วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 384 คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องกินเยอะๆ

เธอเคี้ยวช้ามากเพราะกลัวว่าจะกินหมดจากนั้นมู่เวยเวยก็จะปอกให้เธออีก

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอถูกป้อนจนกลายเป็นหุ่นยนต์กินอาหารไปแล้ว ทันทีที่ปากเธอหยุดเคี้ยวก็จะถูกอาหารอีกหลายชนิดป้อนเข้าในปากของเธอ ทำให้เธอไม่สามารถรับมันไว้ได้อีก

มู่เวยเวยนั่งข้างๆเธอ ไม่พูดหรือทำอย่างอื่นเพียงแค่รอให้ต้วนอีเหยากินแอปเปิ้ลในมือจนหมดก็จะยื่นให้เธอต่อ

เย่จิงเหยียนตามเย่ฉ่าวเฉินไปตามคำเชิญและไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ต้วนอีเหยาทำได้แค่ถ่วงเวลาไปทีละนิด

“แม่ หนูออกไปสักแป๊บ!”เย่ชูวเสวียกระโดดลงมาจากห้องของเธอและเห็นต้วนอีเหยานั่งอยู่ตรงข้ามและคุ้นเคยกับภาพที่เห็นนานแล้ว

“จะไปไหน?” มู่เวยเวยถามอย่างไม่ใส่ใจ

“เป็นเพื่อนเจ้าสาวก็ต้องมีชุดใส่นะสิ หนูหาในบ้านมาหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่เจอชุดที่เหมาะสม”

เธอยังพูดไม่จบแต่มู่เวยเวยรู้แล้วว่าเธอหมายความว่ายังไงและขี้เกียจฟังเธอพูดจบ“ ไปเถอะๆ ยังไงซะที่นี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ”

“โอเค!” เย่ชูวเสวียกำลังจะหันหลังไปอย่างมีความสุข สายตาที่พล่ามัวก็เห็นสายตาที่อ้อนวอนของต้วนอีเหยาจึงทำให้เธอไม่สามารถขยับฝีเท้าได้

เธอมองไปที่ต้วนอีเหยาอย่างสงสัยจากนั้นก็เห็นต้วนอีเหยากำลังกระพริบตาให้และเห็นแม่ของเธอกำลังนั่งเฝ้าเธออยู่ข้างๆ จากนั้นเธอก็เข้าใจ

“ทำไมยังไม่ไป” มู่เวยเวยวางแอปเปิ้ลชิ้นสุดท้ายในมือและทิ้งเปลือกแอปเปิ้ลลงในถังขยะแล้วเงยหน้าขึ้นมองเห็นเย่ชูวเสวียยังคงยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น จึงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

“เอ่อ … ” เย่ชูวเสวียเกาหัว “หนูคิดๆดูแล้วให้พี่อีเหยาไปเป็นเพื่อนหนูดีกว่า ยังไงก็เป็นงานแต่งงานของพี่เขา”

“ลูกเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาวแล้วให้เธอไปกับลูกไปทำอะไร?”

มู่เวยเวยโบกมือให้เย่ชูวเสวีย “ไปๆๆ ไปเองแล้วก็รีบไปรีบกลับ”

“ไม่ใช่สิ เจ้าสาวก็ควรเลือกชุดแต่งงานเหมือนกัน!” หลังจากเย่ชูวเสวียประเมินผ่านสมองของเธอแล้วก็ไม่สามารถคิดเหตุผลอื่นได้ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่ต้วนอีเหยา มองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจุกอยู่ในใจ … ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ช่างน่าสงสารจริงๆ!

“ชุดแต่งงานรอจิงเหยียนกลับมาพวกเขาไปเลือกกันเองได้ ลูกไม่เห็นจำเป็นต้องกังวล”

มู่เวยเวยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง มองกลับไปที่ต้วนอีเหยาซึ่งต่างจากน้ำเสียงที่ดุดันที่พูดกับเย่ชูวเสวียเมื่อครู่ เธอพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ผลไม้ในมือกินเกือบหมดแล้ว ทิ้งเลย กินนี้ให้หมดเถอะ”

ต้วนอีเหยาฝืนยิ้มบนใบหน้า เธอไม่สามารถกินต่อได้อีก แต่มู่เวยเวยยังคงยื่นมาให้เธอ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่รับมันไว้และมองไปที่ผู้ช่วยชีวิตของเธอ

“เอ่อ … แม่ หนูอ่านมาจากหนังสือ เขาบอกว่าคนท้องต้องออกกำลังกายให้มากๆ พี่อีเหยานั่งอยู่บนโซฟาแบบนี้ไม่ดีมั้ง!”

เย่ชูวเสวียครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่เธอจะคิดวิธีนี้ได้ ถ้ามันยังไม่ได้ผลเธอก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว!

เมื่อต้วนอีเหยาได้ยินดังนั้น สำหรับแนวคิดนี้มีเหตุผลอยู่บ้าง เธอจึงรีบพูดออกมาเพื่อช่วยเหลือตัวเอง “ใช่ค่ะ คุณป้า หนูไม่ควรอยู่แต่ในบ้าน อยู่นานเกินไปทำให้รู้สึกเบื่ออยากออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง”

มู่เวยเวยคิดถึงตัวเองเมื่อก่อนและรู้สึกสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่เด็กในท้องเป็นหลานของเธอ ทำให้กังวลมากไปจึงดูแลเธออย่างเป็นห่วง กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ

“ถ้าอย่างนั้นบนถนนพวกเธอก็ระวังให้มากๆ ส่วนฉันไม่ไปด้วยละ”

เมื่อฟังเธอผ่อนคลายลงบ้าง ต้วนอีเหยาก็หายใจออกมาอย่างโล่งใจและยิ้มให้เย่ชูวเสวีย

ท้องของเธอตอนนี้ป่องขึ้นเล็กน้อยแล้วแม้ว่าจะไม่ใหญ่นักแต่เสื้อผ้าก่อนหน้านี้ไม่สามารถใส่ได้อีกต่อไปแล้ว

เย่จิงเหยียนเอากระโปรงที่พวกเขาไปซื้อด้วยกันมาเปลี่ยนใส่ในตู้เสื้อผ้าและเธอก็หยิบมาได้ตัวหนึ่ง แม้ว่ามันจะยาวมากแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย

เธอยืนขึ้นอย่างช้าๆ เย่ชูวเสวียรีบวิ่งไปด้านข้างเธอเพื่อพยุงเธอไว้

“บนถนนก็ระวังๆด้วย เย่ชูวเสวีย ดูแลอีเหยาให้ดีๆด้วย!” มู่เวยเวยเห็นพวกเขาเดินไปถึงตรงประตูก็พูดเตือนพวกเขาอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้องเป็นห่วง ไว้ใจหนูเถอะ!” เย่ชูวเสวียหันกลับมาและตบที่หน้าอกของเธอ

พอรู้สึกถึงความเจ็บปวดเธอจึงรีบหยุดทันทีและมองไปที่มู่เวยเวยด้วยรอยยิ้ม

ท่าทางของเธอยิ่งทำให้มู่เวยเวยกังวลมากขึ้น เด็กขี้แยคนนี้จะดูแลคนท้องได้ไหมนะ?

เมื่อต้วนอีเหยาและเย่ชูวเสวียหายไปจากสายตาของมู่เวยเวย ทั้งคู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกัน

“แม่ฉันเปลี่ยนไปแล้ว หรือเข้าสู่ช่วงวัยทองแล้วนะ?” เย่ชูวเสวียพึมพำกับตัวเองพลางคิดถึงมู่เวยเวยที่แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง จึงทำให้เธอสับสนเล็กน้อย

แน่นอนว่าต้วนอีเหยาไม่ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆของเธอ ทั้งสองขึ้นรถไปทีละคนและไม่นานนักก็มาถึงที่หมาย

เป็นสถานที่เดียวกับชุดเจ้าสาวที่อีเหยาเลือกก่อนหน้านี้ เป็นสตูดิโออิสระ แต่ครั้งที่แล้วมีเวลาที่จำกัดพวกเขาเพียงแค่เลือกชุดด้านในออกมาเพียงชุดเดียว เย่ชูวเสวียมีเวลาเยอะแยะแน่นอนว่าเขาเลือกที่จะสั่งตัดเย็บขึ้นเอง

“ฉันไม่ชอบไข่มุกไม่ต้องเย็บไว้บนชุด ชายกระโปรงไม่ต้องยาวเกินไปถึงแค่หัวเข่าก็พอ ไม่ต้องมีแขนเสื้อ … ” ต้วนอีเหยาไม่ได้ให้ความสนใจกับคนในวงการแฟชั่นมากนัก แต่ดูๆแล้วรู้สึกว่าชายคนนี้คุ้นๆอยู่บ้าง น่าจะเคยเห็นในนิตยสารเล่มไหนสักเล่ม เธอรู้ดีว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวไม่เช่นนั้นแม้แต่คนที่ไม่มีความชำนาญอย่างเธอเองจะมีความประทับใจในตัวเขาได้ยังไง

หลังจากคำสั่งซื้อสิ้นสุดลง เย่ชูวเสวียก็ปรบมือขึ้น เมื่อเห็นต้วนอีเหยาทำสีหน้าจริงจังก็คิดว่าเธอเองก็อยากสั่งตัดสักชุดเช่นกัน

เธอแลบลิ้นออกมาด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เธอไม่มีอำนาจในการตัดสินใจสำหรับชุดแต่งงานของพี่อีเหยา “พี่อีเหยา เรารอพี่ใหญ่ว่างแล้วค่อยมาเถอะ ถึงตอนนั้นเขาจะต้องสั่งตัดชุดแต่งงานที่ไม่เหมือนใครให้พี่แน่นอน!”

ต้วนอีเหยาพยักหน้า เธอไม่มีความต้องการอะไรมากมายสำหรับชุดแต่งงานของเธอ เพียงแค่เธอได้อยู่กับคนที่เธอรักแม้ว่าจะไม่มีงานแต่งเธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว

เพียงแค่ไม่คิดว่ามันจะเสร็จเร็วแบบนี้ ถ้ากลับไปเร็วขนาดนี้มู่เวยเวยต้องยังรออยู่ที่บ้านแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็กลายเป็นเนื้อเข้าปากเสืออีกแล้วนะสิ ตอนนี้รสชาติยังติดอยู่ในปากเธออยู่เลย!  เหมือนกับว่าเธอมองเห็นความหวังขึ้นมา ดวงตาเธอก็เป็นประกายขึ้นมา “หรือไม่ เรารออีกสักแป๊บค่อยกลับไปเถอะ ฉันว่าห้างที่อยู่ข้างๆนี้ไม่เลวหรือไม่ก็ไปเดินช้อปปิ้งสักหน่อย! ”

“อย่าเลย เราต้องรีบกลับ!” เย่ชูวเสวียอดไม่ได้ที่จะสั่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงสายตาของแม่ ในห้างมีคนเยอะสุดแล้ว ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุบางอย่างขึ้น เธอส่ายหัวและไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงสิ่งที่ตามมา

ต้วนอีเหยายังคงไม่ยอมแพ้ “ไม่ต้องกังวล ฉันจะระวังตัว ยังไงฉันก็เคยอยู่ในกองทัพมาก่อนไม่ได้รับบาดเจ็บหรอก”

เมื่อเย่ชูวเสวียเห็นว่าเธอยังคงยื่นหยัดก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป นอกจากนี้เธอเองก็อยากเดินช้อปปิ้งบ้างและแสดงสัญลักษณ์มือไปยังต้วนอีเหยา “ถ้า … ถ้าอย่างนั้นแค่เดินดูสักพักก็พอนะ!”

“อืม” ต้วนอีเหยาพยักหน้า เวลาในตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้ว เดินช้อปปิ้งสักพักเย่จิงเหยียนก็น่าจะกลับมาแล้วแหละ และเธอก็ไม่กลัวที่ต้องไปทรมานจากการกินอีกแล้ว!

ตอนนี้ทุกครั้งที่เธอก้าวไปข้างหน้าท้องของเธอก็รู้สึกอึดอัดและเธอคงไม่ต้องกินอาหารเย็นในคืนนี้แล้ว

เมื่อพวกเขาไปถึงห้างสรรพสินค้า ทั้งสองก็ตรงไปที่โซนเสื้อผ้าและเริ่มเลือกกันอย่างคึกคัก ที่จริงมีเพียงเย่ชูวเสวียที่สนใจอยู่คนเดียว ต้วนอีเหยาเพียงแค่เดินไปรอบๆอย่างลวกๆ ในพริบตาเย่ชูวเสวียก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปหลายชุดแล้ว

“พี่อีเหยา ชุดนี้เป็นยังไงบ้าง?” เย่ชูวเสวียหมุนตัวตรงหน้าต้วนอีเหยา กระโปรงจีบของเธอพลิ้วไปตามสายลม

ต้วนอีเหยาเดินรอบๆตัวเธอ “อืม ก็ไม่เลวนะ”

เธอไม่ใช่เพียงแค่พูดพล่อยๆเท่านั้น แต่เป็นเพราะมันสวยมากจริงๆ รูปร่างของเย่ชูวเสวียนั้นผอมเพรียว เมื่อเธอใส่กระโปรงรูปร่างที่สะโอดสะองของเธอทำให้เธอดูเหมือนเจ้าหญิงมาก

“จริงเหรอ? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีตรงไหนสักที่ดูมีปัญหานะ?” เย่ชูวเสวียหมุนตรงหน้ากระจกไปหลายรอบ แต่มองไม่ออกว่ามีปัญหาตรงไหนเพียงแค่รู้สึกแปลก ๆ

“ไซส์อาจจะใหญ่ไปหน่อย เธอใส่เลยดูไม่เหมาะ” ต้วนอีเหยาวางมือไว้บนคางของเธอแล้วขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา

“ฉันไปหยิบไซส์เล็กให้ค่ะ!” พนักงานเดินตามพวกเขาและได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขา จากนั้นก็พูดขึ้นทันทีในเวลาที่เหมาะสม

เมื่อพูดอย่างนั้นเขาก็หันกลับไปโซนที่แขวนชุดนี้ไว้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินไปพร้อมกับชุดเดรสไซส์เล็ก

พนักงานยื่นชุดเดรสในมือให้เย่ชูวเสวีย “คุณลองชุดนี้ดูสิ!”

เย่ชูวเสวียหยิบเสื้อผ้าและหันไปในห้องลอง จากนั้นมีเพียงต้วนอีเหยาคนเดียวที่เหลืออยู่ในร้าน

เธอนั่งลงบนโซฟาตามคำแนะนำของพนักงานและดื่มชารอเย่ชูวเสวียออกมา

ไม่พูดไม่ได้ว่าการเดินช้อปปิ้งก็เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพียงแค่ช่วงครึ่งชั่วโมงสั้นๆ เช่นนี้ เธอก็ใช้พลังงานไปเกือบหมดแล้วและดูเหมือนกับว่าอาหารในท้องของเธอจะย่อยเหลือไม่มากแล้ว

“ยินดีต้อนรับค่ะ”

เมื่อต้วนอีเหยากำลังจะดื่มชา จู่ๆเสียงของพนักงานก็ดังขึ้นตรงประตู เธอหันกลับไปมองและหน้าผากของเธอเต็มไปด้วยรอยเส้นตรง อย่างที่ว่าสำหรับคนที่ไม่อยากเจอก็ยิ่งได้เจอ ประโยคนี้เหมาะกับต้วนจื่ออิ๋งจริงๆ! ทำไมไปไหนก็เห็นเธอทุกที่เลย?

เช่นเดียวกับต้วนอีเหยา ทันทีที่ต้วนจื่ออิ๋งเข้ามาก็เห็นลูกค้าในร้านและมองเธออย่างดุดัน

ในความเป็นจริงเธอเห็นต้วนอีเหยาและเย่ชูวเสวียในห้างสรรพสินค้านานแล้ว แต่เย่ชูวเสวียต้องอยู่ข้างๆเธอตลอดเลยไม่ได้เข้าไปทักทาย และตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นเธออยู่คนเดียว จึงรีบเข้ามาหาเธอคนเดียว

“นี้ไม่ใช่พี่อีเหยาหรอกหรอ? เธอเองก็มาซื้อเสื้อผ้าด้วย!”

ต้วนจื่ออิ๋งเดินเข้ามาหลายก้าวอย่างรวดเร็วก็มาหยุดลงตรงหน้าต้วนอีเหยาแล้วมองไปที่เธอสักพัก “ทำไม?พี่จิงเหยียนไม่ได้มากับเธอเหรอ?”

“ฉัน……”

“เธอไม่จำเป็นต้องอธิบาย ฉันเข้าใจ ผู้ชายอ่ะ มักจะชอบของใหม่ไม่ชอบของเก่า”

เดิมทีต้วนอีเหยาจะบอกว่าเธอมาเป็นเพื่อนเย่ชูวเสวีย แต่เมื่อได้ยินต้วนจื่ออิ๋งขัดจังหวะ เธอก็รู้เลยว่าต้วนจื่ออิ๋งจงใจมาหาเรื่อง

เก็บความอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ เธอทำเหมือนตัวเองไม่ได้ท้องและพูดกับเธอว่า “เธอเข้าใจก็ดี”

ต้วนจื่ออิ๋งหัวเราะเบาๆ “ฉันเข้าใจแน่นอนอยู่แล้ว แถมเข้าใจมานานแล้วด้วย! แค่กลัวว่าพี่อีเหยา จะดื้อดึงไม่ยอมรับความจริง”

“ไม่ต้องห่วง! ฉันจะระมัดระวัง” ต้วนอีเหยาเตรียมตัวจะเดินออกไปหลังจากพูดจบและคิดว่าจะไปรอเย่ชูวเสวียตรงประตูห้องแต่งตัว แต่ถูกต้วนจื่ออิ๋งหยุดไว้

“ได้ยินมาว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะอ้วนขึ้นกว่าเมื่อก่อนนิดนึงนะ” ต้วนจื่ออิ๋งเหลือบมองไปยังทิศทางของห้องลองเสื้อผ้า จากที่ที่พวกเขาอยู่ซึ่งมีราวแขวนเสื้อหลายชั้นกั้นไว้ เมื่อเย่ชูวเสวียออกมา เธอจะไม่ทันมองเห็นเร็วขนาดนั้นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ท้องของเธอก็ใหญ่ขึ้น วันนี้เธอต้องทำให้เด็กในท้องแท้งให้ได้ ถ้าเป็นแบบนี้พี่จิงเหยียนก็ไม่มีทางแต่งงานกับเธออีก!

ต้วนอีเหยารู้ทันความคิดของเธอจากดวงตาบ้าๆนั้น ยิ้มอย่างเรียบง่ายและเงยหน้ามองไปที่ต้วนจื่ออิ๋ง รอดูการกระทำต่อไปของเธอ

ตามที่คาดการณ์ไว้ ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากัน ต้วนจื่ออิ๋งก็ก้าวเข้ามาใกล้เธออีกหนึ่งก้าว เมื่อพนักงานเห็นแบบนี้จึงรีบซ่อนตัวด้านข้างเพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลง

“เธออย่าคิดว่ามีลูกแล้วจะมัดพี่จิงเหยียนไว้ได้ ฉันจะบอกให้ ฉันคนนี้ต้วนจื่ออิ๋งไม่อนุญาต!”

การได้เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคล้ายกับตัวเองอยู่ใกล้แค่เอื้อม คิ้วของเธอทำให้สูญเสียรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความดุร้าย เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย

ต้วนอีเหยายังไม่ผลักออกและถามเธอกลับว่า “ดังนั้น เธอจะทำอะไรหรอ?”

คราวนี้ต้วนจื่ออิ๋งไม่ตอบและใช้มือทั้งสองข้างด้วยแรงทั้งหมดผลักเธอไปที่ผนังที่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่

แต่ต้วนอีเหยาคือใคร แม้ว่าเธอจะตั้งครรภ์แต่ท้องของเธอก็ไม่ได้ใหญ่เกินไป ถ้าเป็นผู้ชายอาจต้องระมัดระวังไว้บ้าง แต่สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้สัมผัสแม้แต่แสงแดดและเอาแต่อาบน้ำแร่ แค่นี้เหลือเฟือ!

เธอหลบมือของต้วนจื่ออิ๋งไปด้านข้างและจับมือข้างที่เธอออกแรงไว้ ทำให้ต้วนจื่ออิ๋งไม่สามารถขยับได้

“เธอ … เธอมันผู้หญิงหยาบคาย!” ต้วนจื่ออิ๋งโกรธจนพูดไม่ออก ทำได้แค่กลั้นความเจ็บปวดบนมือเอาไว้

“เมื่อกี้ไม่รู้ว่ามีคนดูอยู่ตั้งกี่คน! อีกอย่างกลัวว่ากล้องวงจรอาจจะบันทึกช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมเมื่อกี้ไว้ด้วยนะสิ”

“เธอจะทำอะไร?”

ต้วนอีเหยาก็ไม่ทันได้คิดว่าเธอกลัวอะไรบ้าง เพียงแค่ควบคุมเธอไว้ก่อนค่อยพูด

“พี่อีเหยา?” เย่ชูวเสวียสวมเสื้อผ้าที่เพิ่งเปลี่ยนไป แต่เมื่อเธอออกมาก็ไม่เห็นร่างของต้วนอีเหยา เธอก็รีบตะโกนออกมา

แต่เธอไม่ได้ยินเสียงใครตอบรับ คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอใช่ไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้นตอนเธอกลับไปเธอจะอธิบายกับแม่และพี่ชายของเธออย่างไร?

เมื่อหนักงานเห็นใบหน้าที่กังวลของเธอก็บอกทางให้เธอ จากนั้นก็เดินไปตามทางนั้นและออกจากสถานที่ที่ถูกเสื้อผ้าปิดบังไว้

มองเงยหน้าขึ้นมอง สายตาของเธอจับจ้องไปที่มือของต้วนอีเหยา ตรงนั้นมีแขนของต้วนจื่ออิ๋งด้วย เธอประหลาดใจเล็กน้อย “พวกคุณทำอะไรกัน?”

“ชูวเสวีย เธอมาถูกเวลาจริงๆ! เธอดูเขาสิ … ” ต้วนจื่ออิ๋งเห็นเย่ชูวเสวียเดินออกมาจากด้านใน จึงรีบเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความเสียใจ

เย่ชูวเสวียรู้สึกปวดหัว ทำไมมาที่นี้ยังต้องมาเจอเธออีก!

เธอหันไปทางต้วนอีเหยา “พี่อีเหยา พี่ปล่อยเธอไปเถอะ!”

ต้วนอีเหยาเองก็ไม่ได้คิดว่าจะจัดการกับเธอยังไง เพียงแค่ท่าทางของเธอทำให้คนอื่นไม่ชอบเลยอยากถือโอกาสเตือนเธอ

เมื่อกี้ยังเต็มไปด้วยท่าทีที่เหมือนกับแม่มด แต่พอตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นหนูน้อยหมวกแดงผู้อ่อนโยน เดาไม่ออกยิ่งกว่าท้องฟ้าในเดือนมีนาคม!

เธอเองก็ไม่อยากให้การเดินช้อปปิ้งถูกต้วนจื่ออิ๋งพังไม่เป็นท่า ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงกับเย่ชูวเสวียอย่างรวดเร็ว

พอในร้านเพิ่มมาอีกคน ทำให้ต้วนอีเหยาและเย่ชูวเสวียไม่มีอารมณ์เดินช้อปปิ้งต่อ ทั้งสองรีบชำระเงินเตรียมตัวออกไป ใครจะรู้ว่าต้วนจื่ออิ๋งยังจะตามมาอีก

“ชูวเสวีย พี่จิงเหยียนอยู่บ้านไหม?” เธอก้าวมาข้างหน้าและจับแขนอีกครึ่งหนึ่งของเย่ชูวเสวียพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงพิศวาส

มุมปากเย่ชูวเสวียกระตุก บอกเธอไปแล้วว่าเธอไม่มีโอกาสนั้นแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมยังฟังไม่รู้เรื่องอีก!

ดูเหมือนต้วนจื่ออิ๋งจะไม่เห็นการแสดงออกที่น่ารังเกียจของเธอและยังคงเดินตามพวกเขาไปตลอดทางเอาแต่ถามนี้ถามนั้น พึ่งหยุดหลังจากมาถึงที่จอดรถด้านล่าง

ต้วนอีเหยาเข้าไปในรถก่อน แต่เย่ชูวเสวียถูกต้วนจื่ออิ๋งดึงเอาไว้ เธอจึงทำได้แค่หันหน้าไปยิ้ม “เราจะกลับกันแล้ว เธอก็รีบกลับไปเถอะ”

“ฉันไปด้วย” ต้วนจื่ออิ๋งเหลือบมองไปที่เบาะที่นั่ง แล้วปล่อยมือเย่ชูวเสวียเพื่อเตรียมตัวเปิดประตูและเข้าไป

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset