วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 189 โกหกเพื่อเอาตัวรอด เกิดเรื่องขึ้นกับฉู่เซวียน

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินก็เอื้อมมือไปโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและปลอบโยน “ผมผิดเอง ที่ไม่สามารถเอาปีศาจร้ายออกจากใจได้”

มู่เวยเวยรู้ว่าปีศาจร้ายที่เขาพูดถึงหมายถึงอะไร ในฐานะที่เธออยู่ในบทบาทของฉู่เหยียน จึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรอได้ ถ้าวันหนึ่งภรรยาของคุณกลับมา ฉันจะจากไปทันที แต่วันนี้ที่เธอไม่อยู่ ฉันอยากจะอยู่เคียงข้างคุณ”

“ขอบคุณครับ ฉู่เหยียน” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ความปรารถนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลงเหลืออยู่ในดวงตาของเขาจางหายไป

ทั้งสองกลับไปที่ห้องอาหาร ฉู่เซวียนสังเกตเห็นริมฝีปากของมู่เวยเวยแดงผิดปกติทั้งยังบวมเล็กน้อย เขาเข้าใจทันทีว่าทั้งสองคนออกไปทําอะไรกัน

คิดไม่ถึงว่ามู่เวยเวยที่ดูใสซื่อไร้เดียงสาจะร้อนแรงได้ถึงเพียงนี้ ไม่กลัวความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาหรือยังไง

มู่เวยเวยรู้สึกได้ถึงสายตาล้อเลียนของฉู่เซวียน ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้น จึงแสร้งทําเป็นก้มหน้าลงดื่มน้ำเพื่อหลบสายตาของเขา

ทั้งเจ้าภาพและแขกต่างเพลิดเพลินพอใจ และในที่สุดงานเลี้ยงต้อนรับก็สิ้นสุดลง

ตอนจากกัน เย่ฉ่าวเฉินแอบบีบมือมู่เวยเวย ก่อนจะปล่อยให้เธอขึ้นรถไป

“ดูไม่อยากพรากจากกันขนาดนี้ ให้ผมหาข้ออ้างส่งคุณกลับไปที่บ้านตระกูลเย่ดีไหม?” หลังจากที่รถเริ่มเคลื่อนตัว ฉู่เซวียนจึงได้หยอกล้อเธออย่างเย็นชา

มู่เวยเวยอยากจะบอกเขาว่า เรื่องของฉันคุณไม่ต้องยุ่ง แต่เมื่อเธอเห็นคนขับรถที่อยู่ด้านหน้า ก็อดกลั้นคําพูดนี้ไว้แล้วดัดเสียงพูดว่า “มีพี่ชายที่พูดแบบนั้นกับน้องสาวด้วยเหรอคะ”

ฉู่เซวียนดื่มมากไปหน่อย ตอนนี้สมองของเขายุ่งเหยิงไปหมดและไม่อยากเถียงกับเธอ เขาพักผ่อนเอนหลังพิงกับพนักอย่างเกียจคร้าน ท้องของเขาเต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก เขาพูดขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ช่วยดูให้หน่อยว่าแถวนี้มีของกินอะไรไหม ตอนที่ผ่านช่วยแวะซื้อให้ผมหน่อย”

“คืนนี้คุณเอาแต่ดื่มเหล้าเหรอ?” มู่เวยเวยประหลาดใจ

ฉู่เซวียนชําเลืองมองเธอ “ก็ไม่ใช่เพราะคุณพูดอะไรผิดไปหรือไง ผมเกลียดอาหารหวานเลี่ยนแบบนี้ที่สุด”

มู่เวยเวยหัวเราะ “ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี อีกอย่างบอกว่าคุณทานได้ทุกอย่างก็ดูจะปลอดภัยที่สุด” ”

“ผมเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉู่ จะให้กินไม่เลือกเลยหรือไง?”

มู่เวยเวยรู้ว่ามันเป็นความผิดของเธอ จึงรีบขอโทษ “ได้ ๆ ๆ ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ฉันจําได้ว่ามีร้านข้าวต้มอยู่ใกล้โรงแรม รสชาติไม่เลว เดี๋ยวฉันไปซื้อให้คุณนะ คุณชอบทานโจ๊กอะไร?”

เมื่อเทียบกับโจ๊กแล้ว ฉู่เซวียนอยากจะกินหม้อไฟมากกว่า แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ท้องของเขาคงรับไม่ไหว จึงได้แต่จำยอม “อะไรก็ได้ที่ไม่หวาน ตอนนี้ผมยังรู้สึกถึงความหวานเลี่ยนอยู่เต็มท้อง”

“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไม่ซื้อของหวานแน่นอน” มู่เวยเวยสัญญา

ตามที่คาดไว้ ระหว่างทางกลับโรงแรม มู่เวยเวยเห็นร้านข้าวต้มที่เธอเคยมาทาน แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ไฟในร้านยังสว่างอยู่ และข้างในก็มีลูกค้านั่งอยู่ไม่น้อย

มู่เวยเวยลงจากรถเพื่อไปซื้อโจ๊ก กลัวว่าโจ๊กที่เธอสั่งจะไม่ถูกปากฉู่เซวียน เธอจึงซื้อมาสามแบบ โจ๊กกุ้งสด โจ๊กไก่กับผัก และโจ๊กหมูสับไข่เยี่ยวม้า ใส่ในกล่องเก็บความร้อนพิเศษและนํามันกลับไปที่รถ

เมื่อมาถึงหน้าโรงแรม คนขับรถต้องเอารถไปจอด ฉู่เซวียนจึงตกอยู่ในมือของมู่เวยเวย ตอนนี้ก็แอลกอฮอล์เริ่มทำงานแล้ว ฉู่เซวียนไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง มู่เวยเวยจึงต้องถือถุงโจ๊กไว้ในมือหนึ่งและอีกมือหนึ่งก็ประคองเขาเข้าไปยังโรงแรม

“คุณก็ดูไม่อ้วน แต่ทำไมถึงหนักจัง?” มู่เวยเวยพึมพำพลางพยุงเขาเดินโซซัดโซเซเข้าไป เมื่อฉู่เซวียนได้ยินคําพูดของเธอ เขาก็จงใจกดแรงลงบนบ่าของเธออีก

ในที่สุดเธอก็พาฉู่เซวียนมาถึงหน้าห้องจนได้ มู่เวยเวยหายใจหอบ “คีย์การ์ดของคุณล่ะคะ?”

สมองของฉู่เซวียนยังมีสติอยู่ แต่แอลกอฮอล์ที่กำลังวิ่งพล่านทำให้เขาอยากจะแกล้งเธอ “อยู่ในกระเป๋ากางเกง”

มู่เวยเวยไม่ได้คิดเรื่องความสัมพันธ์ชายหญิง ดังนั้น เธอจึงยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าที่อยู่ใกล้มือที่สุด มันก็ว่างเปล่า

เสื้อผ้าในฤดูร้อนนั้นบางมาก มีเพียงผ้าบาง ๆ ที่กั้นอยู่ ขาของฉู่เซวียนรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากนิ้วมือของหญิงสาว เขาก็รู้สึกชาขึ้นมา แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของมู่เวยเวยแล้ว เขาก็ได้แต่หลับตาลง

ให้ตายเถอะ ต่อหน้าใบหน้านี้เขาไม่กล้าคิดอะไรทั้งนั้น ความรู้สึกเหมือนเป็นการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้น มือข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบคีย์การ์ดออกมา แล้วแสกนบัตรเข้าประตู

มู่เวยเวยช่วยพยุงเขาเข้าไปในห้อง วางถุงโจ๊กลง แล้วเดินไปที่ตู้กดน้ำ และกดน้ำอุ่นใส่แก้วกระดาษ

“คุณไม่สบายท้อง จิบน้ำร้อนก่อนเถอะ”

ฉู่เซวียนที่กำลังคอแห้งพอดี เขาเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำจนหมดพรวดเดียว

“ฉันซื้อโจ๊กมาสามแบบ ไม่รู้ว่าคุณชอบทานแบบไหน ถ้ายังรู้สึกไม่สบายท้อง ก็ทานโจ๊กก่อนแล้วค่อยนอนนะคะ” มู่เวยเวยพูดพลางหยิบโจ๊กออกจากถุง แล้วจัดเรียงไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา

“เข้าใจแล้ว คุณรีบไปเถอะ” เมื่อฉู่เซวียนเห็นหน้าของเธอก็รู้สึกอารมณ์เสียอย่างบอกไม่ถูก น้องสาวของเขาจะไม่สุภาพกับเขาแบบนี้ เขารู้สึกอึดอัดใจมาก

มู่เวยเวยอยากจะออกไปเต็มที เมื่อเห็นเขาพูดแบบนี้ก็จึงรีบเดินไปที่ประตู ขณะที่ประตูเปิดออก ฉู่เซวียนก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเรียกเธอให้หยุดไว้ก่อน “คุณเดาไม่ผิดเลย บ่ายวันนี้เย่ฉ่าวเฉินถามผมว่าคุณชอบทานอะไร ผมว่าเขาอาจจะยังสงสัยในตัวคุณอยู่ ระวังตัวด้วย อย่าเผลอเผยความจริงซะล่ะ”

หัวใจของมู่เวยเวยก็กระตุกขึ้นมา เธอพูดว่า “เข้าใจแล้วค่ะ” จากนั้นก็เปิดประตูออกไป

ตอนนั้นเธอเพียงแค่พูดแบบนั้นออกไป แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นประโยชน์ เพียงแต่ความสงสัยของเย่ฉ่าวเฉินนั้นช่างหนักแน่นเสียจริง ทั้งที่พี่ชายแท้ ๆ ของฉู่เหยียนก็ออกมายืนยันแล้ว เขาก็ยังจะสงสัยอีก เขาช่างมั่นใจในสัญชาตญาณของตัวเองเหลือเกิน

หากเขาต้องการที่จะสงสัยก็เชิญสงสัยต่อไปเถอะ อย่างไรซะเขาก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดในมือ ตราบใดที่เธอไม่ยอมรับซะอย่าง เขาจะทำอะไรได้

ทางด้านนี้ ทันทีที่เย่ฉ่าวเฉินกลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากจางเฮ่อ

“คุณชายครับ คุณฉู่และประธานฉู่กลับถึงโรงแรมแล้ว ระหว่างทาง คุณฉู่แวะเข้าไปในร้านข้าวต้มและซื้อโจ๊กมาสามชุด ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”

เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงเรื่องที่ฉู่เซวียนแทบไม่ได้กินอะไรเลยในคืนนี้ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ ฉู่เหยียนบอกว่าเขากินได้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งอาหารร้านนั้นรสชาติก็ไม่เลว แต่เขากลับกินแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง?

“จางเฮ่อ ไปตรวจสอบดูว่าฉู่เซวียนชอบอาหารประเภทไหน อย่าลืมว่าต้องเป็นความลับ อย่าให้คนอื่นจับได้”

“ครับคุณชาย”

เย่ฉ่าวเฉินโยนโทรศัพท์ลงและเข้าไปในห้องอาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมาแล้ว เขาก็นอนลงบนเตียงและหลับไป

เขาเองก็ดื่มมากเช่นกัน แต่ยังมีสติชัดเจนอยู่

ฉู่เหยียนเป็นถึงคุณหนูรองแห่งตระกูลฉู่ มีสถานะสูงส่ง เคยพบเจอผู้ชายมาแล้วทุกประเภท ทั้งยังเคยมีแฟนมาแล้วหลายคนในต่างประเทศ แต่ละคนล้วนเป็นคนโดดเด่น ทําไมเธอถึงยอมมารักเขาได้? แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินก็มั่นใจในรูปลักษณ์และชาติตระกูลของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่เพียงเท่านี้ ไม่น่าจะพอที่จะทําให้ฉู่เหยียนมาหลงใหลในตัวเขา แล้วยังจะยอมมาเป็นรองอีก?

นี่มันไร้สาระสิ้นดี

เขาครุ่นคิดถึงฉู่เหยียน จากนั้นก็คิดถึงมู่เวยเวย แล้วก็คิดถึงลูกของตัวเองขึ้นมา จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ผลอยหลับไปอย่างอ่อนแรง

วันต่อมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาด้วยอาการเวียนศีรษะ ก็เห็นข้อความที่จางเฮ่อส่งมาตั้งแต่เช้าตรู่ เขาเปิดมันขึ้นมาอ่าน ข้อความเขียนไว้ว่า คุณชาย ผมสอบถามหลายคนในฮ่องกงแล้วพบว่าฉู่เซวียนชอบอาหารรสเผ็ด ทุกครั้งที่ออกไปกินหม้อไฟเขาจะต้องสั่งที่เผ็ดที่สุด

หลังจากอ่านข้อความนี้อย่างน้อยสามครั้ง เย่ฉ่าวเฉินก็ล้มลงบนที่นอนและยิ้มออกมา

ฉู่เซวียนชอบอาหารรสเผ็ด นี่เป็นสิ่งที่เพื่อน ๆ ต่างรู้กันดี แต่ฉู่เหยียนในฐานะน้องสาวแท้ ๆ กลับไม่รู้ มันแปลกมาก

เมื่อยิ้มไปสักพัก สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็เคร่งขรึมลง ถ้าฉู่เหยียนคนนี้ไม่ใช่ฉู่เหยียนตัวจริง แล้วจุดประสงค์ที่เธอมาอยู่ข้างกายเขาคืออะไร? ตระกูลฉู่พยายามปกปิดเรื่องนี้ ทั้งยังส่งฉู่เซวียนมายืนยันตัวตนของเธออีก พวกเขาต้องการอะไรกันแน่?

ตระกูลเย่มีสิ่งใดที่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้งั้นเหรอ?

คิดไปคิดมา เย่ฉ่าวเฉินก็นึกถึงเพียงแผนที่สมบัติที่เสียหายแผ่นนั้น

ความจริงแล้ว ถ้ามีใครต้องการใช้มู่เวยเวยมาแลกกับแผนที่สมบัติ เขายอมแลกโดยไม่ต้องลังเลเลย เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจหรือรู้สึกดีกับแผนที่สมบัตินั่นเท่าไหร่อยู่แล้ว

……

ณ โรงแรม เมื่อมู่เวยเวยทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็เผอิญพบกับกลุ่มคนที่ฉู่เซวียนพามาด้วย เธอพยักหน้าทักทาย และรู้สึกสงสัยในใจ ป่านนี้แล้วฉู่เซวียนยังไม่ตื่นอีกเหรอ?

ดูจากการทำงานอย่างจริงจังของเขาแล้ว ดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคนขี้เซาได้ หรือเป็นเพราะเมื่อคืนเขาดื่มมากเกินไป เช้านี้จึงตื่นไม่ไหว?

ด้วยความสงสัย มู่เวยเวยจึงมาที่ห้องของเขาและเคาะประตู แต่ไม่มีใครตอบ

ยังไม่ตื่นจริง ๆ เหรอ?

ช่างเถอะ มู่เวยเวยกลับมาที่ห้อง นั่งเลื่อนดูโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง ดวงอาทิตย์ก็ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นถังซื่อเซวียนก็โทรเข้ามา มู่เวยเวยก็รับโทรศัพท์

“คุณฉู่ คุณเห็นประธานฉู่บ้างไหมครับ?” ถังซื่อเซวียนถามอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่ค่ะ เมื่อคืนเขาดื่มมากไปหน่อย เขาอาจจะยังหลับอยู่” มู่เวยเวยคาดเดา

ถังซื่อเซวียนดูท่าทางเป็นกังวลมาก “คือแบบนี้ครับ เมื่อวานตอนประชุมมีประเด็นสําคัญบางอย่างที่ยังไม่ได้ข้อสรุป วันนี้จึงนัดซัพพลายเออร์มาเจรจากันโดยเฉพาะ เวลานัดหมายคือสิบโมงเช้า ตอนนี้ก็เก้าโมงครึ่งแล้ว ประธานฉู่ก็ยังไม่มา ผมเพิ่งโทรหาเขา แต่ขึ้นสถานะว่าปิดเครื่อง คุณฉู่ครับ คุณช่วยไปดูที่ห้องของประธานฉู่ได้ไหมครับ? ปกติต่อให้เขาดื่มมากแค่ไหน วันต่อมาก็กลับมาเป็นปกติได้……”

ถังซื่อเซวียนพูดจาเยิ่นเย้อยืดยาว เมื่อมู่เวยเวยจับประเด็นได้จึงรีบขัดจังหวะเขา “คุณถังคะ พวกคุณอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฉันจะลองไปดู แล้วจะโทรหาคุณนะคะ”

“ได้ครับ ขอบคุณครับคุณฉู่”

มู่เวยเวยเดินมาที่ห้องข้าง ๆ อีกครั้ง กลัวว่าเขาจะหลับไปจริง ๆ และไม่ได้ยิน เธอทุบประตูเสียงดัง แต่ข้างในก็ยังเงียบไม่มีเสียง

คราวนี้มู่เวยเวยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอรีบไปหาผู้จัดการห้องพัก เมื่อระบุตัวตนแล้ว ก็ขอให้เขาเปิดประตูห้องของฉู่เซวียน

“พี่คะ——” มู่เวยเวยยังไม่ได้เข้าไป แต่ยืนตะโกนอยู่หน้าประตู หากว่าเขาเปลือยอยู่ล่ะ?

ไม่มีเสียงตอบรับและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ํา

“พี่ชาย——” เสียงของมู่เวยเวยขยายดังขึ้นเล็กน้อย เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ ผู้จัดการห้องพักเดินตามหลังเธอ

สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาก็คือกล่องโจ๊กที่เปิดอยู่บนโต๊ะ แต่ยังไม่ได้ถูกกิน เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นอีก ก็พบชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ร่างกายท่อนล่างอยู่ใต้ผ้าห่ม

มู่เวยเวยรีบหันกลับมาและพูดกับผู้จัดการห้องว่า “รบกวนคุณช่วยปลุกเขาหน่อยค่ะ”

จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงอุทานจากผู้จัดการห้องพัก “คุณฉู่ครับ พี่ชายของคุณดูเหมือนจะไม่สบาย ตัวเขาร้อนมาก”

มู่เวยเวยตกใจและไม่เขินอายอีกต่อไป เธอรีบวิ่งเข้าไปดู ฉู่เซวียนตัวร้อนมากจริง ๆ ผิวของเขาแดงผิดปกติ และมีผื่นแดงจำนวนไม่น้อยอยู่รอบคอ มันดูน่ากลัวมาก

นี่…… เกิดอะไรขึ้น?

ผู้จัดการห้องพักที่เคยเห็นอาการเช่นนี้มาไม่น้อย เมื่อดูอาการของเขาแล้วก็กล่าวว่า “ดูเหมือนจะเป็นภูมิแพ้ คุณฉู่ คุณรีบโทร 120 เถอะ อย่ารอช้า อาการภูมิแพ้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้”

มู่เวยเวยไม่กล้าล่าช้า เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทร 120

ระหว่างที่รอรถพยาบาลมา ผู้จัดการห้องพักก็เรียกพนักงานชายคนหนึ่งมาช่วยแต่งตัวให้ฉู่เซวียน

เมื่อมู่เวยเวยเห็นฉู่เซวียนหายใจอย่างโรยริน เธอก็รู้สึกตื่นตระหนกและภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉู่เซวียน

รถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็ว ฉู่เซวียนถูกหามลงบนเปล

“ใครคือญาติผู้ป่วย” คุณหมอคนหนึ่งถามขึ้น

มู่เวยเวยรีบพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นน้องสาวของเขาค่ะ”

“คุณขึ้นรถไปโรงพยาบาลกับเรา” เมื่อคุณหมอพูดจบก็ก้าวเท้ายาว ๆ ออกไป มู่เวยเวยก็เดินตามไป

เมื่อขึ้นรถพยาบาล มู่เวยเวยก็มองไปที่ฉู่เซวียนด้วยความเป็นห่วง เธอถามหมอว่า “พี่ชายฉันเป็นอะไรไปคะ?”

“ดูเหมือนว่าจะแพ้” คุณหมอสังเกตอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า “เขาแพ้อาหารอะไรบ้าง?”

มู่เวยเวยตกตะลึง เธอจะไปรู้ได้อย่างไร

เมื่อคุณหมอเห็นเธอใจลอยอยู่ก็จึงไม่ถามต่อ

ในตอนนั้นเองที่สายจากถังซื่อเซวียนได้โทรเข้ามาอีกครั้ง พอมู่เวยเวยกดรับสายก็ได้ยินเขาถาม “คุณฉู่ครับ ประธานฉู่ตื่นหรือยังครับ? ซัพพลายเออร์มาถึงบริษัทกันแล้ว”

“คุณถัง พี่ชายฉันหมดสติไป ตอนนี้ฉันกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล ส่วนทางบริษัทคุณรับมือไปก่อนนะ”

เมื่อถังซื่อเซวียนได้ยินว่าฉู่เซวียนหมดสติไป เขาก็รีบพูดขึ้นว่า “ทางนี้ผมสามารถเลื่อนงานออกไปได้ครับ ไม่ทราบว่าประธานฉู่ถูกส่งไปโรงพยาบาลไหน? ผมจะรีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

พูดเป็นเล่น ผู้นําตระกูลฉู่ในอนาคตหมดสติไปแล้ว งานยังจะมีความหมายอะไร

มู่เวยเวยพูดชื่อโรงพยาบาลไป ถังซื่อเซวียนตอบกลับว่า “ทราบแล้วครับ” แล้วก็วางสายไป

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ฉู่เซวียนก็ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที มู่เวยเวยเดินไปมาอยู่ด้านนอกอย่างเป็นกังวล เธอไม่ได้มีความรู้สึกแย่อะไรกับฉู่เซวียน และเธอก็อยู่กับเขาได้อย่างสบายใจ เธอไม่ต้องการให้เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นกับเขา โดยเฉพาะในช่วงเวลาสําคัญเช่นนี้

“คุณฉู่” ถังซื่อเซวียนเห็นเธอก็วิ่งเข้ามาและหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ เขาหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านประธานฉู่ล่ะครับ? เขาเป็นยังไงบ้าง?”

มู่เวยเวยชี้ไปที่ห้องฉุกเฉินและพูดด้วยความกังวลว่า “ยังไม่ออกมาค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นกับประธานฉู่ครับ? เมื่อคืนตอนดื่มก็ยังสบายดี” ใบหน้าของถังซื่อเซวียนเต็มไปด้วยความกังวล

เขาติดตามฉู่เซวียนมานานหลายปีแล้ว เขาชื่นชมฉู่เซวียนมาก นับถือเขาทั้งในฐานะเจ้านายและในฐานะเพื่อน ดังนั้นฉู่เซวียนจึงไว้ใจให้เขามาดูแลโครงการที่ใหญ่ขนาดนี้ที่เมือง A

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เมื่อวานตอนกลับโรงแรม เขาบอกว่าดื่มมากเกินไปรู้สึกไม่สบายท้อง ฉันเลยซื้อโจ๊กแถวโรงแรมให้เขา พอกลับมาถึงโรงแรม ฉันเห็นว่าแอลกอฮอล์ในตัวเขาลดลงไปมาก……”

เมื่อถังซื่อเซวียนได้ยินว่าซื้อโจ๊กจึงรีบถามขึ้นว่า “คุณซื้อโจ๊กอะไรมา?”

มู่เวยเวยนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “โจ๊กไก่กับผักชุดหนึ่ง โจ๊กหมูสับไข่เยี่ยวม้าชุดหนึ่ง และอีกชุดหนึ่งรู้สึกว่าจะเป็นโจ๊กกุ้งสด”

“โจ๊กกุ้งสด?” สีหน้าของถังซื่อเซวียนเปลี่ยนไปทันที “ประธานฉู่แพ้กุ้ง”

“หา?” มู่เวยเวยตกใจ แล้วพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ฉันไม่รู้จริง ๆ ฉัน……”

แน่นอนว่าถังซื่อเซวียนไม่กล้าตําหนิเธอ เมื่อเห็นสีหน้าที่ใกล้จะร้องไห้ของเธอ ก็รีบปลอบใจเธอ “คุณฉู่ หลายปีมานี้คุณใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้รายละเอียดของประธานฉู่ อย่ากังวลไปเลยครับ ก่อนหน้านี้ประธานฉู่ก็เคยแพ้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไร ครั้งนี้ก็จะไม่มีอันตรายเช่นกัน”

มู่เวยเวยรู้สึกโกรธตัวเอง “ฉันควรจะถามเขาก่อนที่จะลงรถว่าเขาไม่กินอะไร ไม่อย่างนั้น ตอนนี้ก็คงจะไม่……”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก คุณหมอเดินออกมาและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ทำไมเพิ่งจะส่งคนมา?”

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินสิ่งนี้ ขาทั้งสองข้างก็อ่อนแรงจนเกือบทรุดลงกับพื้น โชคดีที่ถังซื่อเซวียนรีบประคองเธอไว้

“คุณหมอครับ คนไข้……” ถังซื่อเซวียนก็ไม่อยากจะเชื่อ มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

ไม่คิดเลยว่า……. แต่คุณหมอก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าส่งมาให้เร็วกว่านี้ก็ไม่ต้องทนทุกข์ขนาดนี้ เราช่วยชีวิตคนไว้ได้แล้ว แต่ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้ อาการแพ้กำเริบมาเกือบสิบสองชั่วโมงแล้ว อันตรายมาก”

น้ำตาของมู่เวยเวยไหลพรากออกมา เธอยืดตัวขึ้นตรง “คุณหมอพูดจบทีเดียวได้ไหม? ฉันตกใจแทบแย่”

“ถ้าผมไม่พูดแบบนั้น ญาติคนไข้อย่างพวกคุณจะตระหนักได้เหรอ?” คุณหมอตอบเธออย่างเย็นชา แล้วส่งใบตรวจให้ถังซื่อเซวียนและพูดว่า “พวกคุณไปยื่นเรื่องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลก่อนเถอะ”

“ได้ครับ” ถังซื่อเซวียนรับใบตรวจมาแล้วตรงไปที่แผนกการเงิน

ฉู่เซวียนถูกพยาบาลเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน สีหน้าของเขาดีขึ้นมาก แต่เขาก็ยังไม่ฟื้นมา

ในที่สุดมู่เวยเวยก็รู้สึกโล่งอก เธอเข็นเขาเข้าไปที่ห้องพักพร้อมกับพยาบาล

……

ในตอนบ่าย ฉู่เซวียนลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และเห็นใครบางคนกําลังนั่งสัปหงกอยู่ข้างเตียงคนไข้ ศีรษะของเธอผงกขึ้นลง และผมที่ห้อยลงมาจากไหล่ก็ไหวตาม

ฉู่เซวียนมองไปที่เธอและอดไม่ได้ที่จะขำ ถ้าเธอง่วงขนาดนั้น โซฟาก็อยู่ข้าง ๆ นี่เอง ทําไมต้องมานั่งอยู่ที่นี่ด้วย?

สงสัยครั้งนี้จะสัปหงกแรงไปหน่อย มู่เวยเวยสะดุ้งตื่นขึ้นและรีบลุกขึ้นดูขวดน้ำเกลือ ยังมีอยู่อีกมาก จากนั้น เธอก็หลับต่อ

เมื่อฉู่เซวียนเห็นท่าทางสะลึมสะลือของเธอ เขาก็เข้าใจแล้วว่า เธอกําลังคอยเฝ้าดูขวดน้ำเกลืออยู่ แต่เธอกลับไม่สังเกตเห็นเขาเลย?

เมื่อคืนหลังจากที่มู่เวยเวยออกไปแล้ว เขาก็อาบน้ำนุ่งผ้าขนหนูแล้วมานั่งกินโจ๊ก เนื่องจากดื่มเหล้าจนเวียนหัวไปหมด จึงไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรในโจ๊กบ้าง เขารู้สึกว่าอร่อยดี จึงชิมโจ๊กทั้งสามชุดนั้นไปหลายคํา คิดไม่ถึงว่าตกกลางดึกเขาจะรู้สึกแสบคันไปทั้งตัว และด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ลุกไม่ขึ้น อยากจะโทรศัทพ์ แต่พอยื่นมือไปหยิบก็เผลอทำให้ร่วงลงใต้เตียง คิดจะพลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์ก็พบว่าไม่มีแรงเลย พยายามอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายก็สลบไป

เมื่อฉู่เซวียนเห็นว่าเธอผงกหัวด้วยความรู้สึกไม่สบาย เขาก็กระแอมเรียกอย่างอ่อนแรง “เฮ้ ตื่นได้แล้ว”

มู่เวยเวยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นทันที สิ่งแรกที่ทำคือมองไปที่ขวดน้ำเกลือ เมื่อได้สติคืนมาแล้วเธอถึงพบว่าดวงตาของฉู่เซวียนเปิดอยู่ กำลังมองมาที่เธออย่างขำ ๆ

“พระเจ้า ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว ฉันตกใจแทบตาย” มู่เวยเวยตีอกตัวเองแล้วพูดว่า “ถ้าคุณเป็นอะไรไป ฉันยังจะมีชีวิตอยู่อีกได้ไหม?”

“หมายความว่าอย่างไร?” ฉู่เซวียนไม่เข้าใจคําพูดของเธอ ทําไมเธอถึงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ถ้าเขาเป็นอะไรไป

“คิดดูสิ คุณเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉู่ และฉันเป็นต้นเหตุทําให้คุณเกิดเรื่อง ตระกูลฉู่ของคุณจะไม่สับฉันเป็นพัน ๆ ชิ้นหรือไง?” มู่เวยเวยพูดอย่างตื่นตูม

ฉู่เซวียนยิ้มเจื่อน “มันร้ายแรงเหมือนที่คุณพูดซะที่ไหน อีกอย่าง คุณก็ไม่รู้ว่าผมแพ้อะไร ต่อให้มีเรื่องอะไรผิดพลาด ก็ไม่ถือเป็นความผิดของคุณ”

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเขาพูดแบบนี้เธอก็ดีใจ คิ้วที่ขมวดไว้ทั้งวันก็คลายลง “คุณคิดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? งั้นก็ดี งั้นก็ดี ฉันกังวลว่าคุณจะตำหนิฉันในเรื่องนี้เสียอีก”

อ่า……

ฉู่เซวียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก คนช่างประจบสอพลอก็หมายถึงคนอย่างเธอนี่เอง เขาอยากจะพูดเหน็บแนมเธอสักหน่อย แต่เมื่อเห็นหน้าเธอ เขาก็ไม่มีอะไรจะพูด

ลองนึกภาพดู ใครจะจีบน้องสาวตัวเองได้?

แค่คิดก็ขยะแขยง

“อา ฉันต้องรีบบอกกับคุณถังสักหน่อย เขาเป็นห่วงมาทั้งวันแล้ว ก่อนไปเขากําชับนักหนาว่าเมื่อคุณฟื้นแล้วให้รีบแจ้งเขา” ขณะที่พูด มู่เวยเวยก็หยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกจากห้องไป

ฉู่เซวียนปวดอยากเข้าห้องน้ำ โดยเฉพาะเขาที่รับน้ำเกลือมาหลายขวด เขาฉวยโอกาสตอนที่มู่เวยเวยออกไปพยายามลุกขึ้นจากเตียง เขาใช้เท้าเขี่ยรองเท้า แต่อาการแพ้ทำให้ขาของเขาบวมและไม่ยืดหยุ่นเลย เขาเขี่ยรองเท้าแตะอยู่หลายครั้งยิ่งเขี่ยยิ่งไกลออกไป

หลังจากพักถอนหายใจ ฉู่เซวียนยังคงยืดขาไปเกี่ยวรองเท้า ในตอนนี้เองที่มู่เวยเวยเดินเข้ามา เห็นเขาลุกขึ้นจากเตียง จึงได้วิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว “คุณต้องการทำอะไร? ฉันจะช่วยคุณเอง”

ฉู่เซวียนเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาขี้เล่น “ผมจะเข้าห้องน้ำ”

มู่เวยเวยรู้สึกกระอักกระอ่วน เธอลูบจมูกแล้วย่อตัวลง สวมรองเท้าแตะที่เพิ่งซื้อมาใหม่ให้เขา

ฉู่เซวียนตกตะลึงกับการกระทําที่คล่องแคล่วของเธอ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครใส่รองเท้าให้เขาเลยนอกจากคุณแม่

แต่มู่เวยเวยกลับไม่คิดว่ามันสำคัญ ก็เขาเป็นคนป่วย

“เอ่อ ฉันประคองคุณไปดีกว่า” มู่เวยเวยไม่มองหน้าเขา เพียงแต่ประคองแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็คอยดันเสาน้ำเกลือ

มู่เวยเวยไม่ได้สน ฉู่เซวียนก็ยิ่งไม่สนใจ เพราะตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเลย

ทั้งสองคนค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปที่ห้องน้ำอย่างช้า ๆ ฉู่เซวียนมองไปที่ผมของมู่เวยเวย และคิดว่า นอกจากใบหน้านี้แล้ว เธอกับน้องสาวไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ราวกับคนละคน

หากฉู่เหยียนตัวจริงอยู่ที่นี่ เธอจะต้องรําคาญมากแน่นอน และคงจะโวยวายอยากออกไปข้างนอก คงไม่มีความอดทน

เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องน้ำมู่เวยเวยเอาเสาน้ำเกลือเข้าไป จากนั้นก็กระซิบด้วยใบหน้าที่แดงก่ำว่า “ฉันจะรออยู่หน้าประตูห้อง คุณเสร็จแล้วก็เรียกฉันนะ”

ก่อนที่ฉู่เซวียนจะพูดว่า ได้ เธอก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เกิดมายี่สิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าห้องน้ำกับผู้ชาย

หลังจากรออยู่ที่ประตูสักพัก เธอเดาว่าฉู่เซวียนน่าจะเสร็จแล้ว จึงตะโกนเข้าไปข้างในว่า “เสร็จแล้วหรือยัง?”

เสียงกดชักโครกดังออกมาจากห้องน้ำ จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของฉู่เซวียน “เรียบร้อยแล้ว”

มู่เวยเวยถึงได้เดินเข้าไปแล้วเอาเสาน้ำเกลือออกมา

ฉู่เซวียนนั่งลงบนเตียง มู่เวยเวยก้มลงถอดรองเท้าออกให้และวางไว้ใต้เตียงอย่างเรียบร้อย เธอถามเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ตอนนี้คุณมีอะไรที่อยากกินไหม? ยกเว้นของเผ็ด”

“ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น คุณช่วยรินน้ำให้ผมหน่อย กระหายน้ำมากเหลือเกิน”

“อ้อ” มู่เวยเวยหันตัวไปรินน้ำ เขาก็พยายามยกขาขึ้นบนเตียง เพียงแค่ขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ฉู่เซวียนก็รู้สึกเหนื่อยจนเหงื่อออก

มู่เวยเวยถือน้ำมาส่งให้เขา “ถังซื่อเซวียนบอกว่าเขาจะเข้ามาหลังเลิกงาน และถามว่าคุณมีอะไรจะสั่งหรือไม่”

ฉู่เซวียนดื่มน้ำแล้วพูดว่า “คุณให้เขาไปเอาโทรศัทพ์ของผมที่โรงแรมที มันอาจจะตกอยู่ใต้เตียง แล้วก็เอาแล็ปท็อปมาด้วย”

มู่เวยเวยก้มหน้าพิมพ์ข้อความอย่างตั้งใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถาม “มีอะไรอีกไหม?”

“ไม่มีอะไรแล้ว” ฉู่เซวียนขมวดคิ้วและมองไปที่เธอสักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผมก็ยังไม่ชินกับใบหน้านี้ของคุณอยู่ดี คุณจะถอดมันออกต่อหน้าผมได้ไหม?”

มู่เวยเวยปฏิเสธทันที “ไม่ได้ ต่อให้จะถอดก็ต้องเป็นตอนกลางคืนที่มั่นใจว่าปลอดภัยจริง ๆ ”

“ขอถามหน่อย คุณจะตื่นเต้นอะไร?” ฉู่เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดี

มู่เวยเวยรู้สึกหดหู่ใจ “คุณคิดว่าฉันอยากจะใส่มันมากเหรอ? แต่ละวันผิวไม่ได้รับการระบายและอึดอัดมาก ทุกครั้งที่สวมใส่มันก็ต้องใช้เวลานาน ดังนั้น แม้ว่าคุณจะไม่เคยชินกับการมองดูฉัน ก็มองต่อไปเถอะ แค่นี้แหละ”

ฉู่เซวียนหัวเราะออกมา “เฮ้ ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้น จะต้องโมโหด้วยเหรอ?”

มู่เวยเวยก็รู้สึกเช่นกันว่าตัวเองนั้นไม่มีเหตุผล ลองคิดกลับกัน หากเป็นตัวเธอที่มีชายแปลกหน้ามาใช้ใบหน้าของพี่ชายจ้องมองเธอทุกวัน เธอก็คงจะรู้สึกรําคาญตาเช่นกัน

เธอเพียงมองว่าฉู่เซวียนเป็นคนเดียวที่สามารถบ่นได้ ดังนั้นจึงแสดงพฤติกรรมเสียมารยาทออกมา

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ควบคุมอารมณ์ของตัวเอง” มู่เวยเวยขอโทษด้วยรอยยิ้ม

แต่ฉู่เซวียนกลับกระแนะกระแหนว่า “ที่จริงแล้วคุณสามารถก้าวร้าวได้มากกว่านี้อีก”

มู่เวยเวยหัวเราะ “คุณอย่ามาล้อฉันเล่นนะ”

“ผมพูดจริง ๆ นะ” ฉู่เซวียนพูดอย่างจริงจัง “น้องสาวของผม ก็คือฉู่เหยียน เธอเป็นคนที่…… ร่าเริงมีชีวิตชีวา เห็นอะไรที่ไม่พอใจก็จะพูดออกมา ไม่รู้จักเก็บอารมณ์ และก็ไม่เคยคิดถึงคนอื่น สนใจแต่ความสุขของตัวเอง”

ที่พูดว่าร่าเริงมีชีวิตชีวาก็พูดเพื่อให้ฉู่เหยียนดูดี ที่จริงควรใช้คำว่าเย่อหยิ่งจองหองถึงจะถูก แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นน้องสาวของเขา ยังไงฉู่เซวียนก็ยังต้องไว้หน้าเธอสักหน่อย

“นั่นเป็นเพราะเธอมีผู้ค้ำชูที่ยิ่งใหญ่ เธอมีต้นทุนที่จะทําแบบนี้ได้” มู่เวยเวยพูดตามความจริง ฉู่เหยียนมีทั้งเงินและหน้าตา มีคนมากมายคอยเอาใจเธอ ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเงินและยังอัปลักษณ์ ก็คงจะมีแต่คนเกลียดเธอ

ฉู่เซวียนไม่คิดว่าเธอจะมองได้ทะลุขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“ยาหมดแล้ว” มู่เวยเวยเห็นน้ำเกลือที่เหลือเพียงเล็กน้อย จึงรีบกดปุ่มฉุกเฉินที่หัวเตียง

หนึ่งนาทีต่อมา พยาบาลก็เข้ามาพร้อมกับขวดน้ำเกลือ และถามชื่อให้ตรงกับบนขวด “คุณฉู่เซวียนใช่ไหมคะ?”

“ใช่ครับ”

เมื่อได้รับคําตอบยืนยันแล้ว พยาบาลจึงเปลี่ยนขวดใหม่ให้ ตอนที่ปรับอัตราการหยดก็ได้แอบมองชายที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาช่างดูหล่อเหลาเสียจริง

และการกระทําเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอ ก็ได้ตกอยู่ในสายตาของมู่เวยเวย

เมื่อพยาบาลออกไปแล้ว มู่เวยเวยจึงยิ้มและพูดว่า “คนที่ห้าแล้ว”

“คนที่ห้าอะไร?” ฉู่เซวียนรู้สึกงงไปหมด

“ตั้งแต่ที่คุณเข้ามาในห้องนี้ พยาบาลคนนี้เป็นคนที่ห้าที่ใช้งานบังหน้ามาชื่นชมหนุ่มหล่อ”

ฉู่เซวียนส่ายหัวและหัวเราะ “นั่นหมายความว่าพวกเธอไม่ค่อยได้เห็นหนุ่มหล่อมากเท่าไหร่นัก”

เขาเคยชินกับการถูกจ้องมองแบบนี้มานานแล้ว ในความคิดของเขา ลักษณะของผู้ชายก็มีเพียงใบหน้าเท่านั้น ไม่สำคัญว่าจะหน้าตาหล่อหรือขี้เหร่ ขอแค่มีความสามารถในการทํางานก็เพียงพอแล้ว

“พี่ชาย คุณไม่ลองคิดดูล่ะ คนที่จะมาพักในโรงพยาบาลได้ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าราวกับดิน ไม่มีรูปลักษณ์ ต่อให้เป็นหนุ่มหล่อพอเข้าโรงพยาบาลก็ดูแย่ลงทั้งนั้น ตอนนี้พยาบาลสาวเหล่านี้มีโอกาสได้เห็นคนหน้าตาดีแบบคุณ แล้วทำไมจะไม่รีบมาดูให้เป็นบุญตาสักหน่อย?” มู่เวยเวยพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ “คุณว่า ถ้าคุณอยู่โรงพยาบาลต่ออีกสักสิบวันหรือครึ่งเดือน พยาบาลทั่วทั้งโรงพยาบาลคงจะได้แวะเวียนมาเยี่ยมชมคุณแน่”

ฉู่เซวียนรู้สึกขบขันกับสิ่งที่เธอพูด “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมไม่อยากอยู่ที่นี่สิบวันหรือครึ่งเดือนหรอกนะ แค่สองวันก็เพียงพอแล้ว ผมไม่ใช่แพนด้าในสวนสัตว์นะ ที่จะอยู่ที่นี่เพื่อให้พวกเธอมาเยี่ยมชม”

ทันทีที่เสียงหัวเราะลดลง ก็มีเสียงเคาะประตูขึ้นสองทีก่อนจะถูกเปิดออก เย่ฉ่าวเฉินและผู้ช่วยยืนอยู่หน้าประตู ผู้ช่วยถือตะกร้าผลไม้ไว้ในมือ

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณมาที่นี่ได้อย่างไร?” มู่เวยเวยลุกขึ้นจากเก้าอี้ และรีบคิดย้อนกลับไปหลังจากที่พยาบาลออกไปแล้วเธอได้หลุดพูดอะไรออกมาหรือไม่

เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ผมได้ยินมาว่าประธานฉู่ไม่สบายจึงมาเยี่ยมเขา” จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉู่เซวียน “ประธานฉู่คุณรู้สึกอย่างไรบ้างครับ?”

ฉู่เซวียนยิ้มอย่างสุภาพ “ดีขึ้นมากแล้ว เป็นโรคเดิม ๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พักสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ”

“เมื่อคืนยังดี ๆ อยู่เลย ทําไมจู่ ๆ ถึงเป็นลมหมดสติไปได้ล่ะ? ผมตกใจจริง ๆ ตอนที่ได้รับข่าวนี้” เย่ฉ่าวเฉินพูดความจริง เขาคิดว่าอาหารและเครื่องดื่มเมื่อคืนมีปัญหา จึงรีบให้จางเฮ่อไปตรวจสอบดูทันที ถึงได้รู้ว่าเป็นการแพ้อาหาร และอาหารที่แพ้ก็มาจากโจ๊กที่มู่เวยเวยเป็นคนซื้อมา

น้องสาวกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ชายแพ้อาหารอะไร?

ฉู่เซวียนสบเข้ากับสายตาที่มุ่งมั่นของเย่ฉ่าวเฉิน และรู้ว่าเขาต้องตรวจสอบมาหมดแล้วก่อนจะมาที่ไปโรงพยาบาล ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะปิดบัง

“เมื่อวานผมดื่มหนักไปหน่อย ระหว่างทางกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายท้องเลยให้อาเหยียนไปซื้อโจ๊กให้ ยัยเด็กนี่อยู่เมืองนอกซะนานจนลืมไปว่าผมไม่ทานกุ้ง ผมเองก็ไม่ทันสังเกตว่าในโจ๊กที่เธอซื้อมามีกุ้งอยู่ ผมก็ทานอย่างมึนงงไปหลายคํา จากนั้น ก็มาโรงพยาบาล” ฉู่เซวียนจ้องไปที่มู่เวยเวยในขณะที่พูด ทำท่าราวกับเป็นพี่ชาย

เมื่อมู่เวยเวยเห็นเขาช่วยพูดแทนเธอ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจ จากนั้นเธอก็แต่งเรื่องต่อว่า “พี่ชาย น้องผิดไปแล้ว พี่ก็อย่าโทษน้องเลยนะคะ อีกอย่างพ่อกับแม่ก็โทรมาดุน้องเสียยกใหญ่แล้ว ต่อไปน้องจะไม่ทําผิดพลาดแบบนี้อีกแล้ว”

“หึ ฉันว่าเธอคงอยากจะเห็นพี่ใหญ่คนนี้ตายไปถึงจะมีความสุข”

“ที่ไหนกันล่ะ? พี่ก็รู้ ในบรรดาพี่น้องของพวกเรา น้องชอบพี่ที่สุด” เมื่อมู่เวยเวยพูดคำนี้ออกมา ไม่เพียงแต่ทําให้ตัวเองขนลุกเท่านั้น แม้แต่ฉู่เซวียนก็ยังรู้สึกทนไม่ไหว

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่สองพี่น้องที่หยอกล้อกันไปมา คําถามที่เตรียมไว้ก็ถูกกลืนลงไป

“ประธานฉู่จะต้องอยู่โรงพยาบาลกี่วัน? คุณต้องการอะไรอีกไหม? ผมคุ้นเคยกับเมือง A เป็นอย่างดี มีอะไรที่สามารถช่วยได้ก็เอ่ยปากได้เลยนะครับ”

ฉู่เซวียนยิ้มอย่างสุภาพ “พรุ่งนี้พักต่ออีกวันหนึ่ง วันมะรืนก็ออกจากโรงพยาบาลได้ มีอาเหยียนอยู่ที่นี่ เรื่องนี้เธอเป็นคนก่อ แน่นอนว่าเธอจะต้องเป็นคนมาดูแลผม ประธานเย่ไม่ต้องกังวลไปนะครับ”

เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาเหลือบมองมู่เวยเวยที่ดูรู้สึกผิดอยู่ แล้วพูดว่า “เธอเป็นผู้หญิง ในบางด้านอาจจะไม่สะดวกนัก อย่างนี้ดีไหม ผมให้ผู้ช่วยมาอยู่ที่นี่คืนนี้”

“ขอบคุณประธานเย่มากครับ แต่ไม่ต้องรบกวนคุณจริง ๆ ถังซื่อเซวียนเพิ่งจะโทรมาบอกว่าคืนนี้เขาจะมาที่นี่” ฉู่เซวียนมองไปที่มู่เวยเวยและพูดติดตลกว่า “ผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่กล้าให้ลูกคุณหนูอย่างอาเหยียนมาอยู่ดึก ๆ กับผมหรอกครับ”

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขอเพียงไม่ใช่ฉู่เหยียนที่เฝ้าที่นี่ตอนกลางคืน เขาไม่อยากให้คนที่มีโอกาสเป็นเวยเวยถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต้องอยู่กับผู้ชาย

พวกเขาพูดคุยกันอีกไม่กี่นาที เย่ฉ่าวเฉินก็ลุกขึ้นและกล่าวลา ทั้งยังกําชับฉู่เซวียนให้พักรักษาตัวให้หายดี ก่อนจะออกจากห้องผู้ป่วยไป

มู่เวยเวยปิดประตู แล้วถอนหายใจยาว ๆ โชคดีที่ความลับยังไม่ถูกเปิดเผย

“เมื่อกี้ที่คุณพูดว่าชอบผมมากที่สุด เล่นเอาผมถึงกับขนลุก” ฉู่เซวียนแกล้งหยอกล้อเธอ

มู่เวยเวยก็ตัวสั่นขึ้นมา “อี๋? ฉันก็รู้สึกขยะแขยง แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันไว้”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset