วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 73 รอคอยเย่ฉ่าวเฉินเป็นครั้งแรก

ในขณะที่มู่เวยเวยคิดว่าเธอต้องตายแน่ๆ มีดก็เฉียดไหล่เธอไป มุ่งตรงไปปักลงบนสิ่งที่อยู่ข้างหลังของเธอ

ผนัง!!

ยังไม่ทันที่มู่เวยเวยจะมีปฏิกิริยากลับมา เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาในอากาศ ก่อนที่ร่างของเสี่ยวจื่อจะปรากฏตรงหน้าของเธอ ตาสีม่วงของเขาเปล่งประกาย พร้อมพูดอย่างดูแคลน “เธอนี่ขี้ขลาดจริงๆ”

ฟังเขาพูดจบ เธอถึงเพิ่งรู้ตัวว่า ที่แท้เขาก็จงใจแกล้งเธอ ไม่น่าคิดว่าเขาเป็นคนดีเลยจริงๆ มู่เวยเวยรู้สึกว่าตัวเองโง่มาก ต้องโดนอีกเท่าไหร่ ถึงจะรู้จักจำ

ผู้ชายไม่มีใครดี ยกเว้นพ่อและพี่ชาย

มู่เวยเวยแสดงท่าทีสมเพศตัวเอง แล้วเดินออกไปทันที โดยไม่มองเขาสักนิด เธอจะออกไปจากที่นี่ และไม่เข้ามาเหยียบอีก

เสี่ยวจื่อรู้สึกได้ถึงความโกรธของเธอ จึงหายตัวมาปรากฏตรงหน้าของเธออีกครั้ง และพูดอย่างไม่รู้สึกผิด “เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่น อย่าโกรธสิ”

“ล้อเล่นหรอ นายเอาชีวิตฉันมาล้อเล่นหรอ” มู่เวยเวยตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

เสี่ยวจื่อถอนหายใจเบาๆ และพูดอย่างจริงจังขึ้น “เมื่อกี้ฉันผิดเอง ขอโทษ”

เมื่อเห็นท่าทางไม่จริงใจของเขา มู่เวยเวยก็หยักริมฝีปากขึ้นมา และไม่คิดจะสนใจเขา

“ยัยผู้หญิงคนนี้ เมื่อกี้ถ้าฉันตั้งใจจริงๆ แล้วเธอคิดว่าเธอจะยังได้มายืนโกรธอยู่ตรงนี้มั้ย” เสี่ยวจื่อพูดเสียงต่ำเล็กน้อย

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ความโกรธในใจของมู่เวยเวยก็หายไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังทำหน้าเย็นชา และพูดอย่างสงบว่า “คราวหน้าห้ามทำอย่างนี้อีก ไม่งั้นฉันไม่สนใจนายอีกแน่”

เสี่ยวจื่อดูไม่ค่อยแน่ใจ และถามอย่างแคลงใจ “ปกติเธอยอมให้อภัยคนที่ทำร้าย รังแกเธอง่ายๆ เพียงแค่เขาพูดคำว่าขอโทษประโยคเดียวเลยหรอ”

มู่เวยเวยไม่รู้ว่าทำไมตอนที่เสี่ยวจื่อพูดประโยคนี้ สายตาของเขาถึงดูลึกลับ เหมือนมีบางอย่างที่เธอดูไม่ออกซ่อนอยู่ในนั้น เธอคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างจริงจังว่า “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต้องดูด้วยว่าเรื่องอะไร”

“แล้วเรื่องอะไรที่เธอรับไม่ได้” เสี่ยวจื่อถามอย่างลึกซึ้ง

“ทรยศ”

“อ๋อ” เสี่ยวจื่อมองเธออย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามว่า “ถ้ามีวันหนึ่ง สามีของเธอหักหลังเธอ เธอจะทำยังไง”

มู่เวยเวยคิด และตอบอย่างปลงๆ “ไม่รู้”

ถ้าเย่ฉ่าวเฉินไปหาผู้หญิงคนอื่น เธอก็ไม่สนใจอยู่แล้ว กลัวก็แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเฉียวซินโยว

แม้ว่าเรื่องที่แล้วจะคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้สึกว่าซินโยวแปลกๆ แต่แปลกตรงไหน ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้

แต่เธอรู้สึกได้ว่า ซินโยวมีอะไรปิดบังเธออยู่

เสี่ยวจื่อจ้องเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอยู่นานมาก ก่อนจะพูดนิ่งๆว่า “หวังว่าเมื่อถึงเวลา เธอจะยังคงเป็นอย่างนี้”

“อะไรนะ” มู่เวยเวยฟังไม่ชัด จึงถามอย่างสงสัย

เสี่ยวจื่อส่ายหน้าตอบ “ไม่มีอะไร”

มู่เวยเวยเวยหน้ามองไปรอบๆ และพูดว่า “อ้อใช่ ทำไมเมื่อกี้นายถึงเอามีดอันตรายนั่นไว้บนหัว แถมยังให้ปลายมีดจ่อตัวเองอีก”

“บนหัวของทุกคนมีมีดอยู่คนละเล่ม” เสี่ยวจื่อหยุดไปหลายวิ และพูดต่อ “ฉันกำลังเตือนตัวเองว่าอย่าลืมภารกิจของตัวเอง”

“ภารกิจอะไร” มู่เวยเวยถามอย่างใคร่รู้

เสี่ยวจื่อทำท่าเต็มไปด้วยความกระหายเลือด และเมื่อมองเห็นมู่เวยเวยสั่นกลัว เขาก็แสยะยิ้ม และพูดอย่างโหดเหี้ยม “ฆ่าศัตรู”

มู่เวยเวยกลัวสายตากระหายเลือดของเขา และเมื่อฟังเขาพูดจบ เธอก็เพิ่งได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด ที่แท้เขาก็มีชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชังเหมือนกัน

ไม่รู้ทำไม ตอนที่เขาทำท่าทางน่ากลัวอย่างนั้น เธอถึงรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ คิดถึงเย่ฉ่าวเฉินขึ้นมา ตอนที่เขาพูดถึงพี่ชายของเธอ เขาก็มีท่าทางโหดร้ายอย่างนี้เหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องตึงเครียดเกินไป เสี่ยวจื่อจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม และพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เธอไม่ต้องเครียด ไม่ใช่จะทำกับเธอซะหน่อย”

“แต่ท่าทางของนายเมื่อกี้มันน่ากลัวมากเลยนะ” มู่เวยเวยยังพูดอย่างกลัวๆ

เสี่ยวจื่อยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ และพูดเสียงสบายๆว่า “จริงๆแล้วฉันกำลังฝึกอยู่”

มู่เวยเวยตกใจ ไม่ใช่เพราะเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพราะเขาบอกว่า….ฝึกอยู่

เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเธอ เขาก็เริ่มอธิบาย “อืม ฉันกำลังฝึกสมาธิอยู่”

มู่เวยเวยเข้าใจความหมายของเขาแล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา จึงพูด “อย่างนี้นี่เอง งั้นนายควบคุมมันได้ยังไง เหมือนจะใช้ความคิดเหมือนที่ในทีวีพูด”

“ยังไงก็ได้”

มู่เวยเวยอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะพูดด้วยนำ้เสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “แสดงให้ดูหน่อยเร็ว”

เมื่อเห็นมู่เวยเวยรอคอยอย่างมีความหวัง เขาก็ตอบรับเบาๆ “ได้”

มู่เวยเวยเบิกตาขึ้นมองเขายื่นนิ้วออกมา และกวาดขึ้นไปบนอากาศ ก่อนที่มีดเล่มนั้นจะค่อยๆออกจากกำแพงราวกับมันรู้สึกได้ จากนั้นมันก็ลอยไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นฉากมหัศจรรย์อย่างนี้ มู่เวยเวยก็ปรบมือ และตะโกนว่า “เจ๋งมาก”

จากนั้นเสี่ยวจื่อก็วางมือ ปิดตาลง และนั่งสมาธิเหมือนตอนแรกอีกครั้ง ก่อนที่มีดเล่มนั้นหมุนวนไปในอากาศ ด้วยท่าทางต่างๆนานา

มู่เวยเวยมองฉากนี้อย่างตั้งใจ ก่อนจะเลื่อนสายตามามองบนร่างของเสี่ยวจื่อ สังเกตเสื้อตัวยาวของเขา ลอยเบาๆไปตามลม และเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน ส่องประกายราวกับความฝันอันสว่างไสว

สวยมาก….

มู่เวยเวยพึมพำออกมา

ก่อนที่สมองเธอจะส่องประกายขึ้นมา เมื่อคิดถึงโปรเจค ‘โบยบิน’ เธอก็ยิ้มออกทันที เธอมีไอเดียแล้วสำหรับโปรเจคนี้

“เสี่ยวจื่อฉันเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปออกแบบ ไว้มีโอกาสค่อยคุยกันอีกนะ” มู่เวยเวยส่งยิ้มขอโทษไปให้เขา และค่อยๆเดินออกไป

โดยที่เธอไม่สังเกตเลย ว่าตอนที่เธอหันหลังไปนั้น สายตาของเขาเป็นไปด้วยความสับสน

กลับมาถึงห้อง มู่เวยเวยก็รีบหยิบดินสอขึ้นมาวาดลงบนกระดาษสีขาว ผ่านไปไม่นาน ผลงานที่สมบูรณ์แบบราวกับมีชีวิต ก็ปรากฏอยู่บนกระดาษใบนั้น

เหอเหม่ยหลิงบอกว่า ‘โบยบิน’ เป็นโปรเจคที่นำเสนอออกมาเป็นซีรีย์ ดังนั้นเธอจึงวาดวาดอีกหลายรูป กว่าจะเสร็จ เวลาก็ดึกมากแล้ว มู่เวยเวยตรวจดูอีกครั้งว่ามีอะไรต้องแก้มั้ย

ผลงานส่วนใหญ่ของเธอเป็นเดรส ที่มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย ตัวผ้าจะใช้ด้ายน้ำหนักเบาสองชั้น ชั้นในเป็นด้ายสีชมพู และชั้นนอกเป็นด้ายสีขาว ตัวกระโปรงเป็นระบาย ปักด้วยลายดอกไม้ที่หรูหรา และเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งใช้ดอกลิลลี่ ที่หมายถึง รักกันตลอดไป

มู่เวยเวยมองแบบร่าง และขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกขาดอะไรไปบางอย่าง ขาดอะไรไป

……

วันถัดไป มู่เวยเวยนำผลงานออกแบบของตัวเองไปทำงานด้วย จนมาถึงที่นั่งของตัวเอง

เฉียวซินโยวยื่นหน้ามองถุงกระดาษในมือของเธอทันที ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคาง และถามอย่างสงสัย “เวยเวน อะไรอยู่ในถุงหรอ”

มู่เวยเวยตอบเรียบๆทันที อย่างไม่คิดปิดบัง “งานออกแบบโปรเจค ‘โบยบิน’ ในครั้งนี้”

เฉียวซินโยวฟังแล้วความเกลียดก็พุ่งขึ้นมาทันที เธอยังคงรักษาใบหน้าสงบ และพูดอย่างประหลาดใจปนความอิจฉา “แปบเดียวเธอก็ทำเสร็จแล้วหรอ”

“อื้อ ไหวอยู่” มู่เวยเวยยกยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน

เฉียวซินโยวหลุบตาลง จ้องถุงกระดาษที่อยู่บนโต๊ะเขม็ง พร้อมส่งรอยยิ้มร้ายออกมา

มู่เวยเวยเปิดคอม หางานแฟชั่นโชว์ ที่จัดขึ้นที่ปารีสเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนจะกดเข้าไปในเพจ และเลื่อนเม้าส์ลงเล็กน้อย ภาพนางแบบที่เดินเฉิดฉาย มีเสน่ห์อยู่บนเวทีก็ปรากฏออกมาดึงดูดความสนใจของมู่เวยเวยไปอยู่ตรงนั้นทันที

ปีนี้แฟชั่นแบบคลีนๆกำลังมา เมื่อมองไปที่กระโปรงหญ้า เย็บแซมลายดอกไม้บนร่างของนางแบบ เธอก็สะดุดคิดอะไรขึ้นมาได้

เธอคิดมาตลอดว่างานของเธอรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป และคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบอย่างเธอ ก็หาจุดบอดนั้นมาโดยตลอด

แต่ทันใดนั้นสายตาของเธอก็ถูกดึงดูดโดยชุดที่สะดุดตาชุดนั้น เสื้อตัวนี้ถูกออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส ดีไซน์เนอร์คนนี้ชอบเติมพู่ และส่วนประกอบอื่นๆให้ชุดของเขา จนทำให้ได้ผลงานระดับสูง ดึงดูดลูกค้ามากมายจากทั่วโลก

พู่….

มู่เวยเวยพึมพำอย่างครุ่นคิด เธอกำลังคิดว่า จะเอาพู่ไปไว้ในงานของเธอได้ยังไง

แน่นอนว่าการนำมาใช้ไม่ได้มีกฏต้องห้าม แต่เธอต้องการใช้ในแบบของตัวเอง เอามาทำเป็นดีไซน์ใหม่ไม่เหมือนใคร

เธอรู้สึกเหมือนจะคิดออก เหมือนมีแค่เส้นบางๆมากั้นเท่านั้น

ทันใดนั้นเหอเหม่ยหลิงก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน ความคิดของมู่เวยเวยจำต้องตัดไป และหันมาทักทายเหอเหม่ยหลิง “ผู้จัดการเหอ”

“ผู้จัดการเหอ มีอะไรให้รับใช้รึเปล่าคะ” เฉียวซินโยวยิ้ม และพูดอย่างอ่อนน้อม

เหอเหม่ยหลิงกวาดตามองทั้งสองคน ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “งานออกแบบเตรียมเสร็จหรือยัง”

เฉียวซินโยวพยักหน้าพูด “เสร็จแล้วค่ะ”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว มองท่าทางของเหอเหม่ยหลิงอย่างประหม่า พร้อมย้อนกลับไปคิดสิ่งที่มีในหัวเมื่อครู่ แต่มันก็ไม่มีเค้าแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของมู่เวยเวย เหอเหม่ยหลิงก็ถามขึ้น โดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน “เวยเวย เธอล่ะ”

มู่เวยเวยโดนจ้องถามก็สติกระเจิง รีบชี้ซองเอกสารที่อยู่ข้างๆ และตอบติดๆขัดๆ “ฉันก็…เสร็จแล้วค่ะ”

ไม่รู้ว่าเธอใช้ความกล้าขนาดไหน ถึงพูดประโยคนี้ออกมาได้ แม้ว่างานจะเสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่เธอคิด เธอจึงถือว่ามันยังไม่เสร็จ

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เหอเหม่ยหลิงก็แอบโล่งใจ เธอเคยเห็นผลงานของมู่เวยเวยมาก่อน มู่เวยเวยมีไอเดียที่เป็นเอกลักษณ์มาก ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงคาดหวังกับผลงานมาก

ไม่ใช่เธอคาดหวังมากเกินไป แต่เธอกับหลี่จื่อเจี๋ยทำสงครามเย็นกันมาหลายปีแล้ว ฝั่งตรงข้ามแข็งแกร่งแค่ไหน ต่างฝ่ายต่างรู้ดี และมันก็เฉียดฉิวกันแค่นิดเดียวมาตลอด

มู่เวยเวยกับเฉียวซินโยวเพิ่งมาไม่นาน ดังนั้นเธอจึงหวังว่าผลงานนี้จะสามารถทำลายความสูสี และทำให้เธอเอาชนะหลี่จื่อเจี๋ยได้ขาดลอย

มู่เวยเวยไม่รู้ถึงความคิดของเหอเหม่ยหลิงเลย ตอนนี้ในหัวเธอยังคงย้อนกลับไปคิดถึงแรงบันดาลใจที่โผล่เข้ามาในหัวเธอเมื่อครู่ ก่อนจะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แล้ว

เหอเหม่ยหลิงมองทั้งคู่ด้วยสายตาล้ำลึก และพูดเสียงเย็นว่า “พวกเธอเตรียมตัว อีกสิบนาทีเจอกันในห้องประชุม”

มู่เวยเวยตะลึง และรีบดึงสติกลับมาเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหอเหม่ยหลิงก็เดินไปไกลแล้ว

เฉียวซินโยวมองไปที่งานข้างตัวของเธอ บีบมือแน่น และพยายามข่มความรู้สึกให้ลึกที่สุด

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็ยอมรับว่าฝีมือของเธอด้อยกว่าคนอื่น ครั้งที่แล้วเพราะใช้งานของมู่เวยเวย เธอถึงโดดเด่นขึ้นมาได้

เธอจะไม่ยอมให้มู่เวยเวยแสดงความโดดเด่นอีก ดังนั้นเธอต้องหาทางขัดขวาง มิฉะนั้นความสามารถที่แท้จริงของเธอก็จะเปิดเผย งานออกแบบชิ้นนั้นก็ต้องถูกสงสัย

เธอจะทำยังไงดี….

มู่เวยเวยหยิบงานขึ้นมา และรู้สึกปวดฉี่กะทันหัน เธอจึงพูดกับเฉียวซินโยวที่อยู่ข้างๆว่า “ซินโยว ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน เธอไปห้องประชุมก่อนเลย”

พูดจบ เธอก็หยิบงานขึ้นมา และเดินตรงไปที่ห้องน้ำ

ซินโยวได้ยินเธอพูด ก็รีบรั้งเธอไว้ และพูดอย่างสนิทสนม “เธอไปห้องน้ำ เอางานออกแบบไปด้วยคงไม่ดีมั้ง ถ้าทำเปือกขึ้นมาแย่แน่ ฉันช่วยเธอถือดีมั้ย”

มู่เวยเวยไม่ได้คิดมาก รีบหันมายื่นงานให้ และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเงาของมู่เวยเวยหายไปจากสายตาแล้ว เฉียวซินโยวก็มองงานในมือ และยกยิ้มร้ายขึ้นมา ก่อนจะพูดในใจว่า : มู่เวยเวย แกชอบทำตัวเด่นมากไม่ใช่หรอ วันนี้ฉันจะทำให้แกต้องขายหน้า

เธอรีบเปิดซองเอกสาร ดึงเอกสารของเธอออกมาดู และเมื่อเห็นผลงานที่สวยงามนั้น เธอก็เกิดความริษยาขึ้นมาทันที

เธอจ้องผลงานพวกนั้นด้วยแววตามุ่งร้าย ก่อนจะยกยิ้มเย็น และฉีกเอกสารออกเป็นสองท่อน

เฉียวซินโยวควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ อยากจะเอาออกมาฉีกอีกแผ่น แต่ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงเท้ากำลังเดินมา เธอลุกลี้ลุกลน รีบเก็บงานลงไปในซองทันที

ตอนที่มู่เวยเวยกลับมา เธอเห็นแค่เฉียวซินโยวกำลังก้มหน้าลงมองงานออกแบบในมืออยู่แค่นั้น เธอจึงเดินมารับซองงานไป และพูดอย่างอบอุ่น “ขอบใจนะ ซินโยว”

“มะ…ไม่ต้อง…” เฉียวซินโยวตอบอย่างประหม่า ไม่กล้ามองเธอ

มู่เวยเวยมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าไม่มีเพื่อนร่วมงานอยู่แล้ว จึงรีบดึงมือเฉียวซินโยว และพูดว่า “ทุกคนไปรวมกันอยู่ห้องประชุมหมดแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ”

“อืมๆ”

เมื่อเข้ามาในห้องประชุม ก็เห็นทุกคนอยู่กันครบแล้ว และบางคนก็กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่

มู่เวยเวยรีบมานั่งข้างเหอเหม่ยหลิงอย่างอึดอัด และพูดอย่างขอโทษว่า “ผู้จัดการเหอ ขอโทษด้วยค่ะ เมื่อกี้ฉันกับซินโยวไปห้องน้ำมา”

เหอซินโยวเหลือบมองเธอนิดนึง และพูดอย่างสบายๆ “ไม่เป็นไร ประธานเย่ยังไม่มา การประชุมยังไม่เริ่ม”

มู่เวยเวยหันไปเห็นที่นั่งตรงหน้าที่ยังคงว่างเปล่า ก่อนค่อยๆผ่อนคลายขึ้นมามาก

จากนั้นเธอก็มักจะเห็นผู้จัดการทั้งสองส่งสายตาฟาดฟันกันบ่อยๆ จากสายตานั้นราวกับมีกระแสไฟออกมา ทำให้มู่เวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกกลัวทันที

เธออธิษฐานเป็นครั้งแรกในชีวิต ขอให้เย่ฉ่าวเฉินรีบมาปรากฏตัวเถอะ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset