วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 113 พบกันตอนเที่ยงคืน

บทที่ 113 พบกันตอนเที่ยงคืน

อีกด้าน น้ำเสียงของลู่จิ่งเซินทั้งตกใจทั้งดีใจ “จริงเหรอ?”

“อื้ม จริงๆ”

ได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว ฝ่ายชายก็วางโทรศัพท์ด้วยความพึงพอใจ

จิ่งหนิงผ่อนลมหายใจยาวๆ นึกถึงอะไรบางอย่าง จึงโทรไปหาตาK

“ตาK สืบค้นไปถึงไหนแล้ว?”

“จับตาดูอยู่! ตอนนี้ยังไม่พบเบาะแสอะไรเลย”

จิ่งหนิงจับๆหว่างคิ้ว

ในใจค่อนข้างผิดหวัง

แต่เธอก็รู้ เรื่องราวผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่ได้สืบง่ายขนาดนั้น ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไร

แต่คิดไม่ถึงว่า จู่ๆตาK จะถามขึ้น: “เอ๊ะ จิ่งหนิงมีความเกี่ยวข้องกับคนเมืองหลวงอะไรนั่นไหม?”

จิ่งหนิงตกตะลึง

“หมายความว่าไง?”

“ระยะนี้ ฉันสืบเจอคนของตระกูลจิ่ง ไปมาหาสู่กับคนเมืองหลวงด้านนั้นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่การทำธุรกิจประเภทนั้น แต่ค้นหาไม่เจอตัวตนของอีกฝ่าย ก็เลยลองถามดู”

เมืองหลวง?

เท่าที่เธอรู้ ก่อนที่จิ่งเซี่ยวเต๋อจะแต่งงานกับแม่ของตนเอง ก็เป็นนักศึกษาจนๆคนหนึ่ง

ปีนั้นตระกูลโม่อยู่ที่เมืองจิ้น ถือว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุด เนื่องจากมีลูกสาวแค่คนเดียว จึงแต่งลูกเขยเข้าบ้าน ตอนนั้นคุณตาถูกใจความฉลาดเฉียบแหลมและมีความสามารถของจิ่งเซี่ยวเต๋อ ดังนั้นจึงช่วยให้การแต่งงานของเขากับแม่สมปรารถนา

เรื่องต่อจากนั้น ก็ไม่ต้องพูดแล้ว

จิ่งเซี่ยวเต๋ออำพรางตัวตนมาสิบกว่าปี หลอกลวงทุกคน รวมไปถึงคุณตาและแม่ของเธอ หลังจากที่แม่เสียชีวิต ก็เอาโม่ซื่อกรุ๊ปที่รู้จักกันในนามของจิ่งซื่อกรุ๊ปตอนนี้ ใช้อำนาจเข้ายึดครองทรัพย์สินของตระกูลจิ่งอย่างถึงที่สุด

ประวัติที่มีชื่อเสียงอย่างนี้ แน่นอนว่าก็ยิ่งเป็นการทำตัวให้คนอื่นเหยียดหยาม

แม้ในภายหลังจิ่งเซี่ยวเต๋อจะทำสำเร็จอยู่บ้าง แต่อาศัยพละกำลังที่เหลืออยู่ในเมืองจิ้นของตระกูลโม่แล้วพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ ก็ไม่เลวเลย เป็นไปได้อย่างไรที่จะยังรู้จักคนเมืองหลวงด้านนั้น?

จิ่งหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดคำตอบไม่ออก

“ฉันไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องนี้กับเรื่องของแม่ฉันเกี่ยวข้องอะไรกันไหม?”

“อาจจะไม่เกี่ยวข้องกัน แค่รู้สึกสงสัย ทุกครั้งที่คนๆนั้นมาจะสวมเสื้อกันลมสีดำแล้วยังใส่ผ้าปิดปากมาด้วยตลอด และทุกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงคืน เธอว่าถ้าคุยเรื่องธุรกิจกันจริงๆ ต้องไปคุยที่บ้านตอนเที่ยงคืนไหม?”

จิ่งหนิงตกใจเล็กน้อย

ในใจก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมีลับลมคมใน

ครั้นแล้วก็พูดขึ้น: “นายพูดถูก ช่วยฉันตามต่อไปนะ! พยายามค้นหาตัวตนของคนๆนั้นให้ได้”

“ได้ ฉันจะพยายาม แต่อีกฝ่ายดูแล้วไม่เหมือนคนธรรมดา คงไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น”

“พยายามเต็มที่ก็พอแล้ว ขอบคุณมากเลย”

หลังจากวางโทรศัพท์ จิ่งหนิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

เธอนึกถึงคำพูดที่จิ่งเซี่ยวเต๋อเคยพูดก่อนหน้านี้ ตั้งแต่หลังจากที่แม่เสียชีวิต ตระกูลจิ่งก็เดินอยู่บนถนนที่ลาดเอียงในเมืองจิ้นมาโดยตลอด ภายหลังหัวเซิ่งก็เข้ามาขัดขวางไว้อีก เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะยื่นมือเข้าไปที่เมืองหลวง

ดังนั้น คนที่ไปที่บ้านตอนเที่ยงคืนคนนั้น เกรงว่าจะไม่ได้คุยเรื่องธุรกิจจริงๆ

งั้นมาทำอะไรกันแน่นะ?

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว

ตอนเย็น เธอไม่รีบกลับบ้าน ไปดูสมาชิกกี่คนนั้นที่เตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถหลังปีใหม่ที่ห้องซ้อมก่อน

แม้จะเป็นช่วงปีใหม่ แต่เนื่องจากการแข่งขันกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ แผนการซ้อมจึงตึงเครียด ด้วยเหตุผลนี้ทุกคนจึงไม่ได้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่

จิ่งหนิงให้อั่งเปาพวกเขาคนละซอง ถือเป็นการปลอบใจ และให้กำลังใจด้วย แล้วจึงกลับออกมา

ตอนที่กลับบ้าน ก็สามทุ่มแล้ว

อากาศเย็นยะเยือก หนาวสุดๆไปเลย

รถบนถนนและผู้คนกลับไม่น้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว เทียบกับปกติ กลับยิ่งอึกทึกมีชีวิตชีวามากกว่าอีก พอดีกับช่วงพีคสามทุ่มที่จะกลับบ้าน บนถนนค่อนข้างแออัด รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ จิ่งหนิงเบื่อจะแย่แล้ว มือข้างหนึ่งยันอยู่บนหน้าต่างมองออกไปด้านนอก

แต่จู่ๆกลับเห็นรถที่คุ้นตาคันหนึ่ง อยู่ในตำแหน่งซ้ายมือด้านหน้าไม่ไกลจากเธอ

เบนท์ลีย์สีแชมเปญคันนั้น ทะเบียนรถคุ้นตามาก ถ้าเธอจำไม่ผิด น่าจะเป็นรถของจิ่งเสี่ยวหย่า

ตั้งแต่เรื่องที่วันครบรอบก่อตั้งโรงเรียนคราวก่อนผ่านไป จิ่งเสี่ยวหย่าก็เก็บตัวเงียบอย่างถึงที่สุด

ครึ่งเดือนกว่าๆ ก็ไม่มีข่าวใดๆเล็ดลอดออกมา

จิ่งหนิงรู้ว่า เธอคิดจะหลบหนีจากช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ไปก่อน แค่เสียดายที่ต่อให้หลบจากกระแสนี้ไปได้ ต่อไปเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ

ดึกขนาดนี้แล้ว เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่?

ทางนี้ ก็ไม่ใช่เส้นทางกลับตระกูลจิ่ง

แน่นอนว่า ก็ไม่ใช่ทางกลับตระกูลมู่

ในใจจิ่งหนิงสงสัย อันที่จริงตามหลักแล้ว ตอนนี้จิ่งเสี่ยวหย่าจำเป็นที่สุดที่จะต้องอยู่บ้านอย่างเชื่อฟัง ไม่ต้องปรากฏตัว รอให้กระแสผ่านไปแล้วค่อยว่ากัน

ตอนนี้ดึกดื่น กลับออกมาที่ใจกลางเมือง ถ้าหากโดนคนถ่ายรูปได้จะไม่เป็นการทำร้ายตนเองหรอกเหรอ?

ด้วยความอยากรู้ จิ่งหนิงจึงขับรถตามไป

เบนท์ลีย์สีแชมเปญขับไปตามถนนใหญ่ ตอนที่ถึงสี่แยก จู่ๆก็เลี้ยวซ้าย เข้าไปในซอย

แสงในซอยค่อนข้างมืด จิ่งหนิงกังวลว่าจะโดนจับได้ จึงตามอยู่ห่างๆ

หลังจากออกมาจากซอยแล้ว ก็ตามไปอีกประมาณสิบกว่านาที จึงเห็นเบนท์ลีย์สีแชมเปญคันนั้นจอดลงที่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ที่เรียงเป็นแถวหลังหนึ่ง

เปิดประตูรถ เงามืดร่างหนึ่งก้มหัวแล้วรีบวิ่งออกไป

หมอกหนาตอนกลางคืนที่กั้นเอาไว้ จึงเห็นแค่ว่าคนๆนั้นสวมหมวกปีกกว้างสีดำ ปีกหมวกกดลงมาต่ำมาก ทั้งใบหน้าแทบจะโดนซ่อนเอาไว้อยู่ในเงา บนมือของเธอไม่รู้ว่ากอดของอะไรเอาไว้ ก้มหัวแล้วรีบเข้าไปในคฤหาสน์

อย่างรวดเร็ว ก็มีคนจากในคฤหาสน์ออกมาต้อนรับ อยู่ห่างกันเกินไป จิ่งหนิงจึงมองไม่ชัดเจนว่าคนนั้นหน้าตาอย่างไร เห็นเพียงแค่ท่าทาง ราวกับนอบน้อมจิ่งเสี่ยวหย่าเป็นพิเศษ

เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

คิดอยู่ชั่วขณะ ก็คิดไม่ออกถึงเครือข่ายเพื่อนฝูงของจิ่งเสี่ยวหย่า ที่จะมีใครนอบน้อมกับเธออย่างนี้ คนนั้นต้อนรับจิ่งเสี่ยวหย่าเข้าไป ประตูใหญ่จึงปิดลง เธอนั่งอยู่ในรถ ไม่สามารถลงจากรถเข้าไปดูใกล้ๆได้อยู่แล้ว

รออยู่สักพัก ไม่ได้รอจนอีกฝ่ายออกมา คิดขึ้นมาได้ว่าทำอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงเตรียมตัวจะกลับ

แต่ทว่าในตอนนี้ จู่ๆก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้

จิ่งหนิงงงงัน เริ่มแรกยังคิดว่าตนเองฟังผิด จึงเปิดกระจกรถฟังอย่างละเอียด พบว่าไม่ผิด มีเสียงร้องไห้จริงๆ

ตรงนี้คือบนถนน ห่างจากคฤหาสน์ระยะหนึ่ง สองข้างของถนนที่กว้างขวางล้วนแต่เป็นป่าต้นไม้เตี้ยๆที่สองปีนี้ได้ทำการปลูกถ่ายใหม่

จิ่งหนิงลงจากรถ ตามเสียงร้องไห้ไป เดินไปไม่กี่ก้าว ก็เห็นเด็กคนหนึ่งที่น่าจะ 3-4 ขวบนั่งอยู่บนตอไม้ที่อยู่ในป่า ร้องไห้อย่างเศร้าโศก

เธอตกใจ

รอบด้านมืดมิดไปหมด แสงจันทร์เพียงเล็กน้อยที่สาดแสงผ่านช่องระหว่างใบไม้ลงมา

รอบด้านเงียบสนิท เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยจึงดังกังวานอย่างชัดเจน ลอยอยู่ไกลๆรอบตัว ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง

จิ่งหนิงกลืนน้ำลาย

สุดท้ายก็ยังคงกล้าหาญที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ

“สาวน้อย ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เธอตะโกนออกมา เด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตอไม้หันกลับมา ปรากฏใบหน้าเล็กๆที่ดึงดูดใจ

แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่อาศัยแสงจันทร์ ยังพอมองออกว่าบนร่างของเธอสวมชุดเดรสสีขาวอย่างชัดเจน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมขนปุยสีชมพู ผมหยิกเล็กน้อย

ใบหน้าเล็กๆที่ราวกับหยกแกะสลักครึ่งหนึ่งมุดอยู่ในขนเฟอร์สีขาวที่เสื้อคลุม ราวกับเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่น่ารักบอบบางในยามค่ำคืน ทำให้คนที่เห็นอดไม่ได้ที่จะหลงรัก

จิ่งหนิงอดไม่ได้ที่ดวงตาจะเป็นประกาย

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset