วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 241 : เดินสวนกัน พลาดโอกาสทองไป

“ครับ” คนขับรถจับพวงมาลัยแน่น เหยียบคันเร่ง ต้องการออกจากสถานที่ข้างๆ ไป ใครจะรู้ว่ารถด้านหน้าก็เลี้ยวเข้ามา เขาควบคุมไม่ได้

เสียงดัง”โครม” รถทั้งสองคันชนกัน

เหยี่ยวราตรีดึงปืนที่อยู่ที่เอว เห็นชายคนหนึ่งเดินลงมาจากรถคันข้างหน้า สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวทหาร กางเกงขากว้างสีดำ เท้าทั้งคู่สวมบูทหนังสีดำ เค้าโครงของหน้าลึกลับมาก รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนคนจีน

เหยี่ยวราตรีเปิดประตูลงจากรถ แล้วตะโกนว่า “แม่งเอ๊ย มึงขับรถเป็นหรือเปล่าวะ”

อีกฝ่ายมองกลับมาอย่างดุดัน ใช้ภาษาจีนกลางที่ไม่ค่อยได้มาตรฐานว่า “มึงเป็นใคร? ตามพวกกูมาทำไม? ”

แน่นอนว่าเหยี่ยวราตรีไม่ยอมรับ “น่าตลก ใครบอกว่ากูตามพวกมึงวะ? นี่เป็นเส้นทางที่ออกจากเขตเมือง ทำไม มึงไปได้คนเดียวกูไปไม่ได้ใช่ไหม? ยังมีเหตุผลเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยเหรอ? ”

เคไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือเท็จ เพียงแต่เคมีลางบอกเหตุที่แม่นยำว่า รถคันนี้ตามเขามานานมากแล้ว เขาจงใจเร่งความเร็วหลายต่อหลายครั้ง รถคันนี้ก็เร่งตาม ถ้าบอกว่าไม่ได้สะกดรอยตาม เคไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด

“คนตรงไปตรงมาทำไมจะต้องพูดเลอะเทอะ บอกมา ท้ายที่สุดที่พวกมึงตามมาตลอดทาง ตามพวกกูมาทำไม? ”

เหยี่ยวราตรีเลิกคิ้วหัวเราะเยาะ “เพื่อน มึงพูดว่าพวกกูตามมึงตลอด ถามหน่อย พวกมึงมีอะไรที่น่าไล่ตามวะ? คงไม่ได้ซ่อนเด็กไว้ในรถใช่ไหม? ”

สีหน้าเคเปลี่ยนไป ชักปืนออกจากเอวอย่างรวดเร็วและดุดัน “จะบอกไม่บอก? ถ้าไม่บอกก็อย่ามาโทษว่ากูไม่สุภาพนะ? ”

เหยี่ยวราตรีสีหน้าไม่เปลี่ยน “เพื่อน มึงน่าจะไม่ใช่คนจีนใช่ไหม มึงรู้หรือไม่ว่าการครอบครองปืนโดยผิดกฎหมายถือเป็นอาชญากรรมในประเทศจีน? มีอะไรก็พูดกันดีๆ ทำไมจะต้องใช้มีดใช้ปืนด้วย? มึงไม่กลัวคนขับรถผ่านมาเห็นท่าทางนี้ของมึงแล้วจะโทรแจ้งตำรวจเหรอ? ”

Kชำเลืองมองไปบนท้องถนน พอดีกับรถสองคันขับผ่านไปอย่างช้าๆ เมื่อสบตากับเขาคนขับเหยียบคันเร่งด้วยความตกใจ

“กูคิดว่า มึงก็ไม่อยากจะวุ่นวายกับตำรวจจีนใช่หรือเปล่าล่ะ” เหยี่ยวราตรีพูดโน้มน้าวเขาต่อ

เคลังเลเล็กน้อย แต่ชั่วขณะที่ลังเลนี้ เหยี่ยวราตรีก็ชักปืนออกมา”ปัง”ยิงไปที่มือเขา

เริ่มยิงต่อสู้กันขึ้น

เคและอีกสองคนบนรถเป็นทหารรับจ้างชาวต่างชาติที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มา เพียงแต่เหยี่ยวราตรีก็ไม่ใช่คนอ่อนโยน บวกกับจำนวนคนที่ได้เปรียบอีกฝ่าย เพียงไม่กี่นาที เคและเพื่อนร่วมทางอีกสองคนถูกพาตัวลงมา

นอกจากเคแล้ว อีกสองคนก็ถูกมัดจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง แล้วโยนเข้าไปท้ายรถ

“พูด เจ้านายของพวกมึงไปไหน? ” เหยี่ยวราตรีถาม

เคจ้องมองเขาอย่างดุร้าย หันหน้าไปไม่พูดจา ทว่าด่าทออยู่ในใจ เจ้าคนจีนเหลี่ยมจัดคนนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่ได้ระวังตัว

“ยังจะหยิ่งทะนงอยู่อีก” พูดจบ เหยี่ยวราตรีก็เอาเทปกาวปิดปากเขาไว้

เหยี่ยวราตรีค้นรถออฟโรด ปรากฏว่าไม่เจอเบาะแสใดๆ กำลังคิดว่าจะจัดการเจ้าสามคนนี้อย่างไรดี เครื่องอินเตอร์คอมบนรถออฟโรดก็ดังขึ้น

“เค ทางด้านคุณนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ”

เหยี่ยวราตรีหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “เขาบาดเจ็บอยู่”

ชั่วขณะทางด้านนั้นก็เงียบไป สักพักจึงพูดว่า “พวกมึงเป็นใคร? ”

เหยี่ยวราตรีเริ่มสาธยาย “กูเป็นใครไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือกูขับรถอยู่บนถนนดีๆ มันต้องการที่จะขวางทาง กูเป็นคนอารมณ์โกรธรุนแรงก็เลยขับรถชนเลย เป็นผลให้มันและเพื่อนของมันถูกชนจนเหลือครึ่งชีวิตแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า……” ฉับพลันเสียงหัวเราะของผู้หญิงก็ดังออกมา

เหยี่ยวราตรีฟังออกทันที ว่านี่คือเสียงของเถ้าแก่เนี้ยมู่เวยเวย เช่นนั้นคนที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ น่าจะเป็นจางเหิง

“กูว่า พวกมึงรีบกลับมาพาไปโรงพยาบาลเถอะ ถ้าหากว่าตายอยู่กลางทาง กูไม่เกี่ยวนะ”

“สรุปแล้วพวกมึงอยู่เส้นทางไหน? อยากได้อะไรบอกมาตรงๆ ”

เหยี่ยวราตรีหัวเราะ ใจคิดว่าไม่สามารถทำให้มู่เวยเวยเดือดร้อนได้ในตอนนี้ จึงพูดว่า “พวกมึงชนรถกู แน่นอนว่ากูต้องการเงิน”

“ต้องการเท่าไหร่? ”

เหยี่ยวราตรีกลอกตา “ห้าล้าน”

“หึ! มึงพูดมากไปหรือเปล่า รถได้รับความเสียหายคันเดียวก็เท่านั้น คาดไม่ถึงว่าต้องการถึงห้าล้านเลยเหรอ? ”

“มึงพูดไร้สาระอะไร สรุปจะให้ไม่ให้? ” เหยี่ยวราตรีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

จางเหิงมองไปที่กาวินด้วยสายตาเศร้าหมองจากกระจกมองหลัง รอความคิดเห็นจากเขา

จากนั้นไม่กี่วินาที กาวินก็พูดขึ้นเองว่า “งั้นมึงก็ฆ่าพวกมันไปซะ”

ไม่เพียงแค่เหยี่ยวราตรีกับมู่เวยเวยเท่านั้น แม้แต่จางเหิงที่ขับรถอยู่ก็ตกตะลึง ชั่วพริบตาบรรยากาศแห่งความหดหู่ก็กระจายอยู่เต็มรถตู้ มู่เวยเวยก็เย็นสันหลังความกลัวก่อขึ้นในใจ เวลานี้มู่เวยเวยรู้สึกว่า วิธีการเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยม กาวินตัวจริงไม่เคยคิดถึงชีวิตของคนอื่น แต่หลายวันมานี้ที่ทำโอบอ้อมอารีกับเธอ ทั้งหมดเป็นเพราะเธอยังมีความคุ้มค่าในการใช้หาประโยชน์ ถ้าเขารู้ว่า แท้จริงแล้วไม่มีสมบัตินี้อยู่ เธอและลูกจะต้องตายอย่างอนาถแน่นอน

จบการสนทนา เหยี่ยวราตรีมองกลับไปที่เคที่ดูหดหู่สิ้นหวังอย่างเอาจริงเอาจัง ผายมือออกแล้วพูดว่า “น่าเวทนาจังเลยวะเพื่อน มึงถูกเจ้านายพวกมึงทอดทิ้งแล้ว”

เคก้มหน้าไม่พูดจา แต่ในใจเป็นทุกข์อย่างมาก เขาเป็นทหารรับจ้างชาวต่างชาติ เกี่ยวข้องกับเจ้านายเพียงแค่เงินทองเท่านั้น ในเมื่อตนเองทำตามคำสั่งเจ้านายไม่สำเร็จ ก็ควรได้รับการลงโทษ แต่ได้ฟังคำพูดนี้ของเขาด้วยหูตนเอง ยังคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะผิดหวัง

เหยี่ยวราตรีเปิดเทปบนปากเขาออก ค่อยๆ พูดโน้มน้าวว่า “เพื่อน ในเมื่อเจ้านายมึงทอดทิ้งมึงแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องในการว่าจ้างระหว่างมึงกับเขาแล้ว ถ้าเปิดเผยสถานที่ที่เขาไปก็ไม่นับว่าเป็นการทรยศข้อตกลงนะสิ”

“กูไม่รู้” เคพูดตรงๆ

“ห๊ะ? หมายความว่าไง? ” เหยี่ยวราตรีไม่ได้ตอบกลับไปชั่วขณะ หนุ่มใหญ่ชาวต่างชาติคนนี้อาจจะเปลี่ยนเร็วเกินไปหน่อย เขายังคงคิดว่าอีกสักครู่ต้องตายอย่างแน่นอน

เคกลอกตา “กูไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหนกัน พวกกูเพียงแค่ตามรถข้างหน้าไป”

เหยี่ยวราตรีเข้าใจได้ทันที แล้วถามอีกว่า “เจ้านายพวกมึงชื่ออะไร? ”

“ไม่รู้”

เหยี่ยวราตรีงงเลย “เจ้านายของพวกมึงมังก็ไม่รู้เหรอว่าชื่ออะไร? ”

“ปกติพวกกูจะเรียกเขาว่าเจ้านาย ชื่อจริงชื่ออะไรก็ไม่รู้”

“เฮ้อ……” เหยี่ยวราตรีไม่รู้จะพูดอะไร เพียงแต่เขาคิดว่าเจ้าหมอนี่น่าจะไม่ได้โกหก ตอนนี้เขาไม่มีความจำเป็นแล้ว”

เหยี่ยวราตรีลงจากรถแล้วโทรบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดทางด้านนี้กับเย่ฉ่าวเฉิน

เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปชั่วขณะ “คุณโทรแจ้งตำรวจเลย พอตำรวจใกล้จะถึงที่เกิดเหตุก็ออกไป พวกนี้ไม่มีหนังสือเดินทางจะถูกส่งกลับไปต่างประเทศ อย่าเปลืองแรงคนของเรา”

“รับทราบเจ้านาย”

“แล้วก็ ถามให้ได้ว่าฐานที่มั่นของเจ้านายพวกมันอยู่ที่ไหน น่าจะไม่ใช่แค่สองที่นั่นที่เราเคยไป” เย่ฉ่าวเฉินถูกจูงมานานขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องตอบโต้เล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว” เหยี่ยวราตรีกล่าวด้วยความกระตือรือร้น

“รถของคุณยังขับได้ไหม? ” เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงคำถามที่สำคัญ

เหยี่ยวราตรีใช้เท้าเตะไปที่หน้ารถที่ถูกชนจนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “น่าจะขับได้ เจ้านาย คุณไม่ต้องกังวลทางด้านนี้ เสี่ยวฟางกำลังตามพวกเขาอยู่ คุณติดต่อเขาได้โดยตรง ฉันก็จะรีบไปให้เร็วที่สุด”

“โอเค คุณระวังความปลอดภัยด้วย”

เหยี่ยวราตรีเก็บโทรศัพท์ ฉับพลันก็นึกถึงคำพูดนั้นของเจ้านายของเค ก็อดไม่ได้ที่จะปลื้มอกปลื้มใจ เย่ฉ่าวเฉินดีกับเขามาก

……

จากที่กาวินพูดประโยคนั้นออกมา ความกดอากาศในรถก็ต่ำมาก เด็กดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศนี้ ก็กอดแม่จนแน่นเพื่อหาความอบอุ่น

จางเหิงด้านหน้าก็เม้มปาก ในใจก็เป็นทุกข์เล็กน้อย เคเป็นลูกน้องของเขา เป็นเขาเองที่ชักจูงเข้ามา ปกติก็จะติดต่อกับเขามากที่สุด คิดไม่ถึงว่าวันนี้ เขาจะถูกเจ้านายทอดทิ้งอย่างไร้ความปรานี

กาวินชำเลืองมองจางเหิง จากปากของเขาก็ดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ พูดเรียบๆ ว่า “คุณรู้สึกว่าฉันไร้ความปรานีเกินไปใช่ไหม? ”

“ไม่เลย เปล่าเลย” จางเหิงไม่กล้าโต้แย้ง ชีวิตของเขานี้ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากเงื้อมมือของเย่ฉ่าวเฉิน เขาไม่ได้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้

“ฉันตัดสินใจทำเช่นนี้ เป็นการจัดการพลิกแพลงที่ดีที่สุด อีกทั้งเคกับอีกสองคนจะไม่ตายหรอก”

จางเหิงตกตะลึงเล็กน้อย ถามอย่างงงๆ ว่า “เจ้านาย ฉันไม่เข้าใจ”

กาวินอธิบายว่า “อีกฝ่ายติดตามเราด้วยจุดประสงค์สองประการ อย่างแรก แผนที่สมบัติ อย่างที่สอง มู่เวยเวย ไม่ว่าอย่างไหนในทั้งสองอย่างนี้ ฉันจะไม่ยอมรับเงื่อนไขของพวกเขา เช่นนั้นไม่ดีเท่ากับเด็ดขาดไปเลย ทิ้งพวกเขาทั้งสามคนไป เช่นนี้เคก็ไม่มีค่าในการใช้ประโยชน์ใดๆ แล้ว พวกเขาก็ไม่คุ้มค่าที่จะฆ่าคนไร้ประโยชน์ทั้งสามคน อย่างนี้ก็สามารถทำให้พวกเขาลำบากมากขึ้น”

การแสดงออกของจางเหิงผ่อนคลายลงมาก เจ้านายยังคงคิดได้ละเอียดรอบคอบ เขาใจแคบเกินไป เพียงแต่วิธีนี้ แม้ว่ามิตรภาพของพวกเขากับเคจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

มู่เวยเวยได้ฟังการวิเคราะห์ของกาวิน อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าในใจ เพราะมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ เย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถฆ่าคนได้

“คุณดูเหมือนจะผิดหวังมากเลยนะ” กาวินหันมามองมู่เวยเวย

มู่เวยเวยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็นั่นนะสิ? เดิมทีความเป็นไปได้ที่จะมาช่วยฉันมี50เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้กลายเป็นศูนย์ไปแล้ว”

กาวินรู้สึกว่ายิ่งนานวันยิ่งไม่เข้าใจผู้หญิงตรงหน้า สรุปแล้วคำพูดไหนจริง คำพูดไหนเท็จ เขาไม่สามารถแยกแยะออกมาได้เลย

เสี่ยวฟางเพื่อไม่ให้ถูกค้นพบ ก็ตามไกลๆ อยู่ด้านหลัง มีรถแทรกระหว่างกลางเป็นระยะๆ ก็ช่วยเขาซ่อนร่องรอยการติดตามได้ไม่น้อย โชคดีที่ถนนสายนี้มีทางแยกน้อยมาก ยังไม่ถึงกับว่าทิ้งหายไป

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง รถขับเข้าไปในเมืองเล็กๆ ระหว่างภูเขาสองลูก เป็นเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำ แสงไฟยามเย็นสว่างขึ้นมาแล้ว จากระยะไกลมองเห็นเหมือนเรือลอยอยู่บนน้ำ

ด้านหลังภูเขานี้ ก็คือสถานที่ที่พวกเขาต้องค้นหาในวันพรุ่งนี้

สองมังกรชิงแก้ว นี่เป็นฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดที่จักรพรรดิเลือกใช้เป็นสุสาน

เสี่ยวฟางเห็นรถสองคันข้างหน้าหยุดอยู่ที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง เกรงว่าจะเป็นจุดสนใจ เขาเลยขับรถเข้าไปในเงามืด เห็นว่าพวกเขาเข้าไปด้วยตาตัวเองแล้ว เสี่ยวฟางก็ต่อสายโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน

“เจ้านาย พวกเขาพักที่โรงแรมแล้ว”

“ดีมาก เรายังมีเวลาอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง คุณจับตาดูไว้ อย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด”

“เข้าใจแล้ว”

เข้าใกล้มู่เวยเวยมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินดีขึ้นมาก

“รอสักพักฉันจะแกล้งไปพักที่โรงแรม เราจะโจมตีจากภายนอกแล้วตอบสนองจากภายใน เช่นนี้จะยิ่งไร้ข้อผิดพลาด” มู่เทียนเย่กล่าวแนะนำ

เสี่ยวซีหร่านเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย “ฉันต้องการไปกับคุณด้วย คุณเป็นผู้ชายคนเดียวไปพักที่โรงแรมมันแปลกเกินไป คู่รักไปพักโรงแรมด้วยกันจะปกติกว่า”

“คุณรออยู่ด้านนอกเถอะ หากมีอะไรผิดพลาดจะทำยังไง? ” มู่เทียนเย่พูดอย่างจริงจัง

“ฉันจะเกิดเรื่องอะไร? คุณวางใจ……”

เสี่ยวซีหร่านยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินพูดตัดบทว่า “พวกคุณไม่ต้องไปทั้งสองคน”

“ทำไมล่ะ? ” มู่เทียนเย่กับเสี่ยวซีหร่านพูดพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ

เย่ฉ่าวเฉินวิเคราะห์อย่างใจเย็นว่า “พวกคุณลองคิดดู จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจอกับมู่เวยเวย? เขาเห็นพี่ชายตนเอง เห็นเพื่อนสนิทอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้า พวกคุณว่าเธอจะแสดงอาการอย่างไร? ถึงเวลาก็จะไม่รอให้พวกคุณเปิดเผยตัวเอง อารมณ์ความรู้สึกของเธอก็จะหักหลังพวกคุณเอง”

มู่เทียนเย่กัดฟัน เขาอยากช่วยน้องสาวของตนเองออกมาอย่างมาก แต่ที่เย่ฉ่าวเฉินพูดก็ถูก เพียงแค่มู่เวยเวยเห็นหน้าเขา ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ได้อย่างแน่นอน

“งั้นจะทำยังไง? ” เสี่ยวซีหร่านถามอย่างผิดหวัง

เย่ฉ่าวเฉินไตร่ตรองอยู่สักครู่ “ก่อนอื่น พวกเราต้องเข้าใจอย่างชัดเจนก่อนว่า มู่เวยเวยพักอยู่ที่ห้องไหน นี่น่าจะมีการลงทะเบียนที่แผนกต้อนรับ เพียงแต่จะตรวจสอบได้หรือไม่ มู่เทียนเย่ คุณลองดูก็ได้”

“ลองอะไร? ” มู่เทียนเย่ตกตะลึง

สมองของเสี่วซีหร่านน่าจะอ่อนโยนกว่า ตบๆ หน้าเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอนว่าต้องใช้ความงามให้เกิดประโยชน์”

“ถ้าแผนกต้อนรับเป็นผู้ชายล่ะ? ”

“ยังต้องบอกอีกเหรอ แน่นอนว่าต้องเป็นฉันสิ” เสี่ยวซีหร่านอาสาตนเอง

มู่เทียนเย่กุมขมับ ผู้หญิงของเขามักจะเป็นแบบนี้……เต็มไปด้วยความน่าทึ่งและมีชีวิตชีวา

“แต่ตามที่ดูหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ ตอนลงทะเบียนพวกเขาจะไม่ใช้ชื่อจริง ดังนั้นเวลาคุณถามพยายามถามให้ชัดเจน หญิงที่อุ้มเด็กอยู่ห้องไหน เช่นนี้เพื่อให้เป้าหมายของเราชัดเจนยิ่งขึ้น

“อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว”

“หากชัดเจนแล้วว่าเวยเวยอยู่ห้องไหน เรื่องที่เหลือก็ส่งมอบให้ฉัน ฉันจะพาพวกเขาออกมา” ในคำพูดของเย่ฉ่าวเฉินซ่อนความหมายไว้ลึกซึ้ง

มู่เทียนเย่เข้าใจได้ทันที เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะใช้พลังเหนือธรรมชาติของเขา

ชั่วขณะเสี่ยวซีหร่านไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ ยังคงถามว่า “คุณเพียงคนเดียวจะทำได้เหรอ? เราไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นบริกรหรืออะไรเหรอ? ”

“ไม่ต้อง” เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธอย่างคล่องแคล่ว บางครั้งคนยิ่งมาก ยิ่งง่ายต่อการเกิดเรื่องเสียหาย

เสี่ยวยังอยากที่จะพูดอะไรต่อ นิ้วมือก็ถูกมู่เทียนเย่หยิกเบาๆ เล็กน้อย เธอหันกลับ มู่เทียนเย้ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความหมายที่ครอบคลุมมองเธอแล้วพูดว่า “เขามีวิธีจัดการ”

ทันใดเสี่ยวซีหร่านก็นึกออกถึงคำที่มู่เทียนเย่เคยพูดกับเธอ อ๊ะ! ใช่แล้ว เธอลืมไปได้อย่างไร เย่ฉ่าวเฉินมีเทคนิคในการทะลุผ่านกำแพงได้นี่นา

ทันใดนั้นเธอก็ตื่นเต้นมาก เธอกำลังจะได้เห็นพลังวิเศษนี้ด้วยตาของเธอเอง

เย่ฉ่าวเฉินมองการสื่อสารระหว่างกันของคนทั้งสองด้วยสายตาที่เย็นชา สายตาจับจ้องที่มู่เทียนเย่ “คุณบอกเธอเหรอ? ”

มู่เทียนเย่พูดอย่างตรงไปตรงมา “เธอไม่ใช่คนอื่น”

เสี่ยวซีหร่านหัวเราะ ตบเบาๆ ที่บ่าของเย่ฉ่าวเฉินอย่างตรงไปตรงมา “คุณวางใจได้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยชินกับการทำกิริยามารยาทของคุณคนนี้ แต่จะไม่เปิดเผยความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นอย่างแน่นอน ฉันยังมีขอบเขตอยู่บ้าง”

“เชอะ” เย่ฉ่าวเฉินเบ้ปากอย่างทะนงตัว หันตัวกลับแล้วไม่สนใจสองคนนี้อีก

หลังจากได้พบกันกับเสี่ยวฟาง เย่ฉ่าวเฉินมองรถยนต์สองคันนั้นที่หน้าประตูโรงแรม

“คุณผู้หญิงและคนสวมหน้ากากคนนั้นนั่งอยู่ด้านหลังรถHummer ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมงพวกเขาเข้าไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ออกมา”

เย่ฉ่าวเฉินถามว่า “เข้าไปกี่คน? ”

เสี่ยวฟางคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ประมาณเจ็ดคน”

“งั้นก็ไม่ผิด ครั้งที่แล้วที่โรงแรมขนาดเล็ก เถ้าแก่บอกว่าฝ่ายตรงข้ามมีสิบคน วันนี้เหยี่ยวราตรีกำจัดทางด้านนั้นไปแล้วสามคน” เย่ฉ่าวเฉินมองโรงแรมในความมืดมิดยามค่ำคืน ทั้งหมดมีสี่ชั้น ชั้นบนสุดมีอักษรนีออนตัวใหญ่แขวนอยู่สี่ตัวว่า “โรงแรมดวงดี” เพราะว่าคือ

ในช่วงเวลาดังกล่าว อัตราการเข้าพักสูงมาก เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของตึกสี่ชั้นสว่างไสว

เวลานี้ เวยเวยและลูกก็อยู่ในจำนวนแสงไฟหนึ่งนี้

มองเข้าไปอีกทางที่กั้นไว้ ด้านในห้องโถงใหญ่แสงไฟสว่างไสว มู่เทียนเย่จัดปกเสื้อแล้วพูดว่า “ฉันไปแล้วนะ”

เสี่ยวซีหร่านยิ้มแป้นแล้วพูดว่า “สุดหล่อ สู้ๆ นะ”

มู่เทียนเย่มองเธออย่างไม่สบอารมณ์ เปิดประตูลงจากรถ

“เดี๋ยวก่อน” เสี่ยวซีหร่านดึงลิปสติกที่ยังไม่ได้เปิดออกในกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา “นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงโปรดปรานมากที่สุด ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถทนต่อการดึงดูดของมันได้”

มู่เทียนเย่รับมาไว้ในมือ “นี่คล้ายกับสิ่งที่คุณเลือกอยู่นานแสนนาน……”

เสี่ยวซีหร่านโบกมือแล้วพูดว่า “ไอ๋หยา ลิปสติกแท่งเดียวก็เท่านั้น เพียงแค่ช่วยชีวิตมู่เวยเวยออกมาได้ จะให้อีกสิบแท่งฉันก็ยินดี”

มู่เทียนเย่นำลิปสติกซ่อนไว้ในกระเป๋า ก้าวเท้าเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของโรงแรม แผนกต้อนรับเป็นสาวสวยสวมชุดสีน้ำเงินเข้ม เห็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งเดินเข้ามา ดวงตาก็เป็นประกายทันที รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งหวาน

“คุณผู้ชาย ต้องการเช็กอิน ? ” สาวสวยใช้วิธีที่ดีเลิศทักทายเขา

มู่เทียนเย่พาดแขนไปที่ด้านบนเคาท์เตอร์ ยิ้มอย่างทำให้คนหลงใหลอย่างมาก “คนสวย วันนี้คุณแต่งหน้าเหมาะกับคุณมากเลย”

ใบหน้าของสาวสวยดีใจอย่างมาก “ขอบคุณค่ะ” เมืองเล็กๆ นี้มีผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบนี้น้อยมาก เธอกวาดสายตามองผู้ชายตรงหน้าคนนี้อย่างรวดเร็ว ด้านบนสวมเสื้อเชิ้ต เสื้อแจ็คเก็ต เนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตดีมาก เธอมองไม่ออกว่าเป็นแบรนด์อะไร แต่เสื้อแจ็คเก็ตด้านนอกตัวนี้เธอเคยพบบนนิตยสารแฟชั่นเล่มหนึ่งเมื่อสองวันก่อน เป็นคอเล็กชันใหม่ฤดูใบไม้ร่วงของDiorในวันนี้

“คนสวย ฉันรบกวนเรื่องอะไรคุณอย่างหนึ่งได้ไหม? ” มู่เทียนเย่ทำต่อไปเขาใช้เสียงเบาๆ ดึงดูดฝ่ายตรงข้าม

“คุณพูดมาเลย ตราบใดที่ฉันสามารถช่วยคุณได้”

“ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อน มีคนเจ็ดคนมาเข้าพักที่นี่ หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวที่อุ้มเด็กเล็กคนหนึ่ง ช่วยฉันตรวจสอบหน่อยได้ไหมว่า เธอพักอยู่ห้องไหน? ”

รอยยิ้มบนใบหน้าสาวสวยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างมาก พูดอย่างสับสนว่า “ขอโทษด้วยค่ะ นี่คือความลับของแขกที่มาเข้าพัก ฉันไม่สามารถบอกคุณได้”

มู่เทียนเย่เดาได้ถึงผลลัพธ์นี้อยู่แล้ว พูดต่อไปว่า “ฉันรู้ว่ามันเป็นกฎระเบียบของโรงแรม แต่ฉันแค่ต้องการรู้ว่าเธอพักอยู่ห้องไหนก็พอแล้ว ฉันไม่ได้เข้าไปหาเธอ”

“แต่ว่า…..ฉันจนปัญญาที่จะเปิดเผยความลับได้จริงๆ ” สาวสวยกัดฟันแน่นไม่ยอมเอ่ยปาก

มู่เทียนเย่ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังแต่อย่างใด แต่หยิบลิปสติกรูปลักษณ์งดงามแท่งนั้นที่เสี่ยวซีหร่านให้ออกมาจากในกระเป๋า ดันไปยังตรงหน้าของสาวสวย ใช้คำพูดที่จริงใจอย่างมากว่า “เธอคือคนสำคัญของฉัน ขอร้องคุณล่ะ”

สาวสวยก้มหน้าลงมอง ดวงตาทั้งคู่สว่าง”วิ้ง”ขึ้นมา

โอ้มายก็อด นี่คือลิปสติกchristian louboutinแบรนด์ฝรั่งเศส แท่งหนึ่งหลายพันหยวน ไม่สามารถซื้อแบรนด์นี้ได้อย่างสิ้นเชิงในเมืองเล็กๆ เธอก็เห็นได้เพียงโฆษณาในทีวี คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบสินค้าจริง

หยิบลิปสติกจากบนเคาท์เตอร์มาอย่างรวดเร็ว สาวสวยก้มเล็กน้อยเพื่อค้นหาบันทึกการเช็กอิน “พวกเขาเช็กอินด้วยกันทั้งหมดสี่ห้อง 8508 ถึง 8511 เวลานั้นฉันนำการ์ดห้องสี่อันให้พวกเขา ส่วนพวกเขาจะจัดสรรแบ่งกันยังไง ฉันก็ไม่รู้”

“ขอบคุณมาก ฉันสามารถขอยืมใช้ห้องน้ำสักหน่อยได้ไหม? ” มู่เทียนเย่ถามอย่างสุภาพ

มีลิปสติกแท่งนี้ ความต้องการทั้งหมดของเขาสาวสวยล้วนพึงพอใจ “คุณเดินเข้าไปตามทางเดินนี้ เดินไปสุดทางก็จะเป็นห้องน้ำ”

มู่เทียนเย่โค้งตัวเพื่อขอบคุณ

ในเส้นทางไปห้องน้ำ เขามองๆ ผ่านป้ายเลขประตูห้อง 8119 8120….ดูๆ แล้วเลขห้องน่าจะเริ่มเรียงลำดับจากทางด้านหัวนั้น

ในแนวคิดของคนจีน สี่เป็นตัวเลขที่ไม่เป็นมงคล ด้วยเหตุนี้โรงแรมจำนวนมากจะเปลี่ยนชั้นสี่เป็นชั้นห้าโดยตรง “โรงแรมดวงดี”แห่งนี้ก็ไม่ยกเว้น

กลับถึงบนรถ มู่เทียนเย่บอกข่าวคราวทั้งหมดที่เขาทราบ

เย่ฉ่าวเฉินมองหน้าต่างของชั้นสี่ทีละห้องๆ 8508 น่าจะเป็นห้องที่สี่ แล้วก็ตรงข้ามพวกเขาคือ8510 เวลานี้ ยืนยันด้วยไฟที่สว่างของสองห้องนี้

“ตอนนี้จะทำยังไง? ” ความรู้สึกของเสี่ยวตื่นเต้นอย่างไม่สามารถอธิบายได้

“รอ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเรียบง่ายว่า รอพอดึกเงียบสงัด รอให้พวกเขานอนหลับทั้งหมด ถึงแม้ตอนนี้ความรู้สึกภายในใจของเขาจะร้อนรนซะกว่าเสี่ยวซีหร่านอีก แทบอยากจะขึ้นไปตอนนี้เลย แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงรออย่างสงบ

จางเห่อเห็นร้านอาหารร้านอยู่ไม่ไกล พูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “เจ้านาย ฉันจะไปซื้อข้าวสองสามกล่องกลับมา”

“ฉันไม่หิว” ในใจเย่ฉ่าวเฉินคิดวางแผนเรื่องราว

“คุณไม่ได้ทานอาหารเลยทั้งวัน ไม่ว่ายังไงก็ควรทานสักหน่อย”

มู่เทียนเย่พูดเรียบๆ ว่า “คุณไปเถอะ ซื้อกลับมาเดี๋ยวเขาก็ทานเอง”

จางเห่อกลัวคนคนนี้เล็กน้อย พูดคำหนึ่งว่า”ครับ”แล้วลงจากรถ เดินไปยังรถอีกคันหนึ่งแล้วเคาะกระจกรถ เสี่ยวฟางลงจากรถตามไปซื้อข้าว

วุ่นอยู่ทั้งวัน คนทั้งหมดจึงไม่ได้ทานอาหาร ถึงแม้ว่าจะแข็งแรงก็ทนทรมานไม่ไหว

เวลาผ่านไปทุกนาทีทุกวินาที เวลากลางคืนก็ยิ่งมืดมิด หน้าต่างโรงแรมแต่ละบานแต่ละบานก็ยิ่งมืดมิดลงไป เมื่อเวลาใกล้จะเที่ยงคืน ไฟของห้อง 8508 และ 8510 ต่างก็ทยอยกันดับไฟ

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงกว่า เย่ฉ่าวเฉินพูดเบาๆ ว่า “ฉันจะปีนหน้าต่างขึ้นไปดูก่อน แบบนี้จะสามารถประหยัดกำลังของฉันได้”

ถึงแม้เขาจะเคลื่อนย้ายได้ในชั่วพริบตา ทะลุผ่านกำแพงได้ แต่ก็สามารถใช้ได้มากที่สุดเพียงสามครั้ง

ความงุนงงในสายตาของเสี่ยวซีหร่านก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาฉับพลัน พยักหน้าซ้ำๆ “อืมๆ คุณไปเถอะไม่ต้องกังวล”

เย่ฉ่าวเฉินหันมาจ้องมองเธอ ทำไมฟังคำพูดนี้ของเธอแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าไปแล้วไม่ได้กลับ ลงจากรถ มาถึงภายนอกของโรงแรม

ช่วงเวลากลางคืนของโรงแรมเล็กๆ เงียบสงัดอย่างมาก ในความมืดมิดมีเพียงเสียงน้ำที่ไหล เสียงลมพัดหวีดหวิว แล้วก็มีเสียงแมลงร้องต่อเนื่องกันไปเป็นระลอก ไม่มีรถสัญจรไปมาสักคัน

เย่ฉ่าวเฉินยืนเตรียมการอยู่ด้านนอกโรงแรมเดี๋ยวเดียว ร่างกายก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาในอากาศ

เสี่ยวซีหร่านที่อยู่ในรถก็คว้ามือทั้งคู่ของมู่เทียนเย่อย่างตื่นเต้น “โอ้มายก็อด เขาบินขึ้นมาแล้ว เขาบินขึ้นมาแล้ว”

มู่เทียนเย่ก็เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก ตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าเสี่ยวซีหร่าน นี่คือทักษะของคนที่มีวิชาตัวเบาในภาพยนตร์จอมยุทธจริงๆ

“โอ้มายก็อด นี่ช่างเหลือเชื่อจริงๆ ” เสี่ยวซีหร่านจ้องมองเงาร่างสีดำเงานั้นที่ลอยขึ้นชั้นสี่อย่างไม่ละสายตา พูดกับตัวเองว่า “ถ้าตอนนี้มีคนมาเห็นฉากนี้เข้า จะต้องคิดว่าตนเองเห็นผีแล้วตกใจจนหมดสติไปเป็นแน่”

มู่เทียนเย่พยักหน้า “ฉันก็รู้สึกแบบนี้”

ลองคิดดู ดึกมากแล้ว เงาสีดำของคนคนหนึ่งลอยมาลอยไปอยู่นอกหน้าต่าง บางครั้งยังนอนฟุบมองอยู่ที่หน้าต่าง นี่ก็คือหนังผีบวกกับหนังสยองขวัญ

“เฮ้ย เขาหายตัวไปแล้ว” เสี่ยวซีหร่านกะพริบตาๆ เงาดำที่ชั้นสี่หายสาบสูญไปแล้วจริงๆ เธอตกใจหันกลับมาถามมู่เทียนเย่ว่า “นี่ก็คือที่เขาบอกว่าเคลื่อนย้ายได้ในชั่วพริบตาเหรอ? ”

มู่เทียนเย่อ้าปากค้าง “น่าจะใช่นะ”

“ตื่นเต้นมากเกินไปแล้ว มีเวลา อยากจะให้เย่ฉ่าวเฉินแสดงให้ฉันดูสักรอบหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าจะยอมหรือไม่ยอม”

มู่เทียนเย่เคาะหัวของเธอ “คุณคิดมากเกินไปแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็จะใช้เพียงจมูกโด่งๆ ตอบคำถามของเขากับคุณเท่านั้น”

“คุณพูดถูก”

อีกด้านหนึ่งในโรงแรม

เย่ฉ่าวเฉินอาศัยแสงจันทร์มองห้อง 8508 และ 8510ว่าไม่ใช่ห้องที่เธอต้องการจะหาคน ด้วยเหตุนี้จึงมุ่งทั้งร่างกายและจิตใจ มาถึงห้อง8511โดยตรง

นี่คือห้องสแตนดาร์ดห้องหนึ่ง แสงมืดมาก เย่ฉ่าวเฉินยังคงมองเห็นเตียงที่ว่างเปล่าหลังหนึ่ง อีกเตียงมีคนคนหนึ่งนอนอยู่ ด้านฝ่ายตรงข้ามที่นอนอยู่มองหน้าได้ไม่ชัดเจน

เย่ฉ่าวเฉินก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างเบาๆ ในแสงจันทร์ที่สลัว มีหน้ากากสีเงินอันหนึ่งวางอยู่บนเคาท์เตอร์หัวเตียง เขาใจเต้นถี่ นี่ก็คือชายที่สวมหน้ากากคนนั้นงั้นเหรอ?

ใจที่อยากรู้อยากเห็นอย่างมากโน้มน้าวให้เขาอยากเห็นหน้าตาของคนที่อยู่บนเตียงอย่างชัดเจน หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว……

เมื่อเขากำลังจะเห็นใบหน้านั้น คนที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินก็หายไปในอากาศทันที

สายตาของชายที่ราวกับเหยี่ยวที่จ้องมองบางอย่างในความมืด การนอนหลับของเขาตื้นมาก อีกทั้งยังรู้สึกถึงความผิดปกติได้อย่างว่องไว เมื่อมีดวงตาจ้องมองเขา เขาก็สามารถมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้

เมื่อกี้ใครเข้ามา? กาวินกล่าวในใจ

กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยหลงเหลืออยู่ในอากาศ ถึงแม้ว่าจะจางมาก แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่น

ทันทีเขาก็นึกได้ถึงชายคนนั้นที่เคยปรากฏตัวที่คฤหาสน์ของเขามาก่อน สัญญาณเตือนในใจก็สั่นขึ้นมา หยิบหน้ากากขึ้นสวมหน้าแล้วมุ่งตรงออกนอกประตูไป

เย่ฉ่าวเฉินเห็นชั่วพริบตาที่กาวินลืมตา ก็ปรากฏออกมาที่กำแพงห้อง8509ที่อยู่ข้างๆ

หูได้ยินเสียงลมหายใจของคนสามคน สองคนเป็นผู้ใหญ่ คนหนึ่งเป็นเด็ก

มู่เวยเวยและลูกอยู่ที่ห้องนี้ ไม่ผิดแน่

เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปใกล้เตียงหลังนั้นที่พิงติดหน้าต่าง ไม่ใช่เวยเวย เขามาถึงที่อีกเตียงด้านใน คนคนนั้นที่คิดถึงกำลังนอนหลับพริ้มอยู่ ในอ้อมกอดคือลูกของเขาที่เหมือนกันราวกับแกะ

ความรู้สึกภายในใจโหมกระหน่ำ

เย่ฉ่าวเฉินปิดปากของเธอเบาๆ ก้มลงไปกระซิบเรียกข้างหูเธอ “เวยเวยตื่นๆ เวยเวยตื่นๆ ”

บางทีอาจจะต้องการดูแลลูก การนอนหลับของมู่เวยเวยจึงตื้นมาก ได้ยินเสียง ก็ลืมตาสะลึมสะลือ ใบหน้าที่คุ้นเคยหน้าหนึ่งก็เข้ามาใกล้อย่างมาก

เธอแทบจะส่งเสียงร้องออกมา โชคดีที่เขาปิดปากของเธออยู่

“อย่าส่งเสียง ฉันจะพาคุณออกไป” เย่ฉ่าวเฉินกระซิบบอก

มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างตื่นเต้น เวลานี้ มีเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรงและเสียงตะโกนของผู้ชายจากด้านนอก “ไม่ต้องนอนแล้ว”

อลิซถูกเสียงของเจ้านายทำให้ตกใจตื่น หันกลับไปมอง คาดไม่ถึงว่าด้านข้างมีเงาดำเงาหนึ่งยืนอยู่

“คุณเป็นใคร! ” อลิซตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก็ไม่ได้พิจารณาว่าร่างกายสวมเสื้อผ้าหรือไม่ พลิกตัวและต่อสู้กับเย่ฉ่าวเฉิน

เสียงการต่อสู้ดังรบกวนผู้คนด้านนอก การเคาะประตูก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

อลิซผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ ฝีมือดีมาก ผ่านไปสองสามยก เย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถทำอะไรเธอได้อย่างสิ้นเชิง

มู่เวยเวยได้ยินกาวินที่กำลังจะพังประตูเข้ามา ในใจก็ร้อนรน ก็ไม่สนใจว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ เข้าไปยังอลิซที่กำลังต่อสู้อยู่ทันที โถมตัวเข้าใส่ พอดีก็พาเธอล้มลงที่หัวเตียง อลิซพลิกฝ่ามือมาชกเธอ โจมตีกดร่างของเธอลง แล้วต้องการที่จะเข้าไปต่อสู้กับเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยก็โอบเอวของเธอไว้แน่น ขยับตัวไม่ได้โดยสิ้นเชิง

“อุ้มลูกหนีไป เร็วเข้า” มู่เวยเวยตะโกนเสียงดัง

“ฉันต้องการพาพวกคุณไปด้วยกัน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างโกรธเดือดดาล

“คุณใจเย็นหน่อย พาลูกไปก่อน ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”

ในน้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินแฝงไปด้วยความอ้อนวอน “เวยเวย——”

“ไปเร็วเข้า ขืนไม่ไปอีกพวกเราก็จะไม่ได้ไปกันทั้งหมด”

อลิซยังคงต่อสู้ดิ้นรน หมัดแล้วหมัดเล่าชกลงบนร่างของมู่เวยเวย แต่ถึงยังไงฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ปล่อยมือ

เย่ฉ่าวเฉินหยิบปืนที่เอว ต้องการที่จะจบชีวิตของอลิซ เวลานี้ ประตู”โครม”ถูกถีบเปิด…..

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset