วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 927 สายเลือดตระกูลหนาน

จากนั้นขมวดคิ้วอีกครั้งและกุมหน้าผากของตัวเอง

กู้ซือเฉียนรีบจับที่ที่เธอจับไว้ด้วยความประหม่า และเสียงของเขาก็ตึงเครียด

“เธอเป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ? หรือว่ามีตรงไหนไม่สบายอีก?”

เฉียวฉีมองเขาอย่างว่างเปล่า

สักพักก็ส่ายหัว “ไม่มี เมื่อกี้ปวดขมับ ก็เลยปวดหัว แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

เธอพูดแล้วหันไปมองรอบๆ

เมื่อเห็นว่ามีคนอยู่เต็มห้อง ทุกคนยังเฝ้าอยู่ในห้องนั่งเล่นด้านนอก พอได้ยินว่าเธอฟื้นแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามา แต่เพราะเธอเพิ่งฟื้น เธอจึงไม่สามารถเสียงดังได้จึงได้แต่มองดูทุกคน

เฉียวฉีมองดูพวกเขาอย่างว่างเปล่าแล้วถาม: “ทุกคนเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่? มองฉันทำไมกัน?”

จิ่งหนิงขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่เธอรู้สึกได้ลึกๆ ว่าเฉียวฉีดูไม่ปกติ

ในวินาทีถัดมา จึงได้เห็นเธอก้มลงมองตัวเอง

แล้วดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด

“เอ๊ะ? ทำไมฉันถึงสวมชุดเจ้าสาว? กู้ซือเฉียน ชุดแต่งงานของเราไม่มาไม่ใช่เหรอ? คุณบอกว่าดีไซเนอร์Emilyต้องปรับขนาด และจัดส่งชุดได้ในสัปดาห์หน้า”

สีหน้าของกู้ซือเฉียนเปลี่ยนไป

ดวงตาจมลงอย่างรวดเร็ว

ลองชุด แก้ชุด นั่นมันเรื่องเมื่อครึ่งเดือนก่อน

ดังนั้น ความทรงจำของเธอย้อนกลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนงั้นเหรอ?

เขาทำหน้าเครียด แต่น่าประหลาดใจที่เขาไม่ได้บอกความจริงในทันที แต่ลูบหน้าเฉียวฉีเบา ๆ

จากนั่นก็สั่งลุงโอ “ดูแลคุณนายก่อน”

พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

รอยเท้าของชายผู้นั้นเหมือนลมกระโชกแรง และตัวหายวับไป

เฉียวฉีตกตะลึง มองไปที่ลุงโอ และในที่สุดก็จับจ้องไปที่จิ่งหนิงที่อยู่ไม่ไกล

สีหน้าดีใจ

“หนิงหนิง เธอมาได้ยังไง? แถมยังมีลู่จิ่งเซินอีก พวกเธอกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้ล่ะ? งานแต่งงานของฉันกับซือเฉียนยังไม่ถึงเลยนะ พวกเธอมาเที่ยวก่อนเหรอ หรือว่าตั้งใจมาเยี่ยมพวกเราล่ะ?”

หัวใจของทุกคนจมลง จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น?

เธอ…จู่ ๆ ก็สูญเสียความทรงจำ?

จิ่งหนิงกระชับนิ้วแน่นและเดินเข้าไป

นั่งลงข้างๆ เธอ ยิ้มเล็กน้อยและพูด: “ใช่แล้วล่ะ พวกเรามาเที่ยว พอรู้ว่าเธอกับซือเฉียนอยู่ที่นี่ก็เลยรีบตามมาเยี่ยมเธอไง”

ขณะที่เธอพูด เธอค่อยๆ ม้วนผมของเฉียวฉีและถามด้วยความเป็นห่วง: “เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างรึเปล่า? ถ้าหากไม่สบายตรงไหน จะบอกพวกเรานะ เข้าใจไหม?”

ต่อให้เฉียวฉีจะเพิ่งฟื้นและสมองเธอยังตื้อๆ อยู่ ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติแล้ว

ที่สุดแล้วเธอแค่สูญเสียความทรงจำ ไม่ได้กลายเป็นคนโง่

เธอมองจิ่งหนิงและหันไปมองดูคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ที่มีสีหน้าเป็นกังวลเหมือนกันหมด จึงถามขึ้น: “นี่เกิด…เรื่องอะไรกับฉันเหรอ?”

ที่ห้องด้านข้าง

กู้ซือเฉียนมองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโชฟาอย่างเย็นชา

“พูดมา เธอเป็นอะไรกันแน่?”

หนานมู่หรงนั่งจิบชาอย่างสบาย ๆ ไม่รีบร้อน

หลังจากดื่มชาหมดไปแก้วหนึ่งจึงได้เงยหน้ามองเขาและยิ้มเล็กน้อย

“ฉันกล้าพูด แต่นายกล้าเชื่อรึเปล่าล่ะ?”

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วแน่น

หนานมู่หรงพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย: “อาการป่วยของเธอในตอนนี้ ไม่ใช่ความจำเสื่อม แต่เพราะสมองของเธอตีบทำให้สูญเสียความทรงจำระยะสั้น เมื่อกี้ฉันก็บอกไปแล้วว่าเธอเป็นโรคทางพันธุกรรม โรคแบบนี้จะปรากฏอาการอย่างฉับพลันเมื่อถึงอายุประมาณหนึ่ง จากนั้นอวัยวะภายในร่างกายก็จะแก่ลงอย่างรวดเร็วสิบเท่าหรือร้อยเท่า เธอจะต้องกินยาตามเวลาเท่านั้นเพื่อควบคุมอาการไว้ชั่วคราว อาการของเธอในตอนนี้เกิดจากการที่ไม่ได้กินยาตามเวลา ดังนั้นจึงได้เกิดอาการกำเริบ”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้าเคร่งเครียด

“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”

หนานมู่หหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่มันกวนประสาทไม่น้อย

“เพราะร่างกายของเธอเหมือนกับฉัน มีสายเลือดตระกูลหนานไงล่ะ”

เมื่อพูดคำนี้ไป ทุกคนต่างก็ตกใจ

หนานมู่หรงหรี่ตาและมองเขาอย่างลึกซึ้งยากจะคาดเดา “เป็นไง? คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ? นายแต่งงานกับเธอแล้ว แต่กลับยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเมียตัวเอง กู้ซือเฉียน ต้องบอกเลยนะว่านายประมาทเกินไปในเรื่องนี้”

กู้ซือเฉียนมีสีหน้ามืดมน

ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความตึงเครียด

เขามองไปที่หนานมู่หรงแล้วถามเสียงขรึม: “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เล่ามา!”

หนานมู่หรงกลับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มและพูด: “ฉันรู้แค่นี้แหละ ส่วนเรื่องรายละเอียด เดือนหน้าตระกูลหนานจะจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ หากนายกล้ามา ก็จะมีคนบอกนายเอง”

เขาพูดจบก็เดินจากไป

ฉินเยว่และคนอื่นๆ หยุดเขาทันที ในท่าทางนั้น เพียงกู้ซือเฉียนออกคำสั่งก็ดูเหมือนเขาจะจัดการได้ในพริบตา

อย่างไรก็ตาม กู้ซือเฉียนได้แต่กำหมัดแน่น

ครู่หนึ่งจึงพูดเสียมเข้ม: “ปล่อยเขาไป!”

ฉินเย่วและพวกจึงได้ปล่อยเขาไปอย่างไม่เต็มใจนัก

หนานมู่หรงยิ้มแล้วพาหลินเยว่เอ๋อร์ออกจากงานไป

ภายในห้องเงียบลง ลู่จิ่งเซินเดินเข้ามาและตบบ่าของเขา

การสื่อสารอย่างเงียบ ๆ ระหว่างผู้ชายถือได้ว่าเป็นคำสัญญาและเป็นแรงบันดาลใจที่ลึกที่สุด

จิ่งหนิงและกลุ่มเพื่อนอยู่พูดคุยกับเฉียวฉีครู่หนึ่ง

ถึงแม้ว่าตอนนี้เฉียวฉีจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตน แต่เธอก็ไม่กล้าพูดออกมา และเธอก็ไม่ดื้อรั้นที่จะถาม

เพียงแต่ระหว่างคิ้วที่บอบบางนั้นยังมีความเศร้าโศกจาง ๆ แสดงว่าไม่ใช่ว่าเธอจะไม่คิดอะไรเลยเสียทีเดียว เพียงแค่เก็บมันเอาไว้ก่อนเท่านั้น

ผ่านไปสักพักใหญ่ กู้ซือเฉียนจึงเดินเข้ามาจากด้านนอก

และยังมีลู่จิ่งเซินและพวกเดินตามเขาเข้ามา

ลู่จิ่งเซินส่งสายตาให้จิ่งหนิง จิ่งหนิงจึงพูดกับเฉียวฉี: “พวกเธอสองคนคุยกันก่อนนะ ฉันขอตัว”

เฉียวฉีพยักหน้า

จิ่งหนิงจึงได้ออกไปพร้อมกับลู่จิ่งเซิน

เมื่อทุกคนออกไป ภายในห้องที่ใหญ่มากๆ จึงเหลือเพียงแค่กู้ซือเฉียนและเฉียวฉี

เฉียวฉียังคงสวมชุดเจ้าสาวและนั่งอยู่บนเตียง เหมือนกับตอนที่เธอออกมาเมื่อเช้านี้ สดชื่นและสวยงามน่าทึ่ง

แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ตอนนี้สีหน้าเธอตอนนี้ซีดเผือด มันซีดขาวจนแทบจะขาวกว่าชุดเจ้าสาวเสียอีก

กู้ซือเฉียนเดินเข้าไปและนั่งลงข้างเธอ

“ซือเฉียน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? บอกฉันสิ”

ตอนนี้ไม่มีคนอื่น เฉียวฉีจึงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำอีกต่อไป และมองเขาที่มีสายตาที่เป็นกังวล

กู้ซือเฉียนมองดูเธออย่างลึกซึ้งโดยไม่พูดอะไร

เฉียวฉีกลับอ่านความเศร้าและเจ็บปวดได้จากในดวงตาของเขา

ใจเธอจมลงหนักหนาถามอย่างแผ่วเบา: “เกี่ยวกับฉันใช่ไหม? ฉัน…ป่วยใช่ไหม?”

สุดท้ายปัญหามันเกี่ยวกับตัวเธอ เธอไม่ได้โง่ โดยพื้นฐานแล้วเธอพอจะเดาได้

กู้ซือเฉียนไม่ได้ปฏิเสธ

เฉียวฉีกำนิ้วแน่นและถามอีก: “โรคอะไรคะ?”

กู้ซือเฉียนตอบ: “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เมื่อครู่หมอบอกแล้วว่าเธอสุขภาพแข็งแรงดี คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ไม่ต้องห่วงนะ”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset