วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 811 เย็นชาไร้หัวใจ

ผู้ชายไม่พูดอะไร

ดวงตาคู่สีดำจ้องมองเธออย่างเงียบๆ

ในใจเฉียวฉีรู้สึกอารมณ์ขึ้น เลยยื่นมือไปผลักเขาออกไปให้ไกลเล็กน้อย“ออกไป อย่ามากวนฉัน”

ตอนแรกคิดว่าผู้ชายจะโกรธ ไม่คาดคิดว่า เขากลับหัวเราะขึ้นมา

น้ำเสียงต่ำแหบแห้งเล็กน้อย พร้อมด้วยลมหายใจร้อนรวยรินพุ่งไปที่ข้างหู เสียงที่มีเสน่ห์และชั่วร้ายอธิบายไม่ถูก

“เฉียวฉี เวลาคุณหึงขึ้นมา เป็นอย่างนี้นี่เอง”

แขนที่ถูกเธอสะบัดออก ก็วางขึ้นไปใหม่อีกรอบ แต่ว่าครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายชายฉลาดขึ้นแล้ว ไม่ได้กดไปที่เอวของเธอทั้งหมด แต่วางไว้เฉย แล้วปลายนิ้วจับไปที่ติ่งหูเธอเบาๆ

“แต่ก่อน หลังจากที่คุณจากไปแล้ว ผมก็ไปหาหลินเยว่เอ๋อร์อีก”

เฉียวฉีร่างกายแข็งทื่อ

ถึงแม้ยังคงหันหลังให้เขาอยู่ ด้วยท่าทางที่งอนไม่อยากจะคุยกับเขา แต่ในความเป็นจริง ใบหูได้เริ่มตั้งขึ้นแล้ว

ก็ไม่รู้ว่ากู้ซือเฉียนได้สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเธอหรือไม่ เขายังคงกล่าวเรียบๆว่า“ช่วงนี้ ผมก็จะส่งเธอกลับไป ต่อไปเขาจะไม่โผล่มาให้คุณเห็นอีก อย่างนี้คุณพอใจหรือยัง”

เฉียวฉีขมวดคิ้วขึ้นมา

เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็หันหน้ามามองดูเขา

มองเขาด้วยสายตาที่หนักแน่น แล้วถามว่า“คุณจะส่งเธอไปไหน”

กู้ซือเฉียนเลิกคิ้ว

“ยิ่มต้องเป็นสถานที่ที่เธอควรจะไปอยู่แล้ว”

เฉียวฉียิ้มเย้ยหยัน

“ช่างใจดำจริงๆ คนอื่นเขารักคุณมาตลอด คุณพูดว่าจะทิ้งก็ทิ้ง กู้ซือเฉียน เวลามันผ่านมาสี่ปีแล้ว คุณยังคงเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม” สีหน้ากู้ซือเฉียนขรึมไป

เขายื่นมือ มาจับคางของเธอไว้ แล้วกล่าวด้วยสายตาลึกๆว่า“ไม่อย่างนั้นคุณจะให้ผมทำอย่างไร คนที่ไม่ชอบเธอคือคุณ ตอนนี้ผมจะส่งเธอไป คนที่ประชดประชันใส่ผมก็คือคุณ อย่างนี้คุณไม่รู้สึกขัดแย้งบ้างหรือ”

หัวใจเฉียวฉีกระตุก

ตอนแรกยังไม่รู้สึก พอถูกเขาพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง

เธอเลิกคิ้ว แล้วกล่าวอย่างรำคาญว่า“คุณรักจะทำอะไรก็ทำ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย”

พูดจบ หันหน้าสะบัดมือของเขาที่จับคางตัวเองออก แล้วหันหลังจากไป

กล่าวเสียงเบาว่า“ดึกแล้ว ฉันจะนอนแล้ว คุณไปเถอะ”

กู้ซือเฉียนจ้องมองเธออย่างลึกๆ

จนกระทั่งเฉียวฉีรู้สึกท้ายทอยตัวเองแทบจะถูกจ้องเป็นรูแล้ว แล้วจู่ๆก็รู้สึกข้างหลังเบาหวิว

ผู้ชายได้ลุกขึ้น กระโดดลงเตียง แล้วก็กระโดดออกไปทางหน้าต่างไปแล้ว

เธอหลับตา แล้วด่าลับๆว่า“คนประสาท”

บ้านของตัวเองไม่เดินประตูใหญ่ กลับจะปีนเข้า ปีนออกทางหน้าต่าง หัวสมองผู้ชายคนนี้ไม่ปกติจริงๆ

วันรุ่งขึ้น เฉียวฉีตื่นแต่เช้า

แสงอาทิตย์ในตอนเช้าสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง เธอหยีตา หันหน้ากลับมา ก็เห็นเสี่ยวเยว่เปิดประตูเข้ามา

“คุณเฉียว คุณตื่นแล้วหรือ”

เฉียวฉีพยักหน้า ยื่นมือออกมา ยืมแรงเสี่ยวเยว่พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง

“กี่โมงแล้ว”

“แปดโมงครึ่งแล้วค่ะ”

เสี่ยวเยว่ยิ้มเล็กน้อย ดูไปแล้วเหมือนอารมณ์ดีไม่เบา “เมื่อกี้นี้ลุงโอมาบอกว่า ถ้าคุณตื่นแล้วก็ให้แจ้งให้เขาทราบด้วย คุณหมอที่จะมาเปลี่ยนยาให้คุณมาถึงแล้ว รอเพียงให้คุณตื่นแล้วก็จะมาเปลี่ยนได้เลย”

เฉียวฉีตะลึงไปเล็กน้อย

เธอก้มหน้ามองดูผ้าก๊อซที่พันร่างกายตัวเองไว้ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว บาดแผลบนร่างกายบางจุดก็เกือบหายดีแล้ว

ตอนนี้ที่สำคัญ ก็ยังมีกระดูกซี่โครงกับแผลที่ขา

เธอพยักหน้า ยกมือขึ้นลูบผมที่นอนทับจนยุ่งเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า“ให้เขามาเลย”

“ ค่ะ”

เสี่ยวเยว่ออกไปแล้ว

ไม่นาน ก็พาคุณหมอมา

ตั้งแต่ที่เฉียวฉีได้รับบาดเจ็บเป็นต้นมา บาดแผลบนร่างกายของเธอล้วนให้คุณหมอท่านนี้รักษา ดังนั้นทั้งคู่คุ้นเคยกันมาก

อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปี ก็ไม่รู้ว่ากู้ซือเฉียนเกิดคิดอะไรขึ้นมา เดิมทีในปราสาทก็มีหมอผู้ชายปรนนิบัติเขาอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่ใช้หมอท่านนี้ แต่ไปหาหมอผู้หญิงจากที่อื่นมาหนึ่งคน

เฉียวฉีพิงที่หัวเตียง ถอดเสื้อผ้าออก ให้หมอผู้หญิงตรวจเช็ดและเปลี่ยนยาให้เธอ

รอเธอเปลี่ยนยาเสร็จแล้ว จึงถามว่า“บาดแผลบนร่างกายฉันเป็นอย่างไรบ้าง”

หมอผู้หญิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ฟื้นฟูได้ดีมาก บาดแผลบนหัวกับแขนเกือบจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ แผลที่ซี่โครงกับขายังต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง ระหว่างนี้ พยายามอย่าเคลื่อนไหวให้มาก จะทำให้กระดูกที่เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วจะได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง”

เฉียวฉีพยักหน้า

แล้วถามอีก “กว่าจะหายยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่”

คุณหมอครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า“น่าจะประมาณสามสี่เดือน เส้นเอ็นบาดเจ็บกับกระดูกเคลื่อนต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งร้อยวัน รีบร้อนไม่ได้”

หว่างคิ้วของเฉียวฉีขมวดเข้าเล็กน้อย

สามสี่เดือน……….

ยังจะต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลยหรือ

เธอหรี่ตาเล็กน้อย เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นเช่นนั้น ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มกับคุณหมอหญิงว่า “คุณหมอถัง ฉันจะส่งท่านออกไปเอง”

คุณหมอถังพยักหน้า แล้วทั้งสองคนหนึ่งเดินนำหน้าคนหนึ่งเดินตามหลังจากไป

หลังจากส่งคุณหมอถังแล้ว ไม่นาน เสี่ยวเยว่ก็กลับมา

เห็นเธอนั่งอยู่ที่หัวเตียง ด้วยท่าทางครุ่นคิดหน้านิ่วคิ้วขมวด ก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเข้ามา

“คุณเฉียว จะทานอาหารเช้าหรือยังคะ”

เฉียวฉีดึงสติกลับมา เงยหน้ามองไปที่เธอ

เธอครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ยังไม่ทาน เสี่ยวเยว่ ช่วยฉันไปจัดการเรื่องหนึ่งเถอะ”

เสี่ยวเยว่ชะงัก ดวงตาเธอเป็นประกายสลัว พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ได้ค่ะ คุณว่ามาเลย เรื่องอะไร”

เฉียวฉีกวักมือ ทำท่าทางให้เธอเอียงหูมา

เสี่ยวเยว่ก้มตัวลง เธอกระซิบที่ข้างหูเธอหลายคำ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวว่า“ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

เสี่ยวเยว่จากไปอย่างเร่งรีบ

เฉียวฉีนั่งอยู่ตรงนั้น เหม่อลอยเล็กน้อย

ก็ไม่รู้ว่าทำไม ในหัวกลับนึกถึงภาพเมื่อคืนที่ชายคนนั้นปีนหน้าต่างเข้ามา

หว่างคิ้วที่ละเอียดคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงค่อยๆคลายออก

เฉียวฉีไม่ได้อยู่ในห้องนอนตลอดเวลา

เธอรู้สึกว่าในห้องนอนน่าเบื่อหน่าย ดังนั้น หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้ว จึงนั่งรถเข็นออกไปคนเดียว

ออกไปทางประตูตึกรอง มีถนนเล็กค่อนข้างเรียบอยู่หนึ่งเส้น ถนนเล็กทะลุถึงสวนดอกไม้โดยตรง ตลอดทางมีภูเขาเทียมและน้ำเทียม วิวทิวทัศน์สวยงาม

เฉียวฉีบังคับรถเข็นไฟฟ้าด้วยตัวเองค่อยๆหมุนไป สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า อารมณ์ที่อัดอั้นในใจถึงค่อยๆคลายลง

บนตักเธอมีหนังสือวางอยู่หนึ่งเล่ม บังคับรถเข็นจนไปถึงสนามหญ้ากว้างที่ว่างเปล่า จากนั้นก็หยุดลง แล้วเลือกที่ที่ค่อนข้างร่มรื่นและเงียบสงบเพื่อดูหนังสือ

ตรงนี้มีต้นไม้ใหญ่หนึ่งต้น ต้นไม้กิ่งก้านใบไม้หนาแน่น พอดีสามารถบังแสงแดดในตอนเที่ยงได้

ถึงแม้จะบดบังแสงอาทิตย์ไว้แล้ว แต่ก็ไม่ได้บังความอบอุ่นให้สาดส่องเข้ามา ดังนั้นไม่แสบตาแล้วก็ยังทำให้คนรู้สึกอบอุ่น เหมาะสำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนอ่านหนังสือมากที่สุด

เฉียวฉีปรับเบาะรถเข็นลงเล็กน้อย จากนั้นก็กึ่งนั่งกึ่งเอนกายดูหนังสืออยู่ตรงนั้น

หนังสือที่เธอเลือกคือทฤษฎีเคนโด้ ซึ่งเขียนขึ้นมานานแล้วโดยปรมาจารย์เคนโด้ท่านหนึ่งรุ่นก่อน

จะให้เธอดูหนังสืออื่น เธอก็ดูไม่เข้าหัว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอก็ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนั้นดูความรู้เชิงทฤษฎีก็ดี ไม่ต้องพูดถึงว่าได้เรียนรู้อะไร ก็ให้ถือเป็นการปลูกจิตสำนึกแล้วกัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset