วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 524 ฉันมาช่วยจริงๆนะ

มองปฏิกิริยาของทั้งสองคน ฉีฉีมีสีหน้าแปลกประหลาด

หน้าของเย่ชูวเสวียแดงแล้วขาว ขาวแล้วก็แดง สุดท้ายตบที่ไหลของฉีฉีเบาๆ กัดฟันพูดว่า”เห็นแก่เธอที่ยังรักษาตัวไม่หายดี ฉันไม่โต้เถียงกับเธอละกัน”

มู่ยู่วฉีไม่อยากพูดหัวข้อนี้ต่อไปแล้ว ก็พูดว่า”โอเค พูดเข้าเรื่องเถอะ ตอนนี้ฉันโทรศัพท์ให้นักจิตวิทยามาช่วยตรวจให้กับฉีฉีในทุกด้าน”

เคยมีประสบการณ์ผ่านการตรวจมา นักจิตวิทยาสีหน้ายิ้มออกมาด้วยความปลื้มใจ

“ไม่เลว เป้าหมายทางด้านนี้ดี ฉีฉี เธอเป็นสาวน้อยที่กล้าหาญจริงๆ ”

คำชื่นชมอย่างนี้ทำให้ฉีฉีหน้าแดงเล็กน้อย พูดว่า”กล้าหาญ? ฉันยังคิดว่าคุณจะคิดว่าฉันอ่อนแอ”

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ทุกคนสามารถที่จะพบเรื่องที่จะไม่สามารถพูดออกมาได้ เพียงแค่ในเวลานี้คุณเก็บเรื่องที่ไม่มีความสุขไว้ หลังจากนั้น ก็พังทลายกำแพงออกมาด้วยตัวเอง กลับมาเป็นปกติ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเผชิญกับความเจ็บปวดของตัวเองได้ คุณเยี่ยมมาก”

ฟังคำพูดของนักจิตวิทยา ฉีฉีเหนียมอายทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย อีกทั้งยังมีความภูมิใจเล็กน้อย

“อีกอย่าง คุณสามารถฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ก็โชคดีที่มีเพื่อนของคุณนะ ฉันได้ยินมาว่า เพื่อที่จะให้คุณหายเป็นปกติ ก็คิดทุกวิถีทางจริงๆ ตกทุกข์ได้ยากเจอเพื่อนที่จริงใจ มีเพื่อนแบบนี้ คุณโชคดีมาก ”

หันศีรษะกลับมามองเย่ชูวเสวียกับมู่ยู่วฉีที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นฉีฉีก็คิดว่าโลกนี้เปลี่ยนเป็นอบอุ่นน่าอยู่ขึ้นมามาก

เย่ชูวเสวียกุมที่มือของฉีฉี ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย แต่รอยยิ้มเจิดจรัส

สายตามองที่ใบหน้าของมู่ยู่วฉี ฉีฉีพบว่าในดวงตาของมู่ยู่วฉี มีความรู้สึกบางอย่าง ทำให้เธอสับหลีกหลบสายตานั้น มีความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“โอเค ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอะไร ฉันก็วางใจแล้ว แต่ว่ายากระปุกนี้ คุณยังต้องกินต่อไป หลังจากสองอาทิตย์ค่อยหยุดยาได้ หลังจากนั้นนะ พบเจอเรื่องราวก็อย่ามักจะเก็บไว้คนเดียว คุณมีเพื่อนดีขนาดนี้ ก็พูดคุยกับเพื่อนเยอะๆ ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถแก้ไขได้”

ฉีฉียิ้มพร้อมกับผงกศีรษะ พูดว่า”รู้แล้วค่ะ”

“อย่างนั้นคุณก็พักผ่อน ฉันกลับก่อนนะ”

นักจิตวิทยากลับไป มู่ยู่วฉีเป็นคนไปส่งหน้าประตูเอง

มู่ยู่วฉีไม่อยู่ ฉีฉีก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ

ก็ไม่รู้ว่าทำไม วันนี้มู่ยู่วฉีมักให้ความรู้สึกกดดันอย่างหนึ่งกับฉีฉี เหมือนกับจะมาเรื่องอะไรเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ฉีฉีมีความไม่สงบใจว้าวุ่น

เย่ชูวเสวียนั่งลงข้างกายฉีฉีช่วบปอกส้มให้ ในเวลาเดียวกันก็พูดเรื่องในช่วงที่ฉีฉีป่วยอยู่นิดหน่อย

ฉีฉีฟังเรื่องเหล่านี้เงียบๆ ทันใดนั้นก็พูดออกมาจากใจจริงว่า”ขอบคุณพวกคุณมากๆนะคะ”

แต่คำขอบคุณของฉีฉียิ่งทำให้เย่ชูวเสวียรู้สึกผิด พูดออกมาว่า”ขอบคุณอะไรกัน เพราะพวกเราไม่ปรากฎเห็นความผิดปกติของเธอ ถ้าหากพบเร็ว จะเกิดเรื่องราวภายหลังอย่างนี้ที่ไหนกัน อันน่ายังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าหากว่าเธอรู้ แน่นอนว่าต้องมาคิดบัญชีกับพวกฉัน”

“ไม่หรอกๆ เห็นอยู่ชัดๆว่าฉันอ่อนแอ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกคุณเลย มีพวกคุณช่วยฉัน ฉันก็ซึ้งใจมากแล้ว”

มู่ยู่วฉีเดินจากด้านนอกเข้ามา เห็นทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ก็ถาม”พวกเธอกำลังคุณอะไรกัน?”

“ฉีฉีกำลังขอบคุณพวกเรา “เย่ชูวเสวียกินส้มหนึ่งชิ้น ทันใดนั้นมองแวบหนึ่ง พูดกึ่งหยอกกึ่งจริงจังกับฉีฉีว่า”พูดจริงๆ ถ้าหากเธอซาบซึ้งน้ำใจพวกเราจริงๆ อย่างนั้นคุกเข่าขอแต่งงานก็จบแล้ว”

พอฟังคำนี้ มู่ยู่วฉีสายตาลุกวาวมองที่ฉีฉี

แต่ทว่าฉีฉีไม่ได้ใส่ใจกับคำนี้ พูดว่า”อย่าล้อเล่นสิ ในเมื่อฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ควรที่จะกลับมหาวิทยาลัยได้แล้ว อีกสักครู่ฉันจะกลับไปเก็บของที่ห้อง”

ฟังคำนี้แล้ว เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วมองที่มู่ยู่วฉี อยากจะรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

มู่ยู่วฉีเงียบสักพักหนึ่ง ถามว่า”เทอมหน้า เหมือนเธอจะไม่มีวิชาเรียน?”

ฉีฉีผงกศีรษะ พูด”อืม ฉันก็ต้องโฟกัสที่วิชาเรียน เตรียมตัวสอบปริญญาโท”

“ที่จริง เธอสามารถที่จะพักอยู่ที่นี่ได้ตลอด สงบเงียบสามารถที่จะทบทวนวิชาเรียน ก็ไม่ต้องไปชิงที่นั่งที่ห้องสมุด”

คำพูดนี้บอกเป็นนัยๆชัดเจน เย่ชูวเสวียอมยิ้มมองที่ฉีฉี อยากจะดูว่าเด็กน้อยคนนี้จะพูดอย่างไร

แต่ว่าฉีฉีไม่เข้าใจ โบกมือข้างหนึ่งกลับมา พูดอย่างเกรงใจว่า”ไม่ต้องๆ ฉันอยู่ในมหาวิทยาลัยโอเคมาก บรรยากาศค่อนข้างเหมาะกับการเรียน ”

“แต่ว่าก็มีคนที่จะสามารถรบกวนเธอนะ กรณีสองคนเมื่อก่อนที่น่าเกลียดก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

ด้วยเหตุนี้ ฉีฉีหัวเราะออกมาเบาๆ ในใจอยากพูดว่า หรือว่าอยู่ที่นี่ คุณก็จะไม่รบกวนฉันแล้วใช่ไหม?

เผชิญหน้ากับมู่ยู่วฉีที่มีมิตรไมตรี ฉีฉีกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย

เย่ชูวเสวียไม่ชอบที่ตัวเองใกล้ชิดสนิทสนมกับมู่ยู่วฉี ได้ยินคำพูดเหล่านี้ น่าจะลุกขึ้นยืนมาพูดแทนตัวเองสักประโยค

แต่ว่าเย่ชูวเสวียในตอนนี้ ทำไมดูสนุกคึกคักอย่างนั้น?

ฉีฉีไม่เข้าใจสถานการณ์ เม้มริมฝีปาก พูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า”ไม่ค่อยสะดวก คุณยังต้องกลับมาพักนะ”

คำพูดนี้ทำให้เย่ชูวเสวียหัวเราะออกมาอย่างประหลาด พูดว่า”อย่างนั้นความหมายของเธอก็คือเพียงแค่มู่ยู่วฉีไม่กลับมาเธอก็จะพักอยู่ที่นี่?”

เย่ชูวเสวียหันศีรษะกลับมามองที่มู่ยู่วฉีแล้วพูดว่า”มู่ยู่วฉี อย่างนั้นนายก็ไม่ต้องกลับมานะ เอาห้องนี้ให้ฉีฉีพักเถอะ”

ฟังคำนี้แล้ว มู่ยู่วฉีจ้องเขม็งที่เย่ชูวเสวีย แสดงท่าทางที่โหดร้ายออกมา

ปฏิกิริยาของมู่ยู่วฉี ทำให้เย่ชูวเสวียแลบลิ้นออกมาใส่ ในใจคิดว่าเด็กคนนี้นานวันยิ่งไม่น่ารักแล้ว

ฉีฉีเห็นบรรยากาศที่แปลก ก็อยากจะหลบหนีออกจากที่นี่

“อย่างนั้นฉันเก็บของก่อนนะคะ”

เห็นฉีฉีอยากจะหนี ทันใดนั้นมู่ยู่วฉีก็เรียกรั้งเธอไว้

“ฉีฉี!”

ฉีฉีหันศีรษะกลับมามองมู่ยู่วฉี ท่าทีขลาดกลัว ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะปกป้องเธอ

“ถึงแม้ว่าคนในมหาวิทยาลัยจะไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระแล้ว แต่เธอเพิ่งจะฟื้นฟูความคิดสติ อย่างไรก็ต้องได้พักฟื้นสักพัก ถึงจะสามารถฟื้นฟูร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ ตัวเองดูแลตัวเอง ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นอีก อย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าความพยายามของพวกเราก่อนหน้าสูญสิ้นหมดเลยเหรอ อีกทั้งยัง นี่ยังกระทบต่อการฟื้นฟูของเธอ ชูวเสวีย เธอล่ะว่าอย่างไร?”

เดิมทีเย่ชูวเสวียอยากจะแค่ดู ได้ยินมู่ยู่วฉีเรียกชื่อของเธอ เลิกลั่กสักพักหลังจากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า”อา? อ้อ มู่ยู่วฉีพูดมีเหตุผล ฉีฉี เธอพักอยู่ที่นี่อีกหน่อยเถอะ วางใจได้ ฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเธอ”

เย่ชูวเสวียตัดสินใจเอง ทำให้มู่ยู่วฉีไม่พอใจขมวดคิ้วขึ้น

“ฉีฉีหายแล้ว เธออยู่ที่นี่ทำอะไร?”

เย่ชูวเสวียพูดอย่างมั่นใจว่า”เมื่อกี้นายพูด ฉีฉียังต้องพักฟื้น พักฟื้นนะ ต้องมีคนดูแล ฉันอยู่ที่นี่ ก็เหมาะเจาะพอดี ทำไม หรือว่านายยังมีความหมายอื่น?”

มู่ยู่วฉีกัดฟันกรอดมองเธอ พูดว่า”ไม่มี อย่างนั้นก็เอาตามที่เธอว่าละกัน”

“ดีมาก”

เย่ชูวเสวียยักคิ้วใส่มู่ยู่วฉี หลังจากนั้นหมุนตัวจับที่แขนของฉีฉี พูดคุยหัวเราะกับเธอแลัวเดินออกไป

มองดูแผ่นหลังของพวกเธอ มู่ยู่วฉีรู้สึกว่าตัวเองต้องคบเพื่อนแบบไหนดี

ในตอนแรก เขาสติเลอะเทอะได้อย่างไร ให้เย่ชูวเสวียเข้ามา?ไม่เพียงแต่ไม่ส่งเสริม ยังกำลังโค่นล้ม ทำตามอย่างนี้ต่อไป รอเขาจีบฉีฉีติด ผักดอกเข็มก็เย็นหมดแล้ว!

ไม่ได้ เขาต้องไปคุยกับเย่ชูวเสวีย ไม่สามารถให้เธอวุ่นวายอีกแล้ว

หลบตาลงสักพักมู่ยู่วฉีก็รีบเร่งฝีเท้าตามทั้งสองคนไป

กินยาเสร็จฉีฉีก็เขาไปพักในห้อง

เย่ชูวเสวียวางแผนจะยุแหย่ปั่นป่วนต่อ แต่ทว่าถูกมู่ยู่วฉีรั้งไว้ก่อน

มองสีหน้าไม่ดีของชายที่อยู่ตรงหน้า เย่ชูวเสวียไม่มีท่าทีหวาดกลัวสักนิด ยังหยอกล้อว่า”ฉันยังคิดว่านายอยากสารภาพรักนะนั่น”

“หลังจากนั้นให้เธอดูเกมส์ฟรีใช่ไหม?ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ”

เย่ชูวเสวียส่ายศีรษะ พูดว่า”นายนี่นะ คิดไม่ตกไม่ปล่อยวาง เห็นๆอยู่ว่าฉันเป็นพยานให้กับความสุขของพวกนาย พวกนายสองคนแอบคบกัน น่าเบื่อมาก ถ้าหากว่ามีคนอยู่ข้างๆพวกนายแบ่งปันช่วงเวลานี้ อย่างนั้นก็จะมีความหมายมากขนาดไหนล่ะ”

มู่ยู่วฉีไม่โง่เขลาเชื่อคำพูดที่น่าประทับใจของเย่ชูวเสวีย เขาพูดว่า”ขอบคุณนะ ฉันไม่ต้องการช่วงเวลาที่มีความหมายขนาดนั้น”

“นายไม่ต้องการ ฉีฉียังต้องการนะ เชื่อฉัน ผู้หญิงใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้”

“เชื่อเธอ?อย่างนั้นก็ผีแล้วสิ!”มู่ยู่วฉีพูดตามตรง “ฉีฉี ฉันต้องการแน่นอนแล้ว เธออย่าคิดว่าเธออยู่ที่นี่ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้นะ”

เย่ชูวเสวียแกล้งโง่ต่อ พูดว่า”พูดอะไรน่ะ ฉันเพียงแค่หวังว่าฉีฉีจะได้พบความสุข แต่เงื่อนไขแรกนะนายต้องสามารถให้ความสุขกับฉีฉีได้ ไม่อย่างนั้นนะ ฉันจะไม่คำนึงถึงมิตรภาพเก่า สามารถที่จะทำให้นายห่างออกไปไกลๆเลย ”

“รบกวนเธอช่วยจำเรื่องหนึ่งนะ ที่นี่คือบ้านฉัน ถ้านับว่ามีคนจะต้องไป ก็เป็นเธอที่ต้องไป”

“โอเค ฉันไปได้ อย่างนั้นก็เอาฉีฉีไปด้วยกัน ”

คุยกันอยู่นาน เย่ชูวเสวียก็ยังจะเอาฉีฉีไปด้วย นี่ทำให้มู่ยู่วฉีไม่เข้าใจ ถามว่า”ทำไมเธอถึงไม่สามารถที่จะอวยพรยินดีให้ฉันกับฉีฉีได้นะ?”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อวยพรยินดีกับพวกนาย ฉันรู้สึกค่อนข้างกังวลเรื่องของนายกับฉีฉี”

“ฉันยังไม่ได้ลงมือเลย เธอกังวลอะไร?”

เย่ชูวเสวียวางรายการอาหารในมือลง พูดลึกลับยากที่จะเข้าใจว่า”หรือว่านายไม่สังเกตเห็นว่าฉีฉีมีท่าทีหลบหลีกเลี่ยงนาย ?นายยังไม่ได้เริ่มเอ่ยปากสารภาพรัก เธอก็หลบหลีกแบบนี้แล้ว ถ้าหากว่านายพูด อย่างนั้นเธอก็ขุดหลุมเอาตัวเองไปหลบซ่อนขึ้นมาแล้วสิ”

มู่ยู่วฉีไม่เห็นพ้องกับเรื่องนี้ เขาพูดว่า”อย่างนั้นก็เพราะเธออยู่ที่นี่ เธอเขินอาย”

“ฉันไม่อยู่ เธอก็ไม่เขินอายแล้ว?”

“แน่นอน ฉันคิดว่าที่เธออยู่ตอนนี้ค่อนข้างเป็นส่วนเกิน ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงแค่สามารถก่อเรื่อง”

เย่ชูวเสวียส่ายศีรษะไปมาเหมือนกับได้รับความเจ็บ พูดว่า”ฟังดูคำพูดนี้ไร้น้ำใจจริงๆนะ พวกเราก็ถือว่าเป็นญาติห่างๆกัน นายพูดอย่างนี้ ดีแล้วจริงๆใช่ไหม?”

มู่ยู่วฉีไม่สะทกสะท้านพูดว่า”นี่คือเรื่องจริง ฉันโทรหาหนานกงเจาแล้วให้เขามารับเธอ เธอเก็บของเตรียมตัวย้ายกลับไปเถอะ”

เย่ชูวเสวียแสดงความไม่พอใจ เดิมทีไม่ได้เอาคำพูดของมู่ยู่วฉีมาใส่ใจ ตอบโต้กลับว่า”ขอโทษด้วย เมื่อกี้ฉันโทรหาหนานกงเจาแล้วให้เขาเอาสัมภาระของตัวเองมาด้วย”

มู่ยู่วฉีทำอะไรไม่ถูกแล้วกับผู้หญิงคนนี้ ด่าไม่ได้ดุก็ไม่ได้ ก็อุปทานขึ้นมาแล้ว

แต่เธอยังไม่พอใจต้องการชี้ไม้ชี้มือในชีวิตประจำวันกับความรู้สึกของตัวเอง

มู่ยู่วฉีถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรง พร้อมกับคำขอร้องอ้อนวอน”เย่ชูวเสวีย เธอไม่ก่อความวุ่นวายแล้วได้ไหม!”

และเย่ชูวเสวียขยิบดวงตากลมไร้เดียงสา พูด”ก่อความวุ่นวายอย่างไร เห็นอยู่ชัดๆว่าฉันต้องการช่วยพวกนายนะ”

“ฉันดูไม่ออก”

“ดูไม่ออก ก็ค่อยๆดู ต้องมีสักวันที่สามารถเปิดหูเปิดตาได้”เย่ชูวเสวียพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนหวานให้มู่ยู่วฉี “ใช่แล้ว ตอนเย็นพวกนายอยากกินอะไร ซุปสาหร่ายถั่ววอลนัท หรือว่าแก้วมังกรอบหมูไหม?”

ได้ยินชื่อเหล่านี้ มู่ยู่วฉีรู้สึกอยากจะอาเจียนมาก

เขาขมวดคิ้วถามว่า”ของเหล่านี้ของเธอคืออะไร คนกินได้เหรอ?”

“แน่นอน บำรุงนะ นี่่ฉันเอามาจากตำราอาหารหลายสิบสูตรเลยนะ รวบรวมออกมาจากส่วนที่ดีที่สุด!”

“ถ้าหากว่านี่ดีที่สุด อย่างนั้นฉันยินยอมกินกาก”

“ไม่รู้ว่าจะชมอย่างไร แต่ว่าฉีฉีต้องชอบอย่างแน่นอน”

นึกถึงว่าเย่ชูวเสวียจะเอาของเหล่านี้ทำลายฉีฉี มู่ยู่วฉีรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

แต่พอกลับมาคิด มู่ยู่วฉีก็คิดอีกว่าบางทีอาจจะมีโอกาสไล่เย่ชูวเสวียออกไป

เม้มริมฝีปากสักพัก มู่ยู่วฉีพูดกับเย่ชูวเสวียว่า”ในเมื่อเธอมีความเชื่อมั่นอย่างนี้ อย่างนั้นก็พยายามให้เต็มที่ ให้พวกฉันลองฝีมือของเธอ”

พูดจบ มู่ยู่วฉีหมุนตัวเดินออกไป

และเย่ชูวเสวียมองตามแผ่นหลังของเขา บ่นพึมพำว่า”ไอ้เด็กคนนี้ทำไมเปลี่ยนนิสัยกะทันหันนะ?”

เวลาอาหารเย็น——

“อาหารดีๆ”อยู่ตรงหน้าทันใดนั้นฉีฉีรู้สึกว่าไม่อยากอาหาร

อาหารสีสันงดงาม แต่ละอย่างเป็นสิ่งที่ฉีฉีชอบกิน

แต่พอพวกมันมารวมอยู่ด้วยกัน มันเปลี่ยนเป็นคล้ายกับยาพิษที่จะเอาชีวิตของคนเลย

เย่ชูวเสวียกระตือรือร้นที่จะอธิบายอาหารให้ฉีฉี รวมถึงพูดว่า”มา ฉีฉี กินเยอะๆหน่อย เธอต้องปรับสภาพร่างกาย ยังต้องทบทวนบทเรียน ต้องบำรุงดูแลเยอะๆ”

“อย่างนั้น ฉันกินแตงกวาอันนี้ก็โอเคแล้วล่ะ”

ฉีฉีพูดพร้อมกับคีบสีเขียวๆหนึ่งชิ้นเข้าปาก

แต่เคี้ยวสักพัก สีหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้

“นั่นไม่ใช่แตงกวา……”

ฉีฉีรีบคายของที่อยู่ในปากออกมา ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าหากัน ถาม”นี่คืออะไร ทำไมขมแล้วก็หวานและก็เค็มล่ะ”

“นี่คือมังคุดผัดแอปเปิ้ล ทำไม เธอไม่ชอบเหรอ?”

มองสายตาที่เฝ้าปรารถนาของเย่ชูวเสวีย ฉีฉีไม่กล้าที่จะพูดไม่ดีปฏิเสธความพยายามของเธอ

แต่ให้เธอกินอะไรที่กลืนยากขนาดนี้ ก็ทรมานมากเกินไปแล้ว….

ในเวลาที่ฉีฉีไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็มีคนยกอาหารที่อยู่ตรงหน้าเธอขึ้น เทลงถังขยะโดยไม่ฟังอะไร

“มู่ยู่วฉี นายบ้าแล้วเหรอ นี่เป็นกำลังกายความพยายามของฉันนะ!”

เย่ชูวเสวียอารมณ์บ้าคลั่ง เธอแผดคำรามใส่มู่ยู่วฉี อยากจะไปคว้าที่หน้าของเขา

และมู่ยู่วฉีนิ่งเฉย พูดว่า”พวกฉันเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ต้องการกินของที่อร่อยฉลองให้กับตัวเอง ไม่ใช่ว่าต้องมาอดทนกับอาหารที่เป็นพิษอย่างนี้ ฉีฉี ไป ฉันจะพาเธอไปร้านอาหาร”

มู่ยู่วฉีพูดพร้อมกับลากฉีฉีลุกขึ้นเดินไป

และฉีฉีก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถือโอกาสเดินไปกับเขา

ถ้าหากว่าเลือกได้ แน่นอนว่าฉีฉีไม่มีทางที่จะอยู่ ถูกอาหารเหล่านั้นทำพิษต่อไป

แต่ฉีฉีก็เป็นห่วงเย่ชูวเสวียอีก ก็พูดกับมู่ยู่วฉีว่า”ทิ้งเย่ชูวเสวียไว้ไม่ดีเลยนะ อย่างนั้นก็เรียกเธอไปด้วยกันเถอะ”

มู่ยู่วฉีตอบปฏิเสธโดยไม่คิด พูดว่า”ตอนนี้แน่นอนว่าโกรธจนกินไม่ลงแล้ว ให้เธอใจเย็นลงก่อนเถอะ”

“แต่ว่า….”

ฉีฉียังพูดไม่จบ มู่ยู่วฉีก็จับเธอยัดเข้าไปในที่นั่งแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ขับรถออกไป

และเย่ชูวเสวียที่อยู่ด้านบน จ้องมองมู่วยู่วฉีผ่านกระจกรถ ยิ่งขับยิ่งไกลออกไป

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset