วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 844 แมลงเม่าเขย่าต้นไม้

ถ้าในอนาคตวันหนึ่ง เขาต้องการที่จะหลอกใช้เธอเพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง เขาจะหลอกใช้เธอ เหมือนอย่างที่เขาหลอกใช้หลินเยว่เอ๋อร์รึเปล่า?

คนคนหนึ่ง ในบางแง่มุม เมื่อหลักการแตกไปแล้วครั้งหนึ่ง มันก็มักจะมีครั้งที่สอง และอีกหลายๆ ครั้งตามมานับไม่ถ้วน

เธอไม่กล้าที่จะนึกถึงมัน และเธอก็ไม่อยากที่จะนึกถึงมันด้วย

เฉียวฉีรู้สึกสับสน เธอจึงรับประทานอาหารกลางวันน้อยมาก

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิด ที่จะหยุดยั้งกู้ซือเฉียนเอาไว้

อย่าพูดว่าหลินเยว่เอ๋อร์สมัครใจเลย เพราะเธอเคยผ่านมันมาแล้ว ผู้คนอาจจะไม่เข้าใจความรักนี้ แค่พูดว่างานเลี้ยงของตระกูลหนานถ้าเธอไม่ได้มีจดหมายเชิญ เธอก็ไม่สามารถเข้าไปได้

ดังนั้น เฉียวฉีจึงได้ยอมแพ้ทางเลือกนี้ไปในที่สุด

หลังจากที่เธอรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เธอก็โทรไปหาหลินซง เพราะอยากจะคุยกับเขา

และตอนที่หลินซงมาถึง เธอก็กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่ระเบียงทางเดินที่สวน

เมื่อเธอเห็นเขา เธอก็กวักมือเรียกเขา “มานี่สิ มาลองชิมชาตัวใหม่ของฉัน”

หลินซงเดินตรงเข้าไปหาเธอพร้อมกับรอยยิ้ม และไม่ได้มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่นั่งลงแล้วเขาก็หยิบถ้วยที่เธอรินให้ ยกขึ้นมาชิมทันที

“ไม่เลว ฝีมือของคุณยังดีเหมือนเดิมเลยนะ”

เฉียวฉีคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

เพราะเธอไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมกู้ซือเฉียนถึงได้เปลี่ยนกลายมาเป็นคนแบบนี้ ดังนั้น เฉียวฉีจึงได้เรียกหลินซงให้มาที่นี่ เพื่อที่จะได้ถามเขาให้ชัดเจน

ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมานี้ เธออยู่ในคุกมาตลอด สำหรับเรื่องที่ผ่านมาของกู้ซือเฉียนตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมานี้ เธอก็รู้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

แต่หลินซงกลับแตกต่างออกไป

แม้ว่าตระกูลหลินจะเป็นนักธุรกิจที่จริงจัง แต่ก็ต่างจากตระกูลกู้

แต่หลินซงกับกู้ซือเฉียน พวกเขาทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน และมันก็ไม่เกินจริงเลยที่จะพูดว่าพวกเขาสองคนเป็นเหมือนกับพี่น้องกัน

และการตัดสินใจของกู้ซือเฉียนในครั้งนี้ เธอไม่เชื่อเลยว่า หลินซงจะไม่รู้เรื่องนี้

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเธอก็ลึกล้ำขึ้นมาทันที

และหลินซงก็รู้เหมือนกันว่า วันนี้กู้ซือเฉียนไม่อยู่บ้าน และถ้าเธอไม่มีเรื่องอะไรบางอยากที่อยากจะถามเขา เธอก็คงจะไม่บอกให้คนโทรไปเรียกเขาให้มาที่นี่อย่างแน่นอน

เพราะอย่างนั้น หลังจากที่ดื่มชาแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องอ้อมค้อมอีกต่อไป เขาจึงถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่า “พูดมาเถอะ เธออยากจะรู้เรื่องอะไร”

เฉียวฉีมองตรงไปที่เขา และสีหน้าของเธอก็จริงจังขึ้นมาทันที “คุณรู้รึเปล่าว่าที่ฉันเรียกให้คุณมาที่นี่ ฉันต้องการที่จะถามอะไรคุณ?”

หลินซงคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

“คุณกับซือเฉียนมีนิสัยเหมือนกัน พวกคุณเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่มีเรื่องเดือดร้อนใจอะไรก็คงจะไม่ถ่อมาที่วัด ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องอะไรบางอย่าง คุณก็ไม่มีทางที่จะโทรเรียกผมมาที่นี่อย่างแน่นอน”

เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดคาดเดาออกมาว่า “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับซือเฉียนใช่รึเปล่า?”

เฉียวฉีไม่ได้คิดที่จะปิดบังมันแต่อย่างใด เธอพยักหน้าตอบรับออกไปตามตรง

จากนั้นท่าทางของหลินซงก็ดูจริงจังขึ้นมา

หลังจากที่เขาคิดไปคิดมาแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมา

“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกลำบากใจนะ คุณลองคิดดูสิว่าคนหนึ่งก็เป็นเหมือนกับพี่น้องของผม ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเพื่อนผม ถ้าคุณถามคำถามอะไรที่ผมไม่สะดวกที่จะตอบจริงๆ ผมจะพูดหรือว่าไม่พูดมันออกไปดีล่ะ จะพูดหรือไม่พูดก็เหมือนกับเป็นนักโทษไม่ใช่รึไง?”

คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อเฉียวฉีได้ฟังมาถึงตรงนี้ ไม่เพียงแต่เธอจะไม่ยอมถอยหลังกลับแล้วเท่านั้น แต่เธอยังคลี่ยิ้มออกมาอีกด้วย

“ถ้าคุณพูดแบบนี้ นั่นก็แสดงว่าเขามีเรื่องปิดบังอะไรฉันอยู่หรือ?”

หลินซงถึงกับสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที

หลังจากที่ผ่านไปได้สักพัก เขาก็โต้ตอบออกมา โดยการหัวเราะออกมาเสียงดัง

เขาชี้นิ้วมาที่เฉียวฉี จากนั้นก็ส่ายหัว และคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ “คุณเนี่ยนะ คุณยังฉลาดเหมือนเดิมเลย คนอื่นเขายังไม่ทันได้พูดอะไร คุณก็สามารถหาคำตอบที่คุณต้องการได้จากคำในประโยคที่คนอื่นพูดแล้ว”

เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองมาที่เธอด้วยแววตาที่จริงจังอีกครั้ง และพูดออกมาว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างคุณและซือเฉียนรึเปล่า?”

เฉียวฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

เธอคิดว่า เธออยากจะรู้เรื่องราวบางอย่างจากปากของหลินซง แต่เธอก็ไม่สามารถปิดบังความต้องการของตัวเองกับเขาได้เลยจริงๆ

ดังนั้นเธอจึงหยุดพูดจาวกไปวนมา และพูดเกี่ยวกับเรื่องของหลินเยว่เอ๋อร์กับเขาออกไปตรงๆ

หลังจากที่หลินซงได้ฟังมัน เขาก็ไม่ได้มีท่าทางแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

เฉียวฉีรู้ดีว่า ดูเหมือนเรื่องนี้ เขาจะรู้มันมาตั้งนานแล้ว

ทั้งสองคนต่างก็เอาแต่นิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง

ที่เฉียวฉีเงียบ ก็เพราะเธอกำลังรอคำตอบจากหลินซงอยู่

แต่ที่หลินซงเงียบ ก็เพราะเขากำลังคิดว่า เขาจะบอกความจริงกับเฉียวฉี หรือว่า เขาควรจะบอกความจริงกับเธอออกไปอย่างไรดี

ผ่านไปเนิ่นนาน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

เพราะถึงยังไงเรื่องนี้ สุดท้ายแล้ว ก็ปิดบังเฉียวฉีเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

ดังนั้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เขาก็ต้องพูดมันออกไป

เพราะอย่างนั้น เขาจึงหยุดลังเล และถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ก็ได้ ในเมื่อคุณอยากจะรู้ ผมก็จะบอก แต่หลังจากที่ผมบอกคุณไปแล้ว คุณก็เก็บเอามันไปคิดทบทวนเอาเอง และอย่าไปคิดเอาเอง ไม่อย่างนั้นมันก็จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองคนจบลง”

เฉียวฉีไม่ได้ตอบคำถามนี้ออกไป และเธอก็ไม่ได้ตอบว่าตกลง หรือไม่ตกลง

เธอเพียงแค่พูดออกมาว่า “คุณลองพูดมาก่อนเถอะ”

เมื่อหลินซงเห็นแบบนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าเธอมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว และเขาก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้

ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงทำได้เพียงแค่พูดมันออกไป

ความจริงแล้วเรื่องราวต่างๆ มันเรียบง่ายมาก

เมื่อสี่ปีก่อน มีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มหงส์แดงกับกลุ่มมังกร และกลุ่มหงส์แดงก็แยกย้ายกันไปตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ดูเหมือนว่า กลุ่มมังกรจะได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่

แต่ในความเป็นจริง กลุ่มมังกรก็ได้รับการโจมตีที่พวกเขาไม่เคยได้รับมันมาก่อน และมันก็ไม่ใช่การบรรยายเกินจริงเลยว่ามันเป็นชัยชนะที่น่าเศร้า

ในตอนแรกพวกเขาคิดว่า การต่อสู้ในครั้งนี้มันจบลงไปแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกวางใจและกลับไปฟื้นฟูร่างกายของตัวเอง

แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มมังกรจะถูกกลุ่มที่ไม่ทราบที่มาโจมตีเข้า

คนกลุ่มนี้มีพลังที่แข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังดุร้าย หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ กลุ่มมังกรก็คงจะไม่กลัว แต่ตอนนี้ กลุ่มมังกรได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่ลมฝนเพียงเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานมันเอาไว้ได้แล้ว

แต่อีกฝ่ายก็เห็นถึงสภาพของพวกเขาในตอนนี้ ด้วยความที่พลังลมปราณของพวกเขาถูกทำลาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาฝึกซ้อม

และสุดท้าย กลุ่มมังกรก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

แม้ว่าภายใต้การควบคุมของกู้ซือเฉียน กองกำลังที่เหลือจะสามารถรักษาพลังเอาไว้ได้ แต่เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ มันก็ทำให้กลุ่มมังกรยังไม่มีทีท่าว่าฟื้นพลังขึ้นมาได้จริงๆ จนถึงตอนนี้

แล้วกู้ซือเฉียนเป็นคนยังไงน่ะหรือ?

เขาเป็นคนที่ถึงแม้ว่าจะได้รับความเสียหายก็พูดไม่ออก

เขาไปแอบสืบมาได้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ใครเป็นตัวการ

ดังนั้นเขาก็เลยแอบส่งสายลับไปสืบมาตลอด และในที่สุด เขาก็รู้ว่าเป็นตระกูลหนาน

เพียงแต่เรื่องนี้ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ และตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้ตระกูลหนานเพิ่งจะกัดเซาะอาณาเขตของตระกูลกู้อย่างเอาจริงเอาจัง

ถ้าหากว่าเขาไม่โต้ตอบอะไรกลับไป พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะถอยกลับไปจริงๆ แน่

แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดถึงตัวเอง แต่เขาก็ยังต้องคิดถึงพี่น้องหลายพันคนที่ยังคงติดตามเขาอยู่

ดังนั้น การที่จะชนะตระกูลหนานได้ เขาจึงต้องทำเรื่องแบบนี้โดยที่ไม่มีทางเลือก

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลินซงก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

จากนั้นเขาก็มองตรงมาที่เฉียวฉี และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมานี้ ผมรู้ว่าชีวิตของคุณไม่ได้ผ่านมันมาได้ง่ายๆ เลย แต่ซือเฉียนก็ไม่ได้ผ่านมันมาได้ง่ายๆ เช่นกัน เขาต้องคอยตั้งรับการลอบสังหารจากทุกฝ่าย และเขาก็ยังต้องทำงานอย่างหนักเพื่อบริหารธุรกิจด้วย

ตระกูลหนานไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เห็นภายนอก พูดได้เลยว่า พวกเขามันชั่วช้าและยังทรงพลังมากกว่าตระกูลจื่อจินที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แม้ว่ากลุ่มมังกรจะยังมีอำนาจอยู่ บวกกับตระกูลกู้ของประเทศจีน แต่พละกำลังที่หยั่งรากลึกนี้ มันก็เทียบกับตระกูลหนานซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีไม่ได้เลย

เฉียวฉี คุณเคยเห็นต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุหลายร้อยปีรึเปล่า? เมื่อมองไปที่ผิวของมัน คุณก็จะเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ต้นไม้ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มันก็อาจจะมีขนาดที่หนากว่าต้นไม้ต้นอื่นเล็กน้อย แต่เมื่อใดตามที่ลมพัดพายุผ่านมมา คุณก็จะได้เห็นว่า ต้นไม้ต้นอื่นจะล้มลง แต่มีเพียงแค่มันที่ยังยืนหยัดเอาไว้ได้

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset