วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 61 เขามีเงื่อนไข

บทที่ 61 เขามีเงื่อนไข

จิ่งหนิงสะดุ้งโหยง ในที่สุดก็รู้สึกตัวขึ้นมา

ไม่น่าเชื่อเลยว่าภายใต้การยั่วยวนของผู้ชายคนนี้จะทำให้เธอคล้อยตามจูบกับเขา อีกทั้งตอนนี้ทั้งคู่ยังอยู่ในท่วงท่าที่อันตรายมากๆอีกด้วย

เธอตกใจจนอุทานออกมา และคิดอยากจะลุกยืนขึ้น

แต่ทว่าเก้าอี้ที่ลู่จิ่งเซินนั่งนั้นอยู่ใกล้กับโต๊ะทำงานมาก

เมื่อเธอลุกพรวดขึ้น เอวของเธอจึงกระแทกเข้ากับเหลี่ยมโต๊ะทันที เธอร้องกรี๊ดออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็ล้มลงไปอย่างแรง

สีหน้าของลู่จิ่งเซินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ต้องรับเธอไว้ เขายื่นมือออกไปลูบตรงที่ที่เธอถูกชนเมื่อกี้อย่างรีบร้อน

“ทำไมถึงไม่ระวังตัวขนาดนี้?เจ็บมากไหมน่ะ?ไหนมาให้ผมดูหน่อย”

ฝ่ามือขนาดใหญ่ของผู้ชายคนนี้วางพาดอยู่บนเอวของเธอโดยมีผ้าบางๆกั้นไว้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น ไออุ่นที่ร้อนผ่าวจากฝ่ามือของเขาถูกส่งผ่านลงมา จิ่งหนิงจึงดีดตัวขึ้นมาทันที

เธอใช้มือกดลงไปตรงที่ที่เขาอยากจะตรวจดูว่าเจ็บรึเปล่าแล้วส่ายหน้าไปมา

อันที่จริงมันเจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว แต่เธอก็ยังกัดฟันยืนกรานพูดออกไป:“ฉันไม่เป็นไร มันไม่เจ็บเลย”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขาไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่กลับอุ้มเธอขึ้นด้วยสีหน้าอันเย็นชาแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องนอน

จิ่งหนิงสะดุ้งสุดตัว เธอพยายามขัดขืนอยู่สองสามครั้งแต่มันก็ไร้ประโยชน์ เธอจึงจับเสื้อเขาไว้แน่นแล้วถามขึ้นอย่างรีบร้อน:“ลู่จิ่งเซิน นายจะทำอะไรน่ะ?รีบปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”

คนใช้ในบ้านตั้งหลายคนที่อยู่ข้างล่างล้วนกำลังมองมาอยู่นะ!

ลู่จิ่งเซินกลับทำเป็นหูทวนลม ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของคนรับใช้ที่อยู่ด้านล่าง เขาอุ้มเธอเดินผ่านระเบียงไปเพื่อพาเธอกลับไปยังห้องนอน

ทันทีที่มาถึงเตียง จิ่งหนิงก็รีบกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว

ลู่จิ่งเซินก็ไม่ได้บังคับอะไร แต่เขาเหลือบมองเธอด้วยสายตาอันเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังไปหยิบยาขี้ผึ้งที่อยู่ในลิ้นชักออกมาหลอดหนึ่ง

“เปิดเสื้อออก!”

เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

จิ่งหนิงใช้มือดึงเสื้อของตัวเองไว้แน่น ตอนนี้หน้าเธอแดงแปร๊ดเหมือนกับลูกมะเขือเทศสุกเลยก็ว่าได้ แถมเธอยังไม่กล้าแม้แต่จะมองเขาด้วย

“ฉันทำเอง”

เธอพูดไปพลางยื่นมือออกไปรับยาขี้ผึ้งที่อยู่ในมือเขา

ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงจิ๊ปากของเขาดังขึ้น เขาปัดมือของเธอออก แล้วเปิดเสื้อของเธอขึ้นด้วยมือเดียว

“อ้ะ!ลู่จิ่งเซิน นายทำแบบนี้ได้ยัง?”

จิ่งหนิงร้องโวยวายยกใหญ่ เพราะถูกผู้ชายคนนี้จับมือทั้งสองข้างกดไว้เหนือศีรษะ อีกทั้งยังถูกพลิกตัวลงมานอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงด้วย ส่วนเรียวขาที่อ่อนนุ่มทั้งสองข้างของเธอก็ยังถูกกดไว้ด้วยเข่าของเขาอีก

การต่อต้านขัดขืนของผู้หญิงคนนี้ถูกกดลงบนหมอน มันกลายเป็นเสียงอู้อี้ที่ไม่ชัดเจน

ลู่จิ่งเซินมองไปบนผิวอันขาวเนียนของเธอที่โดนกระแทกเป็นรอยแดงด้วยความเย็นชา

พึ่งจะผ่านไปแค่สองนาทีเอง มันก็เริ่มช้ำเขียวแล้ว

เขาเปิดฝายาออกด้วยมือข้างเดียว แล้วบีบยาขี้ผึ้งลงบนฝ่ามือ จากนั้นก็ทาลงไปตรงบริเวณแผลของเธอด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

“อ้ะ……เจ็บ……”

จิ่งหนิงร้องโอดโอยด้วยเสียงอู้อี้

ลู่จิ่งเซินจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา:“รู้ว่าเจ็บแล้วยังทำตัวบุ่มบ่ามขนาดนี้อีก?อายุเท่าไหร่กันแล้ว?ไม่เห็นโต๊ะรึไง?”

จิ่งหนิงเงียบลงไปทันที

เขาเป็นคนฉวยโอกาสเข้ามาจูบเธอแท้ๆ และตอนนี้เธอก็ถูกชนจนกลายเป็นนี้ไปแล้ว เขายังจะดุเธออีก!

เมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงพูดขึ้นอีกว่า:“เป็นใบ้ไปแล้วหรอ?”

จึ่งหนิงหันไปหาเขาพร้อมกับตะโกนใส่ด้วยความโมโห:“ไม่อยากคุยกับนายต่างหาก!”

ใบหน้าของเธอแดงก่ำเพราะกลั้นความเจ็บไว้ ส่วนตรงหางตาก็มีคราบน้ำตาติดอยู่ เธอเหมือนกับสิงโตตัวน้อยที่กำลังขู่คำรามแยกเขี้ยวอยู่ยังไงยังงั้นเลย

ลู่จิ่งเซินคิดอยากจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

นิ้วมืออันเรียวยาวค่อยๆลูบลงบนผิวที่นิ่มนวลของเธอ ฝ่ามือที่สัมผัสกับผิวอันเกลี้ยงเกลาราวกับเค้กนม มันให้ความรู้สึกที่ดีมากจนยากที่จะอธิบายได้

ลมหายใจของเขาเริ่มหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย

ความร้อนรุ่มที่ถูกกดอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน จู่ๆมันก็ค่อยๆกลับมาอีกครั้ง

จึ่งหนิงเองก็เริ่มรู้สึกได้รางๆ ความรู้สึกที่ทั้งอบอุ่นและอันตรายนี้บวกกับนิ้วมืออันเรียวยาวของชายคนนี้ที่กำลังกรีดกรายอยู่บนตัวเธอ มันทำให้เธอว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที

เธอจึงรีบพูดขึ้น:“นายทาเสร็จรึยัง?ถ้าทาเสร็จแล้วก็ปล่อยฉันซักที!”

ครั้งนี้ ลู่จิ่งเซินไม่อดทนอีกต่อไป

เพราะว่าถ้ากลั้นไว้อีกรอบ เขาก็ไม่อาจรับประกันได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีก

เมื่อชายคนนี้ลุกขึ้น จิ่งหนิงจึงรีบลุกขึ้นตามแล้วจัดการเสื้อของตัวเองให้เป็นระเบียบอย่างรวดเร็ว

ลู่เจิ่งเซินหมุนตัวมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำ

ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงเดินออกมา

พอจิ่งหนิงเดาได้ว่าเขาไปทำอะไรมา ใบหน้าอันจิ้มลิ้มของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมามากกว่าเดิม

เธอมักจะรู้สึกว่ายิ่งอยู่กับชายคนนี้นานมากเท่าไหร่ เรื่องบางเรื่องมันก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

แต่ว่า ถ้ามองอีกด้านหนึ่งผู้ชายคนนี้ก็ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษอยู่นะ

เขาทำตามเงื่อนไขที่เธอพูดไว้ก่อนงานแต่งงานได้จริงๆ

ที่ว่าถ้าเธอไม่อนุญาต เขาก็ห้ามแตะต้องตัวเธอเป็นอันขาด

พอคิดถึงตรงนี้ จิ่งหนิงก็ยิ้มมุมปากออกมาอย่างอดไม่ได้

ลู่จิ่งเซินออกไปรินน้ำสองแก้วเข้ามา แล้วจ้องไปที่เธอ

“ผมสามารถทำให้วัฒนธรรมซิงฮุยไปอยู่ใต้การบริหารของอานหนิงกั๋วจี้ได้ แต่ว่าผมมีเงื่อนไข”

“เงื่อนไขอะไร?”

“คุณต้องเข้าร่วมกับอานหนิงกั๋วจี้ ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอานหนิงกั๋วจี้”

จิ่งหนิงได้แต่อึ้ง

คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเสนอเงื่อนไขนี้ออกมา

ลู่จิ่งเซินอธิบายต่อ:“ถึงแม้อานหนิงกั๋วจี้จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วมาก แต่ในความเร็วนั้นมันก็มีข้อเสียอยู่ของมันอยู่ และแม้ว่าแหล่งทรัพยากรจะเป็นข้อได้เปรียบของพวกเราก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน เนื่องจากการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงเป็นจุดอ่อนของพวกเรา โดยเฉพาะฝ่ายประชาสัมพันธ์ ดังนั้นผมเลยอยากจะให้คุณเข้ามาช่วยผมสร้างทีมประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา”

จิ่งหนิงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

ที่จริงจุดอ่อนที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของอานหนิงกั๋วจี้นั้นมีขึ้นตั้งแต่ก่อนคดีของเซ่เซียว เธอสังเกตเห็นมาพักหนึ่งแล้ว

เพราะไม่อย่างนั้นคดีที่ไม่ซับซ้อนอะไรมากมายนี้คงไม่ยืดเยื้อมาได้ถึงครึ่งเดือนหรอก

และสุดท้ายยังต้องมายืมมือเธอเข้าไปช่วยอีก

แต่อย่างไรก็ตามที่รู้มาก็อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้ได้ยินลู่จิ่งเซินพูดสารภาพกับเธอก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อันที่จริงจิ่งหนิงลังเลนิดหน่อย

เพราะหนึ่งคือเธอต้องดูแลจัดการวัฒนธรรมซิงฮุย เธอกังวลว่าเธอจะไม่มีเวลามารับช่วงต่อที่อานหนิงกั๋วจี้

และสองก็คือถ้าเธอตกลงรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่อานหนิงกั๋วจี้ เธอก็จะเป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของลู่จิ่งเซินโดยตรง

ไม่ว่าจะด้วยความเห็นแก่ตัว หรือว่าด้วยเหตุผลอื่นๆ อันที่จริงจิ่งหนิงล้วนไม่ค่อยเต็มใจที่จะมีความสัมพันธ์แบบเจ้านายและลูกน้องกับลู่จิ่งเซิน

ขณะที่เธอกำลังลังเลอยู่ จู่ๆลู่จิ่งเซินก็พูดขึ้น:“เพียงแค่คุณตอบรับ ต่อจากนี้ผมจะให้สิทธิพิเศษในการเลือกแหล่งทรัพยากรของอานหนิงกั๋วจี้กับคุณเลย”

จิ่งหนิงตาเป็นประกาย

“จริงเหรอ?”

“จริง”

“ก็ได้!ฉันตกลง!”

ระหว่างการแบ่งปันแหล่งทรัพยากรให้กับการให้อภิสิทธิ์พิเศษในการเลือกแหล่งทรัพยากรทั้งสองอย่างนี้มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

อันแรกเป็นการเลือกเนื้อที่เหลือจากการที่คนอื่นไม่เอามากิน แต่อีกอันคือเนื้อที่ถูกต้มจนสุกแล้วในหม้อ คิดอยากจะกินชิ้นไหนก็หยิบกินได้เลย

สำหรับวัฒนธรรมซิงฮุยแล้วล่ะก็ นี่มันเหมือนกับใบเบิกทางขึ้นสู่ที่สูงโดยตรง เป็นเหมือนวีไอพีที่นั่งอะไรประมาณนั้น!

จิ่งหนิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความดีใจอย่างอดไม่ได้

แม้ว่าหลังจากนี้เธอจะต้องทำงานบริษัทเดียวกันกับชายคนนี้เธอก็ยอม

ลู่จิ่งเซินมองเธอที่กำลังดีใจ แล้วเม้มริมฝีปากลง

“นี่คือขายตัวเองแล้วหรอ?คุณแน่ใจนะว่าไม่ต้องการคิดไตร่ตรองอะไรอีกครั้ง?”

จิ่งหนิงกะพริบตาปริบๆ

ดวงตาคู่สวยจ้องมาที่เขา“แล้วคุณจะรังแกฉันไหม?”

ลู่จิ่งเซิน:……

แม่สาวน้อย แค่นี้ก็รู้แล้วหรอว่าจะโต้กลับเขายังไง!

แผนอันชั่วร้ายของจิ่งหนิงสำเร็จ เธอหัวเราะร่าออกมาอย่างอดไม่ได้ แล้วเดินถอยหลังไปสองก้าวจากนั้นก็โบกมือไปมาให้เขา

“ประธานลู่ งั้นก็ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปทำสัญญากับคุณ คุณห้ามกลับคำพูดนะ ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนล่ะ”

พูดจบ เธอก็หยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้ว

ลู่จิ่งเซินมองตามหลังเธอพร้อมกับเผลอยิ้มออกมา

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset