วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 196 ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าเธอ

เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นท่าทางดีใจของเธอ เขาก็มีความสุข “อีกสองวันก็วันหยุดแล้ว พวกเราไปเที่ยวทะเลตกปลากันไหม”

“ตกปลา?”

“ใช่ ปีก่อนผมซื้อพวกอุปกรณ์พวกนี้มา วางไว้ที่ท่าเรือนานแล้วยังไม่เคยได้ใช้เลย ถ้าอาทิตย์นี้อากาศดี พวกเราไปเที่ยวกัน”

“โอเคได้ค่ะ” มู่เวยเวยรับปาก เพราะตอนนี้เธอแค่ต้องทำให้เขาตายใจ ทำให้เขาหลงรักเธอหัวปักหัวปำ จากนั้นค่อยขโมยแผนที่หนีไป

หลังจากเย่ฉ่าวเฉินออกไปทำงาน มู่เวยเวยมองซ้ายมองขวา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครสนใจเธอเธอก็รีบเดินขึ้นไปชั้น 3

เมื่อถึงหน้าห้องเธอถึงได้รู้ว่าห้องถูกล็อค

มู่เวยเวยชะงัก นานทีจะมีโอกาสดีๆแบบนี้ แต่ทำไมประตูถึงล็อก

ไม่ได้ๆ เธอจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ไม่ได้

เธอหันหลังเดินลงมาข้างล่าง เห็นพ่อบ้านหวังกำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่ เขากล่าวคำทักทายเธอ ” คุณฉู่สวัสดีครับ” จากนั้นเขาก็หันไปทำงานของตัวเองต่อ

ในหัวของพ่อบ้านหวังเฝ้าแต่คิดเรื่องที่เย่ฉ่าวเฉินพูดเมื่อเช้า เขาคิดที่จะปล่อยวางเรื่องมู่เวยเวยกับลูกแล้วจริงๆหรือ? หรือว่าเขาได้ยินข่าวอะไรมากันแน่ หรือว่าคุณหนูจะตายแล้ว?

“คุณอาหวังคะ ทำไมห้องสมุดล็อกหรือคะ?” มู่เวยเวยถามเขา ด้วยความระมัดระวัง “พอดีฉันอยากเข้าไปหาหนังสืออ่านสักหน่อยค่ะ”

พ่อบ้านหวังวางกรรไกรลงและหันมาตอบเธอว่า “อ่อพอดีเมื่อสองวันก่อนมีขโมยเข้าบ้าน ผมเลยล็อกห้องนั้นไว้ คุณฉู่รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมเอากุญแจให้”

มู่เวยเวยเดินตามเขาไปอย่างงๆ คิดไม่ถึงว่ามันจะง่ายขนาดนี้

มู่เวยเวยยืนรออยู่หน้าบันไดไม่นาน พ่อบ้านหวังก็หยิบพวงกุญแจมาให้เธอ “นี่ครับคุณปู่กุญแจของห้องหนังสือ คุณใช้เสร็จแล้วค่อยเอามาคืนผมครับ”

“ขอบคุณค่ะคุณอาหวัง” มู่เวยเวยรับกุญแจมา เตรียมจะเดินขึ้นบรรได แต่เธอก็หันมาถามพ่อบ้านหวังอีกครั้งว่า ” คุณอาคะ คุณไว้ใจฉันขนาดนั้นเลยหรือคะ?”

พ่อบ้านหวังตอบเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีอะไรไม่น่าไว้ใจล่ะครับ คุณชายกำชับกับผมว่า คุณอยากจะทำอะไรที่นี่ก็ได้ ให้พวกผมเคารพคุณเหมือนที่เคารพคุณชายครับ”

มู่เวยเวยตกใจเล็กน้อย เย่ฉ่าวเฉินดีกับเธอขนาดนี้เลยหรือ?

แต่ช่างเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ ไปทำสิ่งที่ควรทำก่อนดีกว่า

เธอค่อยๆเปิดประตู มู่เวยเวยทำตามที่ฉู่เซวียนบอก เธอค่อยๆ เคาะรูปวาด ลองหยิบลองขยับของทุกๆ อย่าง

บนชั้นมีแจกันโบราณวางอยู่ เธอก็ค่อยยกมันขึ้น เธอลองขยับทุกอย่างแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ

เธอนึกขึ้นคำพูดที่ฉู่เซวียนบอกกับเธอได้อีกว่า ให้ลองดูบริเวณด้านบนด้วย

เธอปีนเก้าอี้ขึ้นไปดู และลองสัมผัสหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ เพื่อจะสังเกตว่ามีอะไรไม่ปกติไหม

“《ประวัติศาสตร์โลก》เขาอ่านหนังสืออะไรของเขาเนี่ย” มู่เวยเวยมองดูหนังสือเล่มหนาเล่มที่วางอยู่ และเตรียมจะยื่นมือไปจับ ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

เธอเขย่งตัวขึ้นให้สูงกว่เาเดิม และเห็นว่าด้านบนมีลวดลายเล็กๆสลักอยู่ เธอรู้สึกเอะใจ

จึงลองกดเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหลังภาพวาดภูเขา “ครืดๆ..” มู่เวยเวยก้มมองดูก็เห็นว่ามีกล่องไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกดันออกมา

มู่เวยเวยรีบลงจากเก้าอี้ และเข้าไปดูด้วยความตกใจ หรือว่าแผนที่จะอยู่ในนี้?

พระเจ้า ตอนนี้เธอหามันเจอแล้ว

มู่เวยเวยหยิบกล่องไม้นั้นขึ้นมาดู และไม่รู้ว่าจะเปิดมันออกอย่างไร โดยลักณะของกล่องไม้นั้น ไม่ได้ล็อกแต่เหมือนกับมีฝาแม่เหล็กปิดทับอยู่

เธอลองเขย่ามันดู และได้ยินเสียงจากข้างใน เธอมั่นใจว่าต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ

เธอควรอย่างไรต่อ?

มู่เวยเวยคิดสักครู่ จากนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปกล่องไม้ไว้ เธอไม่กล้าส่งให้ฉู่เซวียนทันที เพราะกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะอยู่ข้างๆ และเห็นเข้า เธอจึงส่งข้อความไปหาเขาก่อนว่า

“สะดวกคุยไหม?”

หลังจากส่งข้อความไป เธอก็เดินไปเดินมาด้วยความร้อนรน ขอแค่มั่นใจว่าข้างในเป็นแผนที่ เธอก็จะได้เจอลูกของเธอแล้ว และเธอก็สามารถไปจากเย่ฉ่าวเฉินได้สักที

สองนาทีผ่านไป ฉู่เซวียนก็ส่งข้อความกลับว่า

สะดวก มีอะไรหรือเปล่า?

มู่เวยเวยรีบกดส่งรูปภาพให้เขาดู พร้อมกับส่งข้อความไปบอกว่า ตอนนี้เธอเจอสวิตซ์เปิดมันแล้ว ข้างในเป็นกล่องแต่ไม่ได้ล็อก

ทางด้านของฉู่เซวียนที่กำลังเดินดูความคืบหน้าของโปรเจ็คกับเย่ฉ่าวเฉินอยู่นั้น เขาอยู่จังใจด้านหลังและทิ้งระยะห่างจากเย่ฉ่าวเฉินนิดหน่อย เพ่งมองดูรูปภาพที่เธอส่งให้อย่างละเอียด จากนั้นส่งข้อความตอบกลับเธอว่า กล่องนี้ต้องใช้ลายนิ้วมือเปิด ถ้าไม่มีลายนิ้วมือก็เปิดไม่ได้

มู่เวยเวยอึ้ง ต้องใช้ลายนิ้วมือ? ก็คงจะเป็นลายนิ้วมือของเย่ฉ่าวเฉินซินะ งานยากเลยทีนี้

มู่เวยเวยมองกล่องนั้น และใช้ความคิดอีกครั้ง จากนั้นส่งข้อความไปถ่ามฉู่เซวียนต่อว่า ใช้เลื่อยเลื่อยมันได้ไหม?

ฉู่เซวียนเห็นข้อความที่เธอส่งมา ก็คิดว่า ผู้หญิงคนนี้ป่าเถื่อนจริงๆ และตอบกลับเธอว่า

ไม่ได้ กล่องพวกนี้ออกแบบมาให้ทนต่อการทำลายจากภายนอก ถ้าสมมติว่าของข้างในมีสารที่เป็นปรอทอยู่ คุณใช้เลื่อยเลื่อยมัน ก็จะยิ่งมีแต่ทำให้ของข้างในพังเร็วขึ้น

มู่เวยเวยนั่งลงบนเก้าอี้อย่างท้อแท้ ใจคิดว่าอยากจะปากล่องลงให้แตกจริงๆ ตอนนี้เหมือนกับว่าโอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่เธอคว้ามันมาไม่ได้

เย่ฉ่าวเฉินมองดูหน้าของฉู่เซวียนที่ดูยุ่งเหยิง พร้อมกับคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้เขารู้หรือเปล่า

มู่เวยเวยตอบกลับ แล้วจะทำอย่างไร?

คุณอย่าเพิ่งทำอะไร ขอผมไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ก่อนว่ามีวิธีเปิดกล่องนี่โดยไม่มีลายนิ้วมือไหม

คงทำได้แค่นี้ซินะ

มู่เวยเวยมองกล่องด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ เธอลองวางนิ้วมือของเธอลง แต่กล่องก็ไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใด

มู่เวยเวยทำได้แค่วางมันกลับไปไว้ที่เดิม จากนั้นค่อยๆเก็บหลักฐาน

ถึงแม้ว่าา

เธอจะผิดหวังเล็กน้อยที่เปิดกล่องไม่สำเร็จ แต่ถ้าคิดในแง่ดี เธอก็หาสวิตซ์เจอแล้ว แค่นี้ก็คุ้มแล้ว

เมื่อเธอคิดได้ดังนั้น ก็สบายใจขึ้นมา ถ้าสุดท้ายแล้วเธอหาทางเปิดไม่ได้จริงๆ เธอคงจะเอาไปให้ชายหน้ากากเงินและให้เขาเป็นคนเปิดเอง

ที่ไซต์งาน

เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยถามตามมารยาทว่า “ประธานฉู่ มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า? เราจบงานเร็วกว่ากำหนดได้นะครับ”

“อ่อ ไม่มีอะไรครับ แค่เพื่อนผมเขาถามอะไรนิดหน่อย ตอนนี้คุยจบแล้ว” ฉู่เซวียนรีบกลับมาทำหน้าปกติ

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้ารรับทราบ

ในที่สุดวันยุ่งๆของเขาก็จบลง เมื่อเย่ฉ่าวเฉินกลับถึงบ้าน ก็เห็นมู่เวยเวยกำลังออกแบบเสื้อผ้าอยู่ วันนี้เธอคงอารมณณ์ดี

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้เข้าไปกวนเธอ และเดินไปทางห้องหนังสือ

เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นของในห้องถูกเคลื่อนย้าย จากนั้นก็ยิ้มออกมา พลางคิดในใจว่า มู่เวยเวยไม่ควรไปทำเรื่องผิดกฎหมาย เพราะเธอน่าจะโดนจับเป็นคนแรก

เขาสังเกตเห็นว่า แจกันถูกขยับจากจุดเดิม 3 ซม. แถมข้างบนแจกันมีแต่รอยนิ้วมือของเธอ

และอีกอย่าง เขาชินกับการวางให้ปลายพู่กันหันขึ้นด้านบน แต่มีพู่กันอยู่อันหนึ่งที่วางต่างจากเพื่อน คงจะรีบๆใส่ไปไม่ได้ตั้งใจดูซินะ

อ่าใช่ รูปข้างบนกำแพงก็แขวนเอียงๆ ตอนเธอเดินออกไปไม่ได้สังเกตหรือ?

เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวกับความเปิ่นของเธอ เขากดเปิดสวิตซ์ดูและพบว่ากล่องไม้ยังอยู่ที่เดิม

จากนั้นเขาก็เปิดคอมพ์ขึ้นมา พร้อมกับดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ในห้อง เห็นช่วงเวลาที่มู่เวยเวยเดินเข้ามาตั้งแต่ต้น

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดไว้จะไม่มีผิด ตอนกลางวันที่เห็นฉู่เซวียนตอบกลับข้อความและทำหน้าเคร่งเครียด คงน่าจะกำลังคุยกับมู่เวยเวยเรื่องจะเปิดกล่องนี้อย่างไร

เวยเวย ทำไมคุณไม่มาถามกับฉันเองนะ ขอแค่คุณถาม ผมก็พร้อมจะบอกคุณ ผมจะเป็นคนเปิดมันให้คุณเองอีกด้วย เย่ฉ่าวเฉินคิด

หลังจากชคืนที่ฉู่เซวียนแอบเข้ามาในห้องนี้ วันถัดมาเย่ฉ่าวเฉินก็รีบให้พ่อบ้านหวังติดกล้องวงจรปิด คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ใช้ประโยชน์เร็วขนาดนี้

ขณะกินข้าวเย็น มู่เวยเวยจ้องนิ้วของเย่ฉ่าวเฉิน พลางคิดในใจว่า เขาใช้นิ้วไหนเปิดกันนะ หรือว่าเธอจะหาโอกาสมอมเหล้าเขา จากนั้นก็ลองมันซะทุกนิ้วเลย?

แต่ก็คิดขึ้นได้อีกว่า เเธอคออ่อนขนาดนี้ ก่อนจะมอมเขาเสร็จ เธอคงสลบคาโต๊ะไปแล้ว

“คุณจ้องนิ้วผมทำไมหรือครับ? นิ้วผมสวยหรือ? เย่ฉ่าวเฉินจงใจถาม

มู่เวยเวยหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับพูดมั่วๆว่า “วันนี้ฉันดูข่าวบันเทิง แล้วเห็นผู้ชายคนหนึ่ง นิ้วเขาสวยมาก ฉันก็เลยลองสังเกตนิ้วของคุณดู ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”

“จริงหรือ?” เย่ฉ่าวเฉินยกมือขึ้นมอง “คุณชมผมหรือเนี้ย?”

“แหะๆ” มู่เวยเวยขำแห้งๆ และก้มหน้าพร้อมกับไตร่ตรองต่อว่า จริงๆวิธีการมอมเหล้าเขาก็ไม่ได้แย่ ถึงเธอจะกินเหล้าไม่ชนะเขา แต่เธอวางยาเขาได้นี่นา นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอวางยาเขาซะหน่อย

ใช่ วิธีนี้แหละเวิร์ค คืนนี้เธอจะลองปรึกษากับฉู่เซวียนดู และให้เขาเตรียมยาให้เธอ

เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นตาเธอส่ายไปส่ายมา ก็รู้ว่าเธอกำลังคิดแผนการอะไรอยู่แน่ๆ แต่ว่าเขาก็ทำได้เพียงแสร้งไม่รู้ไม่เห็นและตามน้ำไป

เขาเห็นเธอตั้งใจคิดแผนการ ก็รู้สึกสนใจมาก

โชคดีที่เขารู้ตัวก่อนว่าเธอคือมู่เวยเวย ไม่งั้นเขาคงจะโดนผู้หญิงหลอกอีกแน่ๆ แต่ก่อนเขาโดนเฉียวซินโยหลอกจนเข็ด ตอนนี้เขาจะไม่ยอมโง่อีกแล้ว

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณชอบนิ้วไหนมากที่สุดหรือคะ?”

“นิ้วกลาง” เย่ฉ่าวเฉินตอบอย่างเร็ว

“ทำไมหรือคะ”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มด้วยสายตามีเลศนัยและตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เพราะนิ้วกลาง ยาวที่สุด”

มู่เวยเวยไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังสื่อ พลางคิดในใจ ว่าแค่เพราะมันยาวที่สุดก็ชอบมันที่สุดหรือ จากนั้นก็หันไปมองหน้าเขา เห็นเขากำลังยิ้มชอบใจบ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องดีอยู่แน่ เธอจึงเข้าใจเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ คว้าแอปเปิ้ลโยนไปทางเขา “เฮ้ ฉันถามคุณจริงจังนะเนี่ย คุณนี่หมกมุ่นจริงๆ”

เย่ฉ่าวเฉินรับแอปเปิ้ลมา พร้อมกับหัวเราะชอบใจ “หมกมุ่นหรือ เปล่านะครับ ก็คุณไม่ถามให้ชัดเจนเองนี่ครับ ฮ่าๆ”

มู่เวยเวยจ้องเขาตาเขม็ง พร้อมกับพูดว่า “ที่ฉันถาม หมายถึง ถ้าเกิดคุณจะปลดล็อกโทรศัพท์ คุณจะเอานิ้วไหนตั้งรหัส หรือถ้าห้องของคุณใช้ระบบสแกนนิ้วเปิด คุณจะใช้นิ้วไหนเซ็ตรหัส แต่ดูคุณซิ พูดอะไรก็ไม่รู้”

“อ่อๆๆ แบบนี้นี่เอง คุณพูดไม่เคลียร์ผมก็ไม่รู้นี่ครับฮ่าๆ” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น และพูดว่า “นิ้วโป้งครับ โทรศัพท์ผมก็ใช้นิ้วโป้งปลดล็อก”

มู่เวยเวยแอบพอใจกับคำตอบที่ได้รับ และกินข้าวต่อ

“คุณถามทำไมหรือครับ?” เย่ฉ่าวเฉินถาม

“ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากรู้เฉยๆ ถ้าสมมติว่ามีวันไหนคุณแอบคุยกับผู้หญิงคนอื่น ฉันจะได้รู้ว่าควรจะปลดล็อกโทรศัพท์คุณยังไง”

เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับเธอว่า “วางใจเถอะครับ ช่วงนี้ผมไม่ได้สนใจผู้หญิงคนไหนเลย” ขณะที่เขาพูด ก็ได้เลื่อนโทรศัพท์ไปด้านหน้าเธอ และพูดกับเธอตอบว่า “นอกจากสแกนนิ้วมือแล้ว รหัสโทรศัพท์ของผมก็คือ 0428ครับ”

มู่เวยเวยถามกลับด้วยความสงสัยว่า “ทำไมต้อง 0428คะ”

“เป็นวันครบรอบแต่งงานของพวกเราครับ” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับ สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง พลางคิดในใจว่าเธอลืมวันนี้ไปแล้วซินะ

มู่เวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง นิน่าล่ะเลขพวกนี้ถึงฟังดูคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหน ที่แท้ก็อยู่ในทะเบียนสมรสของเธอ ดูเหมือนเย่ฉ่าวเฉินมักจะชอบหาวิธีตั้งรหัสแบบนี้ ตั้งรหัสยังไม่พอ เขายังใช้วิธีสแกนนิ้วอีก

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอกำลังเหม่อ ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “เป็นอะไรไปครับ ไม่ดูแล้วหรือ? อันที่จริงผมอยากให้คุณค้นดูโทรศัพท์ผม ค้นดูให้หมดเลยว่าผมคุยกับใครบ้าง”

มู่เวยเวยดันโทรศัพท์คืนให้เขา และพูดต่อว่า “ฉันขี้เกียจจะค้น เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ต้องเชื่อใจกันและกัน สมมุติว่าถ้าวันหนึ่ง คุณชอบผู้หญิงกับคนอื่นขึ้นมาจริงๆ ตอนนั้นฉันคงไม่อยากอะไรกับคุณแล้ว ต่างคนต่างไปดีกว่า”

เยาฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาจริงจัง และพูดว่า “มันจะไม่มีวันนั้นครับ”

มู่เวยเวยพยักไหล่ “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

แต่ภายในใจ เธอไม่เชื่อคำพูดเขาเลยสักนิด ตอนแต่งงานก็สมรู้ร่วมคิดกับเฉียวซินโย หลังที่แต่งงานแล้วยังพาฉู่เหยียนเข้าบ้าน เฮอะๆ ถ้าจะให้เชื่อคำพูดเขา ให้เชื่อว่าหมูปีนต้นไม้ได้จะดีซะกว่า อ่าแต่ว่าเขาอาจจะดีกับฉู่เหยียนจริงๆก็ได้เพราะเธอก็หน้าตาสวยใช่ย่อย

เย่ฉ่าวเฉินหมดแรง เหมือนเขาพูดไปก็ไม่ถูกไม่ควร

ในใจคิดอยากจะเปิดหน้ากากของเธอ พร้อมกับพูดออกไปว่า ที่เขาพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง

ตกดึก มู่เวยเวยแอบคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องและถามความคิดเห็นของฉู่เซวียน

ฉู่เซวียนฟังเธอเสนอวิธีที่ดูเหมือนจะโง่แต่ใช้ได้จริงเสร็จ ก็พูดกับเธอว่า “พรุ่งนี้คุณมาที่บริษัทเดี๋ยวผมจะเอายาให้”

“โอเคๆ” มู่เวยเวยตอบกลับ

หลังจากวางสาย มู่เวยเวย ก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง และยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

“ลูกจ๋า รอแม่ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ก็จะได้ไปหาหนูแล้ว”

มู่เวยเวยจุ๊บหน้าจอโทรศัพท์เบาๆ อย่างมีความสุข จากนั้นก็เริ่มคิดแผนการว่าจะเริ่มลงมือตอนไหน

ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้น

มู่เวยเวยลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะไปเปิดประตู

เวลานี้จะมีใครมายืนหน้าห้องเธอได้ นอกจาก เย่ฉ่าวเฉิน

“มีอะไรคะคุณชายเย่” มู่เวยเวยถามด้วยท่าทีทะเล้น

“ผมนอนไม่หลับ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถาม

มู่เวยเวยฟาดเขาไปหนึ่งที และจิ้มลงไปที่ตรงอกเขาพร้อมก้บตอบว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว ผู้ชายโสดกับผู้หญิงสวยอยู่ด้วยกันสองต่อสองเพื่อคุยกันเฉยๆ? คุณหลอกใครก็ไม่มีใครเชื่อ”

เย่ฉ่าวเฉินจับนิ้วของเธอ และตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า “ถ้าไม่คุยกัน งั้นผมจะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง”

จากนั้นเขาก็ดึงมู่เวยเวยไป “ไปไหนคะเนี้ย” มู่เวยเวยถาม

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ตอบอะไร แต่พาเธอเดินเลี้ยวไปทางหน้าห้องที่คุ้นเคย

มู่เวยเวยได้แต่สงสัย เขาพาเธอมาที่นี่ทำไม? รำลึกความหลังหรือ?

หลังจากที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ เพื่อไม่ให้ความทรงจำเก่าๆทำเธอไขว้เขว เธอจึงไม่เคยเข้าไปในห้องนี้เลย ถึงแม้เขาจะเกลียดเย่ฉ่าวเฉินมาก แต่เธอก็มีความผูกพันธ์กับห้องนี้มากเหมือนกัน

“นี่คือสถานที่ที่คุณต้องการพาฉันมา?” มู่เวยเวยแสร้งถาม

“ใช่ครับ ที่นี่แหละ”

“ที่นี่ที่ไหนคะ?”

เย่ฉ่าว้ฉินก้มมองเธอแล้วพูดว่า “นี่คือห้องภรรยาผมครับ”

พูดจบ เขาก็เปิดประตู เปิดไฟ และดึงมือเธอเข้าไปในห้อง

ความทรงจำเก่าๆกลับมาอีกครั้ง ม่านสีขาวตรงหน้าต่างพริ้วตามแรงลม รูปที่วาดได้แค่ครึ่งหนึ่งยังคงวางอยู่บนโต๊ะ ดินสอยางลบที่เธอเคยใช้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

ผ้าปูเตียงถูกเปลี่ยนใหม่ คงเป็นเพราะครั้งนั้นที่เธอพยายามฆ่าตัวตาย ข้างบนคงเต็มไปด้วยเลือด

“นี่คือห้องที่เวยเวยเคยอยู่” เย่ฉ่สเฉินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เธอชอบนั่งชันเข่าและออกแบบตัวแล้วตัวเล่า”

ในใจของมู่เวยเวยเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจ ว่าดึกขนาดนี้เธอพาเขามาทำอะไรที่นี่

“ตั้งแต่เธอจากที่นี่ไป ผมยังเก็บของทุกอย่างของเธอไว้ ไม่แม้แต่คิดจะไปขยับมัน เวลาที่ผมไม่สบายใจก็มักจะมานั่งที่ห้องนี้ พร้อมกับคิดว่า ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง ลูกของเราจะสบายดีไหม” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวจบก็หันไปถามเธอว่า “คุณว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”

มู่เวยเวยชะงัก และตอบกลับ “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร”

เย่ฉ่าวเฉินมองหน้าเธอด้วยความรู้สึกผิดหวัง เขาคิดว่าเธอคงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจริงๆของเขา แต่ไม่เลย สายตาของเธอนั้นว่างเปล่า ราวกับสัมผัสไม่ถึงความอ่อนโยนที่เขามอบให้เลย

มู่เวยเวยไม่อยากอยู่ในห้องนี้ต่อไปแล้ว ถึงแม้เธอจะมีความทรงจำดีๆกับห้องนี้บ้าง แต่ห้องๆนี้ก็ได้สร้างความเจ็บปวดให้เธอมากเหมือนกัน

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมหรือคะ?” มู่เวยเวยถาม

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อยู่ๆก็อยากมาดู”

“อ่อ งั้นคุณค่อยๆดูนะคะ ฉันขอกลับห้องก่อน” มู่เวยเวยพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินกลับห้อง แต่ถูกเย่ฉ่าวเฉินดึงไว้

“คุณโกรธหรือ?” เย่ฉ่าสเฉินถามด้วยความงงงวย

“เย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยคือภรรยาของคุณฉันรู้ แต่เรื่องที่คุณคิดถึงเธอ คุณไม่จำเป็นต้องบอกให้ฉันรู้ ฉันเคารพกับความรู้สึกคุณนะ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรับได้ ฉันไม่อยากทำผิดต่อเธอ” มู่เวยเวยพูดในฐานะที่เธอคือฉู่เหยียน ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนฉู่เหยียนเป็นเมียน้อย

เย่ฉ่าวเฉินเกือบจะหลุดปาก เผลอพูดเรียกชื่อเวยเวยออกมา “อาเหยียน ผมไม่ได้ขอให้คุณรับมัน แต่ว่า..แต่แต่ว่า”

แต่ว่าอะไร เย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่เขาอยากให้เธอรู้ว่าเขารักเธอมากแค่ไหน

แต่ถ้าทำแบบนี้ มู่เวยเวยอาจจะโกรธเขามากกว่าเดิม

“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันจะไม่ขัดขวางความทรงจำระหว่างคุณกับภรรยาแล้วล่ะ ฉันขอตัว” มู่เวยเวยปัดมือเขาออก แล้วเดินออกจากห้องไป

เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งตามเธอไป แต่ว่ายิ่งตาม มู่เวยเวยก็ยิ่งเร่งฝีเท้า เขารีบเอาตัวขวางไว้ทันก่อนที่เธอจะปิดประตู

“โอเค อย่าโกรธผมเลยได้ไหม? ผมไม่ได้มีความหมายอื่น” เย่ฉ่าวเฉินกล่าว “ผมก็แค่อยากให้คุณรู้อดีตของผม”

“ฉันไม่ได้โกรธ แต่ว่าฉันง่วง ฉันอยากนอนแล้ว” มู่เวยเวยตอบกลับอย่างเย็นชา ในใจคิดว่า ฉันกลายเป็นอดีตของคุณแล้วซินะ แล้วยังไงมีหน้ามาพูดอะไรอีก

เย่ฉ่าวเฉินจับแก้มเธอ พร้อมพูดว่า “ไหนบอกไม่โกรธ ทำไมหน้าไม่ยิ้มเลย”

มู่เวยเวยฝืนยืมออกมา “พอใจหรือยัง ฉันจะนอนแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ดีว่าเขาจะยอมให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงดันประตูห้องเธอและเบียดตัวเข้ามา

“เฮ้ เย่ฉ่าวเฉิน ทำไมคุณถึงไม่มีสัจจะแบบนี้” นอกจากไม่มีสัจจะแล้ว หน้ายังหน้าด้วย

เย่ฉ่าวเฉินโน้มตัวลงจูบเธอ วันนี้ให้เบาะแสกับเธอตั้งเยอะแล้ว ถ้างั้นขอเขาเก็บค่าตอบแทนบ้างแล้วกัน

ต่อมา มู่เวยเวยก็ไม่สามารถต้านทานรอยจูบเขาได้แล้ว ทั้งสองเดินเข้ามาแล้วล้มตัวลงบนเตียง

ก่อนที่จะขึ้นสวรรค์ ความคิดสุดท้ายของมู่เวยเวยก็คือ อย่าปล่อยให้ผู้ชายว่างเว้นนานเกินไป ไม่งั้นเขาอาจจะคลั่งและมาเอาชีวิตคนได้

…………..

เช้าของอีกวัน มู่เวยเวยมาหาฉู่เซวียนที่บริษัท เขายื่นขวดยาให้เธอ ลักษณะมันเหมือนครั้งก่อนที่เคยใช้ เธอเปิดดมก็ได้กลิ่นยาอ่อนๆ

มู่เวยเวยจ้องขวดยา พร้อมถามกับฉู่เซวียนด้วยความเป็นกังวลว่า “ยานี่ กินแล้วจะตายไหม?”

ในขณะที่ฉู่เซววียนเตรียมเอกสารเกี่ยวกับงานประชุมอยู่ ได้ยินคำถามเธอแบบนั้น กผ้หันหน้าไปถามเธอว่า “คุณมีสมองหรือเปล่า ผมกำลังร่วมมือทำธุรกิจกับเขาอยู่ ถ้าเขาตายมันจะเกิดผลดีอะไรกับผมไหม? ผมเป็นนักธุรกิจ คิดแต่เรื่องหาเงิน ส่วนไอ้เรื่องฆ่าคนผมทำไม่เป็นหรอก”

มู่เวยเวยได้ยินอย่างนั้นก็โล่งใจ จริงๆแล้วเธอรู้สึกสับสน ใจนึงโกรธที่เขาฆ่าพี่ชายของเธอ เธออยากจะเอามีดแทงเขาเป็นร้อยๆพันๆครั้ง แต่อีกใจนึงก็คิด เขาคือพ่อของลูกเธอ ถ้าเธอฆ่าเขาแล้วเธอจะสู้หน้าลูกอย่างไร?

เธอทำได้แค่ พาลูกหนีออกไปจากเขา และใช้ชีวิตของพวกเขาเอง

“คุณหยดแค่นิดหน่อยพอนะ ถ้าคุณใส่เยอะเกินไป เขาอาจจะหลับไปสองสามวันเลย” ฉู่เซวียนเตือน

“อื้ม โอเค”

มู่เวยเวยกำลังจะเดินออกไป แต่ก็ถูกฉู่เซวียนเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวรออีกแปปหนึ่ง”

“มีเรื่องอะไรอีกหรือ?”

ฉู่เซวียนคิดสักพักก่อนที่จะเอ่ยถามเธอว่า “ถ้าคุณได้แผนที่ลับแล้ว คุณจะไปไหน?”

มู่เวยเวยตอบกลับแบบไม่ต้องคิดว่า ฉันก็ต้องรีบไปช่วยลูกฉันก่อนซิ หลังจากนั้นน่ะหรือ….ฉันไม่บอกคุณหรอก”

“บอกให้ฉันรู้ไม่ได้หรือ?”

“แน่นอน เพราะฉันจะพาลูกไปเริ่มชีวิตใหม่ พาเขาไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเรา เพราะฉะนั้นฉันจะบอกให้คุณรู้ไม่ได้”

ฉู่เซวียนพยักหน้า “โอเค คุณพูดถูก คุณควรไปเริ่มใหม่ งั้นก็ขอให้คุณทำสำเร็จเร็วๆล่ะ ขอให้ทุกอย่างราบรื่น”

“ขอบใจนะ” มู่เวยเวยพูดจบและเดินจากไป เธอในตอนนี้เหมือนมองเห็นชีวิตใหม่กำลังโบกมือเรียกเธอแล้ว

ฉู่เซวียนมองตามแผ่นหลังของเธอด้วยสายตาซับซ้อน ในใจคิดว่าเธอคือผู้หญิงที่ดี สมควรที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือครอบครัวเขาคงจะไม่อนุญาต….

ช่วงบ่าย มู่เวยเวยแวะมาที่บ้านพ่อแม่ของเธอ ตั้งแต่มู่จางรุ่ยย้ายออกไป ที่นี่ก็ไม่มีใครเข้ามาดูเลย ต้นไม้ใบหญ้าในบ้านดูรกร้าง

ผ่านมาแค่ไม่นาน แต่เหมือนไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว

พ่อแม่พี่ใหญ่คะ ฉันไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับมาบ้านของเราอีกไหม แต่พวกพ่อกับแม่สบายใจได้นะคะ ฉันจะไม่โง่คิดทำร้ายตัวเองอีก ฉันจะใช้ชีวิตต่อไป เพื่อพ่อกับแม่ และก็เพื่อลูกของฉันค่ะ

พวกพ่อกับแม่ เฝ้ามองฉันจากบนฟ้านะคะ ช่วยเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยฉันพาลูกกลับมาด้วยนะคะ

เมื่อมู่เวยเวยกลับมาถึงบ้าน ก็ตรงดิ่งไปทางตู้ไวน์ เธอหยิบไวน์ที่มีแอลกอฮอล์สูงออกมา จากนั้นเทใส่แก้ว จัดแจงความเรียบร้อยโดยการนำยาถูกับขอบปากแก้ว

เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน มู่เวยเวยจงใจฝากรอยจูบบางๆ ไว้บนแก้วที่ต้องการให้เขาดื่ม

เอาล่ะทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้ก็แค่รอเขากลับมาเท่านั้น

เหมือนกับทุกๆวัน เย่ฉ่าวเฉินเลิกงาน ก็รีบบึ้งรถกลับบ้าน

ถึงเวลาอาหารเย็นมู่เวยเวยสังเกตเห็นเขาดูเครียดๆ จึงถามว่า

“ที่ทำงานมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมดูเหมือนคุณไม่เครียดๆ”

เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจ ก่อนจะตอบเธอว่า “เจอเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ผมจัดการได้”

“งั้นสักครู่ ฉันดื่มเหล้าเป็นเพื่อนคุณแล้วกัน ถือว่าผ่อนคลายสักหน่อย” มู่เวยเวยหาข้ออ้าง

เย่ฉ่าวเฉินประหลาดใจเล็กน้อย ถามกลับว่า “คุณไม่ดื่มเหล้าไม่ใช่หรือ?”

มู่เวยเวยอ้างต่อ “ฉันอยู่ข้างนอกจะไม่ดื่ม แต่ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านไง จะดื่มนิดหน่อยก็ฟม่เห็นเป็นอะไร อีกอย่าง เห็นคุณเป็นแบบนี้ ฉันก็รู้สึกแย่ตามไปด้วย”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ยินเธอพูดว่า บ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเธอ ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาจะปฏิเสธเธอได้อย่างไร”

“ก็ได้ เดี๋ยวผมให้พ่อบ้านหวังยกเหล้ามาให้”

“ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันไปหยิบเองก็ได้ เดี๋ยวถ้าคุณกินข้าวเสร็จแล้ว คุณก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดี๋ยวฉันจะยกเหล้าไปหาคุณที่ห้อง”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเอะใจ พลันให้คิดถึงเรื่องเมื่อวาน อย่าบอกนะว่าคืนนี้จะลงมือ?

“วันนี้คุณดีแปลกๆ ผมไม่ค่อยชินเลย” เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะ

มู่เวยเวยแกล้งมองค้อนกลับ “ทำไมหรือ ฉันดีกับคุณ คุณไม่ชอบหรือไง?”

“เปล่าครับ ผมชอบมาก วั้นเอาตามที่คุณว่าแล้วกันครับ” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับ คิดในใจว่า เดี๋ยวเขาต้องคอยระวังตัว

เป็นไปตามแผนที่มู่เวยเวยวางไว้ เย่ฉ่าวเฉินกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อได้เวลาสมควรแล้วมู่เวยเวก็ถือไวน์สองแก้วขึ้นไปที่ห้องเขา เธอเคาะประตู

“เข้ามา” เย่ฉ่าวเฉินเรียกและกวักมือ เธอเดินเข้ามาในห้อง และนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามเขา จากนั้นวางแก้วไวน์ลงตรงหน้า

“อาเหยียน คุณอยากมีชีวิตแบบไหนหรือ?” เย่ฉ่าวเฉินอยู่ๆก็ถามขึ้น

มู่เวยเวยพลางเทไวน์ พลางตอบเขา “ชีวิตที่ฉันอยากมีหรือ เอ่อ คงจะหนีไปอยู่ที่ไหนสักที่บนโลก ตัดขาดจากโลกภายนอก ที่ๆเหมือนกับในนิยาย และจากนั้นก็ใช้ชีวิตกับคนที่ฉันรัก จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต”

“ง่ายๆแบบนี้เองหรือ?”

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณคิดว่ามันง่ายหรือที่จะหาที่แบบนั้นได้?” มู่เวยเวยตอบกลับ

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าเห็นด้วย “ที่คุณพูดก็ถูก แต่ถ้าคุณไปอยู่ในที่แบบนั้น คุณไม่เหงาหรือ?”

“ไม่เหงาหรอก ฉันว่ามันสบายใจดีออก และถ้าสมมติฉันเหงาขึ้นมาจริงๆ ฉันก็แค่ขับรถไปเที่ยวเล่นในเมือง เที่ยวเล่นจนพอใจก็กลับไปใช้ชีวิตในที่ของฉัน”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มเบาๆ “จริงๆที่คุณคิดมันก็ดีนะ แต่ลูกคุณล่ะจะทำอย่างไร เขาต้องเรียนหนังสือนะ ถ้าวันไหนเขาไปโรงเรียนแล้วทะเลาะกับเพื่อนขึ้นมา คุณก็ต้องไปหาเขาอยู่ดี”

“เฮ้ เย่ฉ่าวเฉิน” มู่เวยเวยตอบกลับ “เมื่อกี้คุณถามฉันเรื่องชีวิตที่อยากจะมี ฉันก็พูดไปหมดแล้ว แล้วตอนนี้คุณจะมาวิพากษ์วิจารณ์ความคิดฉันทำไม คุณดื่มเลย”

มู่เวยเวยพูดจบ ยื่นแก้วไวน์ให้เขา เย่ฉ่าวเฉินรับแก้วไป จากนั้นก็แกว่งไปแกว่งแต่มาไม่ดื่ม

“บางครั้งผมก็อยากมีชีวิตแบบที่คุณบอกนะ แต่ผมทิ้งบริษัททิ้งธุรกิจนี้ไม่ได้”

มู่เวยเวยเอาแต่จ้องแก้วไวน์มือเขา ไม่ได้ฟังที่เขากำลังพูด จากนั้นแกล้งถามว่า “งั้นคุณอยากใช้ชีวิตแบบไหนล่ะ?”

“ผมอะหรือ ง่ายๆ หาเงินให้ได้เยอะๆ จากนั้นก็ใช้ชีวิตไปจนแก่จนเฒ่ากับคนที่รัก”

มู่เวยเวยเห็นเขาไม่ยอมยกแก้วดื่มเสียที ใจก็เริ่มร้อนรน พร้อมกับยกแก้วของตัวเองขึ้น เพื่อที่จะชนแก้วกับเขา พร้อมพูดว่า “โอเค งั้นฉันขอให้คำขอคุณเป็นจริง”

เย่ฉ่าวเฉินยกแก้วดื่มจนหมด มู่เวยเวยเห็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจ และยกแก้วไวน์ดื่มเล็กน้อย

“ไวน์ที่คุณเลือกมา….” เย่ฉ่าวเฉินพูดครึ่งนึงและหยุด

มู่เวยเวยรีบถามกลับ “ทำไมหรือ?”

“รสชาติช่างหอมหวาน” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวจนจบ และแอบยิ้ม

“จริงหรือ? ฉันหยิบมามั่วๆ ไม่คิดว่าคุณจะชอบ” มู่เวยเวยตอบกลับและรินไวน์ใส่แก้วอีก ในใจคิดไม่รู้ว่ายาที่เธอใส่ไปจะพอไหม

ช่วงเวลาที่เธอก้มหน้าเทเหล้า อยู่ๆเวลาก็หยุดเดิน แม้กระทั่งสายลมก็หยุดพัด

เย่ฉ่าวเฉินรีบเดินถือแก้วไวน์เข้าไปให้ห้องน้ำ บ้วนไวน์ที่ดื่มเมื่อกี้ออกมา จากนั้นรีบเดินไปหยิบแก้วใหม่และกลับมานั่งที่เดิม

เมื่อสักครู่ที่เขาแกว่งแก้วไวน์ เขาก็ได้กลิ่นยาอยู่ในแก้ว ถึงแม้ว่าไวน์นี้จะแรงมาก แต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นของยาได้

หลังจากที่เขาโดนหลอกครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เขาจะไม่โดนหลอกอีก

สีนัยตาเขาค่อยๆจางลง “ฟู้ว” ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ

“ถ้าคุณชอบ ก็ดื่มเยอะๆ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวต่อจากเมื่อครู่

มู่เวยเวยกลัวว่าฤทธิ์ยาจะเจือจางเกินไป จึงเทไวน์ให้เขาแค่ครึ่งแก้ว และพูดว่า “ถึงจะชอบ แต่ก็ต้องค่อยๆดื่ม ดื่มแค่แปปๆแล้วก็เมา จะไปรู้รสอะไร”

“อืม คุณพูดถูก” เย่ฉ่าวเฉินยกแก้วไวน์ขึ้น พูดว่า “แค่นี้ไม่พอดื่ม”

“งั้นคุณดื่มก่อน หมดแล้วฉันจะเทให้ใหม่”

เย่ฉ่าวเฉินยกดื่มตามคำสั่ง

มู่เวยเวยคิดในใจ ยาน่าจะพอแล้ว

ทั้งสองพูดคุยกันต่อ มู่เวยเวยสังเกตเห็นตาของเย่ฉ่าวเฉินเหมือนจะปิด ค่อยๆแกล้งถามว่า “คุณง่วงแล้วหรือ?”

เย่ฉ่าวเฉินหลับตา และโน้มตัวลงบนโซฟา ตอบกลับว่า “วันนี้น่าจะทำงานหนักไปหน่อย”

“งั้นเดี๋ยวฉันพาคุณไปพักนะ” มู่เวยเวยประคองเขาลุกขึ้น “ไปกันเถอะ กลับห้องไปนอน”

เย่ฉ่าวเฉินแอบมองการกระทำของเธอ จากนั้นจงโถมน้ำหนักทั้งหมดลงบนตัวเธอ มู่เวยเวยเดินเซซ้ายเซขวา พร้อมกับบ่นว่า “ทำไมตัวคุณหนักแบบนี้เนี่ย”

“คุณบูลลี่ผมหรือ” เย่ฉ่าวเฉินแกล้งถาม

“ใช่ค่ะ ฉันบูลลี่คุณ” มู่เวยเวยโยนเขาลงบนเตียง จากนั้นก็ถอดรองเท้า ห่มผ้าให้เขา

เย่ฉ่าวเฉินไม่ยอมปล่อยให้เธอทำตามแผนง่ายๆ รีบดึงมือเธอไว้และพูดว่า “คุณนอนกับผมนะ”

มู่เวยเวยสะบัดไม่หลุด จึงทำได้แค่ตอบว่า “โอเค ฉันจะนอนกับคุณ แต่คุณนอนก่อน ฉันล้างหน้าเสร็จแล้วจะกลับมา”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset