วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 292 ฉันเป็นเพื่อนเก่าของเขา

ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในค่ายทหาร ต้วนอีเหยาก็รับป้ายหยกนี้ไว้ ไปไหนก็พกไปด้วยตลอด คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไป 20 ปี โดยไม่รู้สึกว่าพกมันไว้เลย

เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้า ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องแบบทหาร มีแค่ข้างในสุดที่มีชุดรำรองสองชุด ยังคงเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำกับเสื้อแจ็คเก็ตสีเทาอ่อน ต้วนอีเหยาก้มหน้าลงคิดอยู่ชั่ยครู่ แล้วหยีบกระเป๋าเดินทางพร้อมกับใส่เสื้อลายพรางเข้าไปไม่กี่ตัว กับเสื้อรำรองที่เธอต้องสวมพรุ่งนี้

ไม่เป็นไรหรอก เธอไปเยี่ยมเด็กซุกซน ไม่ใช่ไปสู่ขอซักหน่อย แต่งตัวแบบนี้ก็ถือว่าไว้หน้าเขาแล้ว

รุ่งเช้าของวันที่สอง เสียงนาฬิกาดังขึ้นปลุกเธอตื่น เมื่อเก็บข้าวของเสร็จ เธอถือกระเป๋าเดินทางออกมา ก็เห็นรถจอดอยู่ด้านนอกรอแล้ว

คนขับรถเสี่ยวลิ่วถอดแว่นพร้อมกับทักทายเธอด้วยความไม่พอใจว่า ” เจ้านาย คิดจะสวมแบบนี้ไปจริงๆหรอ ”

ต้วนอีเหยาก้มหน้าสำรวจตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีดำ เสื้อคุมสีเทาอ่อน กางเกงขาม้าลายทหาร รองเท้าบูทคู่หนึ่ง เอวบางๆที่มีเข็มขัดรัดไว้ ดูแล้วแมนมาก ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลย

” ฉันแต่งแบบนี้ ไม่โอเครหรอ” ต้วนอีเหยาถามด้วยความสงสัย และในคำพูดยังมีความกดดันด้วย

“ทั้งหล่อ และเท่ระเบิด ดูก็รู้ว่าสุดยอด” เสี่ยวลิ่วตอบพร้อมกับเสียงหัวเราะ

ต้วนอีเหยาโยนกระเป๋าเดินทางเขาไปในรถทหาร ประตูยังไม่ทันเปิดก็โดดเข้าไปแล้ว ตบไหล่ของเสี่ยวลิ่วแล้วบอกว่า “ออกเดินทางได้ ไปที่สนามบิน”

“รับทราบ “เสี่ยวลิ่วตอบพร้อมทำความเคารพแบบทหาร จากนั้น “ฮง”เริ่มเดินทาง

ตามทางที่ออกจากค่าย จะเห็นทหารที่กำลังฝึกอยู่ เห็นเหงื่อที่ไหลออกมาอาบบนกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เต็มไปด้วยความเป็นชายฉกรรจ์ แต่ว่าต้วนอีเหยาเห็นภาพแบบนี้ 20กว่าปีแล้ว รู้สึกเบื่อต้้งนานแล้ว

” หัวหน้า เล่นสนุกไหมครับ”ขณะที่ขับผ่านสนามฝึกแห่งหนึ่ง รองผู้บังคับบังชา ทักทายในระหว่างที่กำลังออกกำลังกาย

ต้วนอีเหยายิ้มอย่างจืดชืดพร้อมพูดว่า “พวกคุณน่ะ อย่าอู้งาน ถ้าฉันกลับมาเห็นว่ากำลังลดลงล่ะก็….”

“หัวหน้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอ มีแต่จะเข็มแข็งขึ้น ไม่มีอ่อนแอลง” รองผู้บังคับบัญชาตอบขณะที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ

“รู้ก็ดี ไปล่ะ” ต้วนอีเหยาโบกมือให้พวกเขา

“หัวหน้า ครั้งนี้ท่านจะพาพี่เขยกลับมาด้วยไหม” ทหารนายหนึ่งถามด้วยรอยยิ้มที่เฮฮา

“เจ้าทึ่ม นายหญิงเป็นคนที่หาง่ายอย่างนั้นหรือ” รองผู้บังคับบัญชาตบที่คอของทหารคนหนึ่ง “นายหญิงเราจะแต่งงาน ก็ต้องแต่งงานกับระดับนายพลนั่นแหละ”

“ วิดพื้น เพิ่มอีก 100 ครั้ง” ต้วนอีเหยาพูดด้วยน้ำเสียงที่จืดชืด

“ รับทราบ”เสียงดังขึ้นในสนามฝึก

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า รถก็มาถึงที่สนามบิน เสี่ยวลิ่วยื่นหัวออกมาถามว่า “หัวหน้า ท่านจะไปที่ไหนนะ”

“เมือง A”

“ท่านจะไปเมืองA ทำอะไรล่ะ”เสี่ยวลิ่วถามด้วยความงง

“ ไปหาคนสนิท ที่ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว”

ในตาของเสี่ยวลิ่วเผยให้เห็นถึงความตื่นเต้น “หัวหน้า อย่าบอกนะว่าจะไปหารักแรกพบของท่าน”

ต้วนอีเหยาใช้บัตรเจ้าหน้าที่ตีลงไปที่หัวเขาที่หนึ่ง” รักแรกพบอะไรเล่า รีบกลับไปเถอะ”

“อ้อ ”เสี่ยวลิ่วเปลี่ยนสีหน้าทันที “หัวหน้า ระวังตัวด้วย”

“รู้แล้วล่ะ ไปเถอะ”

เมื่อรถทหารออกไปแล้ว ต้วนอีเหยาหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม เดินเข้าไปในสนามบิน

เพราะว่ามีบัตรเจ้าหน้าที่ ต้วนอีเหยาขึ้นเครื่องอย่างสบายใจ

จริงๆแล้ว ถ้าเขาอยากได้ข้อมูลของเย่จิงเหยียนเพียงแค่โทรศัพท์ก็ได้แล้ว แต่ว่าต้วนอีเหยาอยากรู้จริงๆว่า เด็กซุกซนคนนี้ยังรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ไหม จึงอยากพยายามจับตามองด้วยตนเอง

เธอตัดสินใจว่า เมื่อถึงเมืองA ค่อยถามคนที่เจอ ดูซิว่าจะมีคนรู้จักต้วนอีเหยาไหม ถ้าหากหาไม่เจอจริงๆแล้วค่อยโทรศัพท์หาคนอื่นก็ยังได้

เมืองA

จากการผ่านการฝึกฝนมา 2 ปี เย่จิงเหยียนรับตำแหน่งประธานบริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนล

งานนั้น1 เดือนก่อนก็ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้เพิ่งจะปิดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เย่ฉ่าวเฉินพร้อม ภรรยามู่เวยเวย รีบวิ่งไปยังสนาม ในที่สุดก็ได้ใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง

ต้วนอีเหยาลงจากเครื่องแล้วตรงไปยังทางออก เผอิญเห็นขโมยคนหนึ่งกำลังลวงมือเข้าไปในกระเป๋าของคนคนหนึ่ง ด้วยว่าเธอเป็นคนที่ยึดความถูกต้อง เธอจึงเดินเข้าไปแล้วดึงมือของขโมยนั้นออกมา พูดอย่างเย็นชาว่า “ทำอะไรน่ะ”

ขโมยถูกหยิกจึงร้อง “ โอ้ยเจ็บ โอ้ยเจ็บ”ออกมา เวลานั้นเจ้าของกระเป๋าถึงรู้สึกตัว บังเอิญจริงๆ คนนั้นก็คือมู่เวยเวย เนื่องจากเย่ฉ่าวเฉินไปเปลี่ยนบัตรที่นั่ง เธอเลยยืนรออยู่ที่นั่นคนเดียว

“ตรวจดูซิของเธอหายไปหรือเปล่า” ต้วนอีเหยาเตือนเธอ

มู่เวยเวยรีบเช็คกระเป๋าของเธอ “ไม่มีอะไรหาย ขอบคุณแม่นางมาก”

“ปล่อยมือปล่อยมือ” เธอจะหักมือฉันอยู่แล้ว โจรร้องด้วยใบหน้าที่ซีดจัง (พูดตลก ต้วนอีเหยาเป็นถึงอันดับ 1 ของ กองCจากการแข่งขันวัดพละกำลัง แม้ผู้ชายในกองทัพยังยอมแพ้ แน่นอนว่ากำลังมือของเธอมีมากกว่าที่คิด)

ต้วนอีเหยาไม่อยากสร้างเรื่อง เมื่อเห็นตำรวจกองบินเดินเข้ามา จึงปล่อยมือหัวขโมย สิ่งที่คิดไม่ถึงคือขโมยกลับคิดจะวิ่งหนี ต้วนอีเหยายืดขาออกไป “โครม”หัวขโมยหกล้มลงบนพื้นทันที

“เกิดอะไรขึ้น”เย่ฉ่าวเฉินถาม หลังจากที่เปลี่ยนบัตรที่นั่นเสร็จแล้ว กลับมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้

มู่เวยเวยอธิบายว่า “เขาจะขโมยกระเป๋าของฉัน โชคดีที่ได้แม่นางคนนี้จับได้”

เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองต้วนอีเหยา คิดในใจว่า แม่นางคนนี้เต็มด้วยรังสีสังหาร ร่างกายสง่า ดูก็รู้ว่าเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

“ขอบคุณแม่นาง” เย่ฉ่าวเฉินพูด

ต้วนอีเหยาผยักหน้าเบาๆ ขณะนั้นตำรวจมาพอดี มู่เวยเวยจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกรอบ ตำรวจ 2 นายแสดงออกมาเหมือนกัน “ เข้าใจละ เข้าใจล่ะ พวกคุณไปได้แล้ว”

จากนั้นก็หันไปหาต้วนอีเหยา “แม่นาง ขอบคุณที่ยื่นมือเข้ามาช่วย”

“ไม่เป็นไร แล้วฉันไปได้หรือยัง”

ตำรวจยิ้มแล้วพูดว่า “ ยังครับ ตามระเบียบเราจะต้องจดบันทึกไว้”

ต้วนอีเหยาเริ่มรู้สึกรำคาญ จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบบัตรนายทหารออกมา ตำรวจเปิดดูแป๊บนึง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งสดใสกว่าเดิม

“ไม่ต้องบันทึกแล้วล่ะ เชิญท่านไปได้”

“อืม” ต้วนอีเหยาถือกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้วเดินออกไปข้างนอก

เย่ฉ่าวเฉินหันกลับไปมองเธออีกหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์การคาดเดาของเขา

“คุณดูอะไรน่ะ” มู่เวยเวยก็หันกลับไปดู เห็นแต่ผู้คนไปไปมามา

เย่ฉ่าวเฉินเอามือกอดลงบนไหล่เธอ ยิ้มพูดว่า “แม่นางเมื่อกี้ เป็นทหาร”

มู่เวยเวยถามด้วยความแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไง”

“ ดูออกน่ะ กลิ่นไอบนตัวนางไม่เหมือนคนทั่วไป เป็นกลิ่นไอที่มีในทหาร”

“ใช่หรอ ทำไมฉันดูไม่ออกล่ะ”

“เธอดูไม่ออกก็ไม่แปลกหรอก….”

เมื่อเข้าไปใจกลางเมืองของเมือง A ต้วนอีเหยาไปในที่ที่เธอเคยไปบ่อยก่อน แล้วก็ไปเยี่ยมศูนย์เด็กกำพร้า จากนั้นในช่วงบ่ายเธอเข้าไปร้านอาหารแห่งหนึ่ง

“กุ้งมังกรน้อยกับปลาต้มน้ำ เอารสเผ็ด”

“ได้”

ในระหว่างที่รออาหาร ต้วนอีเหยาดูโทรทัศน์ที่อยู่ใจกลางของร้านอาหารอย่างตั้งใจ ในนั้นกำลังถ่ายทอดข่าวเกี่่ยวกับเมืองA

“ ข่าวใหม่วันนี้ เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปเย่ฉ่าวเฉินวันนี้ลาออกจากกิจการ ลูกชายของท่านเย่จิงเหยียนรับช่วงต่อกิจการของเว่ฮวางทั้งหมด ตามที่ได้ยินมาปีนี้ เย่จิงเหยียนมีอายุ 25ปี …. ”

ต้วนอีเหยาถึงกับตะลึง “เย่จิงเหยียน” “เป็นคนเดียวกับที่ตนเองรู้จักหรือเปล่า”

เขาเป็นถึงทายากของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปเลยหรือ ถึงจะไม่รู้ว่าเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปใหญ่แค่ไหน แต่สามารถออกข่าวได้ อยู่ในเมืองA น่าจะไม่ธรรมดา

ต้วนอีเหยาจองหน้าจอทีวี อยากรู้ว่าเย่จิงเหยียนมีรูปร่างหน้าตายังไง แต่ว่าในข่าวมีแต่โลโก้ของบริษัท แม้ว่าจะมีรูปของเขา มันก็เป็นแค่รูปถ่าย

จะว่าไปแล้ว แค่รูปภาพรูปนี้ก็เพียงพอแล้ว บนโลกใบนี้ไม่น่าจะมีคนที่มีตาพิเศษ และชื่อเย่จิงเหยียนแน่นอน

ต้วนอีเหยารู้สึกว่าตนเองโชคดีจริงๆ เพิ่งจะมาถึงก็ได้ข่าวคราวของเขาแล้ว

ประธาน ฮึงฮึง ชื่อนี้ฟังแล้วก็น่าสนใจดี

เมื่อพนักงานเสิร์ฟอาหารมาถึง ต้วนอีเหยาจึงถามนางว่า “สวัสดี ขอถามหน่อย จากนี่ถึงเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปไกลไหม”

“ เย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปหรือ ไม่ไกลเท่าไหร่ ถ้าคุณนั่งรถแท็กซี่ 20-30 นาทีก็ถึง อยู่ใจกลางเมือง ตึกที่สูงที่สุดและดูหรูหราที่สุดนั่นแหละคือเย่ฮวาง” พนักงานพูดอย่างสนิทสนม

“ขอบคุณ”

พนักงานดูชุดที่เธอสวม ข้างเก้าอี้เธอมีกระเป๋าเดินใบนึง จึงถามว่า “แม่นาง จะไปสมัครงานหรือ”

ต้วนอีเหยายิ้ม“ไม่ใช่ฉันจะไปหาคน”

“ออ ฉันคิดว่าเธอมาหางานทำซะอีก ได้ยินมาว่า เงื่อนไขการรับพนักงานของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปมีความเคร่งครัดมาก”หน้างานสังเกตสีหน้าของเธอที่ไม่อยากจะสนทนาด้วย ยิ้มหัวเราะเบาๆมีกี่คำแล้วเดินจากไป

เวลานั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกโบตั๋นบนถนนของเมืองA อยู่เป็นกลุ่มเป็นกลุ่มดูแล้วสวยงาม กลิ่นหอมของดอกไม้ฟุ้งกระจายทั่วบนท้องฟ้า

20 กว่าปีแล้วที่ไม่ได้กลับมา เมืองAเปลี่ยนไปมาก มีหลายที่ที่เธอจำไม่ได้แล้วต้วนอีเหยาไม่ได้ต่อรถไป เธอเลือกที่จะเดิน เพราะเธออยากจะสัมผัสบรรยากาศของเมืองนี้

เดินไปเดินไป ปรากฏว่า 4 โมงกว่า ต้วนอีเหยาถึงจะมาถึงตึกของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป เป็นอย่างที่พนักงานพูดไว้จริงๆ ตึกนี้เป็นตึกที่สูงที่สุดในบริเวณนั้น เป็นที่น่าอิจฉาของผู้คนจริงๆ

เธอลากกระเป๋าเดินทางเดินเข้าไป แต่ยังไม่ทันเข้าประตู ก็ถูกยามขวางไว้

“ ขอโทษนะ คุณผู้หญิง คุณไม่ใช่พนักงานที่นี่ ไม่สามารถเข้าไปโดยพละการได้”ยามพูดด้วยความสุภาพ

ต้วนอีเหยายืดตัวตรง พูดยังกลางๆว่า “ฉันมาหาคน”

“ ขอถามหน่อย ท่านต้องการหาใคร”

“ฉันมาหาเย่จิงเหยียน ”

ยามอึ้งไปสักพัก ดูเธออย่างละเอียด การแต่งตัวของเธอธรรมดา และยังลากกระเป๋าเดินทาง ดูแล้วน่าหัวเราะจริงๆ “ คุณผู้หญิง ขอถามหน่อยมีใบนัดไหม”

“ จะพบเขายังต้องมีใบนัดหรือ”ต้วนอีเหยาแสดงออกถึงความไม่รู้ เพราะเธอห่างไกลจากการใช้ชีวิตธรรมดามานานแล้ว

“จำเป็นแน่นอน ประธารเย่เป็นประธานของบริษัท งานที่ต้องทำในแต่ละวันมีมาก ถ้าไม่มีนัด ฉันจะไม่ปล่อยคุณเข้าไปเด็ดขาด”

ต้วนอีเหยาก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ “ รบกวนคุณช่วยเข้าไปบอกเขาที มีคนแซ่ต้วนมาหา เป็นเพื่อนเก่าของเขา”

ยามลังเลสักพัก ก็กลัวว่าจะทำให้พระโกรธ ได้แต่พูดว่า “ รบกวนท่านรอสักครู่”

เมื่อมาถึงหน้าห้อง ยามบอกให้พนักงานหน้าห้องว่า “ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาประธานเย่ บอกว่าเป็นเพื่อนเก่า แซ่ต้วน เธอช่วยบอกให้กับเลขาหน่อย”

หน้างานหน้าห้องเช็ดปาก แล้วมองออกไปทางปากประตูเห็นร่างที่สูงสง่า ก็พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “แม้กระทั่งแมวแมวหมาหมาก็จะมาพบประธาน ประธานเย่ยุ่งจะตายอยู่แล้ว อีกอย่าง ฉันว่านางมาพึ่งประธานเย่แน่”

ยามยิ้มอย่างเขินเขินว่า “ ยังไงเธอก็โทรหาเลขาที อาจจะเป็นเพื่อนเก่าจริงๆก็ได้”

“ ไม่ต้องโทรหรอ ประธานเย่หลังประชุมเสร็จ ก็ลงไปยังสาขาอื่นเพื่อเซ็นสัญญาแล้ว ไม่อยู่”

“โอเคร ฉันเข้าใจแล้ว ”

เมื่อกลับมาถึงหน้าประตู ยามพูดด้วยอาการขอโทษว่า “ คุณผู้หญิงท่านประธานแย่ของเรา ไปเซ็นสัญญายังบริษัทลูกแล้ว ไม่ได้อยู่ ห้องทำงาน”

ต้วนอีเหยาปวดคิ้ว “ แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”

“ เรื่องนี้ให้คำตอบยาก ถ้าหากว่าดึกจริงๆ อาจจะรวดกลับบ้านไม่เข้ามาบริษัทแล้ว”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณ”

ต้วนอีเหยาลากกระเป๋าเดินทางเดินไปเรื่อยๆ ถ้าหากเหนื่อยก็หาโรงแรม บางทีตัวเองอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไป คิดว่าเมื่อเจอเย่จิงเหยียนก็จะได้พบเลย คิดไม่ถึงการจะเขาได้นั้นจะต้องมีนัดอีก

เย่จิงเหยียน นายพัฒนาได้ไม่ธรรมดา

ตามที่ยามบอก เย่จิงเหยียนไปเซ็นสัญญาบริษัทย่อยน่าจะ เสร็จ1 ทุ่มกว่า เขาน่าจะรวดกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเย่แล้ว

เย่ชูวเสวียนั่งไขว้ขาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา เขาเดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่อ่อนล้า จึงถามเขาว่า “เข้ารับตำแหน่งวันแรก รู้สึกเป็นไงบ้าง”

เย่จิงเหยียนนอนลงบนโซฟาพร้อมกับหลับตาพูดว่า “เหนื่อยจริงๆ”

“ เป็นไง รู้แล้วใช่ไหมว่า พ่อลำบากแค่ไหน ยังดีนะที่ฉันฉลาด ไม่ได้เข้าไปบริษัท”เย่ชูวเสวียพูดอย่างยิ้มหวาน

“ ฉันอยากจะเปิดร้าน” เธอลุกออกจากโซฟา ตรงเข้าไปตรงหน้าเขา

“พี่ เปิดร้านให้ฉันหน่อยสิ”

“ อยากเปิดร้านอะไรล่ะ”

“ร้านเค้ก ร้านเค้กที่อร่อยที่สุดในเมืองA”

เปลือกตาของเย่จิงเหยียนยกขึ้นพร้อมพูดว่า “เธอทำเค้กเป็นหรอ”

“ฉันกินเค้กเป็น”เย่ชูวเสวียพูดพร้อมกับยิ้ม “ฉันจะเชิญคนทำขนมหวานระดับสูงมาทำงานร้านนี้ หาพนักงานสาวสวยๆสองสามคน ธุรกิจนี้รุ่งแน่นอน”

เย่จิงเหยียนอมยิ้มแล้วสะบัดหัว “คิดจะกินเองล่ะสิ”

“ เฮ้ยๆ พี่ก็ เปิดให้ฉันทีเถอะนะ ให้ฉันว่างอย่างนี้ทุกวัน ลุงจางรู้สึกจะเบื่อกับฉันแล้วล่ะ”

จางเฮ่อเชียงที่เดินผ่านมาพอดี รีบพูด “ ฉันไม่เคยพูดแบบนั้น”

เย่ชูวเเสวียรีบเอามือไว้ที่ปาก “ชู่” ทำเป็นภาษามือ แล้วง้อเย่จิงเหยียนอีกครั้ง “ พี่ขา ขอร้องล่ะ ช่วยฉันเปิดร้านนะร้ขอร้านข้างๆบริษัทพี่ ที่นั่นมีคนรวยเยอะมาก วันที่ว่างพี่ก็สามารถมาอุดหนุนได้”

เย่จิงเหยียนคิดอยู่นานๆ แต่แล้าก็เอามือจับที่ไหล่ตัวเองพูดเบาๆ “งั้น มานวดให้พี่ที”

“แสดงว่าพี่ตกลงแล้วนะ”เย่ชูวเสวียถามด้วยความดีใจ

“ อืม ตามใจเธอแล้วกัน”

“เย่ชูวเสวียก้มหน้าลงจูบที่แก้มของเขา แล้วค้องคอของเขา “พี่ขา พี่ช่างดีจริงๆ ทำไมฉันถึงมีพี่ชายที่แสนดีแบบนี้นะ”

เย่จิงเหยียนเช็ดน้ำลายของเธอออกความรู้สึกขยะแขยง พูดอย่างเอาจริงว่า “แต่ว่าต้องใช้เงินในธนาคารของเธอ ไม่ให้ใช้ของบริษัทนะ”

“ ได้”เย่ชูวเสวียรีบผยักหน้า เพราะบัญชีธนาคารของเธอ ถ้าเธอต้องใช้เงินจำนวนมาก ต้องได้รับการเซ็นยอมรับจากเย่จิงเหยียน

“ นวดหลังต่อ”

“ได้เลย”

ณโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองA หลังจากที่ต้วนอีเหยาอาบน้ำเสร็จ ก็นอนดูทีวีบนเตียง เธอไม่ได้ดูทีวีเป็นเวลานานแล้ว ช่องรายการเธอเปิดยังคงเกี่ยวกับทหาร

เธอในเวลานี้ ข้างหน้าเต็มไปด้วยเป้าหมาย นัยน์ตาแหลมคม

ในวันที่สอง เย่จิงเหยียนมาถึงบริษัท ทั้งยามและพนักงานต้อนรับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

เมื่อถึงเวลา 10:00 น ต้วนอีเหยาก็มาอีก ยังคงสวมชุดเมื่อวาน แต่ไม่ได้นำกระเป๋าเดินทางมาด้วย

“ เย่จิงเหยียนอยู่ไหม” เขาถามยามอย่างตรงไปตรงมา

ยามถูกคำพูดของเธอขู่จนกลัว ขอให้เธอรออยู่ที่นั่น แล้วรีบวิ่งเข้าไปปรึกษากับพนักงานต้อนรับ

“ ทำไงดี นางมาอีกแล้ว”

พนักงานต้อนรับมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม “นายไปบอกให้เธอว่า ท่านประธานกำลังประชุมอยู่ ไม่มีเวลา”

“อย่างนี้จะดีหรอ”

“หรือว่า นายจะให้นางเข้าไป นายลืมเรื่องครั้งก่อนแล้วหรือ” พนักงานต้อนรับเตือนยามอีกครั้ง

ยามเปลี่ยนสีหน้าทันที “ถ้างั้นให้นางรออยู่หน้าประตูนั่นแหละ ฉันไม่มีเงินเดือนให้หักเยอะขนาดนั้นแล้ว”

จริงๆแล้ว เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีผู้หญิงที่หน้าตาสวยมากคนหนึ่งมายังบริษัท บอกว่าเป็นเพื่อนของเย่จิงเหยียน ยามเห็นว่านางดูจากภายนอกไม่ธรรมดา เสื้อผ้าที่สวนเป็นเสื้อผ้าที่มียี่ห้อ เลยละเมิดกฎปล่อยนางเข้าไป คิดไม่ถึงจริงๆแล้วผู้หญิงคนนั้นไม่ได้รู้จักกับเย่จิงเหยียน นางแค่อยากจะมามองเย่จิงเหยียน

ครั้งนั้น ยามเกือบจะถถูกไล่ออก ยังดีที่หัวหน้าช่วยพูดให้ ถูกตัดเงินเดือน 3 เดือน

“ แม่นาง คือว่าท่านประธานของเรากำลังประชุมอยู่”

ต้วนอีเหยาจ้องตามองไปยังเขา ในใจของยามรู้สึกกลัวนิดๆ แผ่นหลังเย็นไปหมด เขารู้สึกสายตาของผู้หญิงคนนี้เหมือนกับราชสีห์

“ นี่คุณไม่ได้หลอกฉันใช่ป่ะ” ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“ ไม่ใช่แน่นอน หรือว่า….” มองซ้ายมองขวา “ หรือว่า คุณจะลองโทรหาประธานเย่ไหม”

“ถ้าฉันมีเบอร์โทรของเขา ยังจะมาพูดไร้สาระกับคุณอยู่หรือ”

ยามได้ฟังน้ำเสียงของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงกับโกรธ “ถ้างั้นฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วล่ะ ฉันก็แค่ทำตามที่บริษัทบอก คุณคงจะไม่ถือสานะ”

ต้วนอีเหยาคิดจะอ้อนเขาเพื่อที่จะเข้าไปให้ได้ แต่ก็กลัวจะส่งผลต่อศักดิ์ศรีของทหาร ขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอดูเบอร์โทรบนหน้าจอ เปลี่ยนอารมณ์นิดนึง เดินไปด้วยรับโทรศัพท์ไปด้วย…

“ ผู้กอง มีเรื่องอะไร”

ไม่รู้ว่าทางโน้นพูดอะไรบ้าง สีหน้าของต้วนอีเหยาดูไม่ค่อยดี “ ฉันเข้าใจแล้ว…”

ต้วนอีเหยาเพิ่งจะออกไป เย่ชูวเสวียก็ปรากฎออกมาหน้าบริษัท ในระหว่างที่นั่งรถมาก็เห็นยามพูดอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่ง จึงเข้าไปถามด้วยความประหลาดใจว่า “ผู้หญิงเมื่อกี้เป็นใคร”

ยามตอบด้วยท่าทีที่สุภาพ “ไม่รู้จัก นางบอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของประธานเย่ มาหาประธานเย่ แต่ไม่มีนัดหมาย”

“ เพื่อนเก่า” เย่ชูวเสวียขมวดคิ้ว เพื่อนของพี่ชายส่วนใหญ่แล้วเธอจะรู้จัก แต่ผู้หญิงคนนี้เธอก็ไม่เคยเห็น

เดินได้ไม่กี่ก้าว มีความคิดแวบหนึ่งเข้ามาในหัวของเย่ชูวเสวีย หันกลับมาถามยามว่า “ นางบอกไว้ไหมว่าชื่ออะไร”

“ ไม่ได้บอก แต่ว่ารู้สึกว่าจะเคยบอกว่าแซ่…” ยามพยายามที่จะนึก ในที่สุด “ ใช่ๆ เมื่อวานนางบอกว่านางแซ่ต้วน”

“แซ่ต้วน” เย่ชูวเสวียพึมพลำชื่อนี้อยู่สักพัก จู่ๆก็คิดขึ้นมาได้ พี่ชายมักจะพูดอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกว่าจะแซ่ต้วนเหมือนกัน

“นายแน่ใจนะ”

ยามเห็นสีหน้าของเย่ชูวเสวียเปลี่ยนไป ก็เกิดอาการตื่นเต้น “ น่าจะ… น่าจะใช่”

เย่ชูวเสวียรีบเงยหน้าขึ้นมามองหาาร่องรอยของผู้หญิงคนนั้น แต่ว่าใครจะไปรู้ นางได้หายไปท่ามกลางกลุ่มคนตั้งนานแล้ว

ในขณะที่ยามกลับพนักงานต้อนรับกำลังตกใจอยู่นั้น เย่ชูวเสวียรีบวิ่งไปยังลิฟท์ จนมาถึงห้องทำงานของประธานบริษัท พลักประตูเสียงดัง

“ปึง”

“ พี่ขา—”

ในห้องมีผู้อวุโสของบริษัทหลายท่าน เย่ชูวเสวียได้แต่ยิ้มให้พวกเขา เธอทำอะไรไม่ถูก

ผู้อวุโสของบริษัทหลายท่านก็รู้สึกชื่นชอบ คุณหนูที่ไร้เดียนสาของตระกูลเย่นี้ จึงยิ้มตอบกับเธอ

“ เอกสารพวกนี้ไว้นี่ก่อนแล้วกัน ให้ฉันดูแล้วค่อยว่ากันอีกที”

“ รับทราบ ท่านประธานเย่”

แต่ละคนออกไปอย่างรีบเร่ง เย่จีงเหยียนดูน้องไม่รู้จะทำยังไงดี “บอกกี่ครั้งแล้ว เวลาอยู่ที่บริษัทให้ค่อยๆเดิน ทำไมยังวิ่งมาอย่างนี้อีก”

เย่ชูวเสวียไม่อยากจะทนกับคำพูดของเขา เลยถามตรงๆว่า “พี่ ผู้หญิงที่อยู่ที่ศูนย์เด็กกำพร้าชื่ออะไรนะ”

“ต้วนอีเหยา ทำไมหรอ”เย่จิงเหยียนหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา

“ แซ่ต้วนจริงๆด้วย ”

“ หรือว่าอาจจะไม่จริง”

เย่ชูวเสวียเดินมาข้างหน้า แล้วปัดเอกสารบนมือเขาออกเอา จับมือเขาวิ่งไปด้วยพูดไปด้วย “รีบหน่อย รีบหน่อย โรงเมื่อกี้ ยามบอกว่ามีผู้หญิงแซ่ต้วนมาหาพี่ แต่เขาไม่มีนัด เลยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ”

“ เธอพูดอะไรนะ ” เย่จิงเหยียนตกใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ ในหัวเต็มไปด้วยความว่างเปล่า 20 กว่าปีนี้ ครั้ง กว่าปีนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ได้ข่าวของต้วนอีเหยา

“เข้าไปในลิฟท์ค่อยพูดก็ได้”

“ น้อง เมื่อกี้ว่าอะไรนะ”

ทั้งคู่เดินเข้าไปในลิฟท์อย่างรวดเร็ว เย่ชูวเสวียจึงพูดว่า “เมื่อกี้ฉันอยู่ด้านล่าง เห็นยามคุยกับผู้หญิงคนนึง หลังจากนางจากไปแล้ว ฉันเข้าไปถามยามว่า เขาเป็นใคร…”

เย่ชูวเสวียพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูบริษัท ใจของเย่จิงเหยียนเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนางพูดจบ ในตาของเขาเต็มด้วยความตกใจ

“ ต้องเป็นต้องเป็นนางแน่ๆ นางมาหาฉันแน่นอน”เย่จิงเหยียนจับแขนของน้องสาวด้วยความตื่นเต้น

เย่ชูวเสวียพูดตัดพ้อว่า “แต่ว่านางไปแล้วนะ”

“ ไม่เป็นไร ฉันจะให้คนไปหาข่าวของนางทุกโรงแรมในเมืองA” ขนาดที่พูดอยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรให้คนไปจัดการเรื่องนี้

เมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างสุด คนที่สามารถติดต่อได้ก็ติดต่อหมดแล้ว เมื่อยามเห็นเห็นเจ้านายลงมา ก็รู้สึกว่าตนเองแย่แน่ หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนเก่าของเจ้านายจริงๆ

“ประธานเย่”

“นางบอกว่านางแซ่ต้วนหรือ”เย่จิงเหยียนถาม

ฝ่ามือของยามเต็มไปด้วยเหงื่อ “ใช่ครับท่าน”

เย่จิงเหยียนทั้งดีใจและกังวล “ มาเมื่อไหร่ แล้วนางพูดอะไรอีก”

“ มาเมื่อวานตอนบ่าย…”

“เมื่อวานตอนบ่าย” เย่จิงเหยียนพูดด้วยอาการตกใจ “แล้วทำไมไม่มีใครมาบอกฉันล่ะ”

ยามทำอะไรไม่ถูก รู้ว่าตนเองได้ก่อปัญหาแล้ว “ ฉันบอกให้เลขาโทรหาท่าน แต่เลขาบอกว่า ท่านไปยังสาขาอื่น ดังนั้น…”

“ เจ้าโง่”เย่จีงเหยียน พูดด้วยอารมณ์โมโห เย่ชูวเสวียที่ยืนอยู่ข้างๆก็ตกใจ ตั้งแต่จำความได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางเห็นพี่ชายโมโหขนาดนี้

ยามก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรอีก

เย่จิงเหยียนหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วถาม “นางพูดอะไรบ้าง บอกฉันตั้งแต่ต้นจนจบ”

ยามตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มีหรือจะคิดได้ว่าเมื่อวานตอนบ่ายนางพูดอะไรบ้าง

ยามคิดอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็พูดออกมา “ผู้หญิงคนนั้น … นางบอกว่านางเป็นเพื่อนเก่าของท่าน มาหาท่าน จากนั้น…จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย”

“นางพูดแค่นั้นจริงหรือ” เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ ไม่ไม่มีแล้วจริงๆ เพราะว่านางบอกว่านางไม่มีนัด ฉันบอกนางให้โทรหาท่าน นางบอก… นางบอกว่าถ้านางมีเบอร์โทรของท่าน นางก็คงไม่ต้องพูดไร้สาระกับฉ้นตั้งนาน…”

ใจของเย่จิงเหยียนแทบแตกสลาย ทำไมเขาถึงสะเพร่าแบบนี้ ตั้งแต่แรกเขาก็ควรจะให้คนใช้เหล่านี้รู้จักชื่อของต้วยอีเหยาแล้ว

เขากำมือแน่น ในใจรู้สึกเจ็บปวด “แล้วนางเอาอะไรมาด้วยกลับ”

“เมื่อวานนางลากกระเป๋าเดินทางมาด้วย แต่ว่าเมื่อกี้นางมาตัวเปล่า”

“กระเป๋าเดินทาง” หรือว่าเมื่อวานนางเพิ่งจะมาถึงเมืองA เธอมาหาเขายังอย่างตั้งใจ แต่กลับถูกขวางไว้หน้าประตู ตามนิสัยของนางแล้วต้องโมโหอย่างแน่นอน

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset