วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 100 หมางเมิน แต่ดันรักเธอ

มู่เวยเวยพยักหน้า ตามเธอขึ้นไปชั้นสอง จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูห้อง VIP ห้องหนึ่งก็หยุด

พนักงานสาวต้อนรับเคาะประตู หลังจากได้ยินเสียงตอบรับ ก็เปิดประตูห้อง แล้วหันมาพูดกับมู่เวยเวย “คุณเข้าไปได้เลยค่ะ คุณผู้หญิงหนานกงกำลังรอคุณอยู่”

มู่เวยเวยพยักหน้า จู่ๆ ก็ถามขึ้น “คุณรู้จักชื่อฉันได้ไงคะ? ”

“ช่วงนี้ฉันเห็นคุณในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ และรู้ว่าคุณคือคุณผู้หญิงเย่ค่ะ”

เห็นสีหน้าครุ่นคิดของพนักงานต้อนรับสาว มู่เวยเวยก็แค่หัวเราะเบาๆ

มู่เวยเวยผลักประตู ก็สังเกตเห็นหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ที่นั่ง ผู้หญิงแต่งกายสง่างาม ทั้งร่างมีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่ที่สง่างามและมีสติปัญญา

เห็นมู่เวยเวยแล้ว เฉินซูฮว่าก็มองสำรวจอย่างรวดเร็ว มุมปากยกยิ้มสุภาพ พูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “คุณมู่เวยเวย ฉันคือแม่ของหนานกงเฮ่า เจอกันครั้งแรกอาจจะมีล่วงเกินอะไรบาง หวังว่าคุณจะไม่รังเกียจนะคะ”

มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างมีมารยาท พูดขึ้นอย่างสุภาพ “คุณน้า ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจ”

เฉินซูฮว่าพยักหน้า ชี้ไปที่นั่งฝั่งตรงข้ามเธอแล้วพูดขึ้น “นั่งสิ”

มู่เวยเวยก็ไม่ได้ปฏิเสธ นั่งฝั่งตรงข้ามเธอทันที มองอาหารรสเลิศบนโต๊ะ ในใจก็ครุ่นคิด

เธอไม่รู้เหตุผลละเอียดที่เธอตามหาตน แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือต้องเกี่ยวกับหนานกงเฮ่าแน่ๆ

เห็นมู่เวยเวยไม่ขยับตะเกียบเลย เฉินซูฮว่าก็สีหน้าขยับเล็กน้อย ถามขึ้นเบาๆ “หรืออาหารไม่ถูกปากคุณมู่เหรอ? ”

มู่เวยเวยรีบส่ายหน้า มุมปากยกยิ้มสดใส พูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “เปล่าค่ะ ฉันเพิ่งกินข้าวมา ตอนนี้กินไม่ไหวแล้วค่ะ”

เฉินซูฮว่าก็ไม่ได้สนใจ เธอจิบไวน์แดงเบาๆ แล้วพูดขึ้น “คุณมู่ ได้ยินว่าคุณเรียนเอกการออกแบบแฟชั่นเหรอ? ”

“ใช่ค่ะ”

“ฉันชื่นชมเด็กที่มีความสามารถเสมอ” เฉินซูฮว่าพูด

มู่เวยเวยเลิกคิ้วเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าที่วันนี้เธอตามหาตน เพื่อแค่ยกย่องเธอหรอกนะ? คุณผู้หญิงหนานกงคงไม่ว่างขนาดนี้

“คุณผู้หญิงหนานกง คุณเรียกฉันมามีเรื่องอะไรเหรอคะ? ” มู่เวยเวยถามอย่างตรงไปตรงมา

เฉินซูฮว่ามุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มชัดเจนและห่างเหิน พูดขึ้นช้าๆ “คุณมู่ ขออนุญาตขอโทษแทนลูกชายฉันด้วยนะคะ ฉันขอโทษอย่างสุดซึ้งที่เขาสร้างปัญหาให้คุณ”

มู่เวยเวยได้ยินเธอพูด ก็เข้าใจจุดประสงค์ของเธอในตอนนี้ทันที ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “คุณผู้หญิงหนานกงเกรงใจไปแล้ว หนานกงไม่ได้สร้างปัญหาให้ฉันเลย คุณไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ”

เมื่อเฉินซูฮว่าได้ยิน ก็พูดขึ้นช้าๆ “คุณมู่เป็นคนฉลาด ฉันรู้ว่าคุณแต่งงานกับฉ่าวเฉินแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันหวังว่าคุณจะมีโอกาสมาเจอลูกชายฉันน้อยลงได้นะคะ”

สีหน้ามู่เวยเวยสงบนิ่ง ในใจเกิดความขมขื่น ดูเหมือนเพื่อนคนเดียวที่มีอยู่ เธอก็ต้องเสียไปซะแล้ว……

“คุณผู้หญิงคะ เพราะเรื่องนักข่าวใช่ไหม? ”

เฉินซูฮว่าส่ายหน้า พูดขึ้น “ฉันรู้จักลูกชายตัวเองดี เขาบอกฉันว่าเขาชอบคุณมากจริงๆ ”

มู่เวยเวยทำหน้าตกตะลึง ที่แท้จริงๆ หนานกงก็……

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันก็ไม่เข้าไปยุ่งมากหรอก แต่ตอนนี้คุณแต่งงานแล้ว ฉันจะให้เขาเลอะเทอะต่อไปไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำลายตัวเขา แต่ยังทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลหนานกงของเราด้วย”

มู่เวยเวยพยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ

เฉินซูฮว่าหยิบกระเป๋าขึ้นมา ควักการ์ดดำทองใบหนึ่งออกมาจากด้านใน แล้วยื่นไปหน้าโต๊ะมู่เวยเวยช้าๆ เอ่ยปากพูดขึ้น “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ ของฉัน ได้โปรดรับไว้ จำนวนเงินในนี้ไม่น้อย เด็กผู้หญิงน่ะต้องมีเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้มากขึ้น”

มองการ์ดดำเปล่งแสงใบนั้น ในใจมู่เวยเวยก็เย็นชา เธอจะใช้เงินเพื่อขับไล่เธอเหรอ?

เธอเคยเห็นคุณนายร่ำรวยพวกนั้นมาตั้งนานแล้ว เป็นวิธีขับไล่เด็กผู้หญิงที่ไม่พึงพอใจ โดยปกติจะเอาสิ่งต่อรองมหาศาลมาแลกเปลี่ยนเงื่อนไข ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมาถึงตัวเองจริงๆ !

“คุณผู้หญิงหนานกง ในเมื่อคุณบอกเองว่าฉันคือคุณนายของเย่ฉ่าวเฉิน ก็ไม่ต้องทำแบบนี้หรอกค่ะ ยังไงสามีฉันก็ต้องมีเกียรติเหมือนกัน พฤติกรรมของคุณยืนยันแล้วว่า ความคิดของนักข่าวพวกนั้นต้องการให้ฉันอธิบายกับสามียังไง!”

ตอนมู่เวยเวยพูดประโยคนี้ สีหน้าย้อมไปด้วยความเคร่งขรึม ถึงเธอจะเป็นแม่ของหนานกงเฮ่า แต่หลังจากทำเรื่องแบบนี้กับตัวเอง เธอก็ไม่สามารถเคารพเธอได้อีกต่อไป

สีหน้าเฉินซูฮว่าลึกซึ้งมาก มองสีหน้าดื้อดึงของมู่เวยเวย สุดท้ายก็เอาการ์ดดำกลับมา

น้ำเสียงมีความรู้สึกห่างเหินนิดหน่อย “เรื่องนี้ฉันคิดไม่รอบคอบเอง คุณมู่ ไม่สิ ควรเรียกคุณว่าคุณนายเย่ คุณคิดแบบนี้ก็ได้ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย”

มู่เวยเวยพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงมา แล้วพูดขึ้น “ในเมื่อเรื่องนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว งั้นฉันกลับก่อนนะคะ”

เฉินซูฮว่ามองแผ่นหลังเธอ ขณะที่เธอกำลังแตะลูกบิดประตู ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “คุณมู่ ลูกชายฉันก็น่ากังวลเหมือนกัน โปรดให้เวลาเขาได้ทำความเข้าใจด้วย ฉันคิดว่าเขาน่าจะฟังคุณ”

มู่เวยเวยแผ่นหลังชะงัก พูดขึ้นโดยไม่หันหน้ากลับ “ไม่มีปัญหาค่ะ”

สิ่งที่เธอพูดมันผิวเผินเกินไป แทนที่จะให้เธอไปบอกเหตุผลกับหนานกงเฮ่า ทำไมเธอไม่ยอมพูดเรื่องนี้เองเสียล่ะ?

แต่เธอก็เข้าใจเช่นกัน ถ้าเธอเป็นเฉินซูฮว่า เธอก็ต้องทำแบบนี้ อย่างไรแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว

ออกมาจากร้านจินโตวโต้วเลาแล้ว มู่เวยเวยก็ก้มหน้าดูนาฬิกาสักหน่อย ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ บ่ายสามโมงกว่าแล้ว ตอนนี้กลับบริษัทคงไม่เหมาะสม จึงนั่งรถแท็กซี่กลับไปที่ตระกูลเย่

มาถึงตระกูลเย่แล้ว เธอกลับไปที่ห้องนอนตัวเองทันที นอนอยู่บนเตียงด้วยอารมณ์หงุดหงิด

ในช่วงที่ผ่านมานี้ เธอรู้สึกเหนื่อยใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เธอรู้สึกล้นหลามจริงๆ

ตอนแรกก็การทรยศจากเฉียวซินโยว ตอนนี้แม้กระทั่งหนานกงเฮ่าที่เป็นเพื่อนกัน การปฏิบัติที่อ่อนโยนนี้ตัวเองก็ไม่สามารถมีมันได้

ควักโทรศัพท์ออกมา โทรหาหนานกงเฮ่าทันที ให้เธอพูดเรื่องนี้ต่อหน้า ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ทำมันไม่ได้หรอก ทำได้แค่บอกเขาผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น

“เวยเวย เธอเหรอ? ”

ในโทรศัพท์นั้นมีเสียงอ่อนโยนของหนานกงเฮ่าดังขึ้น มันทำให้หัวใจมู่เวยเวยเจ็บปวด แอบคิดอย่างเงียบๆ : หนานกงเฮ่า อย่าทำดีกับฉันแบบนี้เลย ฉันไม่สมควรได้รับมันจริงๆ !

คิดถึงตรงนี้ เธอก็บังคับตัวเองให้ใจแข็ง เอ่ยปากพูดขึ้น “หนานกงเฮ่า ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

“เรื่องอะไร เธอว่ามาสิ”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว เตรียมใจสักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยปากพูดขึ้น “ต่อไปเราเจอกันน้อยลงหน่อยดีกว่านะ ถึงจะแค่เจอกันก็เถอะ นายก็เป็นเพื่อนของเย่ฉ่าวเฉิน”

ราวกับไม่คิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ สีหน้าหนานกงเฮ่ามีความมืดมน น้ำเสียงสั่นเครือนิดหน่อย “เวยเวย เธอล้อเล่นใช่ไหม? ”

“ฉันเปล่า”

คำตอบเด็ดขาดของเธอกลับทำให้หัวใจเขาพังทลาย!

เขาพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีที่สุด พยายามคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปกะทันหัน จู่ๆ เขาก็นึกออก

สีหน้าหนานกงเฮ่าเย็นชานิดหน่อย น้ำเสียงเจือไปด้วยความพินิจพิเคราะห์ “เวยเวย แม่ฉันไปหาเธอมาใช่ไหม? เธอพูดอะไรกับเธอบ้าง? ”

ว่ากันว่าไม่มีใครรู้จักลูกชายได้ดีกว่าแม่ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ไม่มีใครรู้จักแม่ได้ดีกว่าลูกชายจริงๆ

มู่เวยเวยครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วพูดขึ้นเบาๆ “ไม่ใช่แค่เหตุผลนี้”

ได้ยินคำตอบของเธอ หนานกงเฮ่าก็เข้าใจแล้ว แม่เขาไปหาเธอมาจริงๆ รู้ประเด็นนี้ หนานกงเฮ่าก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ถ้าแค่เหตุผลแม่ของเขาอย่างเดียว เขาก็ยอมรับได้

บางทีเธอไม่ต้องการ……

“แม่ฉันพูดอะไรกับเธอบ้าง? ”

“คุณน้าไม่ได้พูดอะไร” มู่เวยเวยพูด “ถึงเธอจะพูด นั่นก็เพราะหวังดีกับนาย หนานกง”

หวังดีกับฉัน? ! ถ้าหวังดีกับฉันจริงๆ คงไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก!

คำพูดเหล่านี้หนานกงไม่ได้พูดมันออกไป เขาถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “ความคิดแม่ฉันไม่ได้เป็นตัวแทนความคิดของฉัน เวยเวย ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย”

มู่เวยเวยจ้องมองที่เพดาน พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นนิดหน่อย “หนานกง ฉันกับเย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกันแล้วคือเรื่องจริง ได้โปรดเอาจิตใจและกำลังของนายไปไว้ที่หัวใจผู้หญิงคนอื่นเถอะนะ”

“เวยเวย เธอ——”

ไม่รอให้เขาพูดจบ มู่เวยเวยก็พูดต่อ “จริงๆ แล้วฉันอิจฉานายมาก นายยังดีที่มีแม่คอยเป็นห่วงนาย ถ้านายยืนอยู่ในจุดฉัน นายจะรู้ว่าการมีคนในครอบครัวปกป้องมันรู้สึกดีมากแค่ไหน”

เธอไม่มีพ่อแม่ตั้งนานแล้ว พี่ชายที่รักที่สุดก็ขาดการติดต่อเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงโหยหาความอบอุ่นจากครอบครัว ความห่วงใยและความรักจากครอบครัวมากกว่าใครๆ

“อย่าทำให้พ่อแม่ลำบาก และอย่าทำร้ายจิตใจพวกเขา” พูดประโยคนี้จบ ก็ไม่รอให้หนานกงเฮ่าตอบสนอง มู่เวยเวยก็ชิงวางสายไปก่อน

มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่แสดงว่าบทสนทนาสิ้นสุดแล้ว สีหน้าหนานกงเฮ่าก็ลึกซึ้งขึ้น สุดท้ายก็ขว้างโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างแรง

เรื่องนี้แม่เขาเข้ามายุ่ง เรื่องนั้นจะกลายเป็นจัดการยาก เขาชัดเจนกับความสามารถของแม่ตัวเอง สำหรับ ‘การปกป้อง’ เหมือนกับการเฝ้าระวังของเธอ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแย่กับมัน

เมื่อก่อนแม่เขาก็ทำแบบนี้ ทุกครั้งถ้ามีผู้หญิงพยายามมายุ่งกับเขา แม่เขาก็จะช่วยจัดการให้เขา นั่นเพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่แม่ทำมีประโยชน์มาก ดังนั้นก็เลยเพิกเฉยมาตลอด

แต่ในวันนี้ ทั้งๆ ที่เขาบอกเธอแล้วว่ามู่เวยเวยอยู่ในใจเขา เธอยังอยากจะห้ามอีก แล้วไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยอมไม่ได้!

คิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบหยิบเสื้อโค้ตหัวเตียงขึ้นมา ออกไปโดยไม่หันหน้ากลับมา

มู่เวยเวยอีกด้านหนึ่ง เมื่อวางสายไปแล้ว ก็ใช้เวลาสักพักในการปรับอารมณ์ รอให้รู้สึกโอเคแล้ว ก็มาที่โต๊ะทำงานเริ่มออกแบบงาน

ช่วงนี้เธอได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย เธอไม่ได้เขียนแบบมาเป็นเวลานานแล้ว ขณะที่จดจ่อกับงาน ก็ให้เธอลืมกับสิ่งไม่พึงประสงค์ไปชั่วขณะ

รู้สึกเกือบโอเคแล้ว มู่เวยเวยก็นวดคอที่ปวด แล้วหันไปลุกขึ้น มองท้องฟ้านอกหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่ามันค่อนข้างมืดแล้ว

ในตอนนี้ ประตูห้องก็ถูกเปิดทันที จากนั้นก็เห็นร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา

เสียงดัง ‘ปัง——’ ห้องสว่างขึ้นในพริบตาเดียว ในขณะเดียวกันก็เห็นเย่ฉ่าวเฉินที่มีสีหน้ามืดมนคลุมเครือชัดๆ แล้ว

“วันนี้ตอนบ่ายเธอไปไหนมา? !” เย่ฉ่าวเฉินเดินมาข้างๆ เธอ ก้มลงมองเธอแล้วเอ่ยถาม

มู่เวยเวยขนลุกนิดหน่อยกับสีหน้าเฉียบคมของเขา บนใบหน้าแสร้งพูดอย่างสงบนิ่ง “ฉันไปร้านกาแฟแชงกรีลา”

ตอนเที่ยงที่เธอขอลาคือสถานที่แห่งนี้ ตอนนี้จะพูดผิดไม่ได้

ใครจะไปคิดว่าเขาจะบีบคออย่างแรง สีหน้ามีความโหดเหี้ยม กัดฟันถามขึ้น “วันนี้ตอนบ่ายเธอไปไหนมากันแน่? !”

มู่เวยเวยโดนเขาบีบคอจนเวียนศีรษะจะเป็นลม ช่วงอกรู้สึกอึดอัด แต่มันทำให้เธอมีสติมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาถามแบบนี้ ดูเหมือนจะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ไปแชงกรีลา หรือเขาส่งคนติดตามเธอ? !

“นายส่งคนมาติดตามฉันเหรอ!”

ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นการยืนยัน

เย่ฉ่าวเฉินมีสีหน้าเย็นชา มุมปากยกยิ้มถากถาง พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ฉันก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้น แค่โทรออกก็พอแล้ว!”

มู่เวยเวยสูดหายใจเข้า เพราะคอถูกบีบ อากาศจึงไม่สามารถเข้าไปในช่องอกได้เลย ในใจอึดอัดแทบตายแล้ว พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ฉันหายใจไม่ออกแล้ว……ถ้านายอยากฟังความจริง……ก็ปล่อยฉันก่อน!”

มองเธอสักพัก เย่ฉ่าวเฉินก็คลายมือ มองมู่เวยเวยที่หายใจหอบฟุบอยู่บนโต๊ะ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทางที่ดีก็พูดความจริง ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ”

เขาไม่เกรงใจเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? เขาคิดว่าตัวเองพูดแบบนี้ แล้วเธอจะซาบซึ้งหรือไง? !

“ฉันไปร้านจินโตวโต้วเลามา”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วแน่น ถามอย่างเย็นชา “เธอไปที่นั่นทำไม? !”

“ที่นั่นนอกจากกินข้าวแล้วทำอะไรได้อีกล่ะ? ”

มู่เวยเวยทนไม่ไหวจริงๆ สีหน้าเหมือนซักถามนักโทษที่เขาปฏิบัติต่อเธอ เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ และเธอไม่ใช่คนรากหญ้าที่ก่ออาชญากรรมซะหน่อย นี่มันน่าหดหู่จริงๆ !

“ไปกับใคร? ”

“ไปคนเดียว”

เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่พอใจกับคำตอบของเธอเลย สีหน้าเผยให้เห็นเงาอันตราย แล้วถามอีกครั้ง “ไปกับใครกันแน่!”

“ฉันไปคนเดียวจริงๆ เพราะมีคนโทรให้ฉันไปที่นั่น”

“ใคร? หนานกงเฮ่าเหรอ? ”

มู่เวยเวยส่ายหน้า พูดตามความจริง “แม่ของหนานกงเฮ่า”

ถึงแม้ไม่พูดตอนนี้ เขาก็ต้องมีปัญญาไปสืบหาอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาสืบหาเจอ เธอไม่รู้ว่าจะต้องทนทุกข์กับเขาแค่ไหน

เย่ฉ่าวเฉินหรี่ตา เข้าใจทันที เธอมาหามู่เวยเวยเพราะอยากให้เธออยู่ห่างกับเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย

“เรื่องระหว่างเธอกับเขามันทำให้คุณผู้หญิงหนานกงตกใจ ดูเหมือนเรื่องระหว่างพวกเธอมันต้องมีอะไร!” เย่ฉ่าวเฉินมุมปากยกยิ้มดูถูก พูดขึ้นอย่างไม่แยแส

มู่เวยเวยสีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้น “เย่ฉ่าวเฉิน นายจบหรือยัง? ! เมาค้างกับความยุ่งเหยิงนี้ทุกวัน? รบกวนช่วยอธิบายให้ฉันฟังความสัมพันธ์ของนายกับเฉียวซินโยวหน่อย”

มู่เวยเวยไม่อยากรู้ปัญหาของเขาเลย แต่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ไม่อย่างนั้นตามพัฒนาการของสถานการณ์ของเธอแล้ว ต่อไปเธอจะต้องโดนเขาทำให้อับอายและทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เย่ฉ่าวเฉินทำหน้าตกตะลึง สีหน้ามีความประหลาดใจ พูดขึ้นอย่างเย็นชา “เธออยากรู้อะไร? รู้ว่าภรรยาอย่างเธอมันไร้ความสามารถแค่ไหนเหรอ?! ”

มู่เวยเวยแค่นหัวเราะ พูดขึ้นอย่างถากถาง “เฉียวซินโยวในแง่นี้ ทำได้ดีกว่าฉันอยู่แล้วจริงๆ ไม่เพียงแต่ทำอาหารให้คุณสามมื้อ แถมยังกินและดื่มเป็นเพื่อนอีก ฉันล่ะประทับใจจริงๆ !”

“เธอรู้ก็ดีแล้ว”

มุมปากมู่เวยเวยยกขึ้น เผยรอยยิ้มดูถูก พูดขึ้น “ในเมื่อเฉียวซินโยวมีความสามารถแบบนี้ เมื่อไรนายจะทำให้เธอถูกต้องสักทีล่ะ? ! แค่เลือกของถูกมันไม่พอหรอกนะ!”

เมื่อได้ยินความหมายของเธอ สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินก็ดูเศร้าหมองขึ้นมาก พูดขึ้นอย่างเย็นชา “มู่เวยเวย อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง แต่ฉันจะบอกเธอให้ คิดจะหย่ากับฉัน เธอฝันไปเหอะ!”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset