วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 879 ตัวตนอันน่าตกใจ

สำหรับแบรนด์ดังระดับโลก แม้แต่ห้องลองเสื้อก็ยังโอ่โถงโอฬาร ด้วยพื้นที่มากกว่าสิบตารางเมตร

ในตอนนี้ ใบหน้าของเธอไร้ความรู้สึก และตรงกันข้ามเธอ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่

ชายคนนั้นสวมหน้ากากสีเงินบนปกปิดใบหน้าของเขา ทำให้ไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจน แต่รูปร่างของเขาผอมมาก และเสียงที่เปล่งออกมานั้นทุ้มต่ำและเย็นยะเยือก

“เราได้ให้โอกาสคุณหลายต่อหลายหนแล้ว และเห็นได้ชัดว่าคุณมีโอกาสมากมายในการลงมือ ทำไมคุณไม่ลงมือสักทีล่ะ?”

เสี่ยวเยว่มองเขาอย่างเย็นชา

ในขณะนี้ ใบหน้าของเธอไม่มีรอยยิ้มที่กล้าๆ กลัวและเฉิ่มๆ แบบที่เธอแสดงข้างนอกอีกต่อไป

ที่เหลืออยู่มีเพียงความเฉยเมยที่เยือกเย็น

เธอมองไปที่ชายคนนั้น และเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ฉันจะรู้ได้อย่างไร ว่าเมื่อฉันทำสิ่งนี้ให้พวกคุณ แล้วพวกคุณจะปล่อยครอบครัวของฉันไป?”

ชายคนนั้นหัวเราะเยาะ และเดินช้าๆ เข้ามาทีละก้าว

เมื่อเธอเดินไปถึงตรงหน้าเธอ จู่ๆ เขาคนนั้นก็ยื่นมือออกมา เชยคางเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สะพรึงกลัวว่า “คุณคิดว่าถ้าเราจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวของคุณไปจริงๆ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะเก็บคุณไว้ในมือของพวกเขา? ช่วยเราทำไร่ทำนาหรือไง? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… เยว่หลิง คุณควรเข้าใจด้วยนะว่า ตราบใดที่เราได้ตัวเฉียวฉีมา คุณก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเราแล้ว และครอบครัวของคุณ พวกเขาก็จะไร้ประโยชน์เช่นกัน แล้วทำไมเราต้องพยายามจับตัวพวกเขาไว้ด้วย”

หญิงสาวที่เขาเรียกว่าเยว่หลิง ก็คือเสี่ยวเยว่นั่นเอง แต่คำพูดของเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอคลายกังวลอยู่ดี

เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ถ้าจะให้ฉันช่วยพวกคุณ พวกคุณก็ต้องปล่อยครอบครัวของฉันไปก่อน อย่างน้อยก็ให้ฉันรู้ว่าพวกเขาปลอดภัยก็พอ ถ้าไม่งั้นถึงแม้ว่าฉันจะต้องตาย ฉันก็จะไม่ช่วยพวกคุณ!”

ขณะที่เธอพูด ดวงตาของเธอก็พลันแข็งกระด้างขึ้นมา

ชายคนนั้นมองมาที่เธอ และหรี่ตาลง

“ถึงจะพูดอย่างนี้ แล้วเธอจะต้องไม่ฟังฉันเหรอ?”

เสี่ยวเยว่ไม่ได้ปริปาก

ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น

เสียงหัวเราะนั้น เหมือนกับพิษงูพ่นออกมา ซึ่งมีแต่ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

ทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้เธอ และพูดอย่างแผ่วเบาว่า “โทรศัพท์ที่คุณไปรับสายข้างนอกเมื่อครู่ ความจริงแล้วไม่ได้มาจากครอบครัวของคุณ แต่เป็นหนานมู่หรงสินะที่เป็นคนโทรมา”

ร่างของเสี่ยวเยว่สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง

และมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

ชายคนนั้นกล่าวต่อไปว่า “ลูกสาวนอกกฎหมายที่หนานมู่หรงเลี้ยงดูมา ปีนี้ก็อายุ 18 ปีแล้วสินะ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหนาน คุณอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเด็ก ในที่สุดคุณก็เติบโตมาอย่างปลอดภัย คิดอยู่เต็มอกว่าจะสามารถกลับไปสู่อ้อมกอดของพ่อได้ แต่ว่าเขาไม่เพียงแต่จะปฏิเสธคุณเท่านั้น เขายังสั่งให้คุณมาอยู่ข้างๆ กู้ซือเฉียน และซุ่มอยู่ที่นี่ในฐานะสาวใช้ผู้ต่ำต้อย ไม่มีความเกลียดชังในหัวใจของคุณบ้างเลยเหรอ?”

รูม่านตาของเสี่ยวเยว่ไม่สามารถแสดงความตกใจไปได้มากกว่านี้ได้อีกแล้ว

เธอจ้องไปที่ชายคนนั้น หลังจากนั้นไม่นาน เธอกัดฟันและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร!”

“โอ้ ไม่ยอมรับเหรอ หึหึ ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามยายของคุณที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน ถ้าคุณไม่ช่วยเรา งั้นเราฆ่าเธอก่อนดีไหมนะ เพราะถ้าคุณยังเก็บเธอไว้ไม่เพียงแต่ต้องส่งคนมาดูแลเธอ ยังต้องมาฟังคำสาปแช่งของเธอทุกวัน มันออกจะน่ารำคาญอยู่นะ”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ เสี่ยวเยว่ก็ลุกขึ้นทันที

“อย่าแตะต้องคุณยายของฉัน!”

แต่ชายคนนั้นกดไหล่ของเธอลงอย่างรวดเร็ว

ชายคนนั้นดูอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วมือของเขาหนักมาก แรงนั้นกดให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

เขากระซิบ “เฮ้ ถ้าคุณเชื่อฟังกันสักหน่อย ฉันจะไม่ฆ่าเธอ ว่ายังไงล่ะ?”

ดวงตาของเสี่ยวเยว่แดงก่ำ

ชายคนนั้นหยิบกล่องยาออกมาจากเสื้อผ้าของเขา

“น้ำมันหอมระเหยที่ให้คุณไปก่อนหน้านี้ คุณใช้ไปกี่ครั้งแล้ว?”

เสี่ยวเยว่จ้องมองเขาอย่างเย็นชา ดวงตาของเธอขัดขืนที่จะตอบ แต่เมื่อเธอนึกถึงการที่คุณยายของเธอถูกเหยียดหยามขึ้นมา เธอจึงตอบไปด้วยตาที่แดงก่ำ “สี่ครั้ง”

“พอแล้วล่ะ วันนี้ลองหาโอกาส ใส่มันลงในน้ำที่เธอดื่ม ฉันจะแอบดูคุณอย่างลับๆ หลังจากทำสำเร็จ ฉันจะให้สัญญาณอีกครั้ง แล้วทำตามสัญญาณของฉัน เข้าใจไหม?”

เสี่ยวเยว่กัดฟันกรอด แล้วถามว่า “คุณยายของฉันอยู่ที่ไหน?”

ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องกังวลหรอก ยายของเธอยังโหวกเหวกเสียงดังดีอยู่ นำชีวิตของเฉียวฉีมาแลก แล้วฉันจะส่งเธอคืนให้คุณอย่างไร้รอยขีดข่วน”

ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกเบาๆ

“เสี่ยวเยว่ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”

ทั้งสองสะดุ้ง และหันไปมองที่ประตู

ชายคนนั้นเหลือบมอง และหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรมากแล้ว จำคำฉันไว้ให้ดี ฉันไปก่อนละ”

พูดจบ ร่างนั้นก็ออกไปโดยใช้ทางออกที่อยู่อีกฝั่งราวกับผี

ในขณะนี้ เสี่ยวเยว่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น ผ่านไปหลายวินาที เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะระงับความโกรธและความตื่นตระหนกในใจของเธอ พยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบให้มากที่สุด “จะเสร็จแล้วค่ะ “

หลังจากพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นยืน และเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ

ข้างนอกนั้น เมื่อเฉียวฉีได้ยินเสียงของเธอ ก็รู้สึกโล่งใจ

เมื่อครู่เธอลากซูเฉิงเข้ามาในร้าน ซึ่งเขารออยู่ข้างนอกได้พักใหญ่แล้ว แต่รอเท่าไหร่เสี่ยวเยว่ก็ไม่ออกมาสักที

เมื่อดูเวลา นี่ก็ผ่านไปสิบนาทีแล้ว และด้วยสไตล์การออกแบบของกระโปรงนั้นไม่ได้ซับซ้อนเลย ไม่น่าจะใช้เวลานานนักในการสวมใส่

เธอรู้สึกไม่สบายใจ ก็เลยเข้ามาถามดู แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ เธอจึงโล่งใจ

หลังจากรออยู่ข้างนอกสักพัก ในที่สุดเสี่ยวเยว่ก็ออกมา

สายตาของทุกคนเปล่งประกาย

เห็นเพียงหญิงสาวตรงหน้า รูปร่างสูงเพรียว สวมชุดเดรสยาวคลุมเข่าสีมิ้นต์ ดีไซน์เป็นลายใบไม้ ประดับด้วยไข่มุกสีขาวเม็ดเล็กๆ ดูราวกับเม็ดฝนและหยาดน้ำค้างตกลงมา ซึ่งช่วยขับให้ใบหน้ารูปไข่เล็กๆ นั่นยิ่งดูสดใสมีชีวิตชีวา ราวกับภูตที่เพิ่งวิ่งออกมาจากป่า และตกลงสู่โลกมนุษย์

ซูเฉิงถึงกับตาค้าง

เสี่ยวเยว่ก็ไม่คาดคิดว่าซูเฉิงจะอยู่ที่นี่ด้วย เธอเองก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่กี่วินาทีจากนั้น ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหน้า

เธอเหลือบมองที่ซูเฉิงอย่างประหม่า จากนั้นสลับไปมองที่เฉียวฉี และถามว่า “พี่เฉียวเฉียว สวยไหมคะ?”

เฉียวฉียิ้มและพยักหน้า “อื้ม ดูดีนะ”

ขณะที่เธอตอบ ก็หันหน้าไปและใช้แขนสะกิดซูเฉิง พร้อมกับถามว่า “คุณคิดว่ายังไง?”

ซูเฉิง มีสติอีกครั้ง

ใบหน้าขาวหล่อนั้น เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันที จู่ๆ ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรมองไปตรงไหน และพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “สวยครับ สวยมาก”

เฉียวฉีถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

ใบหน้าของเสี่ยวเยว่ก็แดงเช่นกัน

ในขณะที่เฉียวฉีมองไปยังทั้งสองคน ในใจก็แอบถอนหายใจ

ตัวเธอเองก็ไม่ใช่คนที่สมหวังในความรักเหมือนกัน เลยช่วยพวกเขาได้แค่นี้แหละ

ก่อนหน้านี้ เธอไม่แน่ใจว่าซูเฉิงคิดยังไงกับเสี่ยวเยว่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า อีกฝ่ายจะมีใจให้เสี่ยวเยว่เหมือนกัน เพียงแต่ทั้งคู่กำลังยับยั้งชั่งใจ และไม่ได้พูดมันออกมา

ในเวลานี้ ซูเฉิงเข้าใจแล้ว ว่าเจตนาแท้จริงของเฉียวฉีที่เรียกเขาเข้ามาคืออะไร

กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เรียกเขามาช่วยดูเสื้อผ้าของเธอ แต่เป็นของเสี่ยวเยว่…

ไม่รู้ว่าคิดไปถึงไหนต่อไหน หน้าของเขาแดงขึ้นมาอีกระดับแล้ว แถมยังไม่กล้ามองไปที่เธอ ราวกับว่าหญิงสาวที่บริสุทธิ์สดใสคนนั้น ทันทีที่ถูกสายตาที่เขินอายของเขาจ้องมอง ก็จะแปดเปื้อนในทันที

เขาลังเลและกระซิบว่า “คุณเฉียว ในเมื่อดูกระโปรงเรียบร้อยแล้ว ถ้างั้นผมขอตัวออกไปก่อนนะครับ”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset