วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 650 ทะเลาะกันในห้องอาหาร

แทบจะไม่เคยทะเลาะกับเธอเลย และยิ่งไม่เคยโกรธด้วย

แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า คนที่ไม่เคยทะเลาะกับคุณเลย ก็ใช่ว่าจะเป็นคนที่รักคุณที่สุด

กลับเป็นคนที่ไม่ห่วงใยคุณที่สุดอย่างแน่นอน

เพราะไม่ห่วงใย ดังนั้นจึงไม่สนใจ

ไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะพูดอะไรทำอะไร ก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา และก็ไม่สำคัญแล้ว

ในใจของเขา คนที่สำคัญที่สุดเสมอก็คือนักแสดงต่ำต้อยคนนั้น

คนที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก คนที่ในใจเขาใฝ่ฝัน ผู้หญิงที่ทำให้เขาลืมไม่ลงตลอดชีวิต

แต่น่าเสียดาย ที่เธอยังโกรธไม่ได้ด้วย

รู้ทั้งรู้ว่าในใจของสามีตัวเองมีคนอื่นอยู่ กลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่หึงหวง

เพราะว่า คนที่มีชีวิตอยู่ จะไปแย่งกับคนที่ตายไปแล้วไม่ได้

เธอจะเอาอะไรไปแย่งล่ะ

เพราะเธอตายแล้ว ตายอย่างมีสวยหรู อย่างสวยงาม และได้ทิ้งเงาของเธอไว้ในใจเขาตลอดไป

ราวกับฝันร้าย ที่พัวพันเขา และก็พัวพันตัวเอง

เธอจะเอาอะไรไปแย่งล่ะ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาตู๋กูยิงค่อยๆแดงขึ้น

หัวใจ ก็เหมือนถูกสิ่งของมาพันแน่น ทั้งเจ็บทั้งแสบ

สายตาจ้องไปที่หน้าจอมือถืออีกครั้ง แล้วหัวเราะเยาะออกมา

ดูซิ นี่เป็นลูกชายของเธอนะ

เธอคลอดเขามาอย่างยากลำบาก เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ วันนี้ เขากลับไปยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอง เกลี้ยกล่อมตัวเองให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เกลี้ยกล่อมให้ตัวเองต้องใจกว้าง

เชอะ จริงๆนะ………ช่างน่าขำจริง

ตู๋กูยิงก็ไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ไปนานเท่าไหร่

จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมาจากข้างนอก รวมทั้งเสียงสุภาพของคนรับใช้ที่ชั้นล่าง“คุณผู้ชาย ท่านกลับมาแล้วหรือ”

เธอถึงรีบเช็ดน้ำตา เข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ แล้วหันหลังเดินไปข้างนอก

เพิ่งจะเดินไปถึงปากบันได ก็เห็นเฟิงสิงลังกลับมาจากข้างนอกแล้ว

เมื่อเฟิงสิงลังเห็นเธอ ถามอย่างอ่อนโยนว่า“ได้ยินว่าเหวินเหวิน มาเมืองหลวงหรือ วันนี้คุณได้พาเธอไปเที่ยวที่ไหนบ้าง”

แม้ว่าเหวินเหวินจะเป็นเพียงหลานสาวลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งแม่ของตู๋กูยิง แต่เฟิงสิงลังก็ยังห่วงใยมาก

ตู๋กูยิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบๆว่า“ก็ไปเดินเล่นที่ไทม์สแควร์สักพัก”

เฟิงสิงลังไม่ได้สังเกตเห็นความไม่พอใจในสีหน้าของเธอ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เด็กคนนี้ไม่นานก็จะจบมัธยมปลายแล้ว มันไม่ง่ายเลยที่คราวนี้ปิดเทอมช่วงฤดูหนาว มาเที่ยวถึงเมืองหลวง คุณจะต้องพาเธอเที่ยว ได้ยินว่าต่อไปเธออยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองหลวง ก็สามารถช่วยแนะนำเธอได้นะ คุณถนัดทำเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ ”

ที่จริง เฟิงสิงลังไม่ได้มีความหมายอื่น

ก็หมายความตามตัวอักษรที่พูดไปนั่นแหละ ตู๋กูยิงเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น จะยินดีให้คำแนะนำพวกนี้กับลูกๆของญาติ

แต่อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ตู๋กูยิง กำลังไม่ค่อยสบายใจ

เมื่อได้ยินคำพวกนี้ ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นเหมือนกำลังประชดประชันเล็กน้อย

เธอยิ้มเย็นชา “ฉันถนัดอะไรหรือ หรือว่าวันๆฉันทำได้เพียงช่วยเหลือแนะนำเด็กคนอื่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยอะไรอย่างนั้นหรือ ฉันไม่มีงานของตัวเองไม่มีเรื่องของตัวเองหรือ”

เฟิงสิงลังชะงักไป รู้สึกงงเล็กน้อย

ผ่านไปสักครู่ ถึงตอบอย่างเสียงอ่อนว่า “ผม ผมก็ไม่ได้พูดอะไรนี่”

ใครจะคิดว่า ตู๋กูยิงกลับไม่คิดจะปล่อยผ่านไปง่ายดายเช่นนี้

แล้วก็กล่าวต่ออย่างเย็นชาว่า “ได้ ในที่สุดฉันก็ได้เห็นแล้วว่า คุณดูถูกฉันไม่ใช่หรือ คุณว่างานของฉันสบายเกินไปไม่สำคัญ จำเป็นจะต้องช่วยคนในครอบครัวนี้พิจารณานั่นพิจารณานี่หรือ เวลาของคุณเป็นเวลาแต่เวลาของฉันไม่ใช่ สรุปคือฉันต่ำกว่าคนของตระกูลเฟิงหนึ่งชั้น”

หากจะบอกว่าเมื่อกี้นี้ เขายังคิดว่าตู๋กูยิงเพียงแค่โจมตีเขาอย่างไม่ตั้งใจ

พอพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่ตัวเองคิด

เขาคิ้วขมวดขึ้นมาทันที และก็ไม่มีเวลาสนใจมือที่กำลังถอดเสื้อโค้ตแล้ว เดินเข้าไปถามอย่างห่วงใยว่า “วันนี้คุณไปพบเจอเรื่องอะไรมาหรือ”

ตู๋กูยิงนิ่งไปสักครู่ แล้วพึมพำเสียงเย็นชา

ไม่พูดไม่จา หันหลังเดินไปทางห้องอาหาร

เธอไม่ตอบ เฟิงสิงลังก็ช่วยไม่ได้ คิดๆดูแล้ว รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองได้ทำเรื่องทั้งหมดอย่างเต็มที่สุดแล้ว

ก็ไม่ได้เป็นคนไปหาเรื่องเธอ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นคนทำให้เธอโกรธ

ดังนั้นตอนนี้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้ น่าจะไม่เกี่ยวกับตัวเองหรอกใช่ไหม

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาถึงโล่งใจลงเล็กน้อย แล้วก็เดินตามไปทางห้องอาหาร

เฟิงยี่กับเฟิงเหยี่ยนต่างก็ไม่อยู่บ้าน สุขภาพร่างกายของนายท่านเฟิงช่วงหลายปีมานี้นับวันแย่ลง ไม่ได้พักอยู่ในเมืองหลวงมานานแล้ว แต่ไปเลี้ยงชราที่เมืองอบอุ่นทางตอนใต้แล้ว

ดังนั้น บนโต๊ะอาหารในบ้าน เหลือเพียงสองสามีภรรยาเท่านั้น

โดยปกติ บรรยากาศระหว่างทั้งสอง ถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่ารักกัน แต่ยังเข้ากันได้

จะพูดว่าเคารพกันเหมือนเป็นแขกก็ไม่ได้พูดเกินจริง

แต่บนโต๊ะอาหารวันนี้ บรรยากาศเห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งไม่ปกติ

ตู๋กูยิงยังคงอยู่ในอารมณ์ตลอดเวลา จนทำให้เฟิงสิงลังที่ปกติจะสนุกกับการทานข้าว ก็ไม่ค่อยพูดอะไรไปด้วย

คนสองคนบนโต๊ะอาหารเดียวกัน ต่างทานข้าวอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร

บรรยากาศนั้นไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกแปลกๆ

คนรับใช้ในบ้านยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกระหว่างคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิง ต่างถอยออกไปอย่างเงียบๆ อย่างไม่กล้ายืนอยู่ในห้องอาหาร กลัวว่าหากไม่ระวังจะพลอยติดร่างแหไปด้วย

ดังนั้น ในห้องอาหาร ตอนนี้ไม่มีแม้แต่คนรับใช้สักคน

ตู๋กูยิงทานไปไม่กี่คำ ก็วางตะเกียบลงอย่างรวดเร็ว

เอาผ้าเช็ดปาก แล้วลุกขึ้นเดินออกไปทางด้านนอก

เฟิงสิงลังชะงักงัน มองดูถ้วยตรงหน้าเธอที่ทานไปไม่กี่คำ ขมวดคิ้ว “คุณจะไปไหน ”

ตู๋กูยิงตอบอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

คิ้วของเฟิงสิงลังขมวดเข้าไปอีก

นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาไม่นิ่ง และก็ไม่ยอมถอย

แต่เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงดีๆว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร จะต้องทานข้าวให้หมดใช่ไหม กระเพาะคุณไม่ดี หากไม่ทานข้าว เดี๋ยวเวลากลางคืนก็จะปวดกระเพาะขึ้นมาอีก จะทำให้คนทั้งหมดนอนไม่ดีไปด้วย”

ความตั้งใจของเขา ที่จริงไม่ได้หมายถึงรังเกียจตู๋กูยิง

เพียงแค่จะบอกว่า จะต้องดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ ไม่อย่างนั้นกลางดึกปวดกระเพาะขึ้นมาตัวเองจะทรมาน หมอประจำครอบครัวกับคนรับใช้ในบ้านทั้งหมดต่างต้องดูแลเธอ จะเป็นการรบกวนคนอื่นเกินไป

แต่ฟังอยู่ในหูตู๋กูยิง ทำไมกลับเหมือนได้กลิ่นกำลังรังเกียจตัวเองเช่นนั้น

ความโกรธที่ระงับอยู่ในใจเดิมทีนั้น ก็ระเบิดออกมาทันที

เธอหันหน้ามา จ้องมองเฟิงสิงลัง กล่าวอย่างดุเดือดว่า “คุณปวดกระเพาะแล้วอย่างไรหรือ ฉันปวดกระเพาะแล้วรบกวนคุณหรือคุณพูดมาเลยนะ หากคุณทนดูไม่ได้ไม่ชอบ คุณก็ไม่ต้องพักในบ้านไปพักข้างนอกซิ ฉันก็ไม่ได้สนคุณอยู่แล้ว ใครร้องขอให้คุณมานอนไม่ดีที่นี่ล่ะ ”

เธอใส่ไฟมาชุดใหญ่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนทำให้เฟิงสิงลังงุนงงไปเลย

นี่ยิ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่า ตู๋กูยิงในวันนี้ ช่างไม่เหมือนคนในวันปกติจริงๆ

เขาครุ่นคิด แล้วรู้สึกว่าในเวลานี้ ยังไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับเธอจะดีกว่า

ยิ่งทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันก็ยิ่งจะทะเลาะกันรุนแรงขึ้น

ท้ายที่สุดก็จะควบคุมไม่ได้ ไม่จำเป็นเลยจริงๆ

ต่างก็อายุกี่สิบปีแล้ว ลูกๆก็แต่งงานกันแล้ว ทะเลาะกันไปก็จะทำให้เสียความรู้สึกเปล่าๆ

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset