วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 212 ต้องหาตัวลูกของเรากลับมาให้ได้

“ไม่ต้องเกรงใจ แค่นี้เพียงเล็กน้อย”แววตาของยามากูชิ ฮิเดโกะเป็นประกายเต็มไปด้วยความชื่นชม และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เธอจึงพูดขึ้นว่า “หลังจากกลับประเทศ ฉันจะไปเที่ยวที่โตเกียวพอดี ถึงเวลานั้นแล้วฉันจะเป็นคนเลี้ยงข้าวคุณตกลงไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอ่อนๆ“แบบนี้กลัวว่าจะไม่ได้”

“ทำไมล่ะ?” ยามากูชิ ฮิเดโกะมีท่าทางประหลาดใจ

เย่ฉ่าวเฉินแสยะยิ้มที่มุมปากรอยยิ้มของเขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน “ภรรยาของผมไม่อนุญาตให้ผมไปทานอาหารโดยลำพังกับผู้หญิงคนอื่น”

ยามากูชิ ฮิเดโกะชะงักไปพักหนึ่งและจึงดึงดันถามต่อว่า“คุณแต่งงานแล้วหรือ?”

“ถูกต้อง ตอนนี้ลูกชายของผมอายุจะหนึ่งขวบแล้ว ”แม้ว่าจะยังไม่เคยเห็นหน้าของเขา

ทันใดนั้นยามากูชิ ฮิเดโกะก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาสึก เรื่องที่คุยกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ตื่นเต้นเมื่อกี้กลับสลายหายไป น้ำเสียงของเธอเก็บเอาความรู้สึกหดหู่ใจไม่อยู่ “ลูกของคุณต้องน่ารักมากๆแน่ ขอโทษค่ะ ฉันขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำก่อน”

เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงอย่างมีมารยาท รอให้ ยามากูชิ ฮิเดโกะค่อยๆเดินห่างออกไป จากนั้นใบหน้าของเขาก็กลับมาสู่ความเยือกเย็น

เหยี่ยวราตรีที่นั่งอยู่ทางด้านข้างแอบชื่นชมเขาอยู่ภายในใจ เจ้านายนี่เป็นคนที่เยี่ยมยอดจริงๆ สีหน้าท่าทางที่หนักแน่นทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา หากว่าเป็นเขา เกิดสถานการณ์แบบบนี้ขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร อาจจะเป็นเพราะตัวเขามีประสบการณ์น้อยเกินไปก็ได้

เมือง A

เย่ฉ่าวเฉินไม่อยู่ที่นี่สองสามวัน มู่เวยเวยใช้ชีวิตอย่างสงบ ตอนกลางวันมีเวลาก็จะโทรให้ฉู่เซวียนมาทานอาหารด้วยกัน

“ได้ยินมาว่าเย่ฉ่าวเฉินไปต่างประเทศแล้ว?”ฉู่เซวียนถามออกมาอย่างเรื่อยเปื่อย

“อือ เขาไปอเมริกาเพื่อทำการเจรจาการค้าบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เขาไม่ได้บอกและฉันก็ไม่ได้ถาม ”มู่เวยเวยพูดด้วยท่าทีที่ปกติ ครั้งนี้ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินจะไปได้พูดตกลงกันไว้ว่าจะพูดโกหกแบบเดียวกัน

ฉู่เซวียนเหลือบมองไปที่เธอหนึ่งครั้ง “เธอแน่ใจว่าเขาเอาของที่เหลือส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ที่บริษัทจินตุ้นแล้วใช่ไหม?”

“ใช่บริษัทนั้น”มู่เวยเวยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

ฉู่เซวียนคิดทบทวนอยู่สักพักและพูดขึ้นว่า“ให้เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนพวกเราไปคงเป็นไปไม่ได้แน่ เธอลองคิดหาวิธีให้เขาบอกรหัสของห้องคลังที่เก็บของนั้นออกมา และพวกเราจะหาคนให้เข้าไป”

มู่เวยเวยใจเต้นตึกตัก แค่นี้ก็ได้ทำได้แล้วหรอ?

“นายจะหาคนแบบไหน?ฉันได้ยินมาว่าห้องห้องคลังนั้นมีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนา แบบนี้จะทำสำเร็จได้หรอ?”

ฉู่เซวียนยิ้มอ่อน “สำเร็จไม่สำเร็จถ้าไม่ลองใครจะไปรู้ล่ะ?”

“วิธีนี้เป็นวิธีที่ดี ฉันจะพยายามถามรหัสของตู้เซฟนั้นมาให้ได้”มู่เวยเวยเสแสร้งพูดชื่นชม“ฉันพึ่งจะเข้าใจคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนที่เก่งกว่าก็วันนี้ ห้องคลังก็ยังสามารถที่จะขโมยได้ แล้วจะเป็นคนของนายหรือเขาที่จะขโมยได้?”

ฉู่เซวียนไม่สงสัยเธอเลยแม้แต่น้อยแถมยังยิ้มพร้อมกับดื่มชามะนาวและพูดขึ้นว่า“ฉันเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง เรื่องพวกชกชิงทรัพย์ ลักพาตัววิธีพวกนี้แน่นอนว่ามีแค่เขาที่ใช้”

“พูดแล้วก็คือ นายกับคนๆนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใช่ไหม”มู่เวยเวยพูดเสียดสีเขาเล็กน้อย

ฉู่เซวียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และไม่พูดอะไร

มู่เวยเวยรู้สึกไม่สบายใจ จึงถามต่อไปว่า“ฉันมีเรื่องสงสัยจริงๆ นาย ฉู่เซวียนลูกชายคนโตของตระกูลฉู่เป็นคนที่มีอิทธิพลและเป็นคนใหญ่คนโตของฮ่องกง อยากได้อะไรก็ได้ ทำไมถึงได้เข้ามาร่วมทำเรื่องเลวๆแบบนี้ล่ะ?”

ฉู่เซวียนมองเธอแล้วรู้สึกว่าเธอทำไมชั่งใสซื่อแบบนี้ อดที่จะตอบคำถามไม่ได้แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยใจ“เรื่องนี้มีอะไรที่ยังไม่เข้าใจ หรือเธอไม่รู้ว่าสำหรับเรื่องทรัพท์สินเงินทองแล้วความต้องการของคนมันไม่มีคำว่าพอหรอก ?เงินจำนวนน้อยก็ไม่มีใครรู้สึกรังเกลียดหรอก”

มู่เวยเวยอยากจะด่าเขาออกมาสักประโยค เพื่อให้ได้ในสิ่งที่นายต้องการ ต้องทำถึงขนาดลักพาตัวลูกของฉันไป?เธออดทนแล้วอดทนอีกที่จะไม่พูดออกไป

“ที่นายช่วยเขา นายไม่กลัวว่าสุดท้ายชายคนนั้นจะเอาทรัพทย์สมบัติทั้งหมดไปโดยที่ไม่เหลือให้นายแม้แต่บาทเดียวหรอ?”

“เป็นไปไม่ได้”ฉู่เซวียนยืนยันด้วยความมั่นใจ

มู่เวยเวยพูดหว่านล้อมเขาอย่างระมัดระวัง“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้บ้าง?เมื่อกี้นายก็พูดเองแล้วว่า เรื่องทรัพทย์สินเงินทองสำหรับความต้องการของคนมันไม่มีคำว่าพอ”

“ฉันเชื่อเขา ”ฉู่เซวียนพูดขึ้นนอย่างมั่นใจ

มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อใจคนๆนี้ได้มาขนาดนี้ ในสมองคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองไปที่เขา จากนั้นก็ถามแนวหยั่งเชิงว่า“ฉู่เซวียน นายกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบเพื่อนธรรมดาๆใช่ไหม”

ฉู่เซวียนเงยหน้าขึ้นและมองตาขวางไปที่เธอ โดยไม่พูดอะไร

“จริงไหม?จริงไหม?”มู่เวยเวยถามด้วยความตื่นเต้น

เรื่องส่วนตัวถูกคนมาสอดแนม ฉู่เซวียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาคีบเต้าหู้หมาล่าหนึ่งชิ้นลงไปในถ้วยให้เธอ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า“วันนี้เธอพูดมากเกินไปแล้ว”

มู่เวยเวยดูเหมือนว่าจะพบเบาะแสใหม่ที่สำคัญ ในใจของเธอคิดถึงแต่เรื่องเมื่อกี้ที่เขามีทีท่าแปลก และไม่ทันระวังเธอคีบเอาเต้าหู้หมาล่าชิ้นนั้นวางเข้าไปในปาก ความเผ็ดร้อนเมื่อถูกลิ้นก็ละลายออกมาทันที ทำให้เธอมีสติกลับมาได้

“โอ้ย เผ็ดจังๆ”หู่เวยเวย ฮู่ฮู่ด้วยความเผ็ด เธอดืมน้ำเขาไปแก้วใหญ่ รอให้ความเผ็ดในปากลดลง เธอจึงได้ต่อว่าฉู่เซวียน“ทำไมนายถึงได้เป็นคนที่น่ารังเกลียดแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าฉันทานเผ็ดไม่ได้ ยังจะคีบเต้าหู้หมาล่ามาให้ฉันอีก?”

ฉู่เซวียนหัวเราะอย่างสะใจ“ใครให้เธออยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นถามนั่นถามนี่เยอะแยะล่ะ ทำเรื่องของตัวเองให้ดีเถอะ”

มู่เวยเวยถลึงตาโตโตให้เขาหนึ่งที “ฉันก็ไม่ได้ดูถูกพวกนายซะหน่อย”

“เธอยังจะพูดอีก?”ฉู่เซวียนทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา“ถ้ายังพูดอีกประโยค เชื่อไม่เชื่อว่าฉันจะเอาเต้าหู้ทั้งจานยัดเข้าไปในปากของเธอ”

มู่เวยเวยรีบทำท่ารูดซิบปาก จากนั้นก็ก้มหน้าทานอาหาร

วันนี้เกิดทายเรื่องสำคัญได้ด้วยความบังเอิญ เธอต้องการที่จะพูดคุยแบ่งปันเรื่องนี้ให้กับเย่ฉ่าวเฉินฟัง

หลังจากที่ได้พูดคุยกับฉู่เซวียน มู่เวยเวยต้องการที่จะไปเย่ฮวางกรุ๊ป เพราะห่างจากบ้านไม่ไกล ถือว่าเธอเดินเพื่อเป็นการย่อยอาหาร

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและรีบส่งข้อความไปให้เย่ฉ่าวเฉิน

กำลังยุ่งอยู่ไหม?มีข่าวสำคัญมากๆ

ผลปรากฎว่าข้อความฉบับนั้นก็หายไปในทะเล ไม่มีการตอบกลับมาเป็นระยะเวลานาน มู่เวยเวยคิด หรือว่าบางครั้งเขาอาจกำลังยุ่งอยู่ แต่เธอไม่รู้ว่าเวลานี้เย่ฉ่าวเฉินได้นั่งอยู่บนเครื่องบินแล้ว และเครื่องบินกำลังทำการบินผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก

ตอนเครื่องลงจอดที่สนามของบินเมืองA ก็เป็นเวลาดึกแล้ว

ตอนแรกก็คิดจะพักแถวๆสนามบินสักคืน พรุ่งนี้จะบอกให้รถที่บ้านมารับ แต่เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์เห็นมู่เวยเวยส่งข้อความมา แม้แต่วินาทีเดียวเขาก็ทนรอไม่ได้ เขาจึงเรียกรถแท็กซี่จากด้านนอกสนามบินกลับบ้าน

ตลอดทาง เย่ฉ่าวเฉินนั่งคิดว่าเธอได้เบาะแสอะไรมา นึกไม่ถึงว่าเธอจะส่งข้อความว่าข่าวสำคัญมาให้เขา

คนขับแท็กซี่ได้ยินสถานที่ที่เขาบอก เขามองเห็นรายละเอียดๆผ่านกระจกและพิจารณาดูสักพัก เพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปในตัว จึงได้เปิดปากถามเขา “คุณคือเย่ฉ่าวเฉิน คุณเย่หรือเปล่า”

เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองไปที่คนขับรถและพูดเสียง“อืม”ขึ้นมา

คนขับรถพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นคุณจริงๆหรอนี่”

“คุณรู้จักผม?”กำลังรู้สึกน่าเบื่ออยู่พอดี เย่ฉ่าวเฉินพูดคุยกับพี่คนขับรถ

“ไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดแผ่นดินไหว ในข่าวรายงานว่าคุณได้ทำการบริจาคข้าวของสิ่งจำเป็นให้ผู้ประสบภัย ผมก็เลยจำคุณได้ ตอนนี้ในสังคม หาคนที่มีเงินและน้ำใจงดงามอย่างคุณได้ไม่มากแล้ว ”คนขับรถพูดขึ้น เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันได้พูดตอบโต้ เขาก็พูดของเขาไปต่อคนเดียว แผ่นดินไหวครั้งนี้เขตไหนได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุด ที่ไหนตึกถล่มมากสุดและอื่นๆ รู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนที่พี่คนขับรถไม่รู้

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้มีการพูดตัดบท คิดซะว่าให้เขาเก็บเป็นความประทับใจเอาไว้ ถ้าหากบอกเขาว่า เรื่องที่กล่าวมาขั้นต้นแท้จริงตัวเขาทำเพราะมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้รับงานในหลายๆโครงการและให้ได้รับการระดมเงินทุน ไม่แน่ว่าคนขับรถอาจจะไม่พอใจโยนเขาลงกลางทางก็ได้

คนขับรถพูดไปหยุดตลอดทาง เขามาส่งเย่ฉ่าวเฉินถึงประตูหน้าคฤหาสน์ และยังแสดงท่าทีกล้าได้กล้าเสียที่จะไม่รับเงินของเขา

แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่เห็นแก่ผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆนี้ เขามองไปดูที่มิเตอร์แสดงราคา1195บาท จากนั้นก็หยิบเงินออกมาจากระเป๋าเงินสามใบให้กับคนขับแท็กซี่ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติว่า“ดึกขนาดนี้ขับรถไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องทอนหรอก”

คนขับรถมีสีหน้าท่าทางที่ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขึ้นมาทันทีพร้อมกับรับเงินและรีบพูดขึ้นว่า“ขอบคุณมากๆ”

ยามรักษาความปลอดภัยที่หน้าประตูเห็นเย่ฉ่าวเฉินเดินลงมาจากรถแท็กซี่ เขาช็อกไปเสี้ยววินาที จากนั้นจึงรีบทำการเปิดประตู

“คุณชายคุณกลับมาแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็รีบเดินก้าวเท้าใหญ่ๆไปทางด้านคฤหาสน์

ค่ำคืนที่ดึกดื่นของบ้านตระกูลเย่ชั่งเงียบสงบ มีแมลงต่างๆนานาจำนวนนับไม่ถ้วนอาศัยยอดหญ้าเป็นเวทีกระโดดเต้นไปมา ดูราวกับว่ากำลังเปิดรอบทำการแสดงร้องรำทำเพลง

คืนนี้เขาเลือกเดินมาทางนี้เพื่อไปถึงคฤหาสน์ บรรยากาศให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนจากเดิม อาจเป็นเพราะว่ามีคนที่สำคัญอยู่ในใจ จิตวิญญาณของเขาล้วนแต่สงบไม่คลอนแคลน

เมื่อกลับถึงห้องของตัวเอง เย่ฉ่าวเฉินไปอาบน้ำเพื่อชะล้างกลิ่นเหงื่อและฝุ่นควัน จากนั้นก็เดินไปถึงประตูหน้าห้องของมู่เวยเวย

เมื่อบิดเปิดประตู พบว่าประตูเปิดไม่ออก

แต่ว่าประตูแค่บานเดียวจะหยุดเย่ฉ่าวเฉินได้หรอ?

เตียงหลังใหญ่ แต่มู่เวยเวยนอนอยู่แค่มุมเดียว เธอนอนตะแคงข้างสองขาของเธองอเล็กน้อย เหมือนกับท่าทางของทารกในครรภ์ เย่ฉ่าวเฉินถอดเสื้อผ้าออกจากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียง เขานอนตะแคงที่ด้านข้างของเธอ ค่อยๆเอามือวางไว้ที่เอวของเธอ ทั้งสองคนเมื่อนอนอยู่ด้วยกันดูแล้วคล้ายกับช้อนกับซ้อม

ทั่วทั้งจมูกได้กลิ่นร่างกายที่คุ้นเคยของเธอ ทำให้เย่ฉ่าวเฉินอุ่นใจเป็นอย่างมาก และไม่นานเขาก็หลับลึกลงไปอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน

เช้าวันรุ่งขึ้น

มู่เวยเวยนอนจนเต็มอิ่มและตื่นขึ้นมาเอง เมื่อทำการพลิกตัวก็รู้ว่าแขนไปสัมผัสเข้ากับของที่ให้ความรู้สึกอุ่นๆร้อนๆ เธอตกใจกระโดดลงจากเตียงแบบมึนๆงงๆ

ใช้สติมองดูอย่างชัดๆ นี่ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินหรอกหรอ?

ชายคนนี้กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

เย่ฉ่าวเฉินนอนหลับไม่ค่อยลึก มู่เวยเวยขยับครั้งเดียวเขาก็ตื่นแล้ว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นมู่เวยเวยกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ เธอยังตกใจไม่หายและยังหายใจเร็วอยู่เลย สายตามองนิ่งไม่ขยับ เขาแสยะยิ้มจากนั้นก็พูดว่า“อรุณสวัสดิ์”

“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เย่ฉ่าวเฉินบิดขี้เกียจไปมา“เมื่อคืนตอนเที่ยงคืน เห็นเธอนอนหลับอย่างสบาย ก็เลยไม่ได้ปลุก”

มู่เวยเวยนึกขึ้นได้ถึงเรื่องจุดประสงค์ในการเดินทางในครั้งนี้ของเขา เธอจึงรีบถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?หาลูกเจอไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินนอนราบไปกับเตียง พร้อมกับส่ายหัวด้วยท่าทางที่ผิดหวัง“ไม่มี เป็นข่าวปลอม”

เมื่อมู่เวยเวยได้ฟังคำพูดนี้ อารมณ์ของเธอก็เศร้าลงมาก“ฉันก็พอจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตามหาเจอ”

“แต่ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก คุณชายสี่ตระกูลเซี่ยต้องพาพวกเราหาเจอได้แน่ๆ”

มู่เวยเวยประหลาดใจ“หมายความว่า?”

เย่ฉ่าวเฉินเล่าเรื่องที่เกิดบนเกาะเล็กๆให้เธอฟัง“เธอไม่ต้องรีบร้อน พวกเราแบ่งกันหาไปคนละทาง ยังไงก็ต้องหาไอ้สาระเลวคนนั้นจนเจอแน่”

“หากว่าหาไม่เจอล่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินปลอบใจเธอ “นี้เป็นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด หากว่าไม่ได้ หรือหมดเวลาแล้ว เธอก็เอาแผนที่ขุมทรัพท์ไปแลกเปลี่ยนกับลูกชายของเรา ฉันกับเธอก็จะอาศัยโอกาสที่จะแย่งลูกกลับคืนมาให้ได้ แต่นี่เป็นวิธีที่อันตรายที่สุด”

“คุณไม่ได้บอกว่าเดิมที่ก็ไม่มีแผนที่ขุมทรัพย์นั้นอยู่หรอกหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินอาศัยสมองในตอนเช้าที่ยังไม่ค่อยมีการตอบสนองของเธอ จากนั้นเขาก็ยกแขนขึ้นไปบีบๆที่หน้ารูปไข่ของเธอและพูดอย่างอ่อนโยนว่า“เด็กโง่ พวกเรารู้ว่ามันไม่มี แต่พวกเขาไม่รู้ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ฉันก็แค่ซี้ซั้ววาดภาพขึ้นมาสักภาพ”

มู่เวยเวยถ่างตาโตขึ้น เอาอย่างนั้นก็ได้ เธอคิดว่าแบบนี้ก็เป็นวิธีที่ดี

เมื่อพูดจบ สายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็เคลื่อนตกลงที่ไหล่ของเธอ……

ตอนเช้าเป็นเวลาที่เลือดลมได้ฟื้นกลับขึ้นมาอย่างเต็มที่ หญิงสาวก็กลับมาดูงดงามขึ้น เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านอย่างไม่หยุด เขายิ้มพร้อมกับมีความคิดอันชั่วร้ายอยู่ในสายตา“ฉันยังมีอีกความลับหนึ่ง เธออยากจะฟังไหม?”

“อะไร?”

เย่ฉ่าวเฉินดึงมือของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบว่า “มานี่สิ ฉันมีเรื่องจะบอก ”

มู่เวยเวยดูเย่ฉ่าวเฉินมีท่าทีที่แปลกๆ ในสายตาของเขาเป็นประกายด้วยความเร่าร้อน เธอรู้ว่าเขามีความคิดที่ไม่ดีอยู่แน่ จึงพลางลุกจากเตียงพลางพูดขึ้นว่า“ฉันไม่อยากฟัง คุณเก็บเอาความลับของคุณเก็บไว้ใจใจซะเถอะ”

ใครจะรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะลงมือด้วยความรวดเร็ว ยังไม่ทันได้รอให้เธอลงจากเตียง เขาก็โอบกอดที่เอวของเธอ และกดเธอลงไปที่เตียง

“โอ้ย——เย่ฉ่าวเฉิน——อ๊ายโอ้ยอ๊าย——”

หลายวันที่ไม่ได้เจอหน้าเธอ ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินคงจะอดทนไม่ไหวแล้ว

เวลาผ่านไปนาน……

“ยังเจ็บอยู่ไหม?”

มู่เวยเวยกักริมฝีปากแน่ไม่พูดไม่จา

เย่ฉ่าวเฉินใช้มือจับที่หน้าของเธอให้หันกลับมา เพื่อให้เธอมองที่ตาของเขา พร้อมพูดด้วยเสียงแสบๆว่า“มองฉันสิ……มองว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน”

ใบหน้าของมู่เวยเวยค่อยๆแดงขึ้น ดวงตาสีดำกลมโตมีประกายวาววับขึ้นมา เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับมัน

“คุณ……คุณหยุดพูด”มู่เวยเวยพูดตัดบทเขา อันที่จริงเป็นเพราะเสียงหายใจค่อนข้างอ่อนระทวย

เย่ฉ่าวเฉินเกิดความชาที่ก้นกบ ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมาก และพูดแกล้งล้อเธอว่า“ทำไมไม่ให้ฉันพูดล่ะ ?

ถ้าฉันไม่ถาม……จะรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนเธอสบาย……หรือแบบไหนไม่สบาย……”

มู่เวยเวยทนฟังคำที่เขาพูดออกมาไม่ได้เธอจึงยื่นมือออกไปปิดปากเขาไว้……

คฤหาสน์ชั้นล่าง

พ่อบ้านหวังกับแม่บ้านฉินกำลังคุยกัน

“เธอพูดว่าอะไรนะ?ในห้องของคุณผู้หญิงมีการเคลื่อนไหว?หรือว่าจะ คุณผู้หญิงไม่ใช่คนแบบนั้น”พ่อบ้านหวังเกิดความสงสัย

แม่บ้านฉินแจ้งเรื่อง“อันที่จริง คุณลองคิดดู ปกติเวลาแล้วนี้คุณผู้หญิงก็จะไปทำงานแล้ว แต่วันนี้ทำไมยังไม่ลุกจากที่นอน?”

อันที่จริงแล้วแม่บ้านฉินพึ่งจะขึ้นไปเรียกให้มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาทานอาหาร แต่พึ่งจะเดินถึงหน้าประตูห้องกลับได้ยินเสียงของคนข้างในที่ฟังแล้วรู้สึกเสียวหู เธอจึงรีบวิ่งลงมาที่ชั้นล่างเพื่อแจ้งให้พ่อบ้านหวังทราบ

พ่อบ้านหวังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาขมวดคิ้วและกำลังคิดว่าจะทำยังไงดี เมื่อกี้พึ่งจะสั่งให้รถไปรับคุณชาย แต่ทำไมรถถึงกลับมาแล้ว

“อาหลง ทำไมนายกลับมาแล้วล่ะ?”

อาหลงลงจากรถ “พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่หน้าประตูบอกว่าเมื่อคืนตอนดึกๆคุณชายกลับมาแล้ว”

“คุณชายกลับมาแล้ว?อ่า ใช่ใช่ คุณชายกลับมาแล้ว”พ่อบ้านหวังหันกลับไปพูดกับแม่บ้านฉินด้วยความดีใจ ทั้งสองคนมองตากันและยิ้มออกมา ก็ว่าแล้ว ใครมันจะใจกล้ากล้าขนาดบุกเข้าไปในห้องคุณผู้หญิง

บนเตียง

เย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะออกกำลังกายบนเตียงเสร็จ ทั้งสองคนนอนราบไปกับเตียงพร้อมกับมีลมหายใจที่หอบเหนื่อย และเหงื่อที่ออกมาก็ทำให้ชื้นไปทั้งตัว จนไม่อยากขยับตัว

“ใช่แล้ว เมื่อวานที่เธอส่งข้อความบอกว่ามีข่าวสำคัญมาก คืออะไร ?”เย่ฉ่าวเฉินตะแคงกลับมาเพื่อจะกอดมู่เวยเวย แต่ถูกเธอเอามือปัดออกไปเสียก่อน

“อย่ามาโดนตัวฉัน เหงื่อออกไปทั้งตัว ”มู่เวยเวยแขวะด้วยคำพูดหนึ่งประโยคและพูดต่อว่า“เมื่อวานฉันนัดฉู่เซวียนมาทานอาหารกลางวัน……”

มู่เวยเวยเล่าบทสนทนาที่ทั้งสองคุยกันจบและถามขึ้นด้วยอารมณ์ตื่นเต้น“คุณว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดาใช่ไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินตอนนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาความรู้สึกผิดปกติกับเรื่องที่พูด“แล้วมีอะไรไม่ปกติ?”

“ทำไมฉันกลับคิดว่า ฉู่เซวียนดูเหมือนจะชอบชายหน้ากากสีเงินคนนั้น คุณลองคิดดูดีๆ เพียงแค่ฐานนะและสมบัติของฉู่เซวียน เขาทำไมถึงได้ยินยอมที่จะมาเมือง Aและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะช่วยเพื่อนแค่คนเดียว?มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย”มู่เวยเวยพูดอธิบายความคิดของเธอออกมา “เมื่อวานฉันแค่พูดลองเชิงเขาเพื่อให้เขาเดินตาม เขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที แต่ไม่มีการโต้แย้ง เพียงแค่ไม่ให้ฉันพูดต่อไปได้”

เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนตรง เมื่อได้ฟังมู่เวยเวยพูดเรื่องพวกนี้พร้อมกับมีท่าทางแปลกๆ เย่ฉ่าวเฉินกลับรู้สึกว่า ฉู่เซวียนคนนั้นต้องรู้สึกอะไรกับมู่เวยเวยอยู่เป็นแน่ หรือว่าเป็นเพราะตัวเองเฉลาดเกินไป?

“ท่าทางของคุณมันหมายความว่าไง ?ไม่เชื่อฉันอย่างนั้นหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินลังเลอยู่สักพัก “เรื่องนั้น เธอมีหลักฐานไหม?”

“ไม่มี”มู่เวยเวยตอบแบบง่ายๆ

“เธออาศัยปฏิกิริยาการแสดงออกของเขาแล้วทำการสรุปออกมาแบบนี้ มันจะไม่เป็นการสรุปตามอำเภอใจเกินไปหรอ”เย่ฉ่าวเฉินพยายามพูดอย่างประณีประนอม

มู่เวยเวยขมวดคิ้วและจ้องหน้าเขา“นี่เป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน”

เย่ฉ่าวเฉินหมดคำพูด เอาล่ะ ก็ถือว่าเธอฉลาด

แต่ว่า เขาก็ไม่ตัดข้อสันนิษฐานข้อนี้ออกไป บางครั้งอาจจะมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงอยู่ก็ได้

……

รถวิ่งออกจากใจกลางของเมือง A ขับออกไปเจ็ดสิบกิโลเมตรจากอำเภอหลิง

มู่เวยเวยเกิดความรู้สึกสงสัย “สรุปแล้วพวกเรากำลังจะไปไหน?”

เย่ฉ่าวเฉินไม่เสแสร้งแกล้งปิดบังเธออีกต่อไปแล้ว เขาพูดขึ้นว่า“โรงเรียนที่อำเภอหลิงที่เราช่วยเหลือทำก่อสร้างวันนี้ตอนสิบโมงจะเริ่มลงมือ ฉันอยากจะพาเธอไปดู”

“ลงมือเร็วขนาดนั้นเลยหรอ?ไม่ใช่ครั้งก่อนที่คุณให้ฉันดูภาพออกแบบนั้นใช่ไหม?”มู่เวยเวยถาม

“ก็คืออันนั้นแหละ ต่อมาก็แก้แล้วแก้อีก”

อันที่จริง มู่เวยเวยคิดว่าเขาเพียงแค่พูดขึ้นเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะช่วยก่อสร้างตึกเรียนขึ้นมาจริงๆ

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง รถก็มาถึงที่จุดหมายโรงเรียนที่ห่างไกลจากอำเภอหลิง

ยังไม่ทันที่จะเข้าไปใกล้โรงเรียน มู่เวยเวยก็มองเห็นนักเรียนจำนวนมากถือผ้าโพกศีรษะสีแดง ยังมีประชาชนชาวชนบทอีกจำนวนหนึ่ง

ข้าราชการตั้งแถวรอรับ และแน่นอนว่ายังมีกล้องถ่ายรูปและไมโครโฟนสัมภาษณ์จากกลุ่มนักข่าวจำนวนหนึ่ง

พึ่งจะก้าวลงจากรถ ก็มีข้าราชการหนึ่งคนเดินเข้ามา ยื่นมือออกมาพร้อมกับแนะนำตัว“ผมคือนายอำเภอของอำเภอหลิง ผมนามสกุลเจ้า มีความขอบคุณและยินดีที่ประธานเย่สามารถมาได้”

“สวัสดี ” เยฉ่าวเฉินจับมือทักทายกับเขา

นายอำเภอเห็นเย่ฉ่าวเฉินไม่แนะนำมู่เวยเวย แต่ก็ไม่ได้ถามมาก และเขาก็ทำการแนะนำคนที่อยู่ทางด้านข้าง “ท่านนี้คือเลขานุการของชุมชน นามสกุลหม่า”

“สวัสดี”

“ประธานเย่ คุณเป็นแขกคนสำคัญของชุมชนเรา ขอบคุณที่สร้างอาคารเรียนใช้กับพวกเด็กๆ ”เลนานุการหม่าเป็นคนที่เรียบง่าย คำพูดสวยหรูเขาพูดไม่เป็นหรอก แต่การที่มือของเขาสั่นแสดงให้เห็นว่าในใจของเขารู้สึกตื่นเต้น

“ไม่ต้องเกรงใจ”เย่ฉ่าวเฉินพูดทักทายสั้นๆ

มู่เวยเวยเดินตามเย่ฉ่าวเฉินเข้าไปในโรงเรียน ทั้งสองข้างทางมีเด็กๆสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆออกมายืนต้อนรับ แต่ว่าดวงตาดูใสซื่อบริสุทธิ์มาก พวกเขามีสายตาที่สงสัยสังเกตคนนอกไม่กี่คนที่มาเยือน โดยเฉพาะมู่เวยเวย

พื้นที่ที่อยู่ห่างไกล ไม่เคยพบเจอคนที่สวมเสื้อผ้าประณีต อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงาม

มู่เวยเวยยิ้มให้พวกเขาอย่างอ่อนโยน เด็กๆต่างเขินอายมุดก้มหน้าและมองหน้ากันเอง เมื่อมู่เวยเวยเดินผ่านไป ก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างดีอกดีใจพร้อมกับมองเธอต่อ

ก่อนเกิดแผ่นดินไหว อาคารเรียนของเด็กๆมีห้าห้องเรียน มีห้องพักครูหนึ่งห้อง และยังมีโรงอาหารหนึ่งห้อง แต่เป็นเพราะพื้นที่ทั้งเก่าและไม่มีการซ่อมบำรุง ปกติก็จะมีรูรั่วตรงนั้นพังตรงนี้พังอยู่บ่อยๆ หลังจากเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวก็พังถล่มลงไปหมด

แต่โชคยังดีที่ตอนนั้นเป็นช่วงที่เด็กๆปิดเทอม ในห้องเรียนไม่มีใคร ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะได้รับ

วันนี้ไม่มีโรงเรียนแล้ว ห้องเรียนก็อยู่ที่ที่ประชุมคณะกรรมการหมู่บ้านที่ถูกต่อเติมโดยหลังคามุงจาก เวลาเช้ายังดีไม่ร้อนมาก แต่พอถึงตอนเที่ยงและบ่าย ด้านในก็จะกลายเป็นกระท่อม ที่ทั้งแออัดทั้งร้อน

หลังจากผ่านการซ่อมบำรุงมาไม่กี่วัน เขตห้องเรียนที่ยุบลงมาก็จัดการซ่อมจนเสมอกันหมดแล้ว และทำการแบ่งเขตเรียบร้อย รอเพียงแค่เสียงประทัดเปิดเริ่มลงมือทำการก่อสร้าง

……

เวลาเก้าโมงสี่สิบนาที นายอำเภอเป็นผู้นำในการกล่าว เขาเริ่มจากการพูดเรื่องแผ่นดินไหวครั้งนี้นำความเสียหายอะไรมาบ้าง และพูดเรื่องที่เย่ฉ่าวเฉินช่วยเหลือเรื่องการก่อสร้าง พูดขอบคุณอยู่หลายรอบ มู่เวยเวยฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกรำคาญในหู

สุดท้าย นายอำเภอก็เชิญเย่ฉ่าวเฉินให้ขึ้นมาพูดอะไรหน่อย ท่ามกลางเสียงปรบมือดังราวกับฟ้าร้องของนักเรียนในโรงเรียนและประชาชนบางส่วน

“สวัสดีทุกท่าน ผมเย่ฉ่าวเฉิน วันนี้ดีใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเจอทุกท่าน พูดตามตรงแล้ว ตอนที่ผมบริจาคไม่ได้คิดว่าจะเอามาช่วยเรื่องการสร้างโรงเรียน แต่มีเพื่อนคนหนึ่งที่เตือนสติผม เธอบอกว่าเอาเงินไปให้กับองค์กรการกุศล ก็ไม่เท่ากับการมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตอนที่ผมเห็นโรงเรียนถล่มที่อยู่ในข่าว ผมรู้สึกเสียใจมาก พวกเด็กๆต่อไปจะเป็นอนาคตของชาติเรา และเป็นอนาคตของครอบครัวในภายภาคหน้า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขาแต่กลับไม่มีที่ให้เรียนหนังสือ แล้วพวกเขาจะกลายเป็นเสาหลักให้กับประเทศได้อย่างไร?ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับเด็กๆ และนี่ก็คือการทำหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมในฐานะของนักธุรกิจผู้ประกอบการคนหนึ่ง”

และก็อีกครั้งกับเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมยินดี

มู่เวยเวยได้ยินที่เขาพูดออกมาจากปาก “เสาหลักของชาติ”สี่คำนี้ เธอเกือบจะหัวเราะออกมา เธอมั่นใจได้เลยว่า เป็นเพราะนักข่าวอยู่ที่นี่ เย่ฉ่าวเฉินถึงได้พูดอย่างมีวาทศิลป์

“อาคารเรียนที่ผมจะสร้างให้เสร็จภายในปลายปีจะเหมือนในภาพภาพนี้ เชื่อว่าทุกคนจะเห็นรูปภาพการออกแบบที่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว อาคารเรียนมีสามชั้น บ้านพักครูมีสองชั้น ยังมีโรงอาหารหนึ่งแห่งที่ทั้งใหญ่และสว่าง ทุกคนวางใจเถอะ บริษัทก่อสร้างที่ผมหามาเป็นคนที่คุ้นเคยกันดี และเคยทำงานกับผมมาหลายปีแล้ว เขารับประกันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำให้ดี สุดท้ายผมมีความปรารถณาเล็กๆ ไม่รู้ว่าทุกคนจะทำให้ผมได้ไหม ”

“คุณพูด……คุณพูด……”คนด้านล่างตะโกนขึ้นมา

เย่ฉ่าวเฉินยกผ่ามือขึ้นมาเป็นสัญญาณให้ทุกคนสงบ “ผมอยากจะเปลี่ยนชื่อให้กับโรงเรียนแห่งนี้ เรียกว่าโรงเรียนประถมเฉินเวย เฉินที่แปลว่าเวลายามเช้า เวยตัวนี้มีตัวอักษรที่มีคำว่าหญ้าอยู่ด้านบนแปลว่าเล็กน้อย”

เมื่อพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็หันไปมองมู่เวยเวย เฉินเวย เฉินเวย เธอได้ยินแล้วใช่ไหม

มู่เวยเวยตะลึงไปสองสามวินาที ที่แท้เขา……ในใจของเธอมีความรู้สึกประทับใจเกิดขึ้น

เลนานุการของชุมชนขอความเห็นชอบจากคนในชุมชนเสร็จ ก็ขึ้นมาเป็นตัวแทนในการพูด“ประธานเย่ คุณมาสร้างโรงเรียนที่ดีๆให้ก็ชุมชนของพวกเรา และยังไม่เก็บเงินกับเราเลยสักบาท แน่นอนว่าคุณต้องมีสิทธิ์ให้ชื่อ พวกเรายินยอม”

“ใช่ ตกลง ……ตกลง……”

เย่ฉ่าวเฉินโค้งตัวลงแสดงถึงการขอบคุญ “ขอบคุณทุกคน”จากนั้นก็ลงจากเวทีและไปยืนอยู่ข้างๆมู่เวยเวย เขาค่อยๆเกี่ยวมือของมู่เวยเวยเข้ามาและถามขึ้นเสียงเบาๆว่า“ของขวัญชิ้นนี้เธอพอใจไม?”

มู่เวยเวยเก็บซ่อนความรู้สึกประทับใจนั้นไว้ พร้อมกับผู้ด้วยความทะนงว่า“ก็โอเค”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ระหว่างคิ้วของเธอที่มันเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่พร้อมกับมุมปากที่มีรอยยิ้ม

นายอำเภอเจ้าพูดเสียงดังขึ้น“ตอนนี้ ผมของทำการประกาศ โรงเรียนประถมเฉินเวยได้เริ่มเปิดลงมือทำการก่อสร้างได้ ณ บัดนี้”

เสียงประทัด“โป้งป้างๆ”ดังขึ้น เย่ฉ่าวเฉินใช้พลั่วขุดลงไปที่ดินก้อนแรก การก่อสร้างของโรงเรียนประถมเฉินเวยได้เริ่มขึ้นแล้ว

จากนั้น โดยการดูแลของนายอำเภอ เลขานุการชุมชนและคนอื่นๆเดินเป็นเพื่อนเย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยตรวจชมพื้นที่ของห้องเรียนสองสามที่ ขณะนี้เป็นเวลาตอนเที่ยงแล้ว คนสามสีคนคนพึ่งจะก้าวเข้าไปในห้องเรียน ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่มากระทบเข้ากับใบหน้า

“พวกเด็กๆดูลำบากกันมากเลย”มู่เวยเวยพูดเสียงเบาๆ ถ้าเทียบกับพวกเราตอนที่ยังเป็นเด็ก พวกเรามีความสุขมากกว่าเขาเยอะเลย

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆจับมือของเธอไว้ “ปลายปีนี้พวกเขาก็จะสามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนใหม่ได้แล้ว”

“ลืมถามคุณไปเลย การก่อสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา ต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่?”

เย่ฉ่าวเฉินพูดตัวเลขออกมา“ประมาณราวๆยี่สิบห้าล้าน ฉันไม่ได้กำหนดตัวเลยงบประมาณ ให้บริษัทรับเหมาทำไปก่อน สุดท้ายค่อยมาคิดเงิน จะเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ ”

มู่เวยเวยพูดล้อเขา“ที่แท้ก็คนรวยทรัพย์สินเงินทองมากมาย”

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะ “ที่ฉันจ่ายคือเงินของที่เป็นทรัพย์สินของเราสามีภรรยาร่วมกันต่างหากล่ะ เธอชมฉันก็เหมือนกับว่ากำลังชมตัวเองอยู่

“ชิ”

ออกมาจากห้องเรียน เย่ฉ่าวเฉินถูกหยุดไว้โดยนักข่าว

“ประธานเย่ คุณจะให้สัมภาษณ์แบบง่ายๆกับพวกเราจะได้ไหม?”นักข่าวสาวสวยถามเขา

“ที่ต้องการพูดเมื่อกี้ผมพูดไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องพูดแล้ว”เย่ฉ่าวเฉินไม่ค่อยชินกับการถูกจับจ้องโดยกล้องจากนักข่าว

นักข่าวหญิงไม่สนใจว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ยอนยอมเธอถามต่อไปว่า“ประธานเย่ พวกเราอยากรู้มากว่า ทำไมถึงต้องการที่จะให้โรงเรียนประถมแห่งนี้ชื่อว่าเฉินเวยล่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินกลับสนใจและยินยอมที่จะให้คำตอบในคำถามนี้“เพราะว่าภรรยาของผมเธอชื่อว่ามู่เวยเวย”

สมองนักข่าวถึงกับชะงักแต่สักพักก็เข้าได้ถึงเหตุผลของตัวมันและพูดชื่นชมขึ้นว่า“ประธานเย่ดีกับภรรยามากเลย”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม “ผมยังมีธุระต่อ หากว่าพวกคุณไม่เข้าในเรื่องของการสร้างโรงเรียนตรงไหน สามารถไปถามบริษัทรับเหมาก่อสร้างได้ พวกเขาเข้าใจรายละเอียดต่างๆได้ดีกว่าผม”

และทันใดนั้นมีนักข่าวที่ใจกล้าคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า“ประธานเย่ ขออนุญาตถามว่าท่านที่ยื่นอยู่ทางด้านข้างของคุณคือคนที่ครั้งก่อนมีข่าวซุบซินว่าเป็นผู้หญิงของคุณ ชื่อคุณเฉียวหรือเปล่า?ทำไมวันนี้งานแบบนี้จึงเลือกที่จะพาคุณเฉียวมา?”

เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังจะยกเท้าก้าวเดินออกไปได้ยินเข้ากับคำถามนี้ก็ถึงกับหยุดเดิน พร้อมกับมองไปที่นักข่าวที่ถามคำถามนั้นจะยิ้มก็ไม่ใช่จะไม่ยิ้มก็ไม่เชิง“คนอื่นล้วนแล้วแต่ห่วงใยกับความเสียหายหลังจากเกิดเหตุการณ์ แต่คุณกลับให้ความสำคัญกับข่าวซุบซิบเรื่องของผม ชั่งเป็นคนที่ให้ความเคารพกับอาชีพของคุณเสียจริง”

นักข่าวที่ถามคำถามรู้สึกตื่นเต้นไปสักพัก แต่ก็หัวแข็งและมองไปที่สายตาของเขาพร้อมกับพูดอย่างหนักแน่นว่า “สามารถให้คำตอบได้หรือไม่?”

เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆคลายมือออก“ตอบได้แน่นอน ผู้หญิงท่านนี้คือฉู่เหยียนผู้อำนวยการเพียงคนเดียวของบริษัทMKฮ่องกง และเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของผม พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน วันนี่ที่พาเธอมาในนามของฮ่องกงที่เป็นพี่น้องร่วมชาติอยากจะทำความเข้าใจในแผ่นดินใหญ่ของเรา หากว่าเธอเกิดความประทับใจแล้ว ไม่แน่ว่าเธออาจจะทำการสร้างโรงเรียนขึ้นมาอีกแห่งก็เป็นได้ เรื่องนี้สำหรับพวกเด็กๆแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ?”

นักข่าวแค้นจนพูดไม่ออก ค่อยๆถอยหลังหลบไปในกลุ่มคนและไม่พูดอีกเลย

นักข่าวคนอื่นๆก็ไปตามหาคนให้สัมภาษณ์คนอื่น มู่เวยเวยถึงกลับถอนหายใจโล่ง “คุณพูดเหลวไหลอะไรทำเอาฉันตกอกตกใจไปหมด เมื่อกี้ฉันกลัวมากว่าพวกเขาจะเอาไมโครโฟนยื่นมาต่อหน้าฉัน ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไง”

“เป็นความผิดของฉัน ฉันควรจะเปิดโอกาสให้เธอสักครั้ง ดูสิว่าเธอจะพูดแก้ตัวยังไง ”เย่ฉ่าวเฉินหยอกล้อเธอเล่น

มู่เวยเวยจ้องตาเขา “อย่างนั้นคุณก็เรียกให้พวกเขากลับมาสิ”

“ไม่กล้าๆ”เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงไปที่ข้างหูของเธอพร้อมกับพูดเสียงเบาๆ“ฉันกลัวว่าตอนเย็นเธอจะไม่ให้ฉันขึ้นเตียงด้วย”

หน้าของมู่เวยเวยเริ่มแดงขึ้นทันที เธอพูดไม่ชนะเขาจึงเหยียบไปที่เท้าของเขา เห็นเขามีสีหน้าเจ็บปวดจนคิ้วไม่เป็นรูป เธอจึงหัวเราะคิๆด้วยความสะใจจากนั้นก็หันหลังและเดินห่างออกไป

เวลาเที่ยงวัน เดิมทีเย่ฉ่าวเฉินจะขอตัวกลับก่อน แต่ถูกเลขานุการของชุมชนเชื้อเชิญให้ไปทานอาหารที่บ้าน มู่เวยเวยไม่เคยทานอาหารของชนบท เธอดีใจอย่างออกหน้า

เย่ฉ่าวเฉินเห็นสายตาที่เป็นประกายของเธอแล้ว จึงยินดีรับคำเชื้อเชิญของเลขานุการชุมชน

ที่นี่เป็นพื้นที่ของอำเภอหลิงที่อยู่ห่างไกลที่สุด การจราจรค่อนข้างยากจะเข้าถึงได้ เศรษฐกินหลักคือปลูกข้าว ดังนั้นที่นี่อากาศดีมากๆ เทียบกับเมือง A ที่มีรถสัญจรไปมามากมาย ที่นี่ดูสงบเงียบกว่าจริงๆ

นายอำเภอเจ้าเห็นเย่ฉ่าวเฉินแขกท่านนี้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แน่นอนว่าต้องดูแลอย่างดีจนจบขั้นตอน ถ้าหากสามารถพูดให้เย่ฉ่าวเฉินมาลงทุ่นที่อำเภอหลิงได้ ก็ถือว่าเป็นผลงานอันยอดเยี่ยม ดังนั้นเขาจึงได้วิ่งไปตรงนูนทีตรงนั้นทีอย่างเร่งรีบ

บ้านของเลขานุการหม่าก็อยู่ไม่ไกล ในเขตของบ้านทำด้วยอิฐ มุมหนึ่งปลูกผักสวนครัว เพราะต้องรับแขกคนสำคัญจึงต้องทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย

แขกเดินเข้ามายังห้องโถง บนโต๊ะจัดวางอาหารสองสามอย่างที่ทำมาจากผักที่ปลูกในชุมชน เห็นแล้วถึงกลับต้องน้ำลายไหล

เลนานุการหม่าเชิญทุกคนนั่งลงอย่างอบอุ่น พายมือไปด้านหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ชนบทไม่มีของอะไรดีๆจะเอามาต้อนรับ ของที่อยู่ตรงหน้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นของในบ้านที่พวกเราปลูกเอง ไม่มีสารเคมีและสดใหม่มาก อีกทั้งกินแล้วสุขภาพดี ทุกท่านอย่าได้รังเกลียดเลย”

มู่เวยเวยดูออกว่าเขาตื่นเต้นมาก เธอยิ้มตาหยีๆและพูดว่า “ฉันรู้สึกว่ามันดีมาก ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ”

เลขานุการหม่ารู้สึกปลื้มปิติ มีเสียงหัวเราะเหอะๆออกมา“แขกคนสำคัญชอบก็ดี พวกคุณทานก่อนได้เลย ผมจะไปที่ห้องครัวเพื่อเร่งใหพวกเขาทำอาหารออกมาเร็วๆ”

มู่เวยเวยดื่มน้ำที่เธอพกติดตัวมาหนึ่งอึก ใช้สายตามองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน “ทานได้แล้วหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินมีอำนาจตัดสินใจในฐานะประธานของโต๊ะ เขายิ้มจากนั้นก็พูดขึ้นว่า“ทุกคนคงจะหิวแล้ว ลงมือทานกันเถอะ”

นายอำเภอเจ้าและข้าราชการบางส่วนก็พูดขึ้นตาม“ทานเลย ทานเลย”

มู่เวยเวยคีบถั่วฝักยาวขึ้นมาหนึ่งชิ้นและเอาเข้าปากไป รสชาติเปรี้ยวแสมหวานเล็กน้อยและยังมีความสดของถั่วฝักยาว ไม่นึกเลยว่าจะอร่อยขนาดนี้

นายอำเภอเจ้าไม่รู้ไปเอาเหล้ามาจากที่ไหน เขารินให้กับเย่ฉ่าวเฉิน แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธออกมาแบบตรงไปตรงมา“ขอโทษจริงๆ ผมไม่สามารถดื่มเหล้าได้”

“นี่……”นายอำเภอเจ้ารู้สึกทำตัวไม่ถูกยิ้มแบบอายๆ

เย่ฉ่าวเฉินอธิบาย “นายอำเภอเจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ผมไม่ดื่มเหล้าในตอนกลางวัน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นกับการทำงาน นี่เป็นกฎของผม”

“อ้อ อย่างนั้นหรอ ”นายอำเภอเจ้าทำได้เพียงเอาเหล้าวางไว้ที่พื้น พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปทั่วใบหน้าและพูดขึ้นว่า “ประธานเย่ ผมสามารถเข้าใจคุณได้ อำเภอหลิงของพวกเราเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี แต่ว่าบรรยากาศสิ่งแวดล้อมต่างๆดูสวยงามมาก ที่นี่ของพวกเรารัฐบาลกำลังทำการส่งเสริมการลงทุนที่แน่นอนว่ามีค่าตอบแทนสูง ถ้าหากว่าคุณมีเวลาว่างก็ลองคิดทบทวนดูอำเภอหลิงของพวกเราด้วย”

เมื่อถูกลากเข้ามาเรื่องงาน เย่ฉ่าวเฉินก็จริงจังขึ้นมาทันที “ในเมื่อนายอำเภอเจ้าวันนี้ได้พูดออกมาแล้ว สักสองสามวันผมจะส่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินมาลองตรวจสอบดู หากว่าเหมาะสมกับการลงทุน ผมก็จะลองคิดดู ”

“อ่า อย่างนั้นดีมากๆเลย ผมจะขอดื่มน้ำแทนเหล้าเพื่อเป็นการขอบคุณคุณหนึ่งแก้ว”นายอำเภอเจ้าพูดขึ้นด้วยความดีใจ

เย่ฉ่าวเฉินยกแก้วขึ้นมาชน

ไม่มีธุระของมู่เวยเวย เธอจึงตั้งใจอยู่กับการกินอาหาร เธอลองชิมอาหารทุกจากที่อยู่บนโต๊ะหนึ่งรอบ น้ำมันน้อยเกลือไม่มาก รสชาติไม่เลวจริงๆ

กำลังทานอย่างมีความสุข ที่หน้าประตูก็มีเด็กน้อยเดินสายไปมา อายุราวๆขวบเศษๆ สวมกระโปรงลายดอกไม้ ด้านบนศีรษะมัดจุก ตาโตๆดูใสบริสุทธิ์ แก้มมีเนื้ออวบอ้วนๆแสมกับสีชมพูระเรื่อ หน้าตาดูน่ารักน่าชัง

เธอมองไปที่โต๊ะอาหารที่มีคนอยู่จำนวนมาก จากนั้นสักพักก็ทำหน้างอ

และเมื่อเดินมาถึงทางด้านข้างของมู่เวยเวย เด็กน้อยก็ยื่นแขนออกมาวาๆยาๆพูดขึ้น ราวกับว่าต้องการที่จะให้เธออุ้ม

มู่เวยเวยเห็นตาโตๆของเธอใจถึงกลับละลายไปหมด เธอก้มลงไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาไว้ที่เอว และถามด้วยความอ่อนโยนว่า“เจ้าหญิงตัวน้อย เธอพูดว่าอะไรหรอ?”

“ผักๆ ผักๆ……”เด็กน้อยชี้ไปที่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ

“อยากทานผักหรอ?”มู่เวยเวยถามด้วยความอดทน

เด็กน้อยค่อยๆพยักหน้า

มู่เวยเวยคีบเอาเต้าหู้เย็นป้อนเข้าปากของเด็กน้อย แก้มของเด็กน้อยอ้วนขึ้นมาทันตา เธอทานอย่างมีความสุข

คนทั้งโต๊ะรู้สึกประหลาดใจ เป็นเพราะว่าวันนี้ผู้หญิงฮ่องกงคนนี้ไม่ค่อยได้พูด มองคนก็แบบเมินเฉย ดูหยิ่งๆแบบนี้ ไม่คิดว่าจะมีจิตใจดี

จะมีก็แต่เพียงเย่ฉ่าวเฉินที่รู้สึกทุกข์ใจ คงเป็นเพราะเธอคิดถึงลูกขึ้นมา

“สาวน้อย เธอวิ่งมาจากไหน รีบลงมาเดี๋ยวนี้”เลขานุการหม่าเดินเข้ามาพูดเสียงดังกับเด็กน้อย

เด็กน้อยเหอะๆหัวเราะชอบใจ แขนทั้งสองกอดไปที่คอของมู่เวยเวยไม่ปล่อย

มู่เวยเวยได้กลิ่นนมหอมๆมาจากในตัวของเธอ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกถึงความเป็นแม่ เธอค่อยๆตบเบาๆที่หลังของเด็กน้อย

เลขานุการหม่าพูดขอโทษ“ขอโทษจริงๆ นี่เป็นหลานของผมเอง พ่อกับแม่ของเธอไปทำงานในเมือง ผมดูแลไม่ดี รบกวนทุกท่านแล้ว”

มู่เวยเวยพูด ,“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเห็นว่าเด็กน้อยคนนี้น่ารักดี ฉันชอบมากๆ ให้ฉันอุ้มเธอเถอะ”

“อย่างนั้น……อย่างนั้นรู้สึกเกรงใจ”

เย่ฉ่าวเฉินเปิดปากพูดขึ้นมา“เลขานุการหม่า คุณไปทำงานของคุณเถอะ ดูเหมือนว่าเธอจะชอบเด็กคนนี้ ให้เธออุ้มสักพักเถอะ”

คำพูดนี้ทำให้เลขานุการหม่ารู้สึกวางใจลงได้“สาวน้อยปกติไม่เป็นเช่นนี้ เธอคงเห็นว่าแขกท่านนี้รูปร่างหน้าตาสวยจึงติดคุณอย่างนี้”

เด็กน้อยค่อยๆปล่อยมือจากคอของมู่เวยเวย และชี้ไปที่มู่เวยเวยพร้อมพูดกับคุณปู่ว่า“พี่คนสวย พี่คนสวย”

ทันใดนั้น คนทั้งโต๊ะก็มีเสียงหัวเราะขึ้นมา

“สาวน้อยต้องเป็นเด็กดีนะ รู้ไหม?”เลขานุการหม่าพูดเตือนหลานสาว

“เด็กดีๆ”เด็กน้อยพูดอย่างน่ารักน่าชัง

อาหารมื้อนี้ทานอย่างมีความสุข มู่เวยเวยสนใจกับการป้อนอาหารให้เด็กน้อย เย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ทางด้านข้างกลัวว่าเธอจะทานไม่อิ่ม คีบอาหารให้เธอไปพลางและคุยธุระกับนายอำเภอเจ้าพร้อมคณะไปพลาง

แขกและเจ้าภาพร่ำลากัน

ตอนเวลากลับ เด็กน้อยจับมือของมู่เวยเวยไว้แน่นอยู่ตลอด และส่งเธอที่ข้างรถ มู่เวยเวยก็รู้สึกไม่อยากจากเธอไป จูบลงไปที่หน้าฝากของเด็กน้อย “สาวน้อย ลาก่อนนะ”

เด็กน้อยน้ำตาไหลทะลักอาบใบหน้าพร้อมกับโบกมือลามู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเหตุการณ์นี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ รีบเข้ามาโอบที่ไหล่ของมู่เวยเวย และพาเธอเดินขึ้นรถไป เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆเมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ออกได้ไม่นาน มู่เวยเวยก็ร้องเสียงดังออกมา

เย่ฉ่าวเฉินรีบดึงเธอเข้ามากอดไว้ที่อ้อมอกพร้อมกับพูดปลอบใจเธอ“เอาล่ะๆ ไม่ร้องแล้วนะ ฉันจะพยายามเร่งหาลูกของเขาและเอาเขากลับมา”

เขายิ่งพูด เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น น้ำตาของเธอชื้นทะลุเสื้อผ้าและไหลทะลุเข้าไปในหัวใจของเขา เขาทั้งแสบทั้งปวดไปหมด

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset