วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 108 หัวเหยาขอความช่วยเหลือ

บทที่ 108 หัวเหยาขอความช่วยเหลือ

จิ่งหนิงก็ตามไปด้วย

แต่เธอเองก็ไม่ได้สนใจกิจกรรมอย่างนี้มากมายอยู่แล้ว เพียงแค่ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการแผนก อย่างไรก็ไม่ควรทำให้ทุกคนหมดสนุก

ดังนั้น หลังจากดื่มเหล้าไปกี่แก้วแล้ว ก็ยกสถานที่ให้พวกเขา ตนเองกลับออกไปสูดอากาศข้างนอก

เพื่อนร่วมงานของแผนกคนหนึ่งเป็นคนเลือกสถานที่ร้องเพลงแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งหรือการวางเค้าโครงล้วนแต่มีสไตล์

ออกมาจากห้องส่วนตัว ด้านนอกเป็นระเบียงวนที่คดเคี้ยวเส้นหนึ่ง ด้านนอกระเบียงวนเป็นสวนดอกไม้และสนามหญ้า มีสิ่งปลูกสร้างกี่ตึกที่ผสมปนปนกันอยู่ในนั้น มีความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่ในบ้านพักส่วนตัวมากทีเดียว

จิ่งหนิงยืนอยู่บนระเบียงวน บิดขี้เกียจ

ลมฤดูหนาวตอนกลางคืน แม้ว่าจะสวมเสื้อขนเป็ดหนาๆแล้ว ยังคงไม่สามารถขวางลมหนาวที่ลอดเข้ามาทางคอเสื้อได้เลย

จิ่งหนิงยืนอยู่ครู่หนึ่ง สร่างเมาไปพอประมาณแล้ว ก็เตรียมตัวจะกลับไป

แต่คิดไม่ถึงว่า แค่หันกลับมา ก็จะเห็นร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่งกำลังเดินมาจากระเบียงวนอีกฝั่ง และกวนเยว่หวั่นก็ราวกับคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอเธอที่นี่เช่นกัน

ทั้งสองคนต่างตกตะลึง ในทันที กวนเยว่หวั่นก็ปรากฏรอยยิ้มที่มีมารยาทออกมาให้เธอ

จิ่งหนิงก็พยักหน้าเรียบๆ

“บังเอิญจังเลยนะคะ เจอกันอีกแล้ว”

“นั่นสิคะ บังเอิญจริงๆ”

จิ่งหนิงมองเธอ คิดอะไรได้บางอย่าง ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เท่าที่ฉันรู้ คุณกวนอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด ครั้งนี้ทำไมนึกถึงเมืองจิ้นขึ้นมาล่ะคะ?”

ปลายนิ้วของกวนเยว่หวั่นสั่นเล็กน้อย

เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน

“มาทำธุระนิดหน่อยค่ะ พอดีได้เจอกับรุ่นพี่มู่ เพื่อนเก่าได้เจอกันก็ค่อนข้างสนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่แล้ว จึงพักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่งน่ะค่ะ”

ปีนั้น หลังจากที่มู่ยั่นเจ๋อเรียนจบชั้นมัธยม ก็ไปเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองหลวง

สาเหตุที่จิ่งหนิงรู้จักกวนเยว่หวั่น ก็ช่วงเวลานั้น ได้ยินเขาพูดถึงบ่อยๆทางโทรศัพท์

แม้กวนเยว่หวั่นจะเป็นคนของตระกูลกวนที่เมืองหลวง แต่เพราะเป็นญาติพี่น้องห่างๆ และแยกห่างกันหลายรุ่น ดังนั้นอิทธิพลของตระกูลก็ไม่ได้มีอำนาจมาก

แต่ทว่าในตระกูลยังคงอบรมสั่งสอนเธอได้อย่างดีมาก เป็นคนที่รู้จักทำนองคลองธรรม หน้าตาพรสวรรค์ไม่จำเป็นต้องพูดถึง อุปนิสัยก็เป็นที่รู้จักกันดี

ในแวดวงผู้หญิงที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง เปรียบเทียบเธอกับคนมากมายที่ตระกูลมีชื่อเสียงโด่งดัง กลับมีน้อยคนนักที่สามารถเทียบกับความโดดเด่นของเธอได้

แรกเริ่มมู่ยั่นเจ๋อก็พูดกับเธอในโทรศัพท์หลายต่อหลายครั้ง บอกว่ารุ่นน้องคนนี้ยอดเยี่ยมขนาดไหน นึกถึงตรงนี้ สายตาของจิ่งหนิงก็ปรากฏการณ์ครุ่นคิดออกมาครู่หนึ่ง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นฉันไม่รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของคุณดีกว่าค่ะ”

จิ่งหนิงพูดจบ ก็เตรียมจะแยกตัวออกไป

แต่จู่ๆกวนเยว่หวั่นกลับเรียกเธอเอาไว้

“คุณจิ่งคะ”

“คะ?”

เธอชี้ไปที่สร้อยบนคอของจิ่งหนิง “สร้อยของคุณสวยมากเลยค่ะ”

จิ่งหนิงตกตะลึง

วันนี้เธอสวมเสื้อขนเป็ดสีขาวด้านนอก ด้านในเป็นเสื้อไหมพรมคอต่ำสีอ่อน อาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่อุดอู้เกินไป จี้สร้อยคอที่ซ่อนอยู่ในเสื้อมาโดยตลอดจึงโผล่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

เธอจับจี้เอาไว้ด้วยจิตใต้สำนึก เม้มปากเล็กน้อย

ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้น: “ขอบคุณค่ะ”

กวนเยว่หวั่นยิ้ม “ของสวยๆอย่างนี้ ต้องรักษาเอาไว้อย่างดีก็ถูกแล้วค่ะ!”

จิ่งหนิงค่อนข้างตกตะลึงเล็กน้อย

แต่ทว่า กวนเยว่หวั่นพูดประโยคนี้จบ ราวกับว่าไม่มีความคิดจะพูดต่อไปอีกแล้ว ยิ้มให้เธออย่างมีไมตรี แล้วก็เดินออกไป

จิ่งหนิงกลับมาที่ห้องส่วนตัว

ในหัวยังคงมีคำพูดสุดท้ายของกวนเยว่หวั่นดังก้องอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก

เธอนั่งอยู่บนโซฟา ดึงจี้สร้อยคอออกมา ยืมแสงไฟสลัวๆมองอย่างละเอียด ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีอะไรพิเศษ

นี่เป็นสิ่งของที่แม่เธอทิ้งเอาไว้ให้ ตามที่บอก กวนเยว่หวั่นน่าจะไม่เคยเห็นมาก่อนสิถึงจะถูก แต่เธอก็ไม่มีเหตุผล ที่จะเตือนเธอด้วยคำพูดอย่างนั้น หมายความว่าอะไร?

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว

คิดมาพักหนึ่ง ก็ไม่เข้าใจความหมายของเธอ

……

งานเลี้ยงแผนกจบลง ตอนกลับบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว

สองวันนี้ลู่จิ่งเซินไปทำงานนอกสถานที่ พวกคนรับใช้ส่วนใหญ่ต่างก็ลากลับไปฉลองปีใหม่ ป้าหลิวเนื่องจากลูกชายเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ สามีก็ตายตั้งแต่หนุ่มๆ ที่บ้านไม่มีคนอยู่ จึงไม่อยากกลับไป ก็เลยอยู่ที่เมืองจิ้นฉลองปีใหม่เป็นเพื่อนจิ่งหนิง สรุปแล้วคืนนี้จิ่งหนิงยังคงเมาอยู่นิดหน่อย หลังจากดื่มชาแก้เมาที่ป้าหลิวเอามาให้เสร็จแล้ว ก็สลบไสลไปบนเตียง

แต่จู่ๆ มือถือกลับดังขึ้นมา

เธอขมวดคิ้ว

ร่างกายอ่อนเพลียอย่างมาก แต่เดิมไม่อยากจะสนใจ แต่เสียงเตือนก็ราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ไม่รับก็จะไม่หยุด

ภายใต้ความจำใจ เธอทำได้เพียงลุกขึ้นนั่งอย่างสติเลอะเลือน ลากกระเป๋ามา แล้วหยิบมือถือออกมาจากด้านใน กดรับ

“ฮัลโหล?”

“หนิงหนิง เธออยู่บ้านไหม?”

หัวเหยานั่นเอง

จิ่งหนิงสร่างเมาจนเกือบเป็นปกติในทันที

ในมือถือ เสียงของหัวเหยาสั่นไหว ปะปนกับเสียงสะอื้นไห้อยู่รางๆ

สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที รีบพูดขึ้น: “ฉันอยู่ เกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันอยากจะไปค้างบ้านเธอสักคืน สะดวกไหม?”

“สะดวก เธออยู่ไหน? เดี๋ยวฉันไปรับ!”

หัวเหยาบอกที่อยู่ไปแล้ว

จิ่งหนิงก็ไม่ได้คิดจะถามอย่างอื่น หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว ก็หยิบเสื้อคลุมจากชั้นตามสะดวกแล้วเดินออกไปทันที

ป้าหลิวที่เตรียมตัวจะเข้าห้องนอนพักผ่อนแล้ว เห็นเธอรีบๆร้อนๆลงมาจากข้างบน ก็ค่อนข้างประหลาดใจ

“คุณผู้หญิงคะ เกิดอะไรขึ้น?”

“ป้าหลิว ฉันจะออกไปข้างนอกหน่อย”

“ตอนนี้?”

“อืม”

จิ่งหนิงชะงัก นึกขึ้นได้ว่าตนเองดื่มเหล้า ไม่สะดวกขับรถ จึงกำชับขึ้น: “ช่วยโทรเรียกคนขับรถมาให้ฉันด้วย”

ป้าหลิวหน้าตางงงัน แต่จิ่งหนิงกลับไม่มีเวลาอธิบายกับเธอมากมาย

แม้หัวเหยาจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมีเกียรติ แต่นิสัยกลับแข็งแกร่งมาโดยตลอด

ในมือถือเมื่อครู่ เสียงอ่อนแอที่กำลังสั่นไหวนั้น ในหลายปีมานี้เธอแทบจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ!

อย่างรวดเร็วคนขับรถก็ขับมาส่งเธอถึงที่ที่หัวเหยาบอกแล้ว

เป็นโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง จิ่งหนิงให้คนขับอยู่ข้างล่าง แล้วขึ้นไปข้างบนตามลำพัง

หลังจากถึงห้องที่เธอบอกแล้ว เคาะๆประตูก่อน พบว่าไม่มีคนตอบ จึงผลักเข้าไปเบาๆ นี่ถึงพบว่า ประตูห้องไม่ได้ล็อกเอาไว้

จิ่งหนิงเดินเข้าไปข้างใน

แสงในห้องมืดมาก หมอนเบาะรองนั่งของประดับตกแต่งทั้งหมดโดนทิ้งอยู่บนพื้น ตั้งแต่ห้องน้ำถึงห้องนั่งเล่นและจนถึงห้องนอน ทุกที่ล้วนแต่มีร่องรอยของความวุ่นวายเกิดขึ้น เรี่ยราดไปทั่วทั้งห้อง

แววตาของจิ่งหนิงสั่นไหวเล็กน้อย เดินเข้าไปในห้องนอน ในมุมห้องที่แสงมืดมิดจนแทบจะมองไม่เห็น ก็ได้เจอกับหัวเหยาที่บอบช้ำไปทั่วทั้งร่าง

แค่เห็นเธอนั่งอยู่บนพื้น มุดหัวอยู่ในหัวเข่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอกำลังสั่นเทิ้ม

จิ่งหนิงเบิกตาโพลง เรียกเบาๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เหยาเหยา?”

หัวเหยาเงยหน้าขึ้น

ภายใต้แสงไฟมืดสลัว แค่ได้เห็นใบหน้าที่สวยงามราวกับแกะสลักเอาไว้ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

มุมปากมีรอยช้ำสีแดง ข้อมือและข้อเท้าก็ด้วย เหมือนกับรอยที่โดนอะไรบางอย่างมัดเอาไว้จนแน่น รอยช้ำมากมายตั้งแต่ต้นคอแพร่ลงไป ร่างกายท่อนบนสวมเพียงแค่เสื้อสายเดี่ยวสีแดงที่โดนฉีกขาด ไม่ต้องพูด จิ่งหนิงก็พอจะจินตนาการถึงก่อนหน้านี้ได้ ว่าเธอผ่านอะไรมา

เธอเบิกตาโพลง มองเธอ โมโหจนหน้าเขียวปั๊ด

ชั่วครู่ ก็กัดฟันพูดขึ้น: “ฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้!”

“ไม่เอา!”

หัวเหยาห้ามเธอเอาไว้

แค่เธอพูดออกมา จิ่งหนิงถึงรู้ว่าเสียงของเธอแหบพร่าเหลือเกิน แตกต่างจากเสียงพูดปกติของเธออย่างสิ้นเชิง

เธอปวดใจจะตายอยู่แล้ว!

“นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใครทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้?”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset