วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 752 สี่ปีเต็ม

ผู้คุมเรือนจำไม่ได้คิดอะไรมาก

เพราะถึงอย่างไร ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมานี้ เฉียวฉีก็เป็นเด็กดีมาก

เธอดีมากจนดูไม่เหมือนกับอาชญากรที่ชั่วร้ายเลยแม้แต่น้อย เธอดูเหมือนกับน้องสาวข้างบ้านที่แสนอ่อนโยน ที่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะคอยดูแลเธอ

บางครั้งหล่อนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ดูสิ เธอช่างแสนดีอะไรอย่างนี้!

เหมือนกับถูกทำลายทั้งเป็น

ถึงแม้ว่าตอนที่หล่อนปลอบใจ เฉียวฉีหล่อนจะบอกกับเธอว่าเธอยังเด็ก ยังมีโอกาสและความหวังมากมายในอนาคต

แต่ในใจของหล่อนก็รู้ดี การที่เธอต้องติดคุกคนเดียว ด้วยข้อหาฆาตกรรมผู้อื่นแบบนี้ หลังจากที่เธอออกไปแล้ว มันจะไม่ส่งผลต่ออนาคตของเธอได้อย่างไร?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

หลังจากที่ เฉียวฉีถูกปลดกุญแจมือเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องขัง และเดินกลับไปนั่งที่เตียง

ผู้คุมเรือนจำทำการล็อกประตู จากนั้นก็หมุนตัวและเดินจากไป

ภายในห้องขังกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

เธอนั่งอยู่ในนั้นเงียบ ๆ พร้อมกับนั่งไขว่ห้าง ร่างกายของเธอผอมบางและอ่อนแอดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก แต่ในสายตาของคนที่พบเห็น มันกลับให้ความรู้สึกดื้อรั้นอย่างบอกไม่ถูก

เหมือนกับต้นสนที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แม้จะต้องผ่านพ้นสภาพลมหิมะ มันก็ยังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อย และเอาแต่นิ่งเงียบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆ เธอก็ยื่นมือออกไปหยิบดินสอออกมาจากใต้หมอน เธอเริ่มขีดๆ เขียนๆ และวาดภาพบนผนังเล็กๆ สีขาวข้างเตียง

เมื่อมองดูเส้นที่ดูยุ่งเหยิง รวมทั้งตัวอักษรและตัวเลขบางตัวที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้

เธอรวบรวมข้อความเหล่านั้นเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายเธอก็เปลี่ยนมันเป็นคำตอบอย่างที่เธอต้องการ

เมื่อมาถึงขั้นตอนสุดท้าย เธอก็มองดูผลลัพธ์บนผนัง เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นมุมปากของเธอก็กระตุกขึ้น

สี่ปี หรือเท่ากับหนึ่งพันสี่ร้อยหกสิบวัน

เธอไม่มีอะไรที่อยากจะทำเลย แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธออยากจะทำ

เธอเชื่อว่า มีแค่สิ่งนี้เท่านั้น ที่เพียงพอที่จะทำให้เธอฟื้นคืนชีพกลับมาจากความตายและพลิกฟื้นตัวเองกลับมา หลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ

……

เวลาผ่านไปไวมากจริงๆ

เพราะเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาถึงอีกวันแล้ว

วันนี้เป็นวันที่เธอจะได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ

ในตอนเช้า เฉียวฉีถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของทรัมเป็ต หลังจากที่ลุกออกจากเตียงแล้ว เธอก็รีบล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ออกไปรับประทานอาหารเช้ากับผู้ต้องขังคนอื่นๆ

ต้องขอบคุณคำให้การของตระกูลถังในตอนนั้น เธอจึงได้รับโทษจำคุกเพียงแค่สี่ปี แม้ว่าในแต่ละวันชีวิตของเธอจะผ่านไปได้ไม่ง่ายนัก แต่ภายในคุกแห่งนี้ เธอก็ไม่ได้ถูกข่มเหงรังแกเท่าไหร่นัก

เนื่องจากคดีของเธอเป็นคดีพิเศษ ทางเรือนจำจึงเตรียมห้องขังพิเศษให้กับเธอ โดยการจับเธอขังเดี่ยว

นี่ดูเหมือนจะเป็นการลงโทษสำหรับเธอ แต่ความจริงแล้ว การขังเดี่ยวก็ยังหมายถึง นอกจากเวลาที่จะต้องออกไปรับประทานอาหารหรือต้องออกไปข้างนอกแล้ว ในช่วงเวลาที่เหลือ เธอก็จะได้อยู่คนเดียวทั้งหมด

ตลอดระยะเวลาสี่ปี หรือมากกว่าหนึ่งพันวันทั้งกลางวันและกลางคืน เธอไม่มีใครให้พูดด้วยเลยแม้แต่คนเดียว

เรื่องนี้ สำหรับคนปกติทั่วไปแล้ว เกรงว่าพวกเขาคงจะทนรับมันไม่ได้

แต่ความเป็นจริง สำหรับคนอย่าง เฉียวฉี ไม่สำคัญเลยว่า เธอจะมีคนให้พูดด้วยรึเปล่า

เพราะเธอไม่ใช่คนชอบพูด เธอชอบอยู่เงียบๆ คนเดียว

และยิ่งไปกว่านั้น มันก็ดีมากกว่าสำหรับเธอในการทำบางสิ่ง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากของ เฉียวฉีก็กระตุกขึ้น

หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาที่เธอจะได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ

แต่ก่อนที่เธอจะได้รับการปล่อยตัว มันก็ยังมีขั้นตอนต่างๆ ที่เธอจะต้องไปจัดการก่อน

ทุกคนรู้ว่าเธอจะได้รับการปล่อยตัวออกไปวันนี้ เพราะอย่างนั้นผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงมาแสดงความยินดีกับเธอ หลังจากที่พวกหล่อนรับประทานอาหารเช้าเสร็จ

แม้ว่าระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอและพวกหล่อนจะไม่ได้ถูกจับขังร่วมกัน และไม่ได้พูดคุยกันมากนัก แต่ในสถานที่แห่งนี้ ทุกคนก็ไม่ได้มีเพื่อนมากนัก

โดยปกติแล้วพวกหล่อนจะได้เจอเธอ ก็ต่อเมื่อเธอออกมารับประทานอาหารหรือตอนที่เธอออกมาข้างนอก เพราะอย่างนั้นทุกคนจึงรู้ว่าเธอเป็นคนอย่างไร เธอเป็นคนพูดน้อย และไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกหงุดหงิด แม้ว่าจะมีบางคนไม่ชอบเธอ แต่พวกหล่อนก็ไม่ได้เกลียดเธอ

ตอนนี้เธอก็จะได้รับการปล่อยตัวแล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พวกหล่อนจะเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอ

เฉียวฉีไม่ได้พูดอะไร แต่เธอก็น้อมรับคำยินดีจากคนที่เข้ามาแสดงความยินดีกับเธอทีละคนๆ

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ผู้คุมเรือนจำที่เป็นคนดูแลเธอก็เข้ามาเรียกเธอ เพื่อที่จะพาเธอไปจัดการเรื่องต่างๆ ก่อนที่เธจะได้รับการปล่อยตัว

ในเวลานี้ อีกด้านหนึ่ง

ภายในปราสาท ในเช้าวันนี้ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากใครบางคน

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง นั่นจึงทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่สามารถมองเห็นจิตใจที่เต็มไปด้วยหมอกควันของใครบางคนได้

ในตอนนี้ เขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พร้อมกับจ้องมองไปที่เอกสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความเหม่อลอย

เอกสารฉบับนั้น ถูกคลิกเข้าไปดูตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว หน้าเอกสารนั้นก็ยังไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยแม้แต่น้อย

ลุงโอเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมกับถาดยา จากนั้นก็วางมันลงตรงหน้าเขา

เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ เขาจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลว่า “คุณชาย คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”

กู้ซือเฉียนจึงได้สติกลับมา

สายตาคมจ้องมองไปที่ใบหน้าของ ลุงโอและเขาก็มีอาการงุนงงเล็กน้อยประมาณสองสามวินาที ก่อนที่เขาจะได้สติกลับมา จากนั้นเขาส่ายหัวปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร”

ขณะที่เขาพูด เขาก็หยิบถ้วยยาขึ้นมา จากนั้นก็กระดกขึ้นดื่มมันจนหมดในครั้งเดียว

ลุงโอถอนหายใจออกมา

“คุณดื่มยานี้มาสักพักแล้ว แต่อาการของคุณก็ยังไม่ดีขึ้นเลย และก็ไม่รู้ว่าคุณหมอกงจะกลับมาเมื่อไหร่ ร่างกายของคุณ…”

“ฉันไม่เป็นไร”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ กู้ซือเฉียนก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

กู้ซือเฉียนวางนิ้วลงบนเมาส์ เพื่อลากเมาส์บนหน้าจอ จากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ออกไปก่อนเถอะ”

เมื่อลุงโอได้ยินเช่นนั้น เขาก็หยุดพูดไป

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะทักท้วงอะไรมากนัก เขาวางถ้วยยาที่ว่างเปล่ากลับลงไปในถาดตามเดิม จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินออกไป

ทันทีที่เขาเดินผ่านประตูออกมา เขาก็เห็น หลินเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ที่ปลายทางด้านหนึ่งของทางเดิน พร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกว่าหล่อนกำลังรอคอยบางอย่างอยู่

เมื่อเห็นดังนั้นลุงโอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้ว ความประทับใจของเขาที่มีต่อ หลินเยว่เอ๋อร์ก็ได้ถูกทำลายลงไปอย่างหมดสิ้น

ผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงแต่จะหน้าซื่อใจคดแล้ว แต่หล่อนก็ยังพยายามเข้าใกล้คุณชายของเขาหลายต่อหลายครั้ง และใครก็ตามที่มีสายตาที่แหลมคม มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหล่อนต้องการอะไร

ลุงโอ ไม่ใช่คนคร่ำครึ และด้วยความที่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้างกายของกู้ซือเฉียนไม่เคยมีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว นั่นจึงทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า กู้ซือเฉียนจะต้องรีบไปพบจิตแพทย์

ก่อนหน้านี้เขามองว่า หลินเยว่เอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง แม้ว่าหล่อนจะถูกจับมาขายที่นี่ แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ความผิดของหล่อน

แต่ต่อมา เมื่อเขาได้เห็นพฤติกรรมและความปรารถนาที่แสดงออกมาของหล่อน นั่นจึงทำให้ลุงโอเปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อหล่อนก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะอย่างนั้น จะมีคำกล่าวที่ว่า คนจนก็ต้องมีสิ่งที่น่ารังเกียจได้อย่างไรล่ะ?

หล่อนถูกลักพาตัวมาขายที่นี่ ชีวิตของหล่อนพลิกผันอยู่หลายครั้ง และหล่อนถูกคนอื่นรังแก แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังมีความคิดหน้าซื่อใจคด เพราะนอกจากหล่อนจะไม่สำนึกบุญคุณของกู้ซือเฉียนที่ช่วยหล่อนเอาไว้แล้ว แต่หล่อนก็ยังประจบประแจงผู้มีอิทธิพลอย่างเขา เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง

และเพื่อที่หล่อนจะได้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง หล่อนถึงขั้นใช้ประโยชน์จากคนที่ช่วยชีวิตของหล่อนเอาไว้

หึ! ผู้หญิงที่อยากจะปีนขึ้นไปบนเตียงของคุณชายของเขาแบบนี้ หล่อนมีค่าอย่างนั้นหรือ?

ลุงโอรู้สึกดูถูกดูแคลนอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่ง

เขาเดินเข้าไปหาหล่อน จากนั้นเขาก็ถามหล่อนออกไปว่า “คุณหลินคุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? คุณมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้คุณชายกำลังยุ่ง ถ้าหากว่าคุณมีเรื่องด่วนอะไร ทางที่ดีคุณอย่าไปรบกวนคุณชายเลยจะดีกว่านะครับ”

เมื่อวันก่อนเป็นวันแรก หลินเยว่เอ๋อร์ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ ในตอนนั้นเธอยังไม่รู้ว่าลุงโอเป็นใคร และเธอก็ไม่รู้ว่ากู้ซือเฉียนพึ่งพาเขา และเชื่อใจเขามากขนาดไหน

เพราะอย่างนั้นเธอจึงทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก

หลังจากที่กลับมาถึงปราสาท หล่อนก็ได้ยินเรื่องของเขามาจากคนรับใช้ที่ชื่อว่าเสี่ยวถาวเพราะอย่างนั้นหล่อนจึงรู้ตำแหน่งของเขาภายในปราสาทแห่งนี้ นั่นจึงทำให้หล่อนรู้สึกเสียใจภายหลัง

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset