วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 296 ไม่แน่ว่าเธออาจจะไม่ได้ชอบคุณก็ได้

“ตอนบ่ายนายว่างไหม?”ต้วนอีเหยาถามเขา

“แน่นอน”เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาลืมเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะไปเสียหมด

“อย่างนั้นก็ดี ตอนบ่ายนายไปเดินเล่นในเมืองAเป็นเพื่อฉันหน่อย นานแล้วที่ไม่ได้กลับมา เกือบจะจำถนนหนทางไม่ได้แล้ว”

“อือ ได้สิ”คำขอนี้ของเธอทำให้เย่จิงเหยียนปฏิเสธไม่ลง เขานึกถึงอะไรขึ้นมาได้จึงถามขึ้นว่า “เธอมีโทรศัพท์ไหม?”

ต้วนอีเหยาค่อยๆยิ้มออกมา “จิงเหยียน นี่มันเป็นกองทหารของโลกยุคไหนกันแล้ว จะไม่มีโทรศัพท์ได้ยังไงล่ะ?”เธอพูดพร้อมกับล้วงมือลงไปหยิบโทรศัพท์ที่กระเป๋ากางเกง ปลดล็อคโทรศัพท์ไปพลางถามไปพลาง “เบอร์โทรศัพท์ของนายเบอร์อะไร ฉันจะโทรหานาย แต่ตอนที่ฉันฝึกอบรมและกำลังงาน อาจจะไม่สามารถพกโทรศัพท์ไปด้วยได้ ดังนั้นข้อความที่นายส่งมานี้ ก่อนที่ฉันจะอ่านมันอาจจะต้องรอนานหน่อย”

“ไม่เป็นไร ฉันจะพยายามโทรหาเธอเมื่อตอนที่เธอว่าง ”จากนั้นเขาก็บอกหมายเลขโทรศัพท์ของเขาให้กับเธอ จากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขามองไปที่เบอร์ที่โทรเข้ามาจากนั้นก็บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเธอลงในรายชื่ออย่างตั้งใจ

ต้วนอีเหยากำลังบันทึกรายชื่อ“เย่จิงเหยียน”อักษรสามตัว จากนั้นก็เอาโทรศัพท์เก็บลงไปในกระเป๋าและพูดว่า“ครั้งนี้ฉันจะอยู่ที่เมือง A สักพักและก็ไม่ได้ยุ่งมาก ถ้ามีเวลาว่างฉันจะติดต่อไปหานาย”

เย่จิงเหยียนแอบดีใจและรีบเชิญชวนเธอ “อย่างนั้น……วันนี้ตอนเย็นพวกเธอก็มาพักที่บ้านฉันเถอะ บ้านช่องใหญ่โต อยู่กันไม่กี่คนเท่านั้น……”

“ไม่ต้องหรอก ตอนเย็นพวกเราก็จะกลับกันแล้ว”ต้วนอีเหยาหยิบตะเกียบขึ้นมาและทานอาหารต่อ เธอไม่ได้มองเห็นสายตาของคนอื่นที่กำลังจับจ้องมองเธอในขณะนั้นเลย “พวกเรามีกฎว่าไม่สามารถพักที่ด้านนอกได้ อีกทั้งพรุ่งนี้ตอนเช้ามีการออกกำลังกายตอนเช้าอีก”

“อ้อ เป็นอย่างนี้เองหรอ”

เย่จิงเหยียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ได้สติกลับมา อันที่จริงวันนี้ก็ได้รับอะไรกลับมามากมาย ไม่ควรที่จะร้องขออะไรจากเธอมากเกินไป

มีเวลาอีกเยอะแยะ เขาค่อยๆเป็นค่อยๆไปจะดีกว่า ……

ตอนใกล้จะทานอาหารเสร็จ โทรศัพท์ของเย่จิงเหยียนก็ดังขึ้น เขาหยิบออกมาดูและกดตัดสายทันที แต่ไม่คิดเลยว่าฝ่ายตรงจะโทรมาไม่หยุด และตอนนี้โทรของเขาก็ขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

เขาหมดความอดทนจึงได้ปัดหน้าจอเพื่อรับโทรศัพท์ เย่จิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของชูวเสวียก็ดังมาจากโทรปลายสายด้วยความดีใจ“พี่ พี่สาวคนนั้นอยู่ที่ไหน ?ฉันอยากพบเธอ”

เสียงของเย่ชูวเสวียดังทะลุโทรศัพท์ออกมา ประกอบกับต้วนอีเหยาก็หูดีซะด้วย เมื่อได้ยินปลายสายเรียกออกมาว่า“พี่สาว” เธอก็ขมวดคิ้วทันที

叶景琰不好意思的冲她笑笑,对妹妹说,“我们正在吃饭,你……”

เย่จิงเหยียนส่งยิ้มให้เธอแบบเขินอาย และพูดกับน้องสาวว่า“พวกเรากำลังทานอาหารกันอยู่ เธอ……”

“ทานกันที่ไหน เดี๋ยวฉันจะรีบไป”

เย่จิงเหยียนรีบหยุดเธอไว้“ไม่ต้อง จะทานกันเสร็จแล้ว ตอนบ่ายพวกงานยังมีธุระที่จะต้องไปทำ เธอทำงานของเธอไปเถอะ”เมื่อพูดจบ เขายังไม่ทันได้รอให้ชูวเสวียพูดอะไรก่อน จากนั้นเขาก็รีบกดตัดสายทันที

ล้อเล่นนะ แค่เพื่อนทหารคนเดียวก็มากพอแล้ว ยังจะมีน้องสาวมาอีกคน ตอนบ่ายยังจะได้เดินเล่นกันไหม?อีกทั้งนิสัยของน้องสาวคนนี้ เธอต้องพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาแน่นๆ

“ฉันเกือบลืมไปเลยว่านายยังมีน้องสาวอีกคน”ต้วนอีเหยาวางตะเกียบลง และเย่จิงเหยียนก็ดึงกระดาษเช็ดปากส่งให้เธอด้วยความเอาใจใส่

“เธอหนะนะ เป็นคนอยู่ไม่สุขชอบวุ่นวาย แถมยังเป็นคนชอบกวนประสาทอีกต่างหาก”เย่จิงเหนียนพูดถึงน้องสาวของเขาด้วยน้ำสียงที่ผ่อนคลาย

ดูเหมือนว่าเย่ชูวเสวียจะมีการตอบโต้กลับมา เธอส่งข้อความมาหาเขาว่า:พี่ชายที่รัก พี่กลัวว่าฉันจะไปรบกวนการออกเดทของพี่ใช่ไหม เอาเถอะไหนๆพี่ก็รอพี่สาวคนนั้นมาอย่างลำบากถึงยี่สิบกว่าปี ครั้งนี้จะปล่อยพี่ไปแล้วกัน

เย่จิงเหยียนแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหัว ยัยเด็กคนนี้

ตอนบ่าย เย่จิงเหยียนมองดูต้วนอีเหยาที่กำลังเดินเล่นไปรอบๆของเมือง A เป็นเพราะตาของเย่จิงเหยียนที่มีความพิเศษไม่เหมือนคนอื่น ไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนก็มีคนจ้องมองมาที่เขา เขาอดทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อเดินผ่านร้านขายแว่นร้านหนึ่ง เขาจึงเดินเข้าไปเพื่อซื้อแว่นตากันแดดมาสวมใส่

เมื่อเขาเดินออกมา ต้วนอีเหยามองเขาแล้วมองเขาอีกพร้อมกับขมวดคิ้ว “ฉันรู้สึกว่าเมื่อก่อนเคยเจอนายที่ไหนนะ?”

เย่จิงเหยียนฉีกยิ้มเล็กน้อย เขามองเธอผ่านแว่นตา “เธอคิดออกแล้วหรอ?ฉันยังแอบคิดเลยว่าชาตินี้เธอคงจะคิดไม่ออกซะแล้ว”

ยิ่งทำให้ต้วนอีเหยาประหลาดใจมากขึ้น“ฉันเคยเห็นนายจริงๆใช่ไหม?”

“ประมาณสองปีก่อน ฉันไปแอฟริกามาหนึ่งรอบ……”

ต้วนอีเหยาจ้องเขาตาเป็นโตและพูดไม่ออก เธอก็ช็อกและเอามือขึ้นมาปิดปาก เธอไม่อยากจะเชื่อจึงถามเขาว่า“คนนั้น……ผู้ชายคนที่เกือบจะโดนสิงโตกินคนนั้นคือนาย?”

เย่จิงเหยียนพยักหน้า“ใช่คือฉันเอง”

“จะบังเอิญเกินไปไหม”ต้วนอีเหยาหุบยิ้ม“สองปีก่อนพวกเราเคยเจอกัน แต่ต่างคนก็ดูไม่ออกว่าฝ่านตรงข้ามเป็นใคร?”

“ตอนนั้นฉันสวมแว่นตากันแดด จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”

“ใช่แล้ว เปลี่ยนไปมากเลย แต่ว่านายก็จำไม่ได้ว่าเป็นฉัน พวกเราก็เสมอกันแล้ว”ต้วนอีเหยาเสียดสีเขา

“อืม เสมอกันแล้ว”สายตาคู่ที่หญิงสาวมองไม่เห็น กำลังจ้อมมองที่เป็นด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง

เดินไปคุยกันไปตลอดทางแบบนี้ ตั้งแต่ที่เย่จิงเหยียนสวมแว่นตากันแดดเขาเห็นสิ่งต่างๆเข้ามาในระยะสายตามากมาย เมื่อเดินผ่านร้านเสื้อผ้าหญิงสาว ร้านขายกระเป๋า ร้านขายเครื่องสำอาง เขาอยากจะซื้อมันทั้งหมดเพื่อมอบให้กับเธอ แต่ก็กลัวว่าจะถูกเธอหัวเราะเยาะ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้า

ตอนเวลาสี่โมงเย็น พวกเขากลับมาถึงที่ใต้ตึงเย่ฮวางกรุ๊ป ต้วนอีเหยาพูดขึ้น“พวกเราไปก่อนนะ ถ้ามีเวลาว่างฉันจะโทรหานาย”

เย่จิงเหยียนไม่ได้ตั้งใจที่จะจับไปที่ปลายเสื้อของเธอ“ฉัน……ฉันสามารถไปเยี่ยมเธอได้ไหม?”

ต้วนอีเหยาขมวดคิ้ว“มันไม่ค่อยจะสะดวก”

“อ๋อ……”เย่จิงเหยียนสีหน้าเก็บเอาอาการผิดหวังไม่อยู่

เหมือนตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก ต้วนอีเหยาบีบไปที่ใบหน้าของเขาพร้อมกับยิ้มและพูดว่า“วันนี้ที่ได้เจอนายฉันดีใจมาก นายเป็นหัวหน้าใหญ่ต้องตั้งใจทำงานมากๆ ต้องขยันและพยายามทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น รู้ไหม?”

“เรื่องนี้กับเรื่องไปเยี่ยมเธอมันไม่ได้เกี่ยวกันสักหน่อย”เย่จิงเหยียนไม่ได้ขัดขืนจากการที่ถูกเธอสัมผัสเลยสักนิด กลับรู้สึกดีใจมากกว่า แต่คำพูดที่เขาได้พูดออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยไม่ได้ขนม

“โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กไปได้ ฉันไปแล้วนะ ”ต้วนอีเหยาไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เธอหันหลังกระโดดขึ้นรถและออกคำสั่งให้จางเฉินออกรถไป

เย่จิงเหยียนรู้สึกผิดหวังมาก จึงรีบตะโกนออกไปว่า“ต้วนอีเหยา เธอทำไม่ถึงได้เป็นคนที่แล้งน้ำใจขนาดนี้ พูดว่าจะไปก็ไปเลย”

ต้วนอีเหยายิ้มพร้อมกับต่อว่าเขาว่า“เด็กคนนี้ ฉันมาตั้งไกลเพื่อมาหานาย ยังพูดว่าฉันแล้งน้ำใจอีกหรอ?”

“แต่ว่า……แต่ว่า……”เย่จิงเหยียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในเมื่อคำขอร้องต่างๆของเขาไม่ได้อยู่ในสายตาเธอเลย แล้วเขายังจะพูดอะไรได้อีก?

ต้วนอีเหยาคิดกับเขาเป็นเพียงแค่น้องชายที่แสนดี คิดเพียงแค่ว่าเขาเสียดายไม่อยากให้เธอกลับไปก็เท่านั้น แม้แต่ตอนที่เขาวิ่งเข้ามาหยุดเธอที่ด้านข้างของรถ เธอก็ตบที่ไหล่ของเขาเพื่อเป็นการปลอบใจ “ตอนบ่ายพึ่งจะพูดไปว่าเธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แท้จริงก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อย เอาล่ะ มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันได้”

ทันใดนั้นอ้อมกอดของเธอก็ทำให้เขาเข้าใจถึงคำทุกข์ทรมานใจที่ต้องแยกจากกันทันที ตอนที่แขนของเธอกอดอยู่บนตัวของเขา เขาก็รีบกอดเธอไว้แน่น ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้ พูดว่าจะไปก็ไปทันที เขายังเด็กไม่รู้ว่าจะรั้งเธอไว้ยังไงดี ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น แม้ว่าจะเขาโตแล้วมีกำลังมีความสมมารถแล้ว แต่ก็ยังคงรั้งเธอไม่ให้จากไปไม่ได้

เป็นเพราะเขารู้ว่าคนที่เขารักรักที่จะทำอะไร เธอมีความเชื่อและความภาคภูมิใจในสิ่งนั้น เขาเข้าใจและเคารพในการตัดสินใจของเธอ และพร้อมที่จะสนับสนุนเธออย่างเต็มที่

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มีคำสำคัญหรือฐานะอะไรที่จะร้องขอให้เธออยู่ต่อ

สายตาของเขาทอดมองรถของเธอที่ค่อยๆจากไป เย่จิงเหยียนไม่ถอยหลังเขายืนอยู่อย่างนั้นและไม่ขึ้นไปชั้นบนของบริษัท การจากลาครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เจอเธออีก

“รถไปตั้งนานแล้วยังมองอะไรอีก เสน่ห์ของพี่สาวมีมากเกินกว่าจะต้านทานจริงๆ”

ไม่ต้องหันหลังกลับไป เย่จิงเหยียนก็รู้ว่าเป็นน้องสาวของเขา เขาถอนหายใจอย่างแรง จากนั้นก็หันหลังกลับมามองเธอ“เธอออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

พอพวกพี่กลับมาฉันก็เห็นพวกพี่แล้ว ”เย่ชูวเสวียหัวเราะฮิๆพร้อมกับพูดขึ้น

เธออยู่ที่ร้านขายขนมปังข้างบริษัท มองเห็นรถจอดอยู่ตรงนั้นตลอด ก็รู้ได้ทันทีว่าเดี๋ยวพวกเขาก็ต้องกลับมา และยังสั่งให้พนักงานนั่งเฝ้ามองอยู่ที่หน้าประตู ไม่นึกเลยว่ายังไม่ฟ้า ท้องฟ้ายังไม่ทันจะมืดลง พนังานคนนั้นก็วิงเข้ามาบอกเธอว่าท่านประธานเย่กลับมาแล้ว

เพราะเหตุนี้สายตาและท่าทางของพี่ชายยังคงดูโศกเศร้าการจากไปของต้วนอีเหยา หากว่าเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง คงจะตกมาอยู่ในกำมือของเขาอย่างไม่ยาก ทำไงได้ในเมื่อฝ่ายนั้นคือต้วนอีเหยา ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเธอก็ไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้น ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยเข้าใจรู้สึกของเขาเท่าไหร่

“พี่ ฉันดูท่าทางของพี่สาวคนนั้นแล้ว เธอคงคิดกับพี่เป็นเพียงแค่พี่น้องละมั่ง”เย่ชูวเสวียพูดจี้ใจดำเย่จิงเหยียน

เย่จิงเหยียนชะงักและดึงเท้ากลับพร้อมกับหันกลับไปถลึงตาใส่เธอ “เธอพูดมากไปแล้ว”

“ที่ฉันพูดมันถูกล่ะสิ?”เย่ชูวเสวียส่ายหัวเล็กน้อย จากนั้นก็ทำการเดาต่อว่า “พี่ พี่คงยังไม่ได้บอกความในใจกับเธอใช่ไหม”

เย่จิงเหยียนขึ้นพูดด้วยความลังเลใจว่า“มันยังไม่ถึงเวลา”

叶初雪耸肩,“那就怪不得小姐姐了。哥,你这二十多年来只顾着拒绝别人了,话说,你还会不会表白?”

เย่ชูวเสวียยักไหล่“อย่างนั้นก็โทษพี่สาวคนนั้นไม่ได้แล้ว พี่ ยี่สิบปีมานี้พี่มีแต่ปฏิเสธคนอื่นมาตลอด จะพูดไปแล้ว พี่ยังจะสารภาพความรู้สึกกับอยู่เธอไหม?”

เย่จิงเหยียนจับไปที่ไหล่ของเธอหันกลับไปทางร้านขนมปัง“เรื่องนี้เธอไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนฉันหรอก ให้ฉันจะจัดการเองได้ไหม?”

“ได้ ถ้าหากว่าต้องการฉันล่ะก็มาหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ ฉันเป็นผู้หญิง ย่อมรู้ดีว่าผู้หญิงด้วยชอบฟังคำพูดแบบไหน”

“เขากับเธอไม่เหมือนกัน เอาล่ะ ที่ห้องทำงานของฉันยังเหลือเอกสารกองโตรออยู่บนโต๊ะ สักพักเธอก็กลับบ้านไปก่อนได้เลย”

เย่ชูวเสวียทำหน้าบูดหน้าบึ้งและเดินไปทางด้านร้านขนมปัง

ตอนที่อยู่คนเดียวแล้วค่อยๆสงบจิตใจลงได้ เย่จิงเหยียนมีท่าทางที่เหม่อลอย ในมือของเขาถือเอกสารตารางรายงานไตรมาส สายตาของเขาเห็นแต่เพียงใบหน้าของต้วนอีเหยา ทำยังไงดี เธอไปยังไม่ถึงสิบนาที เย่จิงเหยียนก็เริ่มรู้สึกคิดถึงเธอขึ้นมาแล้ว

เขาหยิบเอาโทรศัพท์ออกมา มองไปที่เบอร์โทรของเธอ เขาอยากจะโทรหาเธอใจแทบขาด แต่ก็ต้องอดทนว่างโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ

เขาถอนหายใจอย่างแรงและบอกตัวเองว่าใจเย็นๆ ทำงานให้เสร็จก่อน หลังจากสองชั่วโมงตผ่านไปค่อยโทรหาเธอ ไม่คิดเลยว่าเย่จิงเหยียนจะดึงสติให้กลับมาให้ตั้งใจทำงานได้

ทางด้านนอกท้องฟ้าค่อยๆมืดลง เย่จิงเหยียนทำงานทุกชิ้นอย่างรวดเร็วและทำได้อย่างมีคุณภาพ เขาเป็นคนที่จะต้องสะสางงานในแต่วันวันให้เสร็จ แม้ว่าจะรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่สามารถเอางานของวันนี้ยืดเวลาไปทำพรุ่งนี้ได้

ไม่รู้ว่าผ่านไปเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามา”

เย่จิงเหยียนเงินหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร เห็นจ้าวเสวียนเดินเข้ามา

“ประธานเย่ ฉันสั่งอาหารมาให้คุณแล้ว คุณพักทานอาหารก่อนเถอะ”จ้าวเสวียนพูดอย่างสุภาพอ่อนโยน

เย่จิงเหยียนก้มลงมามองที่เอกสาร และพูดเบาๆว่า“ไม่ต้องหรอก ผมไม่หิว”

จ้าวเสวียนเคยชินกับคำปฏิเสธพวกนี้มาตั้งนานแล้ว เธอจึงพูดขึ้นว่า“ประธานเย่ เอกสารพวกนี้ฉันจะจัดมันให้เรียบร้อย……”

“ไม่ต้องหรอก ทำพรุ่งนี้เช้าก็ยังไม่สาย วันนี้เย็นมากแล้ว เธอกลับไปซะเถอะ ”ท่าทีของเย่จิงเหยียนดูค่อนข้างสุภาพอ่อนโยน อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เขาดูอารมณ์ดี

“ พึ่งจะสองทุ่มกว่าๆกลับไปก็ไม่มีธุระอะไร อยู่ช่วยคุณไม่ดีกว่า……”

“สองทุ่มกว่าแล้ว?”เย่จิงเหยียนพูดตัดบทเธอ เขารีบหยิบโทรศัพท์ที่ว่างอยู่ทางด้านข้างขึ้นมา หน้าจอโทรศัพท์มีตัวหนังสือบอกเวลาว่าสองทุ่มยี่สิบนาที

“ประธานเย่ คุณยังมีธุระอะไรที่จะต้องทำอีกหรอ?”จ้าวเสวียนถาม

“เธอออกไปเถอะ ทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”

ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยการรอคอยของเธอก็ถูกหยุดชะงักลง เธอไม่กล้าจะอยู่ในห้องนี้ต่อ จึงค่อยๆหมุนตัวเดินกลับไป ขณะที่เธอปิดประตูก็ได้ยินเสียงเย่จิงเหยียนพูด “เธอถึงแล้วหรือยัง?เมื่อกี้ฉันพึ่งจะทำงานเสร็จ……”

น้ำเสียงที่สุภาพอ่อนหวานแบบนั้น เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

เป็นผู้หญิงคนนั้น……ทำให้เขาตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้ เพียงเพื่อต้องการที่จะโทรหาผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นหรอ?

มือทั้งสองข้างของจ้าวเสวียนกุมกันเอาไว้แน่น เธอไม่สามารถที่จะรอได้อีกต่อไปแล้ว หากรอต่อไปจิตวิญญาณของเย่จิงเหยียนต้องถูกเธอหลอกล่อเอาไปแน่ แล้วอย่างนี้ตัวเองจะเหลือโอกาสอะไร?

แต่ จะทำยังไงดีล่ะ?เธอต้องคิดทบทวนดูดีๆ

ในห้องทำงาน เย่จิงเหยียนพูดจาอย่างสุภาพอ่อนโยน “……ยังไม่ทานข้าว หิวจะตายอยู่แล้ว……รอฉันจัดการงานของบริษัทเสร็จแล้วจะไปทาน ก็เธอไม่ใช่หรอที่พูดว่าให้ฉันตั้งใจทำงาน……เอาล่ะ เธอไปทำธุระของเธอเถอะ บายๆ”

โธ่ มีเพียงแค่เธอที่สามารถกดว่างโทรศัพท์เขาได้

เขายิ้มพร้อมกับส่ายหน้าไปมา จากนั้นเย่จิงเหยียนก้มหน้าทำงานต่อ

เอกสารทั้งหมดถูกจัดการจนเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว เย่จิงเหยียนบิดขี้เกียจไปมาและหลับตาพักสายตาลงสักพัก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์และกุญแจรถขึ้นมา และกลับบ้าน

เขาปิดประตูห้องทำงาน ตอนที่เย่จิงเหยียนเดินไปที่ลิฟท์ เขากลับพบว่าห้องของเลขายังเปิดไฟสว่างอยู่

ดึกขนาดนี้แล้ว ใครยังอยู่ในนี้อีก?

เขาเดินเข้าไปดู จ้าวเสวียนกำลังดูอะไรบางอย่างในคอมพิวเตอร์อยู่ เขาเคาะประตู หญิงสาวดูมีท่าทางตกใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา เมื่อมองเห็นเขา เธอจึงยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ประธานเย่”

“เธอทำไมยังไม่กลับไปอีกล่ะ?”

“ฉันกลัวว่าคุณมีอะไรจะสั่ง ก็เลยรอดู ”จ้าวเสวียนพูดด้วยความน่าเอ็นดู

“อ้อ อย่างนั้นเธอก็เลิกงานได้แล้ว”จากนั้นเย่จิงเหยียนก็หันหลังเดินจากไป จ้าวเสวียนรีบปิดคอมพิวเตอร์ หยิบกระเป๋า ปิดไฟ และเร่งฝีเท้าตามเขาไป ตอนที่ประตูของลิฟท์ยังไม่ปิด เธอก็รีบวิ่งเข้าไป

“ขอโทษค่ะประธานเย่ ฉันขออนุญาตขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกันกับคุณได้ไหม?พอดีว่าลิฟท์อีกตัวยังมาไม่ถึง……”

“อือ”เย่จิงเหยียนตอบกลับเธอด้วยท่าทางที่ปกติ

จ้าวเสวียนแอบยิ้มอย่างดีใจ เธอเข้ามาขนาดนี้แล้ว หรือว่าเขายังจะไล่เธอออกไปได้อีก ?เธอเหลือบไปมองเห็นสีหน้าที่เย็นชาของท่านประธาน จึงหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า“ประธานเย่ ฉันอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการเงิน คุณสามารถแนะนำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

“เรียนการเงิน?ทำไมล่ะ?”

“เรียนรู้เพิ่มเติมเรื่องพวกนี้ก็คงจะไม่ได้ผิดอะไร ต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสได้ใช้ก็ได้?”จ้าวเสวียนพูดราวกลับว่าเธอได้คิดเหตุผลพวกนี้เอาไว้นานแล้ว

“เธอลองไปถามแผนกการเงินดู เรื่องพวกนี้ฉันมีความรู้ไม่มาก”เย่จิงเหยียนแนะนำเธอ ตอนนั้นเขาลืมไปว่าคณะที่เขาเรียนคือคณะอะไร

จ้าวเสวียนจับไปปลายที่จมูกของเธอ คำถามที่เธอเลือกมาถาม เป็นเพราะเธอรู้มาว่าคณะเย่จิงเหยียนเรียนที่มหาลัยก็คือคณะการบริหารการเงิน แต่ว่าตอนนี้……

“ขอบคุณประธานเย่มาก พรุ่งนี้ฉันจะลองไปถามดู ”น้ำเสียงของจ้าวเสวียนฟังดูไม่มีความรู้สึกผิดหวังหรือโศกเศร้าอะไรเลย

เมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นหนึ่งจ้าวเสวียนก็เดินออกจากลิฟท์ไป เย่จิงเหยียนกดลิฟท์ลงมาที่ชั้นจอดรถต่อ วันนี้เขาต้องขับรถกลับบ้านเอง

เมื่อเดินพ้นออกจากประตูของหน้าบริษัท จ้าวเสวียนรีบวิ่งสุดชีวิตไปที่ป้ายรถเมย์ที่รถของเย่จิงเหยียนต้องผ่านทาง คืนที่ดึกดื่นบนถนนมีรถไม่มาก คนรอที่ป้ายรถเมย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเห็นรถของเย่จิงเหยียนค่อยๆขับเข้ามาใกล้ๆ จ้าวเสวียนทำทีท่าเหมือนกับกำลังรอรถเมย์ และเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ รถของเขาค่อยๆจอดตรงหน้าของเธอ

เย่จิงเหยียนเห็นเธอตั้งแต่แรกแล้ว เดิมทีก็อยากจะขับรถผ่านไปเลย แต่ความเป็นสุภาพบุรุษในตัวเขาทำให้เขาต้องหยุดรถ เขาเป็นเจ้านายของจ้าวเสวียน ดึกขนาดนี้แล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมากับเธอจะทำยังไง?

“ขึ้นรถสิ ฉันจะไปส่งเธอ เป็นผู้หญิงมาอยู่กลางดึกแบบนี้คงจะไม่ปลอดภัย ”เย่จิงเหยียนเลื่อนกระจกของรถลงและพูดกับเธอ

“ขอบคุณค่ะประธานเย่”จ้าวเสวียนเปิดประตูทางด้านข้างคนขับและขึ้นไปนั่งบนรถ

เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ขอบคุณค่ะ เวลานี้หากว่าต้องรอรถเมย์ต้องรถนานมากๆ ”หลังจากที่จ้าวเสวียนขึ้นรถก็พูดขอบคุณ

“เธอพักอยู่ที่ไหน?!”

จ้าวเสวียนบอกที่อยู่ของเธอแกเขา พอเย่จิงเหยียนได้ฟัง พอดีกับเป็นทางที่เขาต้องผ่าน

บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบเหงา เย่จิงเหยียนไม่ได้มีความคิดที่อยากจะคุยอะไรกับเธอเลย เขาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

แต่จ้าวเสวียนจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปได้อย่างไร“ประธานเย่ ฉันได้ยินมาว่าวันนี้คุณต้วนคนนั้นมาหาคุณแล้วอย่างนั้นหรอ”

“อือ”

“ทุกคนล้วนแต่พูดกันว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาสวยงามและดูมีเสนห์มาก แถมยังเป็นทหารหญิงอีก ”จ้าวเสวียนเสแสร้งชมเธอ อันดับแรกอยากจะลองเชิงว่าเย่จิงเหยียนรู้สึกกับต้วนอีเหยาอย่างไร ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาไปส่งอาหารเช้าให้กับเธอ เขาก็มีท่าทางที่เย็นชากับตัวเอง

ขณะนั้นใบหน้าของเย่จิงเหยียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไปมาก ใบหน้าของเขาดูมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ้มไปพลางและพูดขึ้นว่า“เธอดีมากๆ”

ดีมากจริงๆ……

หัวใจของจ้าวเสวียนเหมือนค่อยๆถูกบีบแรงขึ้น แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นยิ้ม“ประธานเย่ คุณพอจะสะดวกเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าธอกับคุณรู้จักกันได้อย่างไ?”

“พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล”เย่จิงเหยียนพูดเรื่องต้วนอีเหย่าขึ้น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้คำพูดของเขาก็เริ่มมากขึ้น

จ้าวเสวียนชะงักไปสักพัก โรงเรียนอนุบาล?!

ทำไมถึงได้นานขนาดนี้นะ รู้จักกับเย่จิงเหยียนเป็นเวลานานกว่าเธอซะอีก

“ว้าว อย่างนั้นประธานเย่กับทหารหญิงคนนั้นก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่สมันเด็กๆ แล้วพวกคุณจะได้แต่งงานกันไหม ?”

ทันใดนั้นเย่จิงเหยียนก็ทำท่าคิดทบทวนและเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มันใจว่า “พวกเราต้องแต่งงานกันแน่”

“ทหารหญิงคนนั้นต้องปลดประจำการหรือเปล่า?ไม่อย่างนั้นงานแต่งงานของพวกคุณจะทำอย่างไร?”จ้าวเสวียนค่อยๆถามคำถามลองเชิงเขาต่อ

ทันใดนั้นคำถามของเธอก็ทำให้เย่จิงเหยียนถึงกับชะงัก ให้ต้วนอีเหยาปลดประจำการ?อย่างนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร ?เพียงแค่เขาพูดออกไปว่าร่างกายของผู้หญิงมีรอยแผลเป็นก็จะดูไม่ดี ก็ถูกเธอต่อว่าแล้ว หากให้เธอปลดประจำการ เหอะๆ เป็นอย่างนี้คนที่ต้องถูกเธอสลัดทิ้งคงเป็นเขาอย่างแน่นอน

“เรื่องของอนาคต ไว้ค่อยพูกกันทีหลัง”บทสทนาจบลงด้วยคำพูดประโยคนี้ของเย่จิงเหยียน

จ้าวเสวียนแอบหันไปมองสีหน้าท่าทางของเขา เอาล่ะ เธอไม่ควรที่จะถามต่อไปได้อีกแล้ว หากพูดอะไรออกไปอีกคงต้องโดนไล่ลงจากรถแน่ เธอแค่ต้องการให้เขารู้ว่าคนทั้งสองมีความแตกต่างกันมากแค่ไหนก็เพียงพอ

เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว เขาอาบน้ำเสร็จก็เอนตัวลงนอนบนเตียง ไม่นานเย่จิงเหยียนก็หลับไป

……

เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่เย่จิงเหยียนลงมาทานอาหาร พ่อ แม่และน้องสาวกำลังทานอาหารที่ห้องอาหารอยู่ก่อนแล้ว

เขามองหน้าน้องสาวที่กำลังหัวเราะ ก็รู้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานพ่อนกับแม่รู้เรื่องแล้ว

“ยินดีด้วยนะ การรอคอยหลายปีเป็นความจริงแล้ว”เย่ฉ่าวเฉินยิ้มตาหยี๋แสดงความยินดีกับเขา

“ขอบคุณครับ แต่ว่าเรื่องนี้พวกคุณใครก็อย่าเข้ามายุ่งทั้งนั้นนะ”เย่จิงเหยียนจ้องตาโตไปที่น้องสาวของเขา เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการ

เย่ฉ่าวเฉินไม่มีท่าทางแคร์ เขากัดปากพร้อมกับ“ชิ ฉันกับแม่ของแกคงไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก แต่ว่าฉันได้ยินหรูอี้พูดว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับลูกเลย ลูกต้องลองชั่งน้ำหนักให้ดีๆนะ!”

เมื่อคิดมาถึงตรงเย่จิงเหยียนก็รู้สึกหูดหู่ขึ้นมาทันที แต่ว่าเขายังคงไหล่ขึ้นลงๆได้ พร้อมกับเปิดอกยอมรับ ว่า“นั้นก็ใช่ แต่เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรล่ะ?ผมสามารถตามจีบเธอได้นิ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ดีกว่าพ่อกับแม่ในตอนนั้น เชอะ!”

“หา แกนี่มันชักจะปีกล้าขาแข็งเกินไปแล้วนะ กล้าเอาเรื่องของพ่อมาล้อเล่นได้!”เย่ฉ่าวเฉินถูกเปิดเผยความลับ เขาพูดด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจ

แต่เย่จิงเหยียนยิ้มเยาะเย้ยเขา ไม่มีท่าทางว่าจะกลัวเขาเลย แต่ในทางกลับเขาพูดกับมู่เวยเวยว่า“แม่ ถ้าตอนนั้นแม่ทำใจให้แข็งๆและทิ้งพ่อไปจะดีแค่ไหน พวกเราสองคนต้องใช้ชีวิตราวกับเทวดาที่มีความสุขมากแน่ๆ คิดดูสิว่าชีวิตแบบนั้นจะสบายแค่ไหนนะ!”

“ถ้าพวกพี่ไปแล้ว ฉันจะทำยังไง?อย่างนั้นก็คงจะไม่มีฉันแล้ว?”เย่ชูวเสวียได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นด้วยความโมโห

“ใช่ ยังอยากจะได้เธอมาทำอะไรล่ะ ?น่าราคาญและวุ่นวายชะมัด”เย่จิงเหยียนยิ้มเยาะเย้ยและตีไปที่ตัวเธอ

เมื่อเขาพูดจบลง แก้วนมก็ลอยขึ้นมากลางอากาศและลอยอย่างเร็วไปทางเย่จิงเหยียน เย่จิงเหยียนก็ไม่ธรรมดา เขาใช้พลังหยุดแก้วนมแก้วนั้นไว้ตรงหน้าของเขา

“พูดก็พูดไปสิ ทำไมต้องลงมือด้วยล่ะ?อยากจะสู้กับฉันสักยกหรือไง!”

ซาลาเปาสองสามลูกก็ลอยมา พร้อมกับรอยยิ้มที่แปลกประหลาดของเย่ชูวเสวีย“ดูเหมือนว่าพี่จะไม่ค่อยพอใจ ขนาดพูดว่าฉันเป็นตัววุ่นวาย”

เย่จิงเหยียนเถียงสู้เธอไม่ได้ เขาจึงรีบลุกกระโดดออกจากโต๊ะอาหารไป วิ่งไปพลางพูดไปพลาง“เย่ชูวเสวีย แรงของเธอสู้ฉันได้หรอก ถ้าเก่งจริงก็เอาสิ แต่ห้ามใช้พลังพิเศษนะ”

“ไม่ใช่พี่แก่กว่าฉันแค่สองปีหรอกหรอ ถึงเป็นแบบนั้นพี่ก็ยังสู้ฉันไม่ได้หรอก เชอะ”เย่ชูวเสวียมีท่าทางเย่อยิ่ง

ขณะนั้นในห้องอาหาร เย่จิงเหยียนวิ่งอยู่ทางด้านหน้า ขนมปัง นมสด ซาลาเปา โจ้กหนึ่งถ้วยยังมีตะเกียบและของอื่นๆลอยมาราวกับว่ามีปีกเคลื่อนตามหลังของเขามาติดๆ

“จะขอโทษหรือไม่ขอโทษ?!”เย่ชูวเสวียออกคำสั่งพลังวิเศษของเธอ เธอหัวเราะ หือๆพร้อมกับถามเขา

เย่จิงเหยียนกัดริมฝีปาก“ไม่ขอโทษ ใครใช้ให้เธอปากไวไปบอกเรื่องต้วนอีเหยากับพ่อแม่ล่ะ”

“ฉันยินยอม ฉันชอบ ฉันสะบายใจ แล้วเธอมายุ่งอะไร?”

สองพี่น้องกำลังเล่นหยอกล้อกันอย่างวุ่นวาย ฉากแบบนี้เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว และรู้สึกชินชาไปตั้งนานแล้ว จึงไม่สนใจและต่างคนต่างกินข้าว สักพักพวกเขาก็ต้องไปที่เมือง S ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของบ้านตระกูลเสี่ยวกลับมาแล้ว กำลังอยู่บ้านเพื่อรักษาตัว พวกท่านเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดังนั้นพวกเขาเลยควรที่จะไปเยี่ยมดู

สองพี่น้องหยอกล้อกันจนสุดท้ายเย่จิงเหยียนก็ยอมขอโทษ และแล้วเย่ชูวเสวียก็ชนะ

“เล่นก็คือเล่น แน่นอนว่าพวกเราจะไม่เข้าไปก่อกวนเรื่องของลูก แต่พ่ออยากจะเตือนลูกว่า ต้วนอีเหยาเป็นทหาร เธอเป็นคนของประเทศ ดังนั้นคงจะไม่ได้อยู่กับลูกบ่อยๆ เรื่องนี้ลูกควรจะคิดให้รอบคอบนะ ใช้ชีวิตอยู่ห่างกันใช่ว่าทุกคู่จะทำได้ ”เย่ฉ่าวเฉินพูดแนะนำเขาด้วยท่าทางที่จริงจัง

“พ่อ หากว่าเธอตกลงที่จะอยู่กับผม แน่นอนว่าผมต้องให้ความเคารพในความคิดของเธอ ไม่ทอดทิ้งเธอ จะพูดไปแล้วสักวันหนึ่งเธอก็ต้องมีวันปลดประจำการสักวัน”เย่จิงเหยียนพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเต็มใจ

มู่เวยเวยพูดชื่นชมลูกชาย“ดีมาก ลูกผู้ชายต้องเป็นแบบนี้ แม่สนับสนุนลูก ”

“ขอบคุณครับแม่”

“ถ้าจะให้ฉันพูด ผู้หญิงคนนั้นไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้ชอบพี่ และไม่แน่ว่าเธออาจจะต้องการแต่งกับทหารด้วยกัน อย่างนั้นถึงจะเป็นคู่ที่เหมาะสม ……”

“เธออยากจะโดนใช่ไหม?”เย่จิงเหยียนใช้สายตามองเขม่นไปที่เธอ

“แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นิ……เดี๋ยวๆ นายอย่าพึ่งลงมือนะ……”

หลายวันต่อจากนั้น ถ้าหากว่าเป็นอย่างที่ต้วนอีเหยาพูด เย่จิงเหยียนกลัวว่าจะเป็นการรบกวนการฝึกของเธอ ฉะนั้นเขาจะส่งข้อความหาเธอเพียงแค่ตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น ผลสุดท้ายข้อความก็เหมือนกับถูกแพไปกับสายน้ำ ผ่านไปเป็นเวลาหลายวันเธอถึงจะตอบข้อความกลับมา ในขอความก็มีตัวอักษรอยู่แค่ไม่กี่ตัว หลายวันมานี้ฉันกำลังยุ่ง

เย่จิงเหยียนเห็นข้อความที่ส่งกลับมาแล้วอยากจะร้องไห้ เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ? เขาอยากที่จะฟังเสียงของเธอมาก ตอนที่เย่จิงเหยียนได้รับข้อความของเธอ เขาก็โทรกลับไปทันที บ้างครั้งเธอก็รับสาย แต่บางครั้งเธอก็ตัดสายทิ้งไป

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset