วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 79 อาย

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอลืมตาก็โล่งใจขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆวางแขนช้ำๆของเธอลง

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว และพูดเสียงอ่อนแรง “นี่คุณทำอะไรเนี่ย”

เธอเพิ่งจะรู้ว่าทำไมในฝันถึงเจ็บ ที่แท้ก็เพราะเขาทำ คนใจร้าย

“ผมเห็นคุณแล้วขัดตา ได้มั้ยล่ะ” เย่ฉ่าวเฉินกระตุกยิ้มพูดร้ายๆ

“คุณมันประสาท” มู่เวยเวยจ้องเขาเขม็ง

เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงเคร่ง “ห้ามหลับตา”

มู่เวยเวยหายใจโกรธๆจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง เธอคิดว่าถ้าเธอไม่ตายในเงื้อมมือเขา ก็คงโดนเขาทรมานจนเสียสติเข้าสักวัน

ขณะที่ทั้งคู่จ้องตากับอย่างดุเดือดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งกระแอมขึ้นมาเบาๆ มู่เวยเวยตกใจรีบหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าในห้องยังมีคนอีกคนยืนอยู่ด้วย ซึ่งก็คือ หมอหาน

“เวยเวย อย่าสนใจฉ่าวเฉินเลย เขาก็แค่ปากพล่อยน่ะ” หมอหานพูด ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาแหลมคมจ้องมา จนทำให้เขาต้องหดคอลง

หมอหานเม้มปาก หัวใจตุ้นตุบๆ แล้วคิดในใจว่า : ใครนะที่ยกปืนขึ้นมาจ่อหัวเขา ตอนเขาบอกว่าเธออยู่ในอาการโคม่า แถมยังขู่จะฆ่าเขา ถ้าทำให้เธอฟื้นขึ้นมาไม่ได้ พอตอนนี้ผู้หญิงของเขาฟื้นแล้ว กลับทำท่าร้ายกาจอย่างเดิม

ประโยคนี้ถึงเขาจะกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดออกไป จึงได้แต่แอบบ่นในใจ

หมอหานกระแอมเบาๆ และพูดต่อ “เมื่อกี้คุณอยู่ในอาการโคม่า แผลติดเชื้อบาดทะยัก ทำให้มีไข้สูง แถมร่างกายก็ขาดสารอาหาร ร่างกายของคุณอ่อนแอ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ คุณอาจจะ…..”

หมอหานยังไม่ทันพูดจบ มู่เวยเวยก็เดาได้ว่า เมื่อกี้ที่เธอเห็นพ่อกับแม่ไม่ใช่ภาพหลอน แต่เป็นเพราะอาการเธอโคม่าจนแทบจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

แต่เป็นอย่างนั้นไม่ดีกว่าหรอ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ทุกข์ทม สู้ตายไปเลยยังดีกว่า

ถ้าตายไป เธอจะได้ไม่ต้องทนกับการถูกหักหลัง ทนกับการประจานอีก

มู่เวยเวยใบหน้านิ่งเรียบอย่างหมดอาลัยตายอยาก พร้อมพูดเนือยๆว่า “รบกวนคุณแล้วหมอหาน”

หมอหานโบกมือ และพูดว่า “สาวน้อย คุณเป็นคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอแล้ว ถึงผมจะดีใจที่ได้เจอคุณ แต่ผมก็หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน”

เขาพูดจบ สายตาของเย่ฉ่าวเฉินก็จ้องมาที่เขาทันทีอย่างเตือนๆ

หมอหานสะดุ้ง แต่เพราะจริยธรรมของแพทย์ เขาจึงต้องพูดอย่างจริงจังว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันไม่ได้จะพูดให้ตกใจ แต่ฉันไม่ใช่เทวดาที่จะช่วยคนให้ฟื้นได้ทุกครั้ง เรื่องอื่นฉันก็พูดไปหมดแล้ว ไปล่ะ”

“ฉันเหนื่อยแล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ” ภายในห้องเหลืออยู่แค่คนสองคน และมู่เวยเวยก็ไม่มีแรงพอที่จะทนรับการทรมานจากเขาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอยอมตายดีกว่า

เย่ฉ่าวเฉินมองใบหน้าซีดเผือดของเธอด้วยแววสับสน จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ

มู่เวยเวยหลับตาลง พร้อมกับน้ำตาเม็ดโตที่ค่อยๆไหลออกมาจากหางตา

พี่ชาย ฉันเจ็บเหลือเกิน ตอนนี้คนที่อยู่ข้างกายฉัน ไม่มีใครสามารถเชื่อถือได้เลยสักคน พี่บอกฉันหน่อย ว่าฉันควรจะทำยังไงดี

……..

หลังจากวันนั้น ไม่รู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินเกิดมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาหรือเปล่า เขาจึงไม่มาปรากฏตัวตรงหน้าเธออีกเลย ขนาดเฉียวซินโยวเองก็สงบขึ้นมาก

มู่เวยเวยรู้สึกสบายหูขึ้นมาก เธอได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ขนาดตอนจะกินข้าว ฉินหม่าก็ต้องมาส่งให้เธอถึงห้อง และดูเธอกินจนหมดถึงออกไป

วันนี้เธอเมื่อฉินหม่าเตรียมอาหารเที่ยงให้เสร็จ เธอก็ยืนอยู่ข้างๆมองเธอกิน และคีบกับข้าวให้เป็นบางครั้ง

มู่เวยเวยค่อยๆวางตะเกียบลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ และพูด “ฉินหม่า คุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ค่ะ ฉันกินเองได้”

เธอรู้สึกอึดอัดที่ต้องโดนจ้องจนกินข้าวเสร็จ

ฉินหม่ายิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พร้อมบอกความจริง “นี่เป็นคำสั่งของคุณชายค่ะคุณผู้หญิง ฉันไม่กล้าขัดคำสั่ง”

เมื่อได้ยินชื่อเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็หมดความอยากอาหารไปทันที เธอล้มตัวนอนบนเตียง พร้อมพูดเรียบๆ “ฉันไม่กินแล้ว เอาลงไปให้หมดเลยค่ะ”

ฉินหม่าฟังแล้วกังวลขึ้นมา เธอรีบพูดเตือนว่า “ตอนนี้ร่างกายคุณอ่อนแอมาก กินอีกหน่อยเถอะค่ะ”

มู่เวยเวยอารมณ์ตึงเครียดขึ้น เธอลุกขึ้นมานั่ง พร้อมถามว่า “นี่ก็เป็นคำสั่งหรอคะ”

ฉินหม่าไม่กล้าโกหก จึงพยักหน้าไป

มู่เวยเวยอารมณืฉุนเฉียวมาก เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนกน้อยในกรงทองไม่มีผิด เธอถูกเย่ฉ่าวเฉินขังไว้ในกรง และให้คนมาเฝ้าจับตามองทุกวัน นี่มันทำให้เธอแทบระเบิดอารมณ์ออกมา

มู่เวยเวยพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง สูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดเสียงเย็นชา “คุณไปเรียกเขามาคะ ฉันจะคุยกับเขาเอง”

ฉินหม่าขมวดคิ้ว พูดอย่างระมัดระวังว่า “ตอนนี้คุณชายอยู่บริษัทค่ะ”

“งั้นเขาจะกลับมาเมื่อไหร่คะ”

“ตอนเย็นเลิกงานก็กลับมาแล้วค่ะ คุณทนรอหน่อยนะคะ”

“ถ้างั้นตอนเย็นช่วยบอกเขาด้วยนะคะ ว่าฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา”

“ค่ะ”

เมื่อฉินหม่าไปแล้ว มู่เวยเวยก็หยิบโทรศัพท์อย่างเบื่อๆ เพราะมือขวาของเธอเจ็บอยู่จึงไม่สามารถออกแบบได้ เธอเข้าแอพqq และกดเข้าไปโพสถ์ของเฉียวซินโยวที่ขึ้นมาเป็นอันแรก

เธอเขียนว่า : ช่วงที่มีความสุขก็คือช่วงที่ได้กินข้าวเที่ยงกับผู้ชายอันที่รักทุกวัน

ตามด้วยข้างล่างลงรูปอาหารสองรูป รูปแรกเป็นรูปสเต็กเนื้อในจานกระเบื้องสีขาว พร้อมมีดและส้อมวางอย่างเป็นระเบียบ และอีกรูปเป็นรูปไวน์แดงที่มีแก้วสองใบวางอยู่ข้างๆ

เพียงแค่โพสถ์ภาพนี้ลงไป ก็มีคอมเม้นท์มากมายตามมาข้างล่าง มู่เวยเวยเห็นว่าบางคนก็เป็นเพื่อนสมัยมหาลัยของพวกเขา ทุกคนต่างมาแสดงความยินดี และบางคนก็ถามว่าแฟนของเธอรวยมากใช่ไหม ต่างๆ

มู่เวยเวยจำได้ว่าเฉียวซินโยวเคยพูดว่า คนที่กินข้าวเที่ยงกับเธอทุกวันคือเย่ฉ่าวเฉิน เธออดที่จะกระตุกยิ้มเย็นในใจไม่ได้ ที่แท้สองคนนี้ก็แอบคบหากันมาตั้งนานแล้ว

มีแค่เธอที่เป็นคนโง่ เมื่อก่อนยังอุตส่าห์กังวล กลัวว่าพวกเขาจะเข้ากันไม่ได้

มู่เวยเวยลบแชทเฉียวซินโยวออก จากนั้นก็เปิดไปที่รูปโปรไฟล์เธอ และลบเพื่อนออกไปหลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย

เฉียวซินโยวฉันพอแล้ว ต่อไปนี้ฉันไม่ใช่เพื่อนของเธออีก

มู่เวยเวยปิดแอพ ขยี้ตาเบาๆ และหลับไปอย่างอ่อนเพลีย

หลังเลิกงานเย่ฉ่าวเฉินก็กลับมาที่คฤหาสน์ และก็ยังมีเฉียวซินโยวตามมาด้วยอย่างเคย เมื่อทั้งคู่นั่งลงบนโต๊ะอาหารแล้ว ฉินหม่าก็เริ่มสั่งคนเอาอาหารขึ้นโต๊ะ

เย่ฉ่าวเฉินหยิบตะเกียบขึ้นมา และถามเรียบๆ “วันนี้เธอกินข้าวมั้ย”

เมื่อเฉียวซินโยวที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเข้า ก็รู้สึกหึงหวงขึ้นมา ในใจของเธอเดือดพล่าน ตอนนี้เธอก็ยังเดาใจของเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ หลายวันมานี้เขาไม่ได้ไปหาเวยเวย เธอก็คิดว่าเขาจะไม่สนใจมู่เวยเวยแล้ว

แต่ทุกวันเขาก็มักจะถามฉินหม่าว่าวันนี้เธอกินข้าวดีๆมั้ย และถามต่อว่ากินเยอะมั้ย นี่ไม่เรียกว่าเป็นห่วงหรอ

เย่ฉ่าวเฉินคุณรู้สึกยังไงกับมู่เวยเวยกันแน่

ฉินหม่าตอบเสียงเบา อย่างไม่กล้าปิดบังว่า “คุณผู้หญิงไม่ยอมให้ฉันเฝ้าค่ะ เธอบอกว่าอึดอัด”

“เธอเรื่องเยอะจริงๆ” เย่ฉ่าวเฉินฮึดฮัด พูดอย่างเย็นชา

ฉินหม่าไม่กล้าสอด ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงต่อ “คุณผู้หญิงบอกว่าอยากเจอคุณค่ะ”

เฉียวซินโยวนิ่งไป เธออยากเจอเย่ฉ่าวเฉินไปทำไมฃ

เย่ฉ่าวเฉินหยุดการกระทำทุกอย่าง หยิบผ้าข้างๆขึ้นมาเช็ดมือ และตอบอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก “เธอพูดอย่างนั้นจริงหรอ”

“ค่ะ”

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ออกจากห้องอาหาร ขึ้นไปบนชั้นสอง

เฉียวซินโยวกำมือเข้าหากันแน่น ในใจโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นังมู่เวยเวยนี่แกยังไม่ยอมหยุดอีกใช่มั้ย บทเรียนครั้งที่แล้วมันคงจะน้อยเกินไปสินะ

และรีบตามขึ้นไปชั้นบนทันที เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องมู่เวยเวย เธอก็ค่อยๆแง้มประตูออก แอบฟังเสียงข้างใน

“คุณมีอะไรถึงอยากเจอผม”

มู่เวยเวยพยุงตัวขึ้นนั่ง และเอาหมอนมารองหลังไว้ และพูดเสียงแหบแห้งว่า “ต่อไปอย่าให้ฉินหม่ามาจับตาดูฉันกินข้าวอีก ฉันรู้สึกไม่สบายใจ”

เย่ฉ่าวเฉินฟังเธอพูดจบ ก็ค่อยๆเดินมาข้างเตียงเธอ มองเธอ และพูดอย่างเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับผม”

มู่เวยเวยแทบไม่อยากจะเชื่อ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงใจไม้ไส้ระกำแบบนี้

เขาไม่เคยรู้จักการเคารพคนอื่นรึไง

มู่เวยเวยสูดหายใจลึกๆ พยายามข่มอารมณ์ให้สงบ และพูดอย่างจริงจัง “คุณเย่คะ นี่เป็นสิทธิเสรีภาพของฉัน”

“คุณเรียกผมว่าอะไรนะ”

มู่เวยเวยตกใจ ก่อนจะคิดได้ว่าเธอเรียกเขาว่า….คุณเย่ เธอรู้สึกว่าเรียกแบบนี้เหมาะสมแล้ว อย่างน้อยก็เหมาะสมกับความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนี้

เขาก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นภรรยาอยู่แล้วไม่ใช่หรอ และเธอก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นสามีดหมือนกัน

คุณเย่ คุณมู่ เรียกกันอย่างนี้ดูเหมาะสมมากกว่าไม่ใช่หรอ

“ฉันเรียกคุณว่าคุณเย่ ไม่ถูกหรอคะ” มู่เวยเวยถามอย่างสงบ

เย่ฉ่าวเฉินฟังแล้วรู้สึกขัดหูมาก เขาพูดอย่างเย็นชา “ไม่รู้จักสถานะตัวเองรึไง”

“ฉันเข้าใจดีมาโดยตลอด คุณไม่เคยเห็นฉันเป็นภรรยา และฉันก็ไม่เคยเห็นคุณเป็นสามี เรียกอย่างนี้ก็เหมาะแล้ว” มู่เวยเวยตอบอย่างมีเหตุผล

นอกจากมู่เวยเวยจะไม่หวั่นไหวเลยสักนิดแล้ว และหลังจากนี้ไม่ว่าเขาจะทำให้เธออับอายขนาดไหน เธอก็จะไม่ตอบโต้ เพราะเธอไม่สนใจแล้ว

เธอเพิ่งจะรู้จักวิธีการรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างแท้จริง ว่ามันไม่ใช่การโต้ตอบกันไปมา แต่เป็นการหลับหูหลับตาไม่ใส่ใจต่างหาก

เธอจะมองเขาเป็นหมาบ้า ถึงเขาจะกัดเธอ เธอก็คงไม่ไปโมโหและกัดตอบ

และถ้าเขาสวะ เธอก็ไม่จำเป็นต้องไม่สนใจสวะอย่างเขา

ปังปัง

ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงของเฉียวซินโยวดังตามมา “เวยเวย เธอหลับรึยัง ฉันนอนไม่ค่อยหลับ คุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้มั้ย”

ทั้งคู่นิ่ง เมื่อเห็นประตูยังคงถูกเคาะอยู่เรื่อยๆ เย่ฉ่าวเฉินจึงลุกขึ้นมาจากเตียง ติดกระดุมให้เรียบร้อย และเดินไปเปิดประตู

เฉียวซินโยวยกยิ้มอายๆ และรีบพูดว่า “ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณอยู่ในนี้”

เย่ฉ่าวเฉินพูดนิ่งๆ “ผมจะกลับห้องแล้ว คุยกันไปเถอะ”

เฉียวซินโยวมองตามร่างสูงไปอย่างใจสั่นๆ จนกระทั่งเขาปิดประตู และเดินจากไป

มู่เวยเวยได้ยินเสียงประตูปิดลง เธอก็กระตุกยิ้มเย็นชาอย่างเข้าใจในทันที เฉียวซินโยวช่างมาได้ถูกเวลา แต่การที่เธอมาแยกเย่ฉ่าวเฉินไป ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย

เย่ฉ่าวเฉินเดินมาถึงห้อง กำลังจะปิดประตู เขาก็เห็นเฉียวซินโยวยืนอยู่หน้าประตู จึงขมวดคิ้วถามว่า “คุณไปคุยกับมู่เวยเวยไม่ใช่หรอ”

เฉียวซินโยวยื่นมือไปดันประตูออก และเดินตรงไปกอดเอวเขา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวน “ฉ่าวเฉิน คืนนี้ฉันนอนนี่ได้ไหมคะ”

เย่แ่าวเฉินอึ้ง พูดอย่างหนักแน่น “ซินโยว คุณรู้มั้ยว่ากำลังพูดอะไรออกมา”

เฉียวซินโยวกอดเขาแน่นขึ้นด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อย และพูดเสียงเศร้า “ฉ่าวเฉิน คุณรังเกียจฉันใช่มั้ย คุณรู้สึกว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี รู้สึกว่าฉันไม่ต้อง….”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset