วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 926 ถูกกักบริเวณตบตา

ศิษยาภิบาลพูดเสียงดังอีกครั้ง “เจ้าบ่าว คุณสามารถจุมพิตเจ้าสาวได้”

แต่สุดท้ายบรรยากาศก็ถูกทำลายไปแล้ว ทั้งสองคนที่จ้องหน้ากันในตอนนี้ต่างรู้สึกหนักใจและจะมีแก่ใจทำเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน?

กู้ซือเฉียนเองก็ดูออกว่าเธอไม่มีแก่ใจแล้ว ดังนั้นในท้ายที่สุด เขาก็แค่บรรจงจูบเธอที่หน้าผากเท่านั้น ซึ่งถือเป็นพิธีการ

หลังจากพิธีเสร็จก็ถีงเวลาของงานเลี้ยง

เฉียวฉีจะต้องเปลี่ยนชุด ดังนั้นกู้ซือเฉียนจึงกลับไปที่โรงแรมเป็นเพื่อนเธอ

แน่นอนว่าเธอจะต้องเอาของขวัญที่บรรดาแขกให้มากลับไปด้วย

ต่อให้ไม่ชอบหนานมู่หรง แต่ต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายแบบนี้ จะให้หักหน้าคนอื่นโดยตรงแบบนี้

เพียงแต่ในตอนที่เฉียวฉียื่นมือไปหยิบกล่องของขวัญนั้นกลับรู้สึกวูบและสั่น

กู้ซือเฉียนหูตาไว้และพยุงเธอไว้ “เป็นอะไร?”

ผ่านไปไม่กี่วินาทีจึงได้สติและส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ”

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว

เมื่อเห็นเธอมีสีหน้าซีดขาวจึงพูดด้วยความเป็นห่วง “เธอไม่สบายรึเปล่า? ทำไมสีหน้าถึงดูแย่จัง?”

เฉียวฉีโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันคงจะตื่นเช้าไป เหนื่อยเกินไป”

เธอเป็นเจ้าสาวแล้ว นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพวกเขา วันนี้พวกเขาตื่นนอนตีสี่และถูกดูแลโดยช่างแต่งหน้าและสไตลิสต์ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้พวกเขานอนไม่หลับ

กู้ซือเฉียนเห็นแบบนั้นจึงรู้สึกไม่วางใจ

ทั้งสองกลับไปที่โรงแรมเพราะงานเลี้ยงตอนเที่ยงจัดที่โรงแรม ดังนั้นคนอื่นๆ จึงได้กลับไปด้วยอยู่แล้ว

เกาะแห่งนี้ตั้งแต่ถูกกู้ซือเฉียนซื้อมา ก็ไม่ได้มีการเปิดมากนักแม้แต่โรงแรมก็ว่างเช่นกัน

ครั้งนี้พวกเขามาจัดงานแต่งงานที่นี่ จึงได้จัดคนมาดูแลห้องพัก ห้องจัดเลี้ยง ห้องครัว และเรื่องอื่นๆ ของโรงแรมเป็นการชั่วคราว

เพราะมีลุงโออยู่ด้วย จึงดำเนินการไปอย่างมีระเบียบและไม่เลอะเทอะอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อกลับถึงห้องพัก เฉียวฉีก็หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟา

กู้ซือเฉียนเห็นสีหน้าของเธอผิดปกติชัดเจนจึงยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

“อะเฉียวๆ”

เขาตบไหล่และเรียกเธอสองครั้ง

เฉียวฉีหันหน้ากลับมามองเขาแต่สายตากลับฝ้าฟาง

“อะเฉียว เธอไม่เป็นไรนะ? ทำไมเธอหน้าซีดแบบนี้ล่ะ?”

อย่างไรก็ตาม คราวนี้เฉียวฉีไม่ตอบ

ดวงตาของเธอมืดลงและล้มพับไป

ไม่มีใครคาดคิดว่างานแต่งงานดีๆ สุดท้ายแล้วจะเกิดเรื่องผิดพลาดในที่สุด

หลังเฉียวฉีเป็นลมไป กู้ซือเฉียนก็รีบเรียกหมอเข้ามาเพื่อทำการตรวจ หมอกลับพบว่าสถานการณ์ของเธอนั้นแปลกประหลาดมาก อย่าว่าแต่รักษา แม้แต่สาเหตุที่เป็นลมก็ยังไม่สามารถจะบอกได้

คนอื่นๆ เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ต่างรีบมา และออกันอยู่ที่หน้าห้อง

ภายในห้องนอนกู้ซือเฉียนดูแลเฉียวฉีที่อยู่บนเตียง และมองดูหมอที่กำลังทำการตรวจรักษาเธอแล้วพูดขึ้นอย่างกังวล: “เธอเป็นอะไรกันแน่? คุณพูดอะไรหน่อยสิ!”

หมอเป็นหมอที่อยู่ประจำในปราสาท เดิมทีในวันดีๆ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องกับใครขึ้น

แต่ยังดีที่ลุงโอทำอะไรด้วยความรอบคอบ ถึงแม้จะไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเฉียวฉีและกู้ซือเฉียน แต่ที่สุดแล้วในเกาะส่วนตัวที่เป็นเกาะปิด จึงกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดกับแขกในงาน ดังนั้นจึงได้ป้องกันไว้ก่อน โดยการเตรียมหมอมาด้วยหนึ่งคน

คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง

ตอนนี้หมอทำการตรวจแล้วแต่ก็ยังไม่พบสาเหตุ

ครู่หนึ่งเขาก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมา: “คุณชายกู้ ระ…เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน บนเกาะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถ้าดูจากสถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้ ผมไม่สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุว่าทำไมภรรยาของคุณถึงเป็นลมได้เลย”

กู้ซือเฉียนสีหน้าเคร่งขรึม

ลุงโอที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น: “ถ้าอย่างนั้นเรากลับปราสาทกันไหมครับ?”

ขณะที่กู้ซือเฉียนกำลังจะตกลง น้ำเสียงนิ่งๆ ของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามา

“ไม่จำเป็นต้องกลับหรอก ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”

เขาพูดและก้าวเท้าเข้ามา

ทุกคนตกใจอย่างรุนแรง และเห็นว่าคนคนนั้น หากไม่ใช่หนานมู่หรงแล้วจะเป็นใคร?

ดวงตาของกู้ซือเฉียนมืดมิด ถึงแม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของเฉียวฉีจะเกี่ยวข้องกับเขาไหม แต่เมื่อเห็นเขาในตอนนี้ก็เกิดความไม่สบายใจ

แน่นอนว่าหนานมู่หรงรู้ทันว่าเขากำลังคิดอะไร

แต่กลับไม่สนใจ

เขาเดินไปที่ข้างเตียง หยิบกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา และหยิบยาเม็ดสีเหลืองทองออกจากกล่อง พร้อมที่จะใส่เข้าไปในปากของเฉียวฉี

อย่างไรก็ตามระหว่างที่เขากำลังยื่นมือออกมานั้นก็ถูกกู้ซือเฉียนห้ามไว้

“หนานมู่หรง นายหมายความว่ายังไง?”

หนานมู่หรงมองไปที่เขาแล้วยิ้ม

“ทำไม? กลัวฉันจะวางยาเธอ? ฉันบอกนายแล้วกัน หากไม่มียาเม็ดนี้ของฉัน ไม่ต้องให้ฉันวางยาเธอ ภายในครึ่งชั่วโมงเธอก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกไป ทุกคนต่างตกใจ

ลุงโอเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน “คุณหนาน ชีวิตของคนเป็นเรื่องสำคัญ จะเอามาล้อเล่นไม่ได้! สิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่หมายความว่ายังไงครับ?”

เมื่อเห็นสายตาที่สงสัยของทุกคน หนานมู่หรงก็รู้ตัวว่าหากวันนี้เขาไม่อธิบายให้กระจ่าง เขาคงไม่ได้ออกไปจากที่นี่แน่

เขาไม่กังวลเลยและอธิบายอย่างละเอียด

“อาการของเธอตอนนี้ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่หาได้ยาก ปกติแล้วก็ไม่มีอะไร แต่จะมีอาการเมื่อถึงอายุที่กำหนด หลังจากเกิดอาการ ร่างกายจะอยู่ในอาการโคม่า อวัยวะภายในและหลอดเลือดจะย่ำแย่อย่างรวดเร็ว หากปราศจากยาแก้พิษเธอคงตายภายในเวลาอันสั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”

สีหน้าของกู้ซือเฉียนเปลี่ยนไป

และสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป

มีคนถามขึ้น: “พวกเราจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าคุณพูดจริง?”

หนานมู่หรงเลิกคิ้ว

“ได้ พวกคุณจะไม่เชื่อผมก็ได้ เธอไม่ต้องกินยานี้ก็ได้ แต่ผมคงจะต้องพูดอะไรที่ไม่น่าฟังไว้ก่อนว่าเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หลังจากครึ่งชั่วโมงนั้นไป ต่อให้ผมมียา เธอก็คงไม่สามารถจะฟื้นตัวได้ พวกคุณก็ชั่งน้ำหนักกันเองก็แล้วกัน”

พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไป

ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงประตู เสียงเย็นเยียบก็ดังลอยมา

“เดี๋ยวก่อน!”

กู้ซือเฉียนจ้องที่เขาอย่างเย็นชา “เอายามา”

หนานมู่หรงยิ้มเล็กน้อย หันกลับมาแล้ว่ส่งยาให้เขา

อย่างไรก็ตาม หลังจากกู้ซือเฉียนได้ยาไป กลับไม่ได้รีบร้อนป้อนยาและกลับสั่งฉินเยว่ “เชิญคุณหนานกับคุณนายหนานไปพักดื่มชาที่วิลล่าข้างๆ ห้ามใครรบกวนถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน”

คำพูดแบบนี้ ทุกคนต่างเข้าใจได้

มันคือการกักบริเวณแบบตบตา

ถ้าหากเฉียวฉีฟื้นขึ้นมาก็ดีไป แต่ถ้าหากไม่ฟื้น ทั้งหนานมู่หรงกับหลินเยว่เอ๋อร์คงจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แน่

หนานมู่หรงหรี่ตาเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะทำเช่นนี้

กู้ซือเฉียนเป็นคนยังไงกัน?

ตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนที่ไร้ความปรานีและโตมากับธุรกิจสีดำ มีหรือที่เขาจะเชื่อคำพูดของเขาโดยง่ายและป้อนยาให้เฉียวฉี

ดังนั้น หนานมู่หรงจึงไม่โกรธจึงให้ความร่วมมือและพาหลินเยว่เอ๋อร์ไปที่วิลล่าข้างๆ

กู้ซือเฉียนให้ลุงโอเทน้ำมาหนึ่งแก้วแล้วให้เฉียวฉีกินยาเม็ดนั้น

หลังจากกินยาก็เฝ้าเธอไม่ห่างและมองเธออย่างกระวนกระวาย

ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที เฉียวฉีจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

หลังจากฟื้นแล้วเห็นเขาสิ่งแรกที่เธอถาม “ฉันเป็นอะไรไปคะ?”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset