วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 279 จะไม่ทำให้เธอเสียใจอีก

” ไม่ ” ยังคงเป็นคำตอบเดิม

เย่ฉ่าวเฉินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และความโกรธที่มีต่อมู่เทียนเย่แทบจะสลายไปหมดแล้ว

” ตอนนี้อยู่ที่ไหน? ”

” แถวๆถนนเจียงหนาน เวยเวยนั่งรถมาถึงแถวนี้ จากนั้นรถก็หายสาบสูญไปเพราะคาดสายตา ” เย่พูดอย่างอ่อนแรง

” ถนนเจียงหนาน? ” มู่เทียนเย่ถามกลับ

” อือ นายคิดออกไหมว่าเธอจะไปที่ไหน? ”

” ถนนเจียงหนาน……” มู่เทียนเย่พึมพำ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่าง ” ฉันรู้แล้ว คฤหาสน์ที่เราเคยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ก็อยู่แถวนั้น ไม่แน่เวยเวยอาจจะไปที่นั่นก็ได้ ฉันก็ต้องตามไปดูสักหน่อย”

” เจ้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ”

พอมีความหวังแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็มีเรี่ยวแรงทันที แต่ว่าเขาเคยไปคฤหาสน์ตระกูลมู่นั้นแค่ครั้งเดียวเอง อีกทั้งตอนนั้นยังเป็นครั้งที่กลับบ้านกับพร้อมมู่เวยเวยหลังจากที่พึ่งแต่งงานกัน ไปตามความทรงจำที่เลือนราง เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสี่ยวฟางก็ขับรถมาจอดหน้าประตูคฤหาสน์

เย่ฉ่าวเฉินพึ่งงบจากรถ ก็เห็นรถเบนท์ลีคันสีดำขับเข้ามา เป็นรถของมู่เทียนเย่

เย่ฉ่าวเฉินชำเลืองตามองเขาด้วยความโกรธแวบหนึ่ง จากเดินก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปคฤหาสน์

แต่ว่าเขาไม่มีรหัสผ่านคฤหาสน์ เลยต้องหยุดรอเมู่เทียนเย่

ภายในรั้วเหล็ก มีสนามหญ้าที่ราบเรียบ ในสวนดอกมีมีดอกเดซี่กำลังเบ่งบาน ในอากาศที่ร้อนมีกลิ่นหอมของดอกไม้โชยมา

ตั้งแต่ที่มู่เทียนเย่กลับมา เขาก็ให้คนมาจัดสถานที่ใหม่ให้เป็นเหมือนตอนที่พ่อและแม่เขายังอยู่ ในทุกๆสองวันจะมีคนมาทำความสะอาดและตัดหญ้า

สถานที่นี้เป็นที่ที่ครอบครัวอาศัยอยู่ เขาไม่อยากให้มันพังทลายลง บางเวลาถ้าเขาคิดถึงพ่อกับแม่เขาก็จะมานอนค้างที่นี่

สีหน้าของมู่เทียนเย่ที่มีต่อเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ ใส่รหัสผ่านสี่ตัว ประตูเหล็กก็เปิดออก

พอถึงหน้าประตูคฤหาสน์แล้ว ยังมีประตูไม้อีกบานหนึ่ง มู่เทียนเย่กดรหัสผ่านอีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองเดินเข้าไป

ในคฤหาสน์ไม่มีเครื่องปรับอากาศ อากาศเลยค่อนข้างอบอ้าว

เดินผ่านเข้ามาตรงห้องรับแขก ฝีเท้าของทั้งสองก็หยุดนิ่ง

มีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนโซฟา และไม่ใช่คนอื่น คือมู่เวยเวยนั่นเอง

รองเท้าของเธอถอดทิ้งไว้บนพรมอย่างกระจัดกระจาย บนตัวก็ไม่ได้ห่มอะไรไว้เลย

วินาทีที่เจอเธอ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ก็โล่งอก มู่เทียนเย่เดินเข้าไปก่อน และพึ่งเห็นว่ามือของเธอถือกรอบรูปอยู่ ค่อยๆเอาออกมาอย่างเบามือ เป็นภาพถ่ายพร้อมหน้าพร้อมตาสี่คนของพวกเขา

คุณพ่อคุณแม่ในภาพยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่ บนตัวเขาสวมชุดนักเรียนมัธยมปลาย ส่วนเวยเวยใส่กระโปรงลายดอกไม้ ใบหน้าของทั้งสี่คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

เหมือนกัยว่ามู่เวยเวยจะรู้สึกได้ว่ามีคนมา ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ก็เห็นพี่ชายที่กำลังยิ้มอยู่ ” พี่ชาย พี่มาแล้วหรอ ”

มู่เทียนเย่ย่อตัวลงตรงหน้าเธอ ” ยัยผู้หญิงซื่อบื้อ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? ”

” ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ “น้ำเสียงของมู่เวยเวยนุ่มนวลมากผสมกับเสียงงัวเงียที่พึ่งตื่นนอน ทำให้มู่เทียนเย่รู้สึกเศร้าไปด้วย

มู่เวยเวยตกเข้าไปในความทรงจำครั้งนั้น ” ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเราทั้งสี่คนชอบมานั่งเล่นไพ่ตรงนี้ด้วยกัน ถ้าใครแพ้ก็จะโดนเขียนข้อความติดที่ตัว แม่โชคไม่ดี บนหน้าผากมักจะมีกระดาษข้อความติดเต็มไปหมด”

มู่เทียนเย่ก็คิดถึงเรื่องราวแต่ก่อน เขายิ้ม ” นั่นเป็นเพราะว่าเธอโกง ไม่อย่างนั้นแม่จะแพ้ได้ไง? ”

” ใช่ แม่รักฉันมากที่สุดแล้ว ” มู่เวยเวยที่กำลังหัวเราะอยู่ น้ำตาก็ร่วงลงมา ” พี่ชาย ถ้าแม่ยังอยู่จะดีมาก ฉันก็จะยังได้กินซี่โครงตุ๋น มีเรื่องในใจก็เข้าไปกอดแล้วพูดให้ท่านฟังได้ และท่านก็จะสอนฉันว่าต้องเลี้ยงลูกอย่างไร……”

มู่เทียนเย่ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้เธอ จากนั้นก็พูดอย่างอ่อนโยน ” พี่ก็หวังเสมอว่าถ้าพวกท่านอยู่มันต้องดีมากแน่ๆ แต่ว่า เวยเวย ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่หรือไม่อยู่แต่ความรักที่พวกท่านมีให้เราจะคงอยู่ตลอดไป ”

” ฉันรู้ ฉันรู้ ” น้ำตามู่เวยเวยไหล ” แต่ว่าฉันอยากให้พวกท่านมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน ไม่ได้อยากให้อยู่แค่ในความทรงจำ ”

มู่เทียนเย่เปลี่ยนท่ามานั่งคุกเข่าลงบนพรมพื้น และกอดน้องสาวไว้ ลูปหลังเธอเบาๆ ” ไม่เป็นไรนะ พี่จะอยู่ข้างงๆเธอตลอดไป ”

เย่ฉ่าวเฉินที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าพอเห็นภาพนี้แล้วใจก็สลาย เวยเวยต้องเสียใจมากแค่ไหนถึงได้มาที่นี่เพื่อรำลึกถึงความอบอุ่นของพ่อแม่เธอ ”

เขาอยากจะไปผลักมู่เทียนเย่ออก แล้วกอดภรรยาไว้เอง แต่ว่าขาของเขาเหมือนมีของหนักๆทับอยู่ ทำยังไงก็ยกไม่ขึ้น

มู่เทียนเย่ปลอบมู่เวยเวยอยู่สักพัก พอเธอหยุดร้องแล้ว ก็หันหลังไปมองเย่ฉ่าวเฉิน แล้วส่งสายตาเป็นสัญญาณว่าให้เขาเข้ามา

เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาหาภรรยาด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจแล้วพูดเบาๆว่า ” เมียจ๋า ”

มู่เวยเวยเช็ดน้ำตา แล้วเธอก็หันหลังให้เขาโดยไม่พูดอะไร

มู่เทียนเย่พูดอย่างจริงใจว่า ” สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าถ้ามีปัญหากันก็ต้องหันหน้ามาคุยกัน อย่าเงียบและไม่สนใจกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจะเสียความรู้สึกกันทั้งคู่

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เทียนเย่ด้วยความประหลาดใจ โอ้พระเจ้า ไอ้นี่พูดแบบนี้เป็นด้วยหรอ เขาคิดว่ามู่เทียนเย่จะดุเขาจากนั้นก็พามู่เวยเวยออกไปสะอีก

” ที่รัก ฉันผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ เธอจะทุบตีหรือด่าฉันยังไงก็ได้ แต่ว่าอย่าโกรธฉันเลยได้ไหม? ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงใจ เขาไม่กลัวเสียศักดิ์ศรี ขอแค่มู่เวยเวยมีความสุข ไม่เพียงแต่ให้เขาคุกเข่า ถ้าให้เข่าลงไปกลิ้งกับพื้นสักสองรอบเขาก็ยินดี

มู่เวยเวยมองไปที่กิ่งไม้ที่แกว่งไปมาท่ามกลางลมแรงนอกหน้าต่าง ในใจรู้สึกอึดอัดมาก แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร

เย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะเอื้อมไปจับมือเธอ แต่มู่เวยเวยก็กลับสะบัดออก

หัวใจของชายคนนั้นบิดเป็นเกลียว ” ขอโทษ เมื่อคืนฉันไม่น่าโมโหใส่เธอเลย ไม่ควรเดินออกไปแบบนั้น……”

ยังไม่ทันได้พูดจบ มู่เทียนเย่ก็พูดออกมาด้วยความโกรธ ” อะไรนะ? นายโมโหใส่น้องสาวฉันหรอ? นายยังมีจิตสำนึกอยู่ไหม? เธอกำลังตั้งท้องลูกของนายอยู่ นายดุเธอได้ยังไง? ”

” ฉันไม่ได้ดุเธอ ” เย่ฉ่าวเฉินรีบอธิบาย ” ฉันก็แค่พูดใส่อารมณ์ไปหน่อย ฉันจะดุด่าเธอได้ยังไง? ”

” เหอะ! ” มู่เทียนเย่สบถออกมาอย่างเย็นชา ” ไม่น่าล่ะน้องสาวฉันถึงได้หนีออกมาอย่างเสียใจแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ”

เย่ฉ่าวเฉินงง ไอ้นี่เมื่อกี้ยังเข้าข้างเขาอยู่เลยไม่ใช่หรอ? ทำไมตอนนี้เธอเปลี่ยนไปแล้วล่ะ?

เมื่อนึกถึงต้นตอของการทะเลาะกัน เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกโกรธ ” เป็นเพราะนายนั้นแหละ นายพูดอะไรมั่วๆต่อหน้าเวยเวย? ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงสองคนนั้นจากสำนักเลขาธิการนั้นเป็นใคร ทำไมนายต้องพูดว่าฉันกับพวกเธอมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน? ”

มู่เทียนเย่หัวเราะเยาะ ” นายหลอกคนโง่หรอ? ผู้หญิงสองคนนั้นเดินเข้าออกห้องทำงานคุณเป็นว่าเล่น คุณจะไม่รู้จักได้ไง? ”

ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งได้ ” จริงๆ ฉันไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าพวกเธอหน้าตาเป็นยังไง แต่นายพูดเหมือนกับว่ากำลังมีชู้ยังนั้นแหละ ”

” จากที่ฉันดู เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วนั้นแหละ “มู่เทียนเย่ยืนกอดอก แล้วใช้สายตาที่ดูถูกมองเขา

” เชี่ย! ” เย่ฉ่าวเฉินสบกออกมาด้วยความโกรธ และลุกขึ้นจากพื้น ” มู่เทียนเย่ นายพูดดีๆหน่อย อะไรเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็ว? ”

” ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพูดให้ฟัง ”

เดิมที วันนั้นมู่เทียนเย่ไปหาเย่ฉ่าวเฉิน นั่งรอให้เขาว่างอยู่ตรงโซฟา ใครจะไปรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่มีเวลาสนใจเขาด้วยซ้ำ ในระหว่างนั้น มีเลขาคนสวยคนหนึ่งเติมน้ำชาให้เขาอยู่สองครั้ง ครั้งแรกที่เธอเดินออกไป เขาเหลือบไปมองเย่ฉ่าวเฉินแวบหนึ่ง ในดวงตาของเธอมีประกายบางอย่างราวกับว่ากำลังมองคนที่ตัวเองรัก ตอนนั้นมู่เทียนเย่ก็ตะลึง แต่ว่าจากพฤติกรรมของเย่ฉ่าวเฉินแล้ว เย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่คนแบบนั้น เขาต้องคิดไปเองแต่ๆ

สุดท้ายรอบที่สองตอนที่เลขาคนนั้นเดินเข้ามาเติมน้ำชา แววตาของเธอแสดงออกชัดเจนขึ้น มู่เทียนเย่แอบสังเกตเย่ฉ่าวเฉินอย่างเงียบๆ เขาจดจ่ออยู่กับแฟ้มเอกสารหนาๆเล่มหนึ่งโดยไม่ได้สนใจทางนี้เลย

เมื่อเขารู้เรื่องนี้ก็ไม่พอใจมาก เขาเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าต้องเข้าใจนิสัยผู้ชายด้วยกันเองเป็นอย่างดี อีกทั้งเลขาคนนี้ยังกล้าเปิดเผยขนาดนี้อีก กล้ามองเย่ฉ่าวเฉินด้วยสายตาแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่แน่ระหว่างเธอกับเย่ฉ่าวเฉินอาจจะมีอะไรกันแล้วก็ได้

พอคิดแบบนี้ มู่เทียนเย่ก็รู้สึกสงสัยและไม่อยากรอเขาไปเล่นสนุ๊กเกอร์แล้ว เลยพูดว่า ” ฉันไปก่อนนะ ” จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินตอบเพียงแค่ ” อือ ” มู่เทียนเย่ก็ออกจากห้องทำงานของประธานเย่ด้วยความไม่พอใจมาก

ก่อนจะลงลิฟต์ มู่เทียนเย่แวะเข้าห้องน้ำ ตอนที่เขากำลังล้างมือตรงตรงก๊อกน้ำสาธารณะ เขาก็ได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่ด้านนอก

” ประธานเย่ของพวกเรายิ่งอยู่ก็ยิ่งมีเสน่ห์ ฉันหลงใหลในตัวเขามากๆ”

มู่เทียนเย่หยุดนิ่งไปสักพัก นี่มันเลขาที่เติมน้ำชาให้เขาเมื่อกี้นี่

“ ฉันขอเตือนนะว่าให้เธอหยุดความรู้สึกนี้ เลขาหลิวเคยเตือนไว้แล้วว่าอย่าทำตัวเป็นจุดสนใจของประธานเย่ ระวังโดนไล่ออกนะ อีกอย่าง นี่ก็หลายวันแล้ว ประธานเย่เคยบอกหน้าเธอบ้างรึยัง? “ นี่เป็นคำพูดของผู้หญิงอีกคน

เลขาคนสวยพูดอย่างมั่นใจว่า “ วันนี้ยังไม่มอง พรุ่งนี้ก็ต้องมอง ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่มองอีกก็ยังมีวันมะรืนและวันข้างหน้าอีกมากมาย ฉันอยู่ใกล้ตัวเขาขนาดนี้ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มองฉัน”

“ แต่ฉันได้ยินมาว่าประธานเยาเขารักภรรยาเขามาก”

“ เฮ้ มีผู้ชายที่ไหนไม่แอบกิน? ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้อย่างประธานเย่ มีผู้หญิงเพิ่มอีกคนแล้วจะเป็นอะไรไป? “ เลขาสาวสวยคนนั้นพูดเสียงเบาลง “ อีกอย่าง ภรรยาของประธานเยาท้องอยู่ไม่ใช่หรอ? ผู้ชายต้องมีความต้องการเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้แหละเหมาะกับการลงมือที่สุดแล้ว รับรองต้องสำเร็จแน่นอน”

ผู้หญิงอีกคนนิ่งเงียบไปสักพัก “ ภรรยาของประธานเย่ท้องจริงหรอ?”

“เธอไม่รู้หรอ ได้ยินมาว่าท้องสี่ถึงห้าเดือนแล้ว ช่วงนี้ไม่มาทำงาน น่าจะพักผ่อนอยู่บ้าน ฉันลองค้นหารูปจากอินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้สวยอะไรมาก ไม่รู้ว่าประธานเย่ชอบเธอตรงไหน? “ เลขาสาวสวยคนนั้นหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ ทำไม? เธอก็หวั่นไหวหรอ?”

“ เปล่า ฉันแค่ถามเฉยๆ ฉันจะคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน? “ น้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นมีความตื่นตระหนกตกใจแทรกเข้ามาราวกับว่ามีคนรู้ทัน

“ เธอไม่ต้องเสแสร้งหรอก ไงฉันไม่ถือถ้าต้องแย่งกับเธอ แบ่งหันใช้ก็ได้”

“ โห ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ไปเถอะๆ กลับไปยังห้องทำงาน”

เสียงรองเท้าส้นสูงออกห่างไปเรื่อยๆ เหลือเพียงมู่เทียนเย่ที่แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาอยู่ตรงหน้าประตู

แม่เจ้า ใครบอกว่าสาวสวยของบ้านฉันหน้าตาธรรมดา? ทั้งๆที่เป็นหญิงสาวที่น่ารักและสวยงามมากที่สุดในโลก

หลังจากนั้น ความคิดเขาก็หลุดออกจากการสนทนาของสองคนนี้ ตอนนี้พฤติกรรมของเย่ฉ่าวเฉินถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้เขาวางใจมากขึ้น แต่ว่าถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เกิดอะไรขึ้นไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะเกิดขึ้นไม่ได้ นางมารร้ายสองคนนี้เดินลอยหน้าลอยตาต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉินทั้งวัน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ต้องเตือนมู่เวยเวยเพื่อจะได้ไม่โดนเย่ฉ่าวเฉินหลอก

“ เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ “ มู่เทียนเยาเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบ แล้วจ้องหน้าเย่ฉ่าวเฉินแล้วพูดว่า “ ทำไม? ฉันแค่เตือนมู่เวยเวยให้เธอระวังไว้ มันถือเป็นเรื่องที่ผิดหรอ? นายเป็นคนทำผิดเอง จะมาโยนความผิดให้ฉันได้ไง?

พอเย่ฉ่าวเฉินฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็รู้สึกใจไม่ดี รีบหันหลังแล้วนั่งคุกเข่าลงอีกครั้ง “ ที่รัก คุณก็ได้ยินแล้ว ว่าฉันไม่ได้อะไรกับผู้หญิงสองคนนั้น อีกทั้งวันนี้พอฉันไปถึงที่ทำงานฉันก็รีบไปแต่งเลขาหลิวให้ไล่พวกเธอออกไปแล้ว เธอสบายใจได้ ถ้าเธอไปบริษัทไม่เจอพวกเธอแน่นอน “

เพราะว่าคำอธิบายของมู่เทียนเย่ มู่เวยเวยก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น แต่สิ่งที่เธอใส่ใจมากที่สุดคือท่าทีของเย่ฉ่าวเฉินเมื่อคืน หลังจากที่พวกเขากลับมารักกัน เมื่อคืนถือเป็นครั้งแรกที่เย่ฉ่าวเฮินโมโหใส่เธอ ตอนนี้เธอยากที่จะทำใจยอมรับ

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกได้ว่าสีหน้าของหญิงสาวดีขึ้นมาก เลยรีบพูดขึ้นว่า “ ที่รัก ฉันรู้ว่าเมื่อคืนฉันทำพลาดไปที่ฉันตัดสินให้คุณหยุดงานโดยไม่ฟังความเห็นของคุณก่อน แล้วยังใส่อารมณ์ใส่คุณอีก ทั้งหมดนี่ผมผิดเอง ผมสัญญาว่าต่อไปผมจะไม่ทำแบบนี้อีก…… ที่รัก คุณมองหน้าผมหน่อยได้ไหม? “

คำอ้อนวอนของเขาลอยเข้าหูมู่เวยเวย ทำให้เธอค่อยๆใจอ่อน

ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของเย่ฉ่าวเฉินก็มีสายเรียกเข้า เขาหยิบขึ้นมาดูพอเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักเขาก็ตัดสายทิ้ง ตอนนี้การเล้าโลมภรรยาสำคัญที่สุด

แต่คิดไม่ถึงว่าพึ่งจะตัดสายไป เบอร์นั้นก็โทรเข้ามาอีก เย่ฉ่าวเฉินก็กดตัดสายอีก พอครั้งที่สาม มู่เวยเวยที่นั่งอยู่ตรงโซฟาก็พูดขึ้นว่า “ รับสิ ทำไมไม่กล้ารับสาย?”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกโกรธจนขึ้นหัว “ ทำไมฉันจะไม่กล้า?”

กำลังจะกดรับสาย ก็ได้ยินมู่เทียนเย่พูดขึ้นว่า “ แน่จริงเปิดลำโพงด้วยสิ”

“ เชี่ย กูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมจะไม่กล้า “ เย่ฉ่าวเฉินกดรับสายจากนั้นก็เปิดลำโพง

ฝ่ายตรงข้ามมีเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังขึ้น ทำให้ทั้งสามคนทางด้านนี้ขนหัวลุก

“ ใคร?” เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างเย็นชา

ทางนั้นเป็นเสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนมาก และมีน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้น “ประธานเย่ ฉันทำอะไรผิด? ทำไมต้องไล่ฉันออกด้วย?”

พอได้ยินเสียง มู่เทียนเยาก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร แต่น้ำเสียงนี่มันน่าหมั่นไส้มาก พอได้ยินเขาก็ขนลุกซู่และชาไปทั่วร่างกาย แต่ความรู้สึกของเย่ฉ่าวเฉินชัดเจนกว่าเขามาก

“ เธอเป็นใคร?” สิ่งที่เย่ฉ่าวเฉินถามเป็นความจริง เขาฟังไม่ออกจริงๆว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ว่าจากคำพูดของเธอแล้ว เขาก็เดาได้ว่าต้องเป็นหนึ่งในสองคนที่โดนไล่ออกแน่ๆ

ฝั่งนั้นเงียบไปสักพัก และรีบหยุดร้องไห้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการมากราวกับว่าเป็นเสียงประกาศวิทยุที่ออกอากาศในช่องทีวี “ ประธานเย่ ฉันคือลินดาไง คุณจำไม่ได้หรอ?”

“ ไม่รู้จัก “ เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้สึกคุ้นเลย เขาแทบจะอยากวางสายตอนนี้เลย เพราะเขารู้สึกได้ถึงความโกรธของมู่เวยเวย แต่ว่าถ้าจะตัดสายตอนนี้ มันก็เหมือนว่าเขาทำอะไรผิดนะสิ เขาไม่โง่ขนาดนั้นหรอก

“ ประธานเย่ คุณช่างเป็นคนที่ลืมง่ายจริงๆ ฉันเป็นเลขาของคุณไง คนที่ทำความสะอาดห้องทำงานให้คุณทุกเช้า ชงกาแฟ ละก็ซื้ออาหารเช้าให้คุณอยู่หลายครั้ง คุณไม่จำไม่ได้เลยหรอ?”

พอพูดประโยคนี้ออกมา เย่ฉ่าวเฉินก็ขนหัวลุก ก็ว่าทำไมช่วงนี้จะมีเค้กที่หน้าตาดูดีวางอยู่ที่โต๊ะทำงานในทุกเช้า เขาก็คิดว่าเลขาหลิวเป็นคนซื้อมา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้หญิงคนนี้ โชคดีที่เขากินอาหารจากบ้านมาจนอิ่มทุกวัน ก็เลยเอาเค้กนั่นทิ้งลงถังขยะทุกครั้ง แล้วยังบอกกับเลขาหลิวอีกว่า ต่อไปตอนเช้าอย่าซื้อเค้กมาอีก ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตท่าทีของเลขาหลิว

ความโกรธของมู่เวยเวยที่พึ่งสลายไปก็กลับขึ้นมาอีก และไม่อยากได้ยินว่าฝ่ายนั้นจะพูดอะไรอีก ลึกขึ้นกำลังจะเดินออกไป เย่ฉ่าวเฉินเห็นว่าจะยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ไง? เขากอดขาเธอแล้วพูดอ้อนวอนว่า “ เมียจ๋า อย่าโกรธนะ เค้กนั่นฉันไม่ได้กินเลยสักคำ ฉันเอาทิ้งลงถังขยะทั้งหมดเลย จริงๆนะ ฉันยังคิดว่าเป็นเลขาหลิวซื้อสะอีกแล้วยังบอกกับเขาอีกว่าต่อไปไม่ต้องซื้อมาแล้ว ถ้าไม่เชื่อโทรถามเลขาหลิวตอนนี้เลยก็ได้

มู่เวยเวยมองหน้าเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ ไม่คิดเลยนะว่าห้องทำงานของประธานเย่จะคึกครื้นราวกับเป็นละครเวทีแบบนี้ ไม่น่าละถึงไม่อยากให้ฉันไปทำงานที่บริษัท”

“ โห เมียจ๋า ฉันสาบานต่อฟ้าเลย ฉันคิดว่าเค้กพวกนั้นเลขาหลิวเป็นคนซื้อจริงๆ ถ้าฉันโกหกขอให้ฟ้าผ่า”

ติดไม่ถึงเลยว่าพอพูดจบปุ๊บ บรรยากาศที่มืดครึ้มกลับมีเสียงฟ้าผ่าลงมา และฟ้าร้องเสียงดังกังวานมาก

ตอนนี้ ไม่เพียงแต่เย่ฉ่าวเฉินที่ตะลึง มู่เทียนเยาก็ตะลึงด้วยเช่นกัน หยุดนิ่งไปชั่วครู่ คนที่นั่งอยูาตรงโซฟาก็หัวเราะ ฮ่าๆๆ ออกมา หัวเราะแล้วชี้ไปที่เย่ฉ่าวเฉิน “ นายเห็นไหม แม้แต่ฟ้ายังไม่เชื่อนาย”

เย่ฉ่าวเฉินแทบจะร้องไห้เขาหมดคำจะพูด เหี้ยเอ้ย ทำไมต้องมาสาบานอะไรแบบนี้ในฤดูที่มีพายุและฝนฟ้าคะนองด้วย?

มู่เวยเวยเกือบจะหัวเราะกับความบังเอิญนี้แล้ว แต่ว่าเธอต้องอดทนไว้เพื่อภาพลักษณ์ที่เย็นชา

จริงๆตั้งแต่ตอนที่มู่เทียนเย่เล่าเรื่องนั้น เธอก็เชื่อใจเย่ฉ่าวเฉินแล้ว แต่การกระทำของเธอในภายหลัง ก็แค่รู้สึกโกรธที่ทำไมรอบตัวพี่ชายถึงไม่มีผู้หญิงแบบนี้ แต่ทีกับเย่ฉ่าวเฉินมาพร้อมกันถึงสองคนเลย?

ถ้าไม่มีมูลแมลงวันก็ไม่ตอมหรอก เย่ฉ่าวเฉินต้องมีอะไรแน่ๆ

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่พี่ชายของภรรยาด้วยความโกรธ ” มู่เทียนเย่ ฉันยอมนายว่าพี่ชาย แบบนี้โอเคไหม? นายช่วยพูดให้น้อยๆหน่อยได้ไหม? ”

มู่เทียนเย่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้ ” เฮ้ นายมาเรียกฉันว่าพี่ชายตอนนี้เพราะอยากจะให้ฉันช่วยพูดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คำว่าพี่ชายฉันยังไม่ขอรับไว้ ”

เย่ฉ่าวเฉินอยากจะถีบเขาจริงๆ ทำไมเขาต้องไม่อยากให้ตัวเองมีความสุขด้วย?

บรรยากาศค่อยๆอึดอัด แต่สิ่งที่มาทำลายความอึดอัดนี้คือเลขาลินดาที่ถูกลืม

” ประธานเย่? ยังฟังอยู่รึเปล่าคะ? ” น้ำเสียงของลินดาอ่อนโยนมา ทำให้คนที่ได้ฟังอยากจะดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ” ท่านพอมีเวลารึเปล่า? ฉันอยากคุยกับคุณต่อหน้า ฉันทำอะไรผิดกันแน่ ”

เย่ฉ่าวเฉินรำคาญผู้หญิงคนนี้มาก ตะโกนเข้าไปในโทรศัพท์ว่า ” แม่เจ้า เธอไสหัวไปยิ่งไกลนิ่งดี ถ้ามาปรากฏตัวต่อหน้ากู กูตัดขามึงทิ้งแน่ ไสหัวไป! ”

พอด่าเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็ตัดสายทิ้ง บางทีคนทางนั้นอย่างลินดาคงสับสนมึนงงอยู่

กอดขามู่เวยเวยไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือ น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินอ่อนโยนและน่ารักขึ้นมาทันที ” เมียจ๋า ฟ้าดินเป็นพยานว่าฉันซื่อสัตย์มากจริง ”

” คุณลืมไปแล้วหรอ? เมื่อกี้ที่พระเจ้าให้เสียงฟ้าผ่าตอบกลับคุณ “มู่เวยเวยพูดประชดประชันเขา

มู่เทียนเย่หัวเราะอีกครั้ง ” ฮ่าๆ ” โอ้พระเจ้า ตลกมากจริงๆ กลับไปเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เสี่ยวซีหร่านฟัง

ถ้าพูดถึงแต่ก่อนเขาเองก็เป็นกังวลไปกับน้องสาวเขาด้วย แต่ว่าวินาทีที่เย่ฉ่าวเฉินคุกเข่าลง เขารู้ทันทีเลยว่า เย่ฉ่าวเฉินรักมู่เวยเวยจริงๆ

กระดูกของใครบางคนแข็งขนาดนั้น ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นผ่านเรื่องเลวร้ายและรุ่นแรงมามากมายแต่เขาก็ยังยืนได้ แต่มาวันนี้ เขายอมคุกเข่าเพื่อให้น้องสาวยกโทษให้ ถ้านี่ไม่ได้เรียกว่าคงวามรัก แล้วอะไรถึงจะเรียกว่ารัก?

สำหรับเวยเวย ยัยนี้ก็รักเย่ฉ่าวเฉินมากเช่นกัน ถ้าไม่อยากนั้นคงไม่วิ่งเสียใจออกมาแบบนี้กับคำพูดไม่กี่คำของเขาหรอก ยังปิดเครื่องและไม่หนีออกมาคนเดียวอีก นี่มันอยากทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วงชัดๆ

ตอนนี้ที่ยังเย็นชาอยู่ ก็แค่ทำตามใจของเธอเท่านั้น เธอไม่อยากให้อภัยเย่ฉ่าวเฉินรวดเร็วขนาดนั้น

เขาอยากยืนดูแบบนี้ต่อไป แต่ว่าถ้าเขายังอยู่ที่นี่ ก็จะมีคนกลัวเสียหน้า เพื่อให้ทั้งสองปรับความเข้าใจอย่างเร็วที่สุด มู่เทียนเย่ตัดสินใจเดินออกจากที่นั่น

นอกจากนั้น เขาก็คิดถึงภรรยาที่บ้านมาก

เขาถอนหายใจยาวๆ มู่เทียนเย่ลุกขึ้น และพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ” พวกนายสองคนค่อยๆคุยกันนะ ฉันมีธุระ ขอตัวก่อน เย่ฉ่าวเฉิน ฉันขอเตือนนะ ถ้าครั้งหน้านายรังแกน้องสาวฉันอีก ฉันไม่เอานายไว้แน่ ”

เย่ฉ่าวเฉินอยากให้เขาออกไปให้เร็วที่สุด ช่วยอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง ยังเพิ่มความลำบากให้เขาอีก

” ไป ไปเลย……ไปเดี๋ยวนี้เลย ” เย่ฉ่าวเฉินทำมือไล่ให้เขาออกไป

มู่เทียนเย่เห็นท่าทีของเย่ฉ่าวเฉินแบบนี้ ก็ก้มลงกระซิบข้างหูมู่เวยเวยว่า ” อย่างให้อภัยไอ้ผู้ชายคนนี้ง่ายๆนะ ”

เปลือกตามู่เวยเวยกระตุก เห็นพี่ชายขยิบตาให้เธอ และรอยยิ้มที่ไร้เสียงบนใบหน้าพี่ชาย

มู่เทียนเย่เดินออกไป จู่ๆก็ร้องเพลง ” ประชาชนของพวกเรา วันนี้ดีใจจริงๆ โอ้โหดีใจจริงๆ……”

ถ้ามันเป็นไปได้ เย่ฉ่าวเฉินอยากจะคว้าหมอนตรงโซฟามาปาใส่หน้าเขามาก

มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น มู่เทียนเย่นี่ชำนาญกับเรื่องแบบนี้จริงๆ

พอได้ยินเสียงกระทบของประตู เย่ฉ่าวเฉินถึงได้พูดกับมู่เวยเวยว่า ” เมียจ๋า อย่ายืนนาน มาๆๆ นั่งลงก่อน ถึงจะลงโทษฉันแต่ก็อย่าทำให้ตัวเองต้องเหนื่อย ”

มู่เวยเวยหัวเราะ ” คุณกลัวว่าลูกสาวคุณจะเหนื่อยมากกว่ามั้ง ”

” ไม่ใช่ ” เย่ฉ่าวเฉินรีบปฏิเสธ ” เมียจ๋า ในใจของผมคุณเป็นที่หนึ่งเสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีผิงอัน และลูกในท้อง แต่ว่าตำแหน่งในใจผมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คนที่ผมรักคือคุณ เพราะคุณผมเลยรักผิงอันและลูกน้อยในท้อง ถ้าหากว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกของคุณ ผมก็ไม่มีวันรักเขาหรอก ”

คำพูดเหล่านี้เข้าไปถึงส่วนลึกในใจของมู่เวยเวย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฮอร์โมนของคนท้องหรือเปล่า หรือเป็นเพราะอะไร มู่เวยเวยรู้สึกว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ใส่ใจเธอเท่าเมื่อก่อน แต่ความรักที่เขามีต่อผิงอันกลับเพิ่มขึ้นอย่างไม่ลดลงเลย ตอนที่อยู่กับเธอก็เอาแต่พูดคุยกับเด็กในท้อง บทสนทนาของพวกเขานอกจากเรื่องลูกแล้วก็มีเรื่องที่คุยกันน้อยมาก นี่ถือเป็นหนึ่งเหตุผลที่มู่เวยเวยอยากไปทำงานที่บริษัท เธอเกรงว่าเธอจากห่างหายไปจากวงการและสังคมนี้ไปนานเกินไป

เย่ฉ่าวเฉินพอเห็นว่ามู่เวยเวยเงียบไม่พูดอะไร ในใจก็รู้สึกกังวลมาก เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่

” เมียจ๋า คุณพูดอะไรหน่อยได้ไหม? ”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset