าวถามเขาไปพลาง

เย่ฉ่าวเฉินเคลื่อนรถ สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย “ใกล้ๆ นี้มีร้านอาหารกวางตุ้งร้านหนึ่ง รสชาติดีมาก คุณทานเยอะๆ หน่อย เพราะตอนเย็นฉันต้องเลี้ยงต้อนรับให้พี่ชายของคุณ อาจจะทานได้ไม่เท่าไร”

“อ้อ” มู่เวยเวยขานรับ นึกถึงคำพูดที่ฉู่เซวียนสั่งขึ้นได้ “พี่ฉันบอกว่าตอนบ่ายเขาจะไปที่สถานที่ก่อสร้าง คุณไปไหม? ”

“ต้องไปแน่นอน เขาให้คุณฝากบอกฉัน ก็ต้องคิดที่จะให้ฉันไปเป็นเพื่อนแน่นอน คุณล่ะ? คุณไปไหม? ” เย่ฉ่าวเฉินขับรถอย่างจิตใจจดจ่อ

“ร้อนเกินไป ในเมื่อพี่ชายฉันมาแล้ว เรื่องออกสถานที่ก่อสร้างนี้ก็ให้เป็นของเขา ฉันไม่อยากอาบแดด” มู่เวยเวยเพ่งเล็งไปที่สีหน้าที่แสดงออกของบางคนอย่างระงับอารมณ์และคำพูด คล้ายกับเป็นปกติ

เวลาทานข้าว คนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก มู่เวยเวยมองออกถึงความไม่สบายใจของเขา

“ฉู่เหยียน พี่ชายของคุณชอบทานอาหารรสชาติแบบไหน? ” เย่ฉ่าวเฉินถามเธอโดยฉับพลัน

มู่เวยเวยนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “คุณถามแบบนี้ทำไม? ”

เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างตั้งใจว่า “ก็ตอนเย็นจะเลี้ยงข้าวเขาไม่ใช่เหรอ? ก็ต้องรู้ก่อนว่าเขาชอบอะไร ฉันจะได้จองร้านอาหาร”

มู่เวยเวยไม่รู้ว่าเขาต้องการจะรู้จริงๆ หรือว่าจงใจทดลองหยั่งเชิงเธอ พูดอย่างคลุมเครือทั้งสองอย่างว่า “เขาไม่เลือกหรอก อะไรก็ทานได้”

“แบบนี้เหรอ งั้นก็ดี” เย่ฉ่าวเฉินก้มหน้าทานข้าวต่อไป

มู่เวยเวยเหงื่อออกไปทั้งตัว อารมณ์ดีๆ ในการทานข้าวลดลงเล็กน้อย

ทานข้าวแล้วกลับถึงบริษัท ฉู่เซวียนนั่งอยู่หน้าคอมจัดการการรายงานและเอกสารแต่ละอย่าง มู่เวยเวยก็ฟุบหน้าบนโต๊ะแล้วถามเขาว่า “คุณทานข้าวชอบอาหารรสชาติแบบไหน? ”

ฉู่เซวียนจ้องมองคอมพิวเตอร์ไปพลาง ตอบกลับไปพลาง “รสเผ็ด ยิ่งเผ็ดยิ่งดี”

มู่เวยเวยทึ่มทื่อไป “คุณเป็นคนฮ่องกงคนหนึ่ง ทำไมชอบทานรสเผ็ดล่ะ? ”

ฉู่เซวียนจ้องมองเธอ “ทั้งประเทศจีนเกินกว่าครึ่งล้วนชอบทานรสเผ็ด ทำไมฉันจะชอบไม่ได้? ”

“แต่ว่า……” มู่เวยเวยถอนหายใจ และพูดออกมาอย่างหมดเปลือก “วันนี้ตอนกลางวันเย่ฉ่าวเฉินถามฉันถึงรสชาติของคุณ ฉันไม่รู้ ก็เลยบอกไปว่าชอบทานหมด ถึงเวลาที่เขาถามคุณ คุณอย่าเผยความลับออกมานะ”

ฉู่เซวียนไม่เข้าใจเล็กน้อย “เขาสอบถามรสชาติของฉันทำอะไร? ”

“บอกว่าตอนเย็นจะเลี้ยงต้อนรับคุณ ถามแล้วจะจองร้านอาหารไว้” มู่เวยเวยนึกถึงอะไรได้ บอกกับเขาว่า “ถ้าหากว่าเย่ฉ่าวเฉินพูดเกลี้ยกล่อมคุณ ถามว่าฉันชอบทานอะไร คุณจะต้องจำไว้เลยนะว่า ฉันชอบของหวาน และไม่ทานเผ็ดเลย”

ฉู่เซวียนเอือมระอา ร้องเชอะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “นี่คุณก็ให้หลอกเย่ฉ่าวเฉินที่ไม่เข้าใจน้องสาวของฉันดี เพราะว่า ฉู่เหยียนและฉันเหมือนกัน ทานเผ็ดไม่ได้ ทั้งยังชอบของหวานมาโดยตลอด”

“อ๋า? ” มู่เวยเวยประหลาดใจ หลังจากนั้นก็พูดคำนึงว่า “คุณพูดถูก โชคดีที่เขาไม่เข้าใจน้องสาวของคุณดี”

เดิมทีฉู่เซวียนทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดที่มู่เวยเวยบอกเขา ไม่คิดว่าตอนบ่ายเย่ฉ่าวเฉินจะถามเขาจริงๆ เพียงแต่ที่ถามไม่ใช่รสชาติของเขา แต่เป็นอาหารที่ฉู่เหยียนชอบ

แน่นอนว่าที่ฉู่เซวียนบอกคือของหวาน เขามาเพื่อยื่นมือช่วยเธอ และไม่อยากให้คนบางคนมาสร้างความเดือดร้อน

ร่วมเดินทางไปกับเย่ฉ่าวเฉิน ฉู่เซวียนก็เข้าใจแต่ละมุมของสวนสนุก เพราะก่อนที่จะมาก็เคยดูจากภาพการออกแบบและภาพผลลัพธ์อย่างละเอียดแล้ว ฉู่เซวียนจึงรู้ภาพรวมโดยทั่วไปของสวนสนุกดี ดังนั้นปัญหาที่ถามล้วนช่ำชอง มีเลห์เหลี่ยม ดีที่ว่าเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ธรรมดาๆ ตอบรับอย่างคล่องแคล่ว

อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าฉู่เซวียนอยากกลั่นแกล้งเย่ฉ่าวเฉิน แต่ปัญหาเหล่านี้ตัวมันเองมีจุดที่สำคัญในขั้นตอนที่สร้างสรรค์ เพียงแค่ถามให้ชัดเจน เขาจึงสามารถโล่งใจได้

ผู้ชายสองคนนั้นต่างก็รับผิดชอบงานด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง ทั้งถามทั้งตอบราบรื่นอย่างมาก ดังนั้นสวนสนุกทั้งหมดจึงเสร็จสิ้น ดวงอาทิตย์ตกแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ

ด้วยเหตุนี้ เย่ฉ่าวเฉินจึงพาฉู่เซวียนตรงไปที่ห้องวีไอพีของร้านลั่วอวี่เซวียน ด้านคนอื่นๆ ต่างคนต่างมากันก่อนแล้ว เพียงแต่เมื่อพวกเขามาถึงคนที่รับเชิญทั้งหมดก็มาถึงกันหมดแล้ว

แน่นอน BOSSใหญ่ทั้งสองคนมาสาย แต่คนอื่นๆ ไม่กล้า

มู่เวยเวยนั่งลงบนที่นั่ง ด้านขวาเป็นเก้าอี้ว่างสองที่ ด้านซ้ายคือถังซื่อเซวียน ด้านข้างที่เหลือเป็นพนักงานของเย่ฮวางอินเตอร์เนชันแนลกรุ๊ปคนหนึ่งเป็นพนักงานของบริษัทMKคนหนึ่ง แบบนี้ก็ไม่ถึงกับว่าดูแคลนใคร

เย่ฉ่าวเฉินและฉู่เซวียนอยู่ที่ห้องน้ำล้างมือและล้างหน้าออกมา ก็เดินไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ฉู่เซวียนเดินไปด้านหน้ากำลังจะนั่งลงข้างๆ ฉู่เหยียน แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยื่นมือไปจับที่พนักเก้าอี้ กล่าวอย่างสุภาพไปยังเขา “ประธานฉู่เป็นแขกผู้มีเกียรติในวันนี้ เป็นธรรมดาว่าจะต้องนั่งที่ที่นั่งหลัก”

ฉู่เซวียนหันสายตากลับไปมองเขา รอยยิ้มที่วางแผนอย่างเบาบางในสายตา แต่ไม่ได้พูด จึงย้ายมานั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง เย่ฉ่าวเฉินก็นั่งอย่างสงบข้างๆ มู่เวยเวย

แต่พอถึงเวลาสั่งอาหาร ฉู่เซวียนก็ต้องหดหู่อย่างที่สุด ไม่มีอาหารรสเผ็ดเลยสักอย่าง พูดในใจอย่างขัดเคืองว่า ต้องโทษที่มู่เวยเวยเก็บความลับไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้จึงสั่งอาหารจานสองจานและให้เมนูนี้กับเย่ฉ่าวเฉิน

บรรยากาศบนโต๊ะดีมาก คนทั้งสองข้างนอกจากฉู่เซวียนแล้วคือเป็นคนแปลกหน้าไม่คุ้นเคยกัน คนอื่นๆ ก็ไม่รู้พบเจอกันมากี่ครั้งแล้ว ดูคุ้นเคยกันมาก่อน

อาหารมาเสิร์ฟ เย่ฉ่าวเฉินยกแก้วเหล้าขึ้นก่อน พูดกล่าวยินดีต้อนรับฉู่เซวียนสองสามคำ หลังจากนั้นทุกคนก็ดื่มหมดภายในรวดเดียว ยกเว้นมู่เวยเวย เธอไม่กล้าดื่มมากเกินไป แค่จิบๆ น้อยๆ

ที่ไปที่ก่อสร้างตอนบ่าย ฉู่เซวียนก็หิวจนท้องร้อง แต่จะทำยังไงได้อาหารบนโต๊ะไม่ถูกปากเขา ดังนั้นจึงคีบสองสามคำแล้วก็วางตะเกียบ

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ขยับสายตาเล็กน้อย ยิ้มแล้วถามว่า “ประธานฉู่ อาหารไม่ถูกปากเหรอ? ”

เมื่อฉู่เซวียนมองเขา กวาดสายตาไปที่ตัวการก่อเรื่อง ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “ก็พอได้ เดิมที่ฉันทานน้อยอยู่แล้ว คุณไม่ต้องสนใจฉันหรอก”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า เพิ่มเหล้าให้เขาอีกแก้ว จากนั้นก็ยกแก้วเหล้าตนเองแล้วพูดว่า “มักจะได้ยินว่าประธานฉู่เป็นคนพิถีพิถันในการทำงาน วันนี้ตอนบ่ายถือว่ามีความรู้ดีมาก สมคำร่ำลือจริงๆ ”

ฉู่เซวียนยกแก้วเหล้าขึ้นแล้วชนกับเขาเบาๆ พูดว่า “นี่คือสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว โครงการใหญ่ขนาดนี้ ยอมรับว่าสถานที่การท่องเที่ยว โดยปกติแล้วไม่ว่าสถานที่ไหนไม่สามารถทำแบบสะเพร่าเลินเล่อได้ เมื่อเกิดปัญหาเพียงแค่เล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่ภัยที่ร้ายแรงในภายหลังได้ พวกเราจำเป็นต้องลดความประมาทลงไปเรื่อยๆ ”

เย่ฉ่าวเฉินกล่าวอย่างเห็นด้วยว่า “คุณพูดถูก ไม่สามารถประมาทได้จริงๆ ”

คนทั้งสองร่วมหารือถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่เห็นในวันนี้ มู่เวยเวยไม่ได้สนใจ เพียงอยู่ข้างๆ อย่างจิตใจจดจ่อกับการกิน รสชาติอาหารร้านนี้ค่อนข้างจืด อีกทั้งยังหวานอีกเล็กน้อย ถูกปากของเธอพอดี คาดว่าเย่ฉ่าวเฉินจองร้านอาหารนี้เพราะคำนึงถึงรสชาติอาหารของเธอ

ดื่มเหล้าไปได้ครึ่งหนึ่ง คนบนโต๊ะก็เริ่มเคลื่อนไหวกันขึ้นมา ทุกคนสับเปลี่ยนกันยกแก้วเหล้าให้เย่ฉ่าวเฉินและมู่เซวียน ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงไม่ได้ทานอาหารมากเท่าไร ดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือฉู่เซวียน ในกระเพาะที่เดิมทีไม่ได้มีอาหารมากเท่าไร พอดื่มเหล้าเข้าไปมากแบบนี้แล้ว ก็ยิ่งทรมาน เดิมทีเขาก็ไม่อยากดื่มมาก แต่นี่คืองานเลี้ยงต้อนรับของเขาไม่ดื่มก็คงไม่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้เมื่อใกล้เลิกเขาก็สติมึนๆ เบลอๆ เล็กน้อย

ความสามารถในการดื่มของเย่ฉ่าวเฉินดีมาก เพียงแต่สีหน้าแดงเล็กน้อย หลังจากทางด้านของเขาสงบลง ก็ยังไม่ลืมคีบอาหารให้มู่เวยเวยที่อยู่ด้านข้าง

“ไม่ต้องคีบแล้ว ฉันอิ่มแล้ว” มู่เวยเวยใช้มือหนึ่งลูบท้อง ยับยั้งเขาอย่างพึงพอใจ

ดวงตาสีฟ้าของเย่ฉ่าวเฉินที่แฝงไปด้วยความหมายที่อบอุ่นอย่างมาก ยื่นมือไปกุมมือเล็กๆ ของเธอที่อยู่ใต้โต๊ะ หลังจากนั้นคลึงทุกนิ้วของเธออย่างประณีต

มู่เวยเวยรู้สึกเพียงว่าอุณหภูมิมือของเขาสูงมาก คล้ายกับต้องการทำให้เธอร้อนขึ้น ต้องการจะดึงออกแต่เขาก็ไม่ให้ ก็เลยจำต้องปล่อยให้เขากำมือไว้

เหมือนกับว่า นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาจูงมือกันอย่างจริงจังแบบนี้

เย่ฉ่าวเฉินคลึงในข้อต่อนิ้วของเธอ บวกกับเหล้าที่ดื่มไปอีกเล็กน้อย ไฟจึงลุกโชนขึ้นในใจของเขา เขาฉวยโอกาสตอนที่คนไม่สนใจเอนตัวพูดข้างหูเธอว่า “คุณไปห้องน้ำก่อน”

มู่เวยเวยเงยหน้าจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ คนบ้านี่ ตอนนี้อยู่สถานที่แบบนี้ไม่นึกเลยว่าจะคิด……..

เย่ฉ่าวเฉินไม่สนใจ ฉีกยิ้มแล้วพูดข้างหูเธออีกว่า “รีบไป ไม่อย่างนั้นฉันจะจูบคุณตอนนี้”

มู่เวยเวยรู้ว่าเขาพูดจริงทำจริง แต่เธอทนขายหน้าคนอื่นไม่ได้ จำใจลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำด้านนอกห้องวีไอพี

ในเมื่อออกมาแล้วมู่เวยเวยก็แต่งหน้าเพิ่มในห้องน้ำเล็กน้อย มองผู้หญิงในกระจก เธอยิ้มอย่างระอา เธอไม่เต็มใจที่จะใช้รูปลักษณ์ผิวเผินนี้ไปยั่วยวนเย่ฉ่าวเฉินเลยจริงๆ แต่นึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของลูกที่น่ารักในมือถือแล้ว เธอก็ออกมาที่ห้องน้ำอย่างมีชีวิตชีวา

ในใจมู่เวยเวยดีใจมากที่เธอสามารถทำให้เย่ฉ่าวเฉินหลงใหลได้ แต่ไม่อยากให้เขาอยู่ข้ามคืน ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวปฏิเสธว่า “ไม่ได้ พี่ชายฉันบอกแล้วว่า ไม่อนุญาตให้พาผู้ชายกลับโรงแรม”

เย่ฉ่างเฉินร้องเชอะอย่างจองหอง “”ฉู่เซวียนยุ่งจริงๆ เลย”

“แน่นอนสิ เขาเป็นพี่ชายของฉัน อีกทั้ง” มู่เวยเวยหยุดชะงักไป แล้วพูดว่า “ถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่กับคุณนะ ไม่แน่อาจรีบส่งฉันกลับฮ่องกงพรุ่งนี้ก็ได้”

“ทำไมล่ะ? ”

มู่เวยเวยปิดบังสายตาที่ซ่อนความขมขื่นมองไปยังเขาแล้วพูดว่า “คุณลืมแล้วเหรอ คุณแต่งงานแล้ว ถ้าเขารู้ว่าฉันเป็นมือที่สาม กลัวว่าจะถลกหนังของฉัน เรื่องนี้ในตระกูลฉู่ของพวกเราคือไม่ได้รับการยินยอม…..”

บรรยากาศค่อยๆ หยุดนิ่งแล้ว เย่ฉ่าวเฉินสังเกตทุกสีหน้าท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเธออย่างละเอียด คล้ายกับว่า ไม่มีท่าทีที่ส่อให้เห็นถึงการโกหก อีกทั้งทุกประโยคที่พูดก็มีเหตุผล

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset