วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 513 ซุบซิบนินทา

มู่ยู่วฉีรอจนไม่เห็นแม้แต่เงาของฉีฉี เขาจึงสตาร์ทรถแล้วขับออกไป

แต่ทันทีที่เขาขับรถออกไป ก็มีคนหนึ่งเดินออกมาจากที่ลับมือๆด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น

ใกล้จะสายเต็มทีแล้ว ฉีฉีเลยวิ่งเหยาะๆ

แต่การวิ่งในครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกปวดท้องและรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาทันที

แต่ว่าในตอนที่ฉีฉีกำลังทนต่อความเจ็บปวดและกำลังเตรียมจะขึ้นบันได แต่ระหว่างทางกลับเกิดเหตูการณ์ที่ทำให้เธอต้องชะงัก

คนที่มาขวางเธอไว้ตรงหน้าก็คือชายใส่แว่น เขาจ้องเธอด้วยสีหน้าท่าทางที่ลึกลับมาก

ฉีฉีพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า ” หลีกทางด้วย! ”

ชายใส่แว่นทำราวกับว่าไม่ได้ยิน และถามกลับว่า ” เมื่อวานเธอออกไปกับใคร? ”

” ฉันจะออกไปกับใคร มันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยหรอ? ”

” เธอเป็นแฟนฉัน จะไม่เกี่ยวกับฉันได้ไง! ”

ฉีฉีหัวเราะแห้งแล้วตะคอกใส่เขาว่า ” นายบ้าไปแล้วรึเปล่า ใครเป็นแฟนนายไม่ทราบ! หลีกไปเร็วๆ ฉันจะสายแล้ว ”

ในขณะที่พูด เธอก็ทำท่าจะวิ่งผ่านชายใส่แว่นไป

แต่ชายใส่แว่นกลับคว้าแขนฉีฉีไว้อย่างแรงและกะทันหันมาก ทำให้ฉีฉีรู้เจ็บ

” ตอนนี้ทำเป็นมากลัวสาย แล้วทำไมเมื่อคืนไม่เห็นกระตือรือร้นในการกลับบ้านเลย? เธอพูดมาสิ เมื่อคืนเธอไปไหนมาบ้าง แล้วอยู่กับใคร? ”

ฉีฉีสะบัดมือชายใส่แว่นออก เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” ฉันจะพูดอีกรอบนะ มันไม่เกี่ยวกับนาย อย่ามาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตฉัน! ”

ไอ้บ้านี่ มาสร้างความรำคาญใจให้ฉันแต่เช้าเลย น่ารำคาญจริงๆ

สีหน้าของฉีฉีแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากคุยกับชายใส่แว่น

แต่ชายใส่แว่นทำราวกับว่ามองไม่ออก เขาจ้องหน้าฉีฉีด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมแล้วถามเธอว่า ” บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เธออยู่กับผู้ชายที่มาส่งเธอเมื่อกี้ใช่ไหม? ”

ฉีฉีรู้สึกรำคาญมาก เธอเลยพูดกวนประสาทเขาไปว่า ” ใช่ แล้วจะทำไม? ”

คำพูดของเธอทำให้ความหวังอันน้อยนิดในแววตาของชายใส่แว่นนั้นสลายหายไป ”

ชายใส่แว่นหัวเราะแห้งแล้วพูดว่า ” หัวหน้าห้องบอกกับฉันว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี ไม่มีค่า ตอนแรกฉันยังไม่เชื่อ แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ก็มีแค่คนโง่อย่างฉันเท่านั้นแหละที่เชื่อเธอ! ฉีฉี ฉันดีกับเธอมากขนาดนี้ เธอทำไมถึงยังกล้าออกไปมั่วกับชายอื่นอยู่อีก! แล้วยังนอนค้างคืนกับเขาอีก! ”

” ในหัวสมองนายคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่เนี่ย เราเป็นแค่เพื่อนกัน! ไม่ได้ทำอะไรแย่ๆแบบที่นายคิดไปเอง! ”

” เหอะ ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองจะเป็นแค่เพื่อนกันได้ยังไง! พวกเธอสองคนมันก็คือหญิงก็ร้ายชายก็เลว ช่างเหมาะสมกันเสียจริง! ”

คำพูดของชายใส่แว่นทำให้ฉีฉีโมโหมาก เธอกำหมัดแน่นและมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากนั้นก็พูดคู่เขาว่า ” ไอ้บ้า ถ้ายังพูดมั่วๆอีก ระวังตัวไว้ด้วยนะ ”

” คนที่ต้องระวังตัวน่าจะเป็นเธอมากกว่านะ! ฉันให้โอกาสเธอแล้วก็คิดว่าเธอจะกลับตัวกลับใจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นคนที่อยากได้สามีคนอื่นจนตัวสั่น ถึงกับยอมเป็นชู้! ”

ชายใส่แว่นยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห รู้สึกว่าตัวเองตาบอดไปจริงๆที่มองว่าฉีฉีเป็นสาวน่ารักไร้เดียงสา เธอในตอนนี้ในสายตาของชายใส่แว่นมีแต่ความรังเกียจ ขยะแขยง ทุกการกระทำของเธอ เธอก็แค่ทำเพื่อโปรยเสน่ห์และยั่วผู้ชายก็เท่านั้นแหละ

แต่ฉีฉีกลับมึนงงกับคำพูดของชายใส่แว่น

” นี่นายพูดอะไรของนาย? เป็นชู้อะไรกัน? ”

พอเห็นว่าฉีฉียังจะมาแสแสร้งแกล้วเขาอีก เขาเลยตะโกนบอกว่า ” เธอคิดว่าฉันตาบอกหรอ ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นสามีของเซี่ยอันน่าไงหรือว่าไม่ใช่? เธอนี่มันเป็นเพื่อนสนิทของเซี่ยอันน่าสะเปล่า แต่กลับแอบเล่นชู้กับสามีเธอลับหลัง! ฉันนี่มันตามืดตามัวจริงๆที่ไปตกหลุมรักผู้หญิงร้ายๆอย่างเธอได้ ”

ที่แท้ เขาก็คิดว่ามู่ยู่วฉีคือเสี่ยวยู่วหลินนี่เอง

ฉีฉีทั้งโมโหและรู้สึกว่ามันน่าขำ เธอพูดว่า ” ฉันคิดว่านายคงตาบอดจริงๆ! ”

ชายใส่แว่นคิดว่าฉีฉีหัวเราะเยาะเขา เขาจ้องหน้าเธอแล้วตะคอกใส่เธอว่า ” แน่จริงก็พูดอีกรอบสิ! ”

” หรือว่านายว่าไม่ใช่? เขาไม่ใช่เสี่ยวยู่วหลิน เขาคือน้องชายของเสี่ยวยู่วหลิน เขาชื่อมู่ยู่วฉี ถึงพวกเขาทั้งสองจะหน้าตาคล้ายกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นแยกไม่ออกสะหน่อย นายทำไมถึงได้จำคนผิดสะอย่างนั้น? และอีกอย่าง เสี่ยวยู่วหลินและเซี่ยอันน่าพวกเขาไปฮันนีมูนกันอยู่ เขาคงแยกร่างได้สินะถึงได้แอบกลับมาหาฉันได้! ”

ชายใส่แว่นที่กำลังโมโหเขาไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆทั้งนั้น เขาพูดว่า ” ข้ออ้าง นี่มันคือข้ออ้างชัดๆ ฉันจะไม่เชื่อคำพูดของเธออีกต่อไปแล้ว! ”

ฉีฉีก็เหนื่อยที่จะอธิบาย เขาอยากคิดยังไงก็ปล่อยเขาคิดไปเถอะ ถึงยังไงก็ไม่ได้เดี่ยวอะไรกับตัวเธออยุู่แล้ว

แต่ว่าตอนนี้ ใกล้จะเข้าเรียนสายเต็มทีแล้ว ฉีฉีไม่อยากเข้าเรียนสายด้วยสาเหตุที่ไร้สาระ เธอขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า ” แล้วผีที่ไหนอยากให้นายเชื่อไม่ทราบ รีบหลีกไปเดี๋ยวนี้ ถ้านายยังไม่หลีกอีก ฉันจะตะโกนให้คนมาช่วยแล้วนะ ”

ชายใส่แว่นจ้องหน้าฉีฉีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นและอาฆาต เขาตะโกนว่า ” ฉีฉี ฉันไม่ยอมให้เรื่องนี้มันผ่านไปแล้วจบลงง่ายๆแบบนี้หรอก เธอกล้ามาล้อเล่นกับความรู้สึกฉันเธอต้องชดใช้ให้สาสม! ”

พอพูดจบชายใส่แว่นก็หันหลังเดินออกไป แต่ฉีฉียังคงมึนๆงงๆอยู่และรู้สึกว่าตัวเองนี่มันโชคร้ายจริงๆเลย

ไอ้คนนี้ สมองมีปัญหารึเปล่าวะ ป่วยเป็นโรคเพ้อฝันแน่ๆ สมองแบบนี้ยังจะไปสอบเข้าปริญญาโทอีก ควรเอาเวลาไปหาหมอเช็คอาการหน่อยจะดีกว่า

ฉีฉีมองบนใส่ชายใส่แว่นที่กำลังเดินจากไป จากนั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องเรียน

ฉีฉีมาตรงเวลาพอดี เธอไม่ได้มาสาย

แต่ว่า ตั้งแต่ฉีฉีก้าวขาเข้ามาในห้องเรียน เธอรู้สึกว่าสายตาที่ทุกคนใช้มองเธอมันแปลกๆ

ตอนที่เดินผ่านหัวหน้าห้อง ผู้หญิงคนนั้นยังหัวเราะแห้งให้เธอได้ยินด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ  ผ่านไปแค่คืนเดียว ราวกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคน……

ฉีฉีหาที่นั่งได้พอดี เธอนั่งลงและกำลังจะหยิบหนังสือขึ้นมา แต่เสียงพูดที่เย็นชาของหัวหน้าห้องก็ดังขึ้นสะก่อน

” เฮ้ เธอยังกล้านั่งกับเธออยู่อีกหรอ ระวังติดโรคนะ! ”

พอผู้หญิงข้างๆได้ยินแบบนั้น เธอก็รีบย้ายไปนั่งที่อื่นทันที

ฉีฉีก็คิดว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นหมายถึงอาการลำไส้อักเสบของเธอ ฉีฉีเลยรีบส่ายหน้าแล้วขมวดคิ้วพูดกับหัวหน้าห้องว่า ” นี่เธอมีความรู้รึเปล่า โรคแบบนี้มันติดต่อกันไม่ได้ ”  ยอมรับ ” มันออกมาออก โทนเสียงของหัวหน้าห้องก็ดังขึ้น

” หึ เธอยอมรับออกมาเองแล้วสินะ ผู้หญิงไร้ศีลธรรมแบบเธอทำไมถึงได้มาเรียนห้องเดียวกับพวกฉันได้? ชื่อเสียงและเกียรติที่เราทุกคนสร้างมาอย่างยาวนาน กลับโดนเธอทำลายมันไปกับมือ ”

เช้าวันนี้มันเป็นวันอะไรกันเนี่ย ทำไมเจอแต่คนพูดจาแปลกๆ?

ฉีฉีขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” ฉันก็แค่ป่วยเป็นลำไส้อักเสบ มันทำไมถึงได้ไปเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมได้? ”

” หึ อย่ามาหาข้ออ้าง ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอป่วยเป็นโรคอะไร! ”

” เธอ……”

” อาจารย์มาแล้ว ”

การทะเลาะกันที่กำลังเกิดขึ้นต้องยุติลงเพราะการปรากฏตัวขึ้นของอาจารย์ แต่ทั้งสองฝ่ายกับจ้องหน้ากันด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้กันทั้งคู่

พอฉีฉีนั่งลง เพื่อนๆรอบข้างของเธอก็รีบลุกขึ้นยืนทันที ราวกับว่าร่างกายเธอมีก๊าซพิษอย่างนั้นแหละ

ฉีฉีรู้สึกหดหู่ ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอรู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ถูกทิ้งโดดเดี่ยว

หลังจากเลิกเรียน เพื่อนๆทุกคนเดินออกไปทั้งเป็นคู่และเป็นกลุ่ม มีเพียงฉีฉีคนเดียวที่เดินออกไปคนเดียวอย่างน่าสงสาร

ฉีฉีเงยหน้าขึ้นมาแล้วได้เจอกับเพื่อนผู้หญิงที่เธอสนิท

เธอรีบเดินเข้าไปขวางพวกเธอไว้

” ไปกินชานมไข่มุกด้วยกันไหม? ฉันเลี้ยง ”

หญิงสาวพวกนั้นรีบหุบยิ้มทันที และพวกเธอทำเหมือนรังเกียจเธอ

” เอาไว้ก่อนเถอะ ครั้งที่แล้วเธอบอกว่าพวกเราอ้วนไม่ใช่หรอ ตอนนี้เรากำลังลดน้ำหนักอยู่ ”

พูดๆอยู่ พวกเธอก็เดินออกไปเลย อะไรกัน ก็แค่ล้อเล่นเอง ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ว่าตอนนี้พวกเธอกลับใช้เหตุผลแบบนี้เพื่อนหลีกเลี่ยงเธอ นี่มันเห็นได้ชัดเจนมากว่าคนพวกนี้ไม่อยากอยู่ร่วมกันกับเธอ

ฉีฉีขมวดคิ้ว และเดินไปขวางพวกเธอไส้อีกทีแล้วถามออกไปตรงๆว่า ” พวกเธอเป็นอะไรไป เมื่อวานยังดีๆอยู่เลยทำไมตอนนี้ถึงทำเหมือนไม่อยากสนใจฉัน? ”

” นั่นเป็นเพราะว่าแต่ก่อนยังไม่รู้ว่าเธอเป็นคนแบบนี้ และยังคิดว่าเธอไร้เดียงสามากเลยเต็มใจเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ว่าตอนนี้หน้ากากของเธอถูกกระชากออกแล้ว พวกเราไม่ต้องการที่จะเป็นเพื่อนกับคนอย่างเธอ ”

ฉีฉีถูกใส่ร้านมาหลายครั้งมากแล้ว ต่อให้จะนิสัยดียังไงก็คงต้องโมโหแล้วแหละ

” คนอย่างฉันมันทำไม เธอช่วยพูดให้ชัดเจนด้วย! ”

” เธออยากฟังเองนะ จะมาโทษฉันทีหลังไม่ได้นะ ” ผู้หญิงคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า ” ทั้งๆที่เธอก็มีแฟนแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังไปยุ่งไปมั่วกับผู้ชายที่รวยคนนั้นอีก แต่ว่าถ้าเธออยากมีความรักหรือคบกันแบบคนทั่วไปก็อีกเรื่องหนึ่ง ทำไมต้องไปเป็นมือที่สามด้วย และคนที่เธอสวมเขาให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับคือเพื่อนสนิทของเธอ! ”

“เรื่องแบบนี้ ทำแค่เรื่องเดียวมันก็น่าขยะแขยะพอแล้ว แต่เธอกลับทำทันทั้งหมดอย่างไม่ตกหล่น เธอว่าไหม แล้วเธอจะให้คนอื่นเป็นเพื่อนกับเธอต่อไปอีกได้ยังไง! ต่อไปถ้าเจอกันก็ไม่ต้องทักทายพวกฉันนะ คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกับเธอ ”

คำพูดพวกนั้น ทำให้ฉีฉีโกรธจนตัวสั่น

ใช่ เป็นความจริงที่ผู้หญิงประเภทนี้จะทำให้คนรู้สึกน่ารังเกียจ แม้แต่ตัวฉีฉีเองก็ไม่ชอบผู้หญิงสำส่อนแบบนี้

แต่ว่าเธอไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย มือที่สามอะไรกัน มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลยแม้แต่น้อย!

ฉีฉีจ้องผู้หญ้าตรงหน้าพวกนั้นแล้วถามว่า ” ใครเป็นคนบอกเรื่องพวกนี้กับพวกเธอ? ”

” เป็นเรื่องที่ทุกคนเล่าต่อกันมาแบบนี้ ”

” เป็นเรื่องที่คนอื่นเล่าต่อกันมาและพวกเธอก็เชื่อ คำนินทาใส่ร้ายรู้จักคำนี้ไหม! ”

” ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ใครมันจะไร้ศีลธรรมสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาใส่ร้ายเธอ? ”

” อีกเรื่อง วันนั้นผู้คนมากมายก็เห็นเธอและเสี่ยวยู่วหลินเดินไปห้องสมุดด้วยกันอย่างสนิทสนมด้วย ”

ฉีฉีแทบคลั่ง เธอเอามือลูบผมแล้วพูดว่า ” ฉันจะพูดอีกรอบนะ นั่นไม่ใช่เสี่ยวยู่วหลิน แต่เขาคือมู่ยู่วฉี ”

น่าเสียดาย ที่คำอธิบายของฉีฉีไม่ได้รับการยอมรับ ราวกับว่าพวกผู้หญิงไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าความจริงคืออะไร ขอแค่มีใครสักคนโดนโจมตี พวกเธอก็พร้อมจะก้าวออกมาแล้วใช้ขาเหยียบซ้ำเพื่อความสนุก

ก็เหมือนกับในตอนนี้ ทั้งๆที่มีหลักฐานมากมายที่จะไขความกระจ่างให้กับฉีฉีได้ แต่พวกเธอกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และมองข้ามความจริงใจจองฉีฉีไป

” พวกเราไม่ได้รู้จักสองพี่น้องนั่นสักหน่อย จะรู้ได้ไงว่าสิ่งที่เธอพูดคือความจริง ”

” นั่นนะสิ เธอสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมาเองรึเปล่าก็ไม่รู้ ”

” และเธออาจจะทำเพื่อปกปิดความจริง แล้วจงใจให้สองพี่น้องนั่นแกล้งสลับตัวกันเพื่อให้เรื่องนี้มันผ่านไปง่ายๆก็เป็นไปได้ ”

ผู้หญิงพวกนั้นพยายามบีบคั้นเธอ แต่ฉีฉีรู้สึกสิ้นหวังมากๆ

เธอก้มหน้าเล็กน้อยแล้วบ่นพึมพำว่า ” ถ้าพวกเธอไม่รู้ก็ไปค้นหาความจริงสิ ทำไมถึงได้ใส่ร้ายคนทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ ทำกันเกินไปมากจริงๆ ”

พวกเราไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดที่ไปตามเช็คหรอกนะว่าเรื่องไห้จริง ไม่จริง ถึงยังไงอยู่ห่างๆเธอไว้ก็น่าจะดีที่สุด จะได้ไม่เป็นกันหาไฟใส่ตัว ”

” พวกเธอ……”

ฉีฉียังเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผู้หญิงพวกนั้นกลับก้าวขาแล้วเดินออกไปราวกับว่ากำลังเลี่ยงเชื้อโรค

มองดูพวกเธอที่เดินจากไป ฉีฉีก็รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสงสารจริงๆ

จำได้ว่าเมื่อก่อนเซี่ยอันน่าก็ต้องเผชิญกับคำซุบซิบนินทามากมาย

แต่ว่าในตอนนั้น ยังมีตัวเธอที่คอยอยู่ข้างๆเวี่ยอันน่า ปลอบเธอและคอยให้กำลังใจเธอ

แต่ว่าในตอนนี้ เธอต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้เพียงลำพัง

ความรู้สึกที่โดนคนใส่ร้าย มันช่างเสียใจจริงๆ……

ฉีฉีถอนหายใจเบาๆ และเดินออกไปอย่างหดหู่

จริงๆแล้วฉีฉียังคงไม่สบยาอยู่ บวกกับการโดนเพื่อนๆใส่ร้าย อารมณ์ก็ไม่ดี เย็นนี้เธอไม่อยากไปทำงานที่ร้านขนมหวานเลย

แต่ว่าพอคิดถึงเรื่องที่เมื่อวานเธอขอลาไปแล้ววันหนึ่ง เธอเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอลากับเย่ชูวเสวียอีก จึงทำได้เพียงฝืนตัวเองมาทำงาน

พอมาถึงร้านขนมหวาน ฉีฉีก็เห็นเย่ชูวเสวียเหมือนกำลังทำวิจัยบางอย่างอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เธอจึงทักทายเธอตามปกติ

” ชูวเสวีย ”

พอเห็นฉีฉี เย่ชูวเสวียก็รีบลุกทันที เดินไปตรงหน้าเธอและสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า

” ฉีฉี รู้สึกดีขึ้นมาบ้างรึยัง? ”

ถึงแม้ว่าฉีฉีจะป่วยจริงๆ แต่ว่าท่าทีของเย่ชูวเสวียก็เวอร์ไปหน่อย ราวกับว่าฉีฉีไม่ได้ป่วยเอง แต่โดนคนทำร้ายมา

เฮ้ย ทำไมวันนี้เจอแต่คนแปลกๆอยู่เรื่อยเลย

ฉีฉีฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า ” อือ ดีขึ้นมากแล้ว ”

” แต่ว่า ฉันรู้สึกว่าสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลยนะ ”

เฮ้อ โดนคนใส่ร้ายแบบนั้น ถ้าอารมณ์ดีสิน่าแปลก

” คือว่าในมหาวิทยาลัย……”

เดิมทีฉีฉีอยากเล่าออกไปตามตรง แต่ว่าพอมาคิดดูอีกที ถึงเย่ชูวเสวียรู้ไปก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อยู่ดี จะทำให้เธอเป็นห่วงเปล่าๆ

ดังนั้น ฉีฉีเลยเปลี่ยนเป็นยิ้มให้เธอ ส่ายหน้าแล้วพูดว่า ” ไม่มีอะไรหรอก ”

พอเห็นท่าทีของฉีฉีที่เหมือนจะพูดบางอย่างออกมาแล้วกลืนมันลงไป เย่ชูวเสวียก็รู้ทันทีเลยว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับยัยนี่แน่ๆ

แต่จะเป็นเรื่องอะไร ต้องค่อยๆถามอย่างช้าๆ

แต่ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับมู่ยู่วฉีแน่ๆ

เห็นท่าทางของฉีฉีเป็นแบบนี้ เย่ชูวเสวียกำลังด่ามู่ยู่วฉีอยู่ในใจไม่ต่างอะไรกับหมาตัวหนึ่งแล้ว แถมยังคิดอีกว่า ถ้าได้เจอมู่ยู่วฉีต้องจัดการเขาให้เด็ดขาด

ผู้หญิงที่ไร้เดียงสาและจิตใจดีอย่างเธอกลับต้องมาโดนมู่ยู่วฉีทำร้ายจิตใจ ทำให้เธอต้องกลายเป็นคนที่หดหู่และเศร้าโศกแบบนี้ เธอเห็นแล้วก็เป็นห่วงมากๆ

เพื่อที่ฉีฉีจะไม่โดนมู่ยู่วฉีหลอกมากไปกว่านี้ เย่ชูวเสวียต้องคุยเรื่องนี้กับฉีฉีสักหน่อย

จับมือฉีฉีไว้ และบอกกับฉีฉีเป็นนัยๆว่ายังไม่ต้องรีบทำงานก็ได้

” ฉีฉี ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าเข้าใกล้มู่ยู่วฉี? ”

ถ้าเป็นแต่ก่อน ฉีฉีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับพูดนี้

แต่ด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำให้ความรู้สึกของฉีฉีในตอนนี้มันสับสนไปหมด

เธอกัดริมฝีปาก ฉีฉีไม่ได้ตอบแต่กลับถามกลับว่า ” เธอเองก็คิดว่าฉันควรต้องรักษาระยะห่างกับมู่ยู่วฉีหรอ? ”

เย่ชูวเสวียตอบอย่างไม่ต้องคิด เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า ” ใช่ ”

” เพื่อจะได้ไม่มีเรื่องซุบซิบนินทาแค่ไหนหรอ? ”

” ไม่ใช่แค่นั้น เพื่อปกป้องเธอด้วย ”

” ปกป้องฉัน? ”

คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีไม่ค่อยเข้าใจ

” ใช่ มู่ยู่วฉีเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก เขาเกิดมาเพื่อให้สาวตกหลุมรัก บางทีก็มีผู้หญิงที่ตกหลุมรักเขาทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว มันยากที่จะหลุดพ้นวงจรนี้ได้ ”

” ถ้าให้พูดแบบน่าฟังหน่อย เขาเป็นคนที่มีคารมดี แต่ถ้าให้พูดในทางที่ไม่ดี เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก แต่เธอเป็นคนที่อ่อนต่อโลกอีกทั้งยังไร้เดียงสาอีก ถ้าอยู่กับเขาเธอจะถูกเขาดึงดูดได้ง่ายมาก หลังจากนั้นก็ยากที่จะหลุดพ้น ”

” ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาก็แค่เล่นๆเฉยๆ ทำไมต้องเอาตัวเองไปตกหลุมพรางเขาด้วย? นอกจากความเจ็บปวด เธอจะได้อะไรมากกว่านั้น?

คำพูดของเย่ชูวเสวีย ทำให้ฉีฉีเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า ” ฉันรู้แล้วว่าฉันควรทำยังไง ”

มองใบหน้าที่ซีดเซียวของฉีฉ๊ เย่ชูวเสวียเองก็รู้สึกหดหู่

แต่คำพูดพวกนี้เธอจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน ถ้าฉีฉีเลือกเดินทางผิด เลือกคนผิด ชีวิตของเธอในอนาคตต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ

” ฉีฉี ที่ฉันพูดแบบนี้ ก็เพราะหวังดีกับเธอ ฉันรู้จักมู่ยู่วฉีดีกว่าเธอ และได้เห็น ผู้หญิงเยอะแยะมากมายที่ต้องเสียใจและอกหักเพราะคนอย่างเขา ดังนั้น ฉันเลยทนไม่ได้ที่จะเห็นเธอต้องเป็นเหมือนพวกเธอเหล่านั้น ”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset