วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 125 ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด แถมยังโยนความผิดใส่คนอื่น

บทที่ 125 ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด แถมยังโยนความผิดใส่คนอื่น

“หืม! เรื่องนี้ฉันพูดลำบากเหมือนกัน แต่ฟังแล้วน่าตกตะลึงมาก พวกเธอรู้ไหมว่า ตอนที่ครอบครัวของเธอมาถึง พวกเขาก็บอกว่าเธอมีคนเลี้ยงดู และไปทำลายครอบครัวคนอื่นด้วย เพื่อเงินทองยอมไปเป็นเมียน้อยของคนอื่น และยังบอกว่าเธอเป็นคนอกตัญญูและไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำร้ายน้องสาว สรุปคือ… เธอร้ายกาจมากจริงๆ”

“ไม่จริงหรอกมั้ง! หัวหน้าจิ่งไม่เหมือนคนแบบนั้นเลย”

พนักงานแผนกต้อนรับพูดต่อว่า : “เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอเห็นพวกเขาพูดจริงจังแบบนั้น คงไม่ใช่เรื่องไม่จริงหรอก พวกเขายังบอกด้วยว่า ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะหาผู้ชายที่เพียบพร้อมสักคนแนะนำให้กับหัวหน้าจิ่ง และเรียกให้เธอกลับมาแต่งงาน แต่เธอไม่ยินยอม แต่เธอคิดไม่ถึงว่าจะทำร้ายร่างกายผู้ชาย”

“โห้ ป่าเถื่อนจัง!”

“จริงหรอ? ได้ยินมาว่าคนที่เลี้ยงดูเธอมีอิทธิพลมาก แม้แต่ครอบครัวของเธอก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย และไม่กล้าด่าทอด้วย”

“คนที่เลี้ยงดูเธอคือใครหรอ?”

“ใครจะไปรู้ละ? แม้แต่ตระกูลจิ่งยังไม่กล้ามีเรื่องเลย ต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากแน่ๆ”

“อืม…น่าขยะแขยงมากเลย! ทำไมเธอเป็นแบบนี้?”

“จริง เมื่อก่อนฉันคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงแกร่ง แต่สุดท้ายก็พึ่งพาผู้ชาย ช่างไร้ยางอายจริงๆ!”

“ทำยังไงได้ละ? ใครทำให้เธอมีหน้าสวยขนาดนี้ แถมยังมีท่าทางสง่าสูงส่งด้วย ฉันบอกพวกเธอเลยนะว่า ผู้ชายยิ่งมีทั้งเงินทั้งอำนาจ ส่วนใหญ่ชอบผู้หญิงประเภทนี้ มีประโยคหนึ่งกล่าวว่า การได้รับการครอบครองยิ่งสร้างความต้องการ ยิ่งเธอมีท่าทางสง่าสูงส่งมากแค่ไหน ผู้ชายก็ยิ่งสนใจมากขึ้นเท่านั้น”

“หืม! อยากรู้จริงๆเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของเธอคนนั้นคือใคร”

“หลายปีมานี้คนที่เลี้ยงดูหญิงสาว ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่แต่งงานมาก่อนแล้ว ฉันเดาเธอเองก็ไม่เว้นเหมือนกัน”

ไม่ไกล คำว่า“คนแก่”ที่ทุกคนพูดสร้างความเจ็บปวดใจต่อประธานลู่มาก

แม่งเอ๊ย! ใครด่าเขาหรอ?

พนักงานแผนกต้อนรับที่เป็นผู้กระจายข่าวยิ้มและพูดว่า : “ฉันว่าการมาของตระกูลจิ่งครั้งนี้ต้องแสดงว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่เลย ฉันคิดว่าต้องใช่แน่ๆ ตระกูลจิ่งถือเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองจิ่งอยู่ ดังนั้นการที่พวกเขาทำพฤติกรรมที่ไร้ยางอายแบบนี้ เกรงว่าต้องเกิดเรื่องแน่”

“ใช่หรอ? วันนี้มีฉากสนุกให้ดูแล้วสิ ไปกันเถอะ พวกเราตามไปดูกันเถอะ”

มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในบริษัทเพื่อต้องการดูฉากสนุก

อีกด้านหนึ่ง จิ่งหนิงเพิ่งเข้าห้องทำงาน ก็สัมผัสถึงสายตาของคนรอบบริเวณที่ไม่เหมือนเดิมขึ้น

บางคนมองด้วยสายตาดูถูก บางคนมองด้วยสายตาประชด บางคนมองด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ และบางคนมองด้วยสายตาอิจฉา

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงด่าทอดังขึ้นจากในห้อง เธอเลยเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

ใบหน้าเย็นชาที่สวยชั่วพริบตามืดครึ้มทันที

“ตึง!”

ประตูห้องทำงานถูกคนเปิดออกอย่างแรง จากนั้นคนข้างในก็พากันตกใจขึ้น

เสียงด่าทออันน่ารังเกียจ ชั่วพริบตาเงียบลง

จิ่งหนิงจ้องมองผู้คนที่อยู่ข้างในห้องทำงานด้วยสีหน้าเย็นชา

ดีมาก หวังเสว่เหมย จิ่งเซี่ยวเต๋อ หยูซิ่วเหลียน จิ่งเสี่ยวหย่า สมาชิกทุกคนในตระกูลจิ่งล้วนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา!

ความกล้านี่นำมาซึ่งความสนุกจริงๆ!

เธอแค่นเสียงหัวเราะประชดขึ้น แล้วเดินเข้ามา “ตึบ” เธอถอดถุงมือของตัวเองทิ้งลงบนโต๊ะทำงาน

“ด่าสิ! ทำไมไม่ด่าต่อละ? ฉันอุตส่าห์มาฟังโดยเฉพาะเลยนะ! เมื่อกี้ด่าอะไรแล้วนะ? ใครหน้าไม่อายใครที่ทำร้ายคนอื่นหรอ?”

จิ่งหนิงสวมชุดสูทยาวสีดำ ซึ่งดูท่าทางแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยวมาก จากนั้นเขาก็กอดหน้าอกยืนนิ่งๆ ซึ่งทำให้บรรยากาศเริ่มน่าอึดอัดขึ้น

เมื่อหวังเสว่เหมยจ้องมองท่าทางหยิ่งยโสของเธอ เธอก็โมโหจนตัวสั่นเทา

“อืม ในที่สุดเธอก็มาสักที! ดีมาก ฉันยังนึกว่าเธอจะหลบหน้าฉัน หลบจนไม่กล้ามาบริษัท! แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่สูญเสียความกล้าเลย”

จิ่งหนิงหัวเราะอย่างเย็นชาขึ้น

“บริษัทของฉัน ทำไมฉันถึงจะไม่กล้ามาละ? ไม่เหมือนใครบางคนจงใจกระจายข่าวลือออกไปข้างนอกเพื่อทำลายชื่อเสียงของฉัน แต่ฉันจดจำทั้งหมดไว้หมดแล้ว ไว้รอมีเวลาว่าง ฉันไปแจ้งความคนที่ทำร้ายชื่อเสียงของฉันแน่ ฉันเชื่อว่าคงไม่ยากแน่!”

“เมื่อได้ยินแบบนี้ ภายในห้องทำงานก็เงียบสงบลงทันที”

หวังเสว่เหมยโมโหจนหน้าเขียวคล้ำหมดแล้ว ส่วนจิ่งเซี่ยวเต๋อหมดความมั่นใจแล้ว

เมื่อจิ่งเสี่ยวหย่าเห็นแบบนี้ก็รีบเดินเข้ามาจับแขนของจิ่งหนิง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “พี่สาว อย่าโกรธสิ พวกเราล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แถมคุณย่าเป็นผู้ใหญ่ด้วย แล้วจะไปพูดเกี่ยวกับเธอข้างนอกได้ยังไง? แต่เพราะอารมณ์โกรธเลยไม่ทันคิด อย่าถือสาเลยนะ”

จิ่งหนิงเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง พร้อมยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“อ่อหรอ? จริงเหรอ? งั้นตอนนี้ฉันพาเธอออกไปเดินเล่นด้านนอกสักหน่อยไหม ฉันเชื่อว่าตอนนี้ยังมีหลายคนที่ไม่ปิดปากพูด แถมยังสามารถได้ยินบางอย่างด้วย”

จิ่งเสี่ยวหย่า : “…..”

เธอก้มหน้าลงด้วยสีหน้าเก้อเขิน จากนั้นหันหน้ามองหวังเสว่เหมยด้วยสีหน้าทุกข์ใจ

ในตอนนี้หวังเสว่เหมยสงบสติอารมณ์ลงแล้ว และกำลังจ้องมองจิ่งหนิงด้วยสายตาแหลมคมอยู่

จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “เอาละ! เธอไม่จำเป็นต้องข่มขู่เราหรอก พวกเราเองไม่ได้จงใจอยากใส่ร้ายเธอหรอกหรือว่าเธอกล้าพูดว่า สิ่งที่เราพูดถึงนั้นไม่เป็นความจริง? เธอไปเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่น หรือว่าเธอจะกล่าวโทษคนอื่นว่าไม่ควรพูดหรอ?”

จิ่งหนิงรู้สึกน่าขบขันมาก เลยหัวเราะออกมา : “ฉันกลับอยากฟังว่า ฉันไปเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นแล้วสิ ไม่ทราบว่าฉันไปเป็นมือที่สามของใครหรอ?”

หวังเสว่เหมยยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าดูถูก “เรื่องที่ตัวเองทำเธอน่าจะรู้เอง! ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ฉันจะรีบร้อนใจคิดหาทุกวิถีทางหาสามีให้เธอหรอ? เธออยากตายไม่มีห้าม แต่อย่าทำให้คนตระกูลจิ่งเดือดร้อนฝังศพเธอเลย!

แต่เธอกลับสร้างปัญหา และทำลายความหวังดีของ แถมยังทำร้ายเขาจนบาดเจ็บด้วย หรือว่าถ้าไม่ทำลายตระกูลจิ่งให้พังพินาศ เธอจะไม่สบายใจหรอ? “

จิ่งหนิงยักคิ้วเล็กน้อย และรู้สึกแปลกใจ

หากพูดตามหลักการ คนอย่างสวี่เทียนหงตายไปก็สมน้ำหน้าแล้ว

แต่เป็นเพราะเมื่อวานเธอถูกวางยา มือเลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ดังนั้นเลยลงมือไม่ค่อยแรงมาก

เธอเล็งไปที่ตรงตำแหน่งและลงมือย่างแม่นยำ หากพูดตามหลักการตำแหน่งตรงนั้นทำให้คนตกอยู่ในสภาวะหมดสติเท่านั้น ดังนั้นคงไม่ร้ายแรงมากหรอก

จิ่งหนิงยังไม่ทันพูดจิ่งเสี่ยวหย่าที่อยู่ด้านข้างก็พูดแทรกขึ้นว่า : “ใช่ค่ะ พี่สาว จนถึงตอนนี้คุณสวี่ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ ก่อนหน้านี้พวกคุณสองคนมีความสัมพันธ์ดีกันมาก ถึงแม้มีความขัดแย้ง แต่ก็ควรไปเยี่ยมสักหน่อย มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรก็พูดเปิดใจกัน”

จิ่งหนิงเบิกตากว้างขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกโมโหจนอยากตะคอกออกไป

“ความสัมพันธ์ของพวกเราดีหรอ? เธอมองด้วยดวงตาดวงไหนหรอ?”

จิ่งเสี่ยวหย่าแสร้งเป็นคนไร้เดียงสาและพูดว่า: “พวกเราล้วนดูออก! เมื่อวานนี้เห็นพี่สาวและพี่สวี่พูดคุยสนุกสนานกัน เขายังจับมือพี่สาวด้วย แถมพี่ก็ไม่มีท่าทีขัดขืนด้วยไม่ใช่หรอ?

ทั้งที่พี่สาวก็รู้ว่าครอบครัวของเราเรียกเขามาพบพี่สาวเพื่อมาทำความรู้จักกัน แต่พี่สาวแทบไม่มีท่าทีคัดค้านเลยสักนิด แถมยังตอบรับจดทะเบียนสมรสสุดสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งนั้นไม่ได้หมายถึงว่าพี่สาวเองก็ชอบเขาเหมือนกันหรอกหรอ?”

จิ่งหนิงรู้สึกว่าเส้นเลือดกลางหน้าผากของตัวเองกระตุกจนจะระเบิดแล้ว

เธอโกรธจนหัวเราะออกมา “ฉันรู้สึกว่าเธอช่วยพูดแทนเขาทุกอย่างเลย แต่ละครั้งเอาแต่เรียกพี่สวี่อย่างสนิทสนมมาก จนฉันคิดว่าเธอชอบเขามากกว่านะ อ่อ ก็จริง ถึงอย่างไรเธอก็ชอบของที่เป็นของฉันทุกอย่างตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มู่ยั่นเจ๋อก็ไม่เว้นไม่ใช่หรอ?”

จิ่งเสี่ยวหย่าเริ่มมีสีหน้าขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นจู่ๆหวังเสว่เหมยก็ตะคอกว่า : “หุบปาก!”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset