วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 792 เผชิญหน้ากับความเสี่ยง

แน่นอนว่าถังชีชีแทบจะรอไม่ไหว ดังนั้นเธอจึงเก็บข้าวของออกมาโดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย

ในขณะที่เธอเพิ่งย้ายของออกจากหอพักก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉียวฉี เธอก็ดีใจและรีบออกมาทันที

ทั้งสองคนนัดพบกันที่ร้านหม้อไฟแห่งหนึ่ง

เป็นร้านหม้อไฟที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีไม่เหมือนร้านหม้อไฟราคาถูกตามข้างถนนเหล่านั้น เพียงแค่ไม่เพียงแค่วัตถุดิบจะสด อร่อย แต่บรรยากาศก็มีสไตล์ระดับเฟิร์สคลาส

นี่เป็นครั้งแรกที่ถังชีชีเดินทางมาสถานที่แบบนี้ ตอนที่เธอเดินเข้ามาด้านในก็รู้สึกเขินเล็กน้อย

จนกระทั่งพนักงานบริการพาเธอมาที่ชั้นสองเข้าไปในห้องวีไอพี จึงได้พบกับเฉียวฉีนั่งอยู่ที่นั่น ร่างกายที่ตึงเครียดของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“พี่!”

เธอตะโกนออกมาและวิ่งเข้าไปทันทีพร้อมกับรอยยิ้ม

เฉียวฉีเงยหน้ามองดูเธอยิ้มและทักทายอีกฝ่ายหนึ่งว่า “อ้าวมาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ”

ถังชีชี เดินไปฝั่งตรงข้ามและนั่งลงอย่างดีใจ และเห็นว่าหม้อตรงหน้านี้ใส่วัตถุดิบลงไปหลายอย่างแล้ว

เฉียวฉีใช้ตะเกียบคีบเนื้อขึ้นมาสองสามชิ้นแล้วพูดว่า “กินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ถังชีชีพยักหน้าและหยิบตะเกียบขึ้น เธอคีบหน่อไม้ที่ต้มจนสุกแล้วและกัดเข้าไปคำหนึ่ง

“อื้อฮือ หอมมากเลย!”

เฉียวฉีมองดูเธอแล้วหัวเราะขึ้นพูดว่า “ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆนะ”

เมื่อพูดจบเธอก็ลวกเนื้อให้กับหล่อนอีก

ถังชีชีก็ไม่ได้เกรงใจและหยิบมันขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะเดียวกันก็บอกกับ เฉียวฉีว่า “พี่ก็กินด้วยนะคะ”

“อืม”

ทั้งสองคนพากันรับประทานอาหารอย่างอบอุ่น กลิ่นหอมของหม้อไฟโชยขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้ทั้งสองคนลืมปัญหาและความเศร้าโศกจากภายนอกไปได้

หลังจากรับประทานอาหารมื้อนี้เรียบร้อยแล้ว ก็กินเวลาไปประมาณหนึ่งชั่วโมง

เฉียวฉีให้พนักงานนำหม้อและจานชามยกออกไป จากนั้นสั่งให้นำน้ำชาเข้ามาเสิร์ฟแก้เลี่ยน

ต่อมาจึงได้เอนกายเข้าที่พนักพิง และมองดู ถังชีชีที่กินอิ่มเสียจนท้องกลม ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ชีชีฉันจะไปจากที่นี่แล้ว”

ชีชีตกตะลึง

“ไปเหรอคะ? ไปไหน?”

เฉียวฉี ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดว่า “ไปประเทศF แล้วก็อาจจะกลับประเทศสักพัก”

ประเทศที่เธอพูดถึงก็คือประเทศจีนนั้นเอง

เมื่อชี้ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความรู้สึกไม่ดีบางอย่างปรากฏขึ้นที่ก้นบึ้งหัวใจเธอ

เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ทำไมต้องไปละค่ะ? ที่นี่ไม่ดีเหรอ?”

เฉียวฉียิ้มออกมาจางๆ

ท่าทางของเธอเอนหลังไปที่เก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มือข้างขวายกขึ้นมาวางบนโต๊ะถูกถ้วยในมือเบาๆ นิ้วอันบอบบางของเธอเรียวงาม ให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

เธอพูดออกมาเบาๆว่า “ที่นี่ก็ดี แต่ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะต้องจัดการ”

ถังชีชีรู้สึกกังวลขึ้นมาจึงถามว่า “เรื่องอะไรกันคะ? พี่ทำคนเดียวได้เหรอ? ให้ฉันช่วยไหม?”

เฉียวฉี ยิ้มขึ้นเบาๆ

รอยยิ้มของเธอดุจดั่งสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถังชีชีรู้สึกว่าหูของเธอร้อนผ่าวและอายเขินอายอย่างบอกไม่ถูก “ฉันรู้ว่าฉันไม่มีความสามารถอะไร ถ้าตามไปด้วยคงจะเป็นตัวถ่วงเปล่าๆ แต่ว่า ฉันเป็นห่วงพี่จริงๆนะ……”

เธอกัดฟันและลังเลอยู่สักพัก ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้แต่ก็ไม่กล้าพูดมันออกมา

แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบกับแววตาอันสดใสของเฉียวฉีที่จ้องมองอยู่ เธอไม่อาจทนได้อีกต่อไปและรวบรวมความกล้าพูดมันออกมาว่า

“พี่ ฉันรู้ว่าพี่ไม่เหมือนพวกเรา ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป พี่มีความสามารถและเฉลียวฉลาด แล้วก็หาเงินเก่งมาก เรื่องที่พี่ทำพวกเราคนธรรมดาแม้แต่จะคิดยังไม่กล้าเลย”

“แต่ว่านะ สิ่งเหล่านั้นมันบ่งบอกว่า พี่จะมีอันตรายมากขึ้นไม่ใช่หรือไง? เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย และความเสี่ยง แม้ว่าพี่จะเฉลียวฉลาดและมีความสามารถขนาดไหนก็มีวันที่ผิดพลาดได้เหมือนกัน และมีวันที่พี่ไม่อาจควบคุมมันได้ ไม่อย่างนั้นเมื่อสี่ปีก่อนพี่คงไม่เข้าคุกหรอก”

“ดังนั้นฉันแค่อยากจะบอกกับพี่ว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าไปทำเรื่องพวกนั้นอีกเลย พวกเราใช้ชีวิตเรียบง่ายธรรมดาแบบนี้ไม่ดีเหรอ?”

“อาจจะมีเงินน้อยหน่อยแต่อย่างน้อยก็ปลอดภัย ฝูงมดยังรู้จักวิธีใช้ชีวิตเลย แล้วพวกเราทำไม ต้องเอาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายเพื่อผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ของเราด้วย?”

ดวงตาของเฉียวฉีหรี่ลงเล็กน้อย

ร่างกายของเธอเย็นชา ดวงตาอันเหมือนนกฟินิกซ์คู่นั้นของเธอหรี่เล็ก เมื่อเธอทำเช่นนั้น มักจะสร้างความน่าหวาดกลัว ให้กับผู้พบเห็นเสมอ

เธอขยับริมฝีปากแล้วถามว่า “ผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ของพวกเราอย่างงั้นเหรอ? ชีชี ไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”

ถังชีชีตัวแข็งทื่อ

เธอก้มหน้าลงผ่านไปสักพักจึงพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “ไม่ได้รู้มาจากที่ไหน ฉันเดาเอง”

เฉียวฉีนิ่งลง

เธอรู้ว่าชีชี พยายามที่จะสื่อคำพูดของเธออย่างมีไหวพริบและอ้อมค้อม แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดลึกๆในหัวใจนั้นออกมา

หล่อนคิดว่าเธอทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างงั้นเหรอ คิดว่าเธอเดินในทางที่ผิดจึงได้ถูกจับเข้าคุกในปีนั้น หล่อนคิดว่าเธอทำเรื่องอาชญากรขึ้นจริงๆเหรอ?

เฉียวฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ที่จริงแล้วเรื่องที่เธอทำก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก หากมองจากมุมอื่นอาจจะเห็นว่าเธอทำผิดกฎหมายอยู่ แต่เธอก็ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เธอทำนี้คืออาชญากร

เนื่องจากว่าแม้เธอจะเคยฆ่าคน เธอก็ฆ่าคนในแวดวง และคนพวกนั้นไม่ใช่คนบริสุทธิ์

มือของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือด มากมายกว่าเธอด้วยซ้ำไม่มีใครน้อยกว่าเธอเลย

และเส้นทางนี้ เสมือนกับลวดเหล็กที่ใครๆก็อยากจะเข้ามา แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะรองรับได้สักกี่คน ไม่เธอก็ฉันที่ต้องตกลงไป

เค้กก้อนหนึ่งจะใหญ่ขนาดไหนเชียว ถ้าเธอไม่รีบลงมือก่อน คนอื่นก็จะแย่งเอาไปกิน เมื่อถึงเวลาแล้วคนที่ตายไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นตัวเธอเอง

ดังนั้น บนเส้นทางนี้เธอจะมีความปรานีไม่ได้ ในบางครั้งอาจจะบอกได้ว่าเธอโหดเหี้ยมก็ได้

แต่สำหรับบรรดาผู้บริสุทธิ์ เธอไม่เคยคิดจะลงมือ และไม่เคยจะไปแตะต้อง

นี่คือหลักการของเฉียวฉี และเป็นบรรทัดล่างของเธอ

เพียงแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เธอไม่คิดจะบอกกับถังชีชี และไม่ต้องการอธิบายให้เข้าใจ

การที่หล่อนมองเธอผิดไปว่าเป็นคนเช่นนั้น ที่จริงอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

อย่างน้อย หล่อนอาจจะระมัดระวังตัวขึ้น และสร้างกำแพงในใจขึ้นมา รู้ว่าเรื่องอะไรควรทำและเรื่องอะไรไม่ควรทำ

บนโลกนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นพื้นที่สีเทา หากว่าเป็นไปได้ เธอหวังว่าถังชีชีจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ในใจของเธอไม่ใช่สีดำก็สีขาว และยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ มองเห็นแสงสว่างสดใสซึ่งเป็นความหวังอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่เป็นแบบตน ที่ทำได้เพียงเดินไปบนเส้นทางสีดำมองไปยัง หลุมที่ลึกล้ำและถูกมองจากอีกฝ่ายอยู่เช่นกัน

เมื่อพบว่าเธอไม่พูดอะไรออกมา ความกังวลใจของถังชีชีก็หนักอึ้งมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความเสียใจและโทษตัวเอง

เธอรู้สึกว่าเฉียวฉีดีกับตนมากขนาดนี้ และช่วยเหลือตนมาตลอด คิดแทนเธอมาเสมอ แต่ตนนั้นกลับใช้คำพูดแบบนี้มาพูดกับหล่อน

เธอพึ่งพาหล่อนแต่กลับดุด่าหล่อน เธอกำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ

เมื่อคิดได้ดังนั้น ถังชีชีก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นและมองดู เฉียวฉี

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset