วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 362 เจอเหตุการณืไม่คาดฝันอีกครั้ง

หลังตกลงกันว่าจะรวมตัวกันในอีกสองชั่วโมง ทุกคนก็แยกย้ายพักผ่อนในห้องของตนเอง เก็บข้าวของ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่สบายๆและมารวมกันที่ล้อบบี้

มู่ยู่วฉี เย่ชูวเสวีย ต้วนจื่ออิ๋ง และนักแสดงอื่นๆมารออยู่ที่ล็อบบี้กันตั้งนานแล้ว แต่พวกเขากลับไม่เห็นเย่จิงเหยียนเลย

พวกเขาพูดในรถว่าจะเจอกันเวลานี้ และเย่จิงเหยียนก็ไม่ได้คัดค้าน ทำไมเขาถึงยังไม่ออกมา

“โอ้ย ฉันไปดูเองว่าเกิดอะไรขึ้น!” ในที่สุดเย่ชูวเสวียก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ปึก” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้

“ฉันไปเองดีกว่า” ต้วนจื่ออิ๋งก็ยืนขึ้นเช่นกัน

อีกสามคนมองด้วยสายตากงวล เธอไปน่าจะแย่กว่าเดิม

มู่ยู่วฉีและเย่ชูวเสวียรีบหยุดเธอ เย่ชูวเสวียนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตะกี้ ตอนนี้เธอก็เกิดความกังวลขึ้นมา “ฉันไปดีกว่า!”

หลังจากพูดจบ เพราะกลัวว่าเธอจะไม่เข้าใจสีหน้าของคนอื่นอีก เธอจึงรีบขึ้นบันไดไป

ประตูห้องของเย่จิงเหยียนปิดอย่างแน่นหนา เย่ชูวเสวียยืนอยู่ที่ประตู แต่เธอก็กลัวที่จะเคาะประตู เธอมองกลับไปที่ชั้นล่าง ก่อนจะเห็นว่ามู่ยู่วฉีกำลังขยิบตาให้ตัวเอง

เธอปล่อยลมหายใจออกมาเบาๆ หลับตา และเคาะสามครั้งอย่างรวดเร็ว

เย่ชูวเสวียแนบหูฟังอยู่บนประตู แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆจากข้างใน เธอเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น จึงอดที่จะเพิ่มแรงในการเคาะประตูไม่ได้

เมื่อเห็นว่าข้างในยังไม่มีความเคลื่อนไหว เธอจึงขึ้นเสียงและตะโกนว่า “พี่ใหญ่!”

“อะไร”

เย่ชูวเสวียรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็มีคนตอบกลับ เธอคิดว่าเขาจะไม่สบายใจจนหนีไปแล้วซะอีก

“ตอนบ่ายมู่หยูฉีเตรียมงานปาร์ตี้ริมชายหาดไว้แล้ว พี่ก็มาร่วมงานสิ”

“พี่ไม่ไปแล้ว”

ประโยคเรียบๆของเขาทำให้คำพูดของเย่ชูวเสวียติดอยู่ในลำคอ

“พี่ไปเถอะนะ! ฉันจะบอกพวกเขาไว้แล้วว่าพี่จะไป ถ้าไม่เห็นพี่ ฉันต้องโดนหัวเราะเยาะแน่ๆ” มู่หยู่ฉีไม่รู้ว่าขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนพูดขึ้น

เย่ชูวเสวียตกใจ มองไปข้างล่างอัตโนมัติ ก่อนจะรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นต้วนจื่ออิ๋งยังยืนอยู่ชั้นล่าง

มู่หยูฉีมองไปที่เย่ชูวเสวีย และเย่ชูวเสวียก็เข้าใจทันทีจึงรีบพูดว่า “ใช่ น่าเบื่อจะตายอยู่ในห้องคนเดียว”

พวกเขารอสักพัก เมื่อรู้ว่าเย่จิงเหยียนไม่ออกมาอีก พวกเขาก็เตรียมลงบันไดไป

ทันใดนั้นประตูก็หมุนเปิดออก มู่หยูฉีและเย่ชูวเสวียหันหน้าไป ก่อนจะเห็นเย่จิงเหยียนยืนอยู่ที่ประตูในชุดลำลอง

เขาเดินผ่านพวกเขาไป เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่เคลื่อนไหวจึงพูด “ไหนบอกว่าต้องไปไง”

“อ้อๆ ไปๆๆ”

พวกเขากลับมามีสติ และรีบก้าวตามเย่จิงเหยียนไป ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน

ต้วนจื่ออิ๋งไม่ได้ตามเย่จิงเหยียน เธอรู้ว่ามันน่ารำคาญถ้าตามเขาตลอดเวลา

เธอต้องเปลี่ยนวิธี ต้องปล่อยให้พี่จิงเหยียนค่อยๆยอมรับเธอ!

ชายหาดในตอนพลบค่ำ แสงอาทิตย์ไม่ได้แรงแล้ว เมื่่อเย่จิงเหยียนและน้องๆมาถึง หนุ่มสาวทั้งหลายก็ได้รวมตัวกันพูดคุยและดื่มกันไปแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นเย่จิงเหยียนก้ต่างกรูกันเข้ามา

….

หลังจากต้วนอีเหยาช่วยป้าเก็บมะพร้าวเสร็จแล้ว ประตูในบ้านก็ถูกเคาะจนสั่นไหว

“ป้าหลี่ ป้าหลี่!”

“มาแล้ว ไม่ต้องเรียกแล้ว!” ป้าหลี่วางมะพร้าวในมือลงแล้วค่อยๆเปิดประตู

ประตูเปิดออก ต้วนอีเหยามองออกไปนอกประตูอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเจอชายวัยกลางคนถูมือของเขา สีหน้าดูกังวล

“มีอะไรเหรอ” ป้าหลี่ขมวดคิ้ว “เมื่อก่อนแกไม่ได้เป็นคนผลีผลามอย่างนี้นี่”

“นี่มันรีบไง….”

ชายวัยกลางคนกระทืบเท้า “มีคนจากทะเลเหนือมาขอซื้อมะพร้าวหนึ่งรถเข็น แต่ช่วงนี้ธุรกิจของฉันไปได้ดี เลยไม่ได้เหลือไว้เยอะ แถมเมื่อกี้ตอนกลับมา ขาเจ้ากรรมนี่ก็ดันมาแพลง….”

“อย่ารีบไป ถึงการหาเงินจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่แกต้องดูแลร่างกายของแกให้ดีด้วย!” ป้าหลี่ได้ยินว่าเท้าของเขาเป็นแพลง และเมื่อก็เห็นเขากระทืบเเท้า ธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

“นี่ไม่ใช่ นี่เป็นลูกค้ารายใหญ่นะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยส่งให้เขาหลายครั้ง แต่ตอนนี้มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น….”

“โอ้ย ฉันก็นึกว่าเรื่องใหญ่อะไร เดี๋ยวจะช่วยส่งให้” ป้าหลี่หันไปด้านข้าง เพื่อให้เขาเห็นรถเข็นมะพร้าวที่อยู่ข้างหลังเธอ “ฉันเพิ่งไปเก็บมา เดี๋ยวกลับมาแล้วจะเอาเงินมาแบ่งให้”

“ป้าหลี่พูดอะไรอย่างนั้น มะพร้าวนี่เป็นของเธอ เงินที่ได้ก็ต้องเป็นของเธอสิ เธอช่วยส่งให้ก็ขอบใจมากแล้ว”

หลังชายวัยกลางคนขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ป้าหลี่ก็ตบหน้าอกของเธอสัญญาว่าจะส่งให้เขาแน่นอน

หลังจากเขาไป ป้าหลี่ก็รีบเอามะพร้าวไปส่ง แต่แน่นอนว่ามะพร้าวไม่เบาเลย ผู้หญิงอายุเท่าเธอจึงเข็นได้อย่างยากลำบากมาก

ป้าหลี่พยายามเข็นออกไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นว่ารถเข็นกำลังจะล้มไปพร้อมป้าหลี่ ต้วนอีเหยาจึงรีบมาพยุง

“หนู…” หลังออกมาจากบ้าน ป้าหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมอง ยังไม่ทันที่มือของต้วนอีเหยาจะแตะรถ เธอก็เรียกไว้

ต้วนอีเหยาเดินจากท้ายรถเข็นไปที่ด้านหน้า จากนั้นก็จับที่ด้านหนึ่ง “คุณป้า พวกเราไปด้วยกันเถอะ”

ที่จริงเธอสามารถเข็นรถด้วยตัวเองได้ แต่เธอตั้งครรภ์ และหมอก็บอกว่ามดลูกของเธออ่อนแอ ดังนั้นเธอจึงใส่ใจกับเรื่องนี้

ถึงอย่างนั้นป้าหลี่ก็ประหลาดใจมาก ผู้หญิงสมัยนี้แรงเท่ามด จะเข็นรถเข็นน้ำหนักหลายร้อยโลนี้ได้ยังไง

ทั้งคู่เคลื่อนตัวช้าๆไปตามถนน ทะเลเหนืออยู่ไม่ไกล้ไม่ไกลจากที่พวกเขาอยู่ แต่มันค่อนข้างลำบากที่ต้องดึงรถพ่วงสองสามร้อยกิโลกรัมไปข้างหน้า

ชายวัยกลางคนไม่ได้บอกที่อยู่ที่เจาะจง บอกเพียงว่ามีคนมางานปาร์ตี้ริมชายหาด และคนกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่ต้องการมะพร้าว

แต่ชายหาดไกลมาก พวกเธอไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ต้วนอีเหยาหยุดรถและนวดแขนเธอ “คุณป้า งั้นคุณป้าเฝ้าอยู่ตรงนี้นะคะ หนุไปหาดูก่อน เดินหาอย่างนี้มันเปลืองแรง”

“รบกวนด้วยนะหนู” ป้าหลี่ตบไหล่เธอ และหายใจหอบบนสนามหญ้า เธอแก่แล้ว แม้ว่าเธอจะเคยเหนื่อยจากการลากรถมาก่อน แต่ก็ไม่เหมือนตอนนี้ ตอนนี้เธอหายฝจได้ลำบากมาก

ต้วนอีเหยาเข้าใจป้าหลี่ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เธอไม่เห็นใครเลย อันที่จริงก็มีเสียงหัวเราะมาจากไกลๆ แต่หูของเธอไม่ไวมากจึงไม่ได้ยินเสียง

เธอเดินหาไปตามถนนเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆมีแสงไฟปรากฏตรงหน้า ที่ไกลๆมีเต็นท์สีขาวสองสามตัวและโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยเครื่องดื่มและขนม ทุกคนต่างจับแก้วเหล้าพูดคุย หัวเราะอย่างมีความสุข

ต้วนอีเหยามองไปสักพัก เมื่อรู้สถานที่จัดส่งโดยคร่าวๆแล้ว เธอก็หันกลับไปหาป้าหลี่

“พี่ชาย แชมเปญนี้ฉันหายากมากเลยนะ มาเร็ว!”

เย่จิงเหยียนหยิบแชมเปญ เงยหน้าขึ้น ขณะที่เขากำลังจะเทมันเข้าปาก เขาก็เห็นด้านหลังของร่างที่คุ้นเคย เขารีบวางแก้วในมือลง และตามไปอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าจะบังเอิญแค่ไหน เขาก็คิดที่จะปล่อยโอกาสไป ตอนที่เขาเจอในร้านดอกไม้เขาไม่ได้ตามไป แต่ตอนนี้…

เขาต้องไปดูให้แน่ใจ

ต้วนอีเหยากำลังจะหันไป แต่จู่ๆก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นในกระจกข้างถนน เธอสะดุ้ง เมื่อเธอเห็นเขาตาของเธอก็กระตุกทันที

เย่จิงเหยียน!

เธอไม่กล้าหยุดอีกต่อไป เธอเร่งฝีเท้า เมื่อเลี้ยวเข้ามุมมาก็เจอต้นไม้ ต้วนอีเหยาดีใจมาก รีบเข้าไปหลบทันที

เย่จิงเหยียนเดินตามไปติดๆ แต่หลังจากผ่านโค้งเขาไม่เห็นต้วนอีเหยาอีก เขาหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นป้าขายมะพร้าวอยู่ไกลๆจึงเดินไป

“คุณป้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมาทางนี้มั้ย”

ป้าหลี่กำลังเช็ดเหงื่อด้วยผ้าเช็ดหน้า เมื่อได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น “วัยรุ่นผู้หญิงเหรอ ไม่นะ ที่นี่มีป้าคนเดียว”

เย่จิงเหยียนมองป้าหลี่อย่างสงสัยนานมาก ก่อนที่จะโค้งคำนับอย่างสุภาพ “งั้นไม่รบกวนแล้วครับ”

ป้าหลี่โบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรไม่เป็นไร”

เย่จิงเหยียนยังคงลังเล แต่ไม่มีทางเลือก ก่อนที่จะจากไปเขาก็เหลือบมองป้าหลี่อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอยิ้มให้ตัวเองพลางพยักหน้าให้ ความสงสัยในใจของเขาก้หายไปจนหมด

ในป่าต้วนอีเหยาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด และเมื่อเธอเห็นเย่จิงเหยียนและป้าหลี่คุยกันก่อนจะจากไป ใจของเธอแทยจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“หนูทำไมออกมาจากป่าล่ะ” แต่เดิมป้าหลี่มองตามเย่จิงเหยียนไป ก่อนที่จะเห็นเงาแวบๆผ่านมุมตา จึงหันมามอง แล้วก็เห็นต้วนอีเหยาออกมาจากป่า

“คุณป้าหนูเจอแล้ว ไปตามถนนนั้น” ต้วนอีเหยา ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จึงชี้ไปยังทิศทางที่เธอมองไปเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

ป้าหลี่ได้ยินว่าเธอพบสถานที่จัดส่งแล้วก็ไม่ได้ถามต่ออีก “หยุดพักก่อนสักพัก ค่อยไปเถอะ”

ต้วนอีเหยาพยักหน้าเงียบๆ เธอต้องคิดหาทางออก เธอไม่สามารถไปสภาพแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นต้องมีคนจำเธอได้แน่นอน

เธอมองไปรอบๆ เมื่อเห็นต้นกล้วยที่ปลูกอยู่ข้าง เธอก็เกิดไอเดียขึ้นมา เธอเดินไปบิดน้ำกล้วยทาหน้าให้เละแล้วเช็ดโคลนนิดหน่อยจนมองหน้าไม่ชัดแล้วจึงไปยืนข้างป้าหลี่

“คุณป้าตอนกลางคืนอากาศหนาว ผ้าคลุมไหล่ผืนนี้คลุมไว้กันลมนะคะ”

ป้าหลี่ปฏิเสธ “ป้าใส่หนาแล้ว หนูผอมขนาดนี้ อุณหภูมิตอนเช้ากับตอนกลางคืนต่างกันมากนะ เดี๋ยวก็เป็นไข้หรอก”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า หนูเข็นรถเข็นก็ร้อนมากแล้ว” ถ้าเธอไม่ถอดผ้าคลุมไหล่ออกเธอจะดึงดูดความสนใจของเย่จิงเหยียนแน่นอน เธอดูเหมือนคนที่เขาเพิ่งตามตะกี้ เขาต้องสังเกตเธอแน่

ป้าหลี่หยิบผ้าคลุมไหล่และลังเลสักพักก่อนที่จะถามว่า “หนูบอกความจริงมา หนูหลบใครอยู่ใช่มั้ย”

ต้วนอีเหยาตอบกลับ “เปล่าค่ะ…”

แต่ป้าหลี่ไม่เชื่อ “ป้าอาบน้ำร้อนมาก่อน ถ้าเขาไม่สำคัญ หนูไม่มีทางกังวลขนาดนี้หรอก”

ต้วนอีเหยายังคงต้องการที่ปฏิเสธ แต่เมื่อเธอเปิดปากของเธอก็ไม่สามารถออกมาได้ ในใจเธอเอาแต่พูดว่า ถ้าไม่ใช่เพราะสำคัญมาก เธอคงไม่เจ็บขนาดนี้

ต้วนอีเหยาไล่ความคิดสักพักก่อนที่จะลากรถไปกับป้าหลี่ และเดินไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงทีละก้าว

ยิ่งเธอเข้าใกล้มากเท่าไหร่ การเต้นของหัวใจของเธอก็ยิ่งผิดปกติมากขึ้น ต้วนอีเหยาสูดหายใจเข้าลึกๆ และเข็นมันไปที่งานเลี้ยงอย่างเร่งรีบ

“หนูรออยู่นี่นะ ป้าจะไปถามว่าใครสั่ง!”

ต้วนอีเหยาพยักหน้านั่งบนชายหาด โดยหันหลังให้กับสถานที่จัดงาน ตัวเธอเลอะโคลน แถมยังใส่หมวกจนปิดหน้าของเธอเกือบทั้งหมด ใบหน้าของเธอยังมีคราบเป็นชั้นๆด้วย

“ทำไมมานั่งตรงนี้”

ต้วนอีเหยาได้ยินเสียงนั้นก็หันหน้าไปมองเห็น ก่อนจะเจอต้วนจื่ออิ๋งกำลังถือแก้วทรงสูงมองเธออย่างดูถูกอยู่

“ขอโทษค่ะ” ต้วนอีเหยายืนขึ้นจากพื้น และขอโทษเธออย่างจริงใจ แต่เพราะลุกขึ้นเร็วเกินไป จึงชนกับรถเข็นจนมะพร้าวตกลงมาหลายลูก

ต้วนอีเหยารีบก้มไปหยิบมัน เมื่อมือของเธอสัมผัสมะพร้าวต้วนจื่ออิ๋งก็ร้องเหยียดเหยียดๆ “อี๋” “เธอใช้มือนี่เก็บมะพร้าวหรอ”

“เกิดอะไรขึ้น”

เธอหันหน้าไปอย่างเฉยเมย และวางมะพร้าวในมือของเธอบนรถ มะพร้าวสีขาวปรากฏรอยนิ้วมือของเธอทันทีทันที

“แก…..” ต้วนอีเหยาชี้ไปที่เธอโกรธๆ “แกทำอย่างนี้จะให้พวกฉันดื่มยังไง”

“เลอะโคลนไปหมด แค่มือฉันไปจับก็ดำหมดแน่”

“โคลนมันซึมเข้าไปหมดแล้ว ไม่ติดมือคุณหรอก”

“มันอยู่ข้างใน! แล้วเราจะดื่มมันยังไง” ต้วนจื่ออิ๋งชี้ไปที่เธออย่างเหลือเชื่อ ไม่รู้จะด่ายังไงดี

ต้วนอีเหยามองไปที่เธอแปลก และหยิบมะพร้าวทั้งหมดที่อยู่บนพื้นขึ้นมา

การกระทำนี้ทำให้ต้วนจื่ออิ๋งโกรธมากขึ้น “แกยังจับมันอีก! พวกเราไม่ต้องการรถมะพร้าวคันนี้!”

“ไม่เอาแล้วเหรอ” สายตาของตวนอี้เหยาคมขึ้นทันที “คูณจะบอกว่าไม่เอาก็ไม่เอารึไง”

“แน่นอนฉันเป็นคนซื้อ และถ้าฉันบอกว่าไม่ฉันก็คือไม่!”

ต้วนอีเหยาหักนิ้วทั้งสิบนิ้วดังกร๊อป ทำให้ต้วนจื่ออิ๋งถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ “แก…แกจะทำอะไร”

“ให้โอกาสอีกครั้ง จะซื้อมั้ย”

“แกกล้าหรอ”

ต้วนจื่ออิ๋งก้าวถอยหลัง เมื่อเขาเห็นใครบางคนเดินมาหาเธอ เธอก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันที

เสียงดังของทั้งคู่ดึงดูดความสนใจของทุกคน ต้วนอีเหยาเห็นร่างที่เธอคุ้นเคยที่สุดกลางฝูงชน เธอจึงรีบก้มหน้ากดหมวกลงทันที

“ทำไม กลัวหรอ” ต้วนจื่ออิ๋งเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ชูคอระหงคอต่อหน้าทุกคน

“หนูเกิดอะไรขึ้น”

เมื่อเห็นพวกเขาสองคนเป็นแบบนี้ ป้าหลี่ก็ลูบมือเธอขึ้นและลงอย่างเป็นห่วง

ต้วนอีเหยาตบหลังมือของป้าหลี่เพื่อให้เธอสบายใจ “ฉันไม่เป็นไร คุณป้าถามเป็นยังไงบ้าง ใช่ที่นี่มั้ยคะ”

“ใช่ๆ ใช่ที่นี่”

“นี่ ที่นี่อะไร พวกเราไม่ซื้อแล้ว!”

ต้วนจื่ออิ๋งขัดจังหวะทั้งคู่ ทันใดนั้นเย่จิงเหยียนและคนอื่นๆก็มาถึงข้างหน้าพวกเขา

“เกิดอะไรขึ้น”

เสียงของเขาดังขึ้นเหนือหัวของเธอ แต่ต้วนอีเหยากลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย การที่เธอไม่ตอบกลับ ในสายตาของทุกคน ทำให้เธอดูเหมือนทำผิดพลาดและเสียใจอยู่

“พี่จิงเหยียน มาแล้วหรอคะ!” ต้วนจื่ออิ๋งโอบแขนของเขา พลางบ่นกับเขา “ผู้หญิงคนนี้ใช้มือสกปรกจับมะพร้าว พี่ดูสิเป็นโคลนหมดเลย”

เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วมองไปที่ต้วนจื่ออิ๋ง จากนั้นก็ถอนมือเขาออกมา “เธอดื่มอันอื่นก็ได้ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”

“แต่…มันก็ต้องมีคนดื่มเข้าสักคน”

เธอเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นดวงตาที่เย็นชาของเย่จิงเหยียน เธอจึงเปลี่ยนคำพูดของเธออย่างรวดเร็ว “พี่จิงเหยียนพูดถูก ทิ้งรถไว้แล้วไปได้เลย!”

“เดี๋ยวก่อน” ต้วนอีเหยากำลังจะหันไป แต่เสียงของเย่จิงเหยียนก็ดังมาจากเหนือหัวของเธออีกครั้ง

ต้วนอีเหยาหยุดและถามด้วยเสียงที่หบพร่า “มีอะไรคะคุณ”

“หันกลับมา”

ใจของเธออยู่ในความสับสน เมื่อคิดว่าเขาจับได้แล้ว จึงได้แต่ฝืนตัวหันกลับมา

“ของของคุณตก”

ต้วนอีเหยายังคงงุนงง “ขะ…ของ”

ดวงตาของเธอกวาดไปทั่วพื้นดิน แต่ก็ไม่พบอะไร หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามว่า “ของอะไรคะ”

“ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” เย่จิงเหยียนถามแทน

ต้วนอีเหยาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามอย่างนี้ จึงพยายามเลือกคำที่ฟังดูดีและตอบว่า “คุณเป็นคนชั้นสูง แน่นอนว่าไม่น่ากลัวเลย”

“แล้วทำไมเธอไม่กล้ามองฉันล่ะ”

เย่จิงเหยียนรู้สึกว่าคนคนนี้ตั้งใจดึงหมวกลง

เมื่อเจอเขาไล่ต้อน ต้วนอีเหยาก็ไม่สามารถตอบได้ ป้าหลี่รู้สึกได้ถึงความลำบากใจของเธอ จึงตอบแทนเธอว่า “คุณคะ ลูกสาวฉันหน้ามีปานน่ะค่ะ กลัวทุกคนจะกลัวเลยใส่หมวกไว้ ไม่ให้ทุกคนเห็น”

“จริงเหรอ” เย่จิงเหยียนไม่เชื่อ

“งั้นก็ถอดหมวกโชว์ให้เราดูสิว่าน่ากลัวขนาดไหน”

หัวใจของต้วนอีเหยาเต้นแรงขึ้น บนใบหน้าของเธอไม่มีรอยใดๆ ถ้าเงยหน้าขึ้นไปเธอจะถูกจับได้ทันที

ป้าหลี่ก็ไม่ได้คิดว่าเย่จิงเหยียนจะดื้อดึงขนาดนี้ คนส่วนใหญ่จะไม่ต้อนถามอีก ถ้าบอกอย่างนั้นไป แต่ทำไมเขาถึงถามจนจนมุม

“คุณคะอย่าเลย ลูกสาวบ้านฉันกลัวเกิด” ป้าหลี่มองไปที่ต้วนอีเหยาด้วยแววตาไม่พอใจเล็กน้อย

เย่จิงเหยียนขมวดคิ้วพูด “คุณป้า ผมไม่มีเจตนาร้าย แค่ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนเพื่อนของผมคนหนึ่ง”

“ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างป้าตลอด ฉันจะมีเวลาเป็นเพื่อนกับคนรวยอย่างคุณได้ยังไง”

เย่จิงเหยียนก็คิดเช่นกันว่าอีเหยาจะมาเมืองชายทะเลเล็กๆ เพื่อเป็นชาวสวนได้ยังไง

เขาโบกมือและหันหลังกลับ “ไปเถอะ รถเข็นมะพร้าวทั้งคันนี้ผมซื้อ”

ป้าหลี่ขอบคุณและยื่นมือไปหยิบเงินที่มู่หยูฉีส่งให้

ต้วนอีเหยาถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกลับไปขนมะพร้าวบนรถเข็น เย่จิงเหยียนบังเอิญหันกลับมาเห็น จึงพูดห้าม “ไม่ต้องขนออก”

เขามองไปรอบๆแล้วพูดว่า “ถ้าใครอยากดื่มก็ไปเอาเอง”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเย่จิงเหยียน พวกเขาก็ไปเลือกมะพร้าวที่ตัวเองชื่นชอบ ต้วนจื่ออิ๋งเหลือบมองไปที่ต้วนอีเหยาที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็เลือกสองลูก และรีบเดินตามเย่จิงเหยียนไปอย่างรวดเร็ว

“พี่จิงเหยียน ฉันเอามาเผื่อลูกนึง พี่ลองชิมสิ”

“ไม่”

ต้วนจื่ออิ๋งตื้อไม่เลิก เอาแต่ตามติดเย่จิงเหยียนแจ

ในไม่ช้าในรถเข็นก็เหลือเพียงมะพร้าวที่ต้วนอีเหยาทำเปื้อน มู่ยู่วฉีและเสี่ยวหมิงซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่มาเอาไป

“คุณผู้ชาย!”

ป้าหลี่หยุดมู่หยู่ฉีที่กำลังจะเดินไป และเขาก็หยุดมองไปที่ป้าหลี่เพื่อจะฟังเธอพูดต่อทันที

“เราเอาเงินของคุณไป นี่ควรเป็นของคุณ!”

“ไม่เป็นไร แค่ไม่เท่าไหร่เอง”

มู่หยู่ฉีพูดจบก็โอบเอวเสี่ยวหมิงซิงเดินไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่ามีใครบางคนคว้าชายเสื้อของเขาไว้

“คุณ…” มู่หยู่ฉีโกรธมาก ไม่ว่าเขาจะอารมณ์ดีแค่ไหน เขาก็ทนไม่ได้เมื่อถูกสะกดรอยตาม แต่เมื่อเขาหันไปก็ไม่มีเสียงใดๆ

เสี่ยวหมิงซิงรู้สึกแปลกๆ จึงมองไปตามสายตาของเขา ก่อนจะเห็นต้วนอีเหยาที่เปิดหมวกออกแล้ว

ใบหน้าของเธอมีสีดำจากโคลน และของเหลวอะไรสักอย่างไหลลงมา และมันดูน่าขยะแขยงอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่มู่หยู่ฉียังคงจ้องมองใบหน้านั้น เสี่ยวหมิงซิงจึงอดไม่ได้ที่จะเรียกสติเขา “หยู่ฉี”

มู่หยู่ฉีหันกลับมามองเธอ พร้อมดึงมือเธอออก “คุณกลับไปก่อน ผมมีเรื่องต้องจัดการ”

เสี่ยวหมิงซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอม “ถ้างั้นรีบมานะ ฉันจะไปรอ”

มู่ยู่วฉีหอมแก้มเธอ “ไปเถอะ”

เสี่ยวหมิงซิงหันไปมองต้วนอีเหยาด้วยแววตาสะอิดสะเอียน และเดินจากไปโดยไม่หันมามองอีก

เมื่อเหลือเพียงสามคน มู่หยู่ฉีก็เหลือบไปมองป้าหลี่อย่างลังเล ก่อนต้วนอีเหยาจะส่ายหน้า “ป้าเป็นผู้มีพระคุณของฉัน”

เพียงแค่นั้นมู่ยู่วฉีก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะมองไปทางเย่จิงเหยียน แต่เขาก้ไม่เห็นแล้ว

“พี่อีเหยา ทำไมถึงมาอยู่นี่” แถมไม่ยอมให้พี่ใหญ่เห็นเธอด้วย

อีเหยาตะลึง เธอเพิ่งนึกออกว่านอกจากเย่จิงเหยียนก้ไม่มีใครรู้ว่าเธอหนีมาจากเขาแล้ว

“มู่หยู่ฉี อย่าบอกจิงเหยียนว่าพี่มาที่นี่”

“ทำไมล่ะ พี่ใหญ่คิดถึงพี่มากเลยนะ” มู่หยู่ฉีหันกลับไปมองอีกครั้ง ก่อนจะเห็นเย่จิงเหยียนอยู่หน้าร้านอาหาร กำลังมองมาทางพวกเขา

ต้วนอีเหยารีบหันหน้าหนา “เอาเป็นว่า อย่าบอกว่านายเคยเห็นฉัน ไม่งั้นฉันอาจจะออกจากเมืองนี้”

มู่หยูฉีไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเห็นว่าต้วนอีเหยามุ่งมั่นมาก เขาจึงพยักหน้าให้เธอ

ต้วนอีเหยาวางมะพร้าวที่เหลือไว้บนโต๊ะยาวที่ใกล้ที่สุด แล้วค่อยๆเข็นรถกลับไปกับป้าหลี่

เธอก้าวเดินไปเรื่อยๆ หัวใจค่อยๆเต้นช้าๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่คนสนิทกันมาก แต่จำกันไม่ได้

ต้วนอีเหยาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป เย่จิงเหยียนไม่ได้ให้ความสนใจกับเธออีก ไม่รู้ว่าต้วนจื่ออิ๋งพูดอะไรข้างหูของเขา ทั้งคู่ถึงได้ส่งยิ้มให้กัน

ต้วนอีเหยาหน้าบูดบึ้ง เธอคิดมากเกินไป แม้ว่าเขาจะไม่มีเธอ แต่เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างสดใส และมีผู้หญิงรอบตัวเขาอยู่เสมอ

เขาน่าจะชอบเรื่องตลกนั้นจริงๆ! ไม่อย่างนั้นคุณจะให้เธออยู่เคียงข้างคุณครั้งแล้วครั้งเล่าทำไม

“หนู” ป้าหลี่เรียกอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอหน้าสลด

ต้วนอีเหยาหลุดออกจากห้วงอารมณ์ของเธอ “มีอะไรเหรอคะคุณป้า”

“ป้าว่าหนูมีบางอย่างในใจ ถ้าปล่อยมันไปไม่ได้จริงๆก็กลับไปหาเขา ป้าคิดว่าเขาก็เป็นคนดีเหมือนกัน”

ต้วนอีเหยาถูกพูดแทงใจดำ “คุณป้าพูดอะไรอย่างนั้นคะ”

“อย่าคิดว่าป้าแก่แล้ว ป้าเห็นนะว่าหนูรักผู้ชายคนนั้นมาก” ป้าหลี่จ้องไปที่ต้วนอีเหยาอย่างรู้ทัน

“หนูกับเขา….” ต้วนอีเหยาพูดแค่ครึ่งเดียว เมื่อคิดถึงประโยคหลัง เธอก็ไม่อยากพูดออกมา

เธอใช้เวลานานก่อนที่ฉันจะยอมรับประโยคสุดท้าย “เป็นไปไม่ได้แล้ว”

ป้าหลี่ถอนหายใจ “วัยรุ่นนี่น้าา….”

เธออายุมากแล้วเธอไม่รู้จริงๆว่าคนหนุ่มสาวคิดอย่างไร ทำไมคนสองคนถึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ในเมื่อพวกเขารักกัน

ต้องรอจนแก่ก่อนมั้ยถึงจะเริ่มเสียใจ

……

เย่จิงเหยียนใช้หลอด

ดูดมะพร้าวที่เปื้อนโคลน และขมวดคิ้ว

“แกพูดอะไรกับคนขายมะพร้าวคนนั้น”

เมื่อมู่หยูฉีเดินมาหาเขา เขาก็แกล้งถามอย่างดูเหมือนจะไม่ตั้งใจ

มู่หยูฉีหยิบแก้วไว้ในมือ และหัวเราะ “ผมว่ามะพร้าวนี่ดีมาก ก็เลยให้เธอส่งมาให้อีกที่บ้านพักตากอากาศ”

“ที่โรงแรมไม่มีมะพร้าวหรอ” เย่จิงเหยียนสงสัย

“มี แต่ป้าคนนั้นอายุไม่น้อยแล้ว ยังต้องออกไปขายมะพร้าวทุกวันอีก บ้านของเธอน่าจะอับจนมาก จะให้เงินเฉยๆเธอก็ไม่รับ ดังนั้นผมก็เลยคิดวิธีนี้ขึ้นมา”

เย่จิงเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาพูดถูก ผู้หญิงคนนั้นสกปรกและดูไม่เหมือนคนรวย

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset