ศพ – ตอนที่ 100 เรื่องเศร้า

ตอนที่ 100 เรื่องเศร้า

ตอนเริ่มเล่า เจ้าเชี่ยนเชี่ยนยังไม่ได้คิดมาก แต่ตอนนี้มันกลับเริ่มทำให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกโกรธแค้น

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอจับได้ว่าอาจารย์โจว ขโมยข้าวของส่วนตัวของเธอ

แต่เขาเป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษา เจ้าเชี่ยนเชี่ยนเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงแข็งแรง

ดังนั้นเจ้าเชี่ยนเชี่ยนจึงได้แต่อดทน พยายามหลบหน้าอย่างสุดชีวิต

แต่เรื่องแบบนี้ถ้าไม่พูดออกมา ยังไงก็หลบไม่พ้นอยู่ดี

แค่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนไปที่ห้องซ้อม เธอก็ต้องถูกเอาเปรียบตลอดเวลา

ต่อมา โจวเจี่ยนเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ เขายิ่งทำมากกว่าเดิม

 

มีอยู่ครั้งหนึ่ง โจวเจี่ยนเห็นว่าห้องซ้อมเต้นไม่มีคนอยู่ บวกกับดื่มเหล้ามาอีกนิดหน่อย ในที่สุดเขาก็ลงมือข่มขืนเจ้าเชี่ยนเชี่ยนในห้องซ้อมเต้น

ผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง จะต่อสู้กับสัตว์ร้ายแบบนั้นได้ยังไง

ผลลัพธ์เจ้าเชี่ยนเชี่ยนโชคร้ายมาก แต่หลังจากเกิดเรื่องนี้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนยังถูกถ่ายรูป ข่มขู่ บอกให้เธอเก็บเป็นความลับ จะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครไม่ได้

ไม่อย่างนั้นจะทำให้เธอเรียนไม่จบ และยังจะเอารูปของเธอไปปล่อยลงอินเตอร์เน็ต แล้วยังบอกว่าจะฆ่าปู่และย่าของเธอ

และยังหลอกล่อ ให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนเก็บเป็นความลับ บอกว่าต่อไปจะให้เธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของมหาลัย

 

จะได้ไปเรียนเต้นในมหาลัยที่มีชื่อเสียง หลังจากเรียนจบจะได้มีอนาคตดีๆ ยังบอกอีกว่าบางทีเธออาจได้ไปเต้นให้กับดาราก็ได้

เจ้าเชี่ยนเชี่ยนถูกข่มขู่และหลอกล่อในเวลาเดียวกัน สุดท้ายเธอจึงเลือกที่จะเก็บเงียบเอาไว้

แต่เรื่องนี้เมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าคนที่โดนเก็บเงียบเอาไว้ ยังไงก็จะต้องมีครั้งที่สองเกิดขึ้น

ผลลัพธ์ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ถูกทำร้ายอีกหลายต่อหลายครั้ง……

ตอนนั้นเองที่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนเริ่มอยากตาย แต่เมื่อคิดถึงคุณปู่คุณย่าที่อายุมากของตัวเอง ว่าต่อไปจะต้องมีคนดูแล และความฝันที่จะเป็นนักเต้นของตัวเอง เธอจึงเลือกที่จะอดทนต่อไป

แต่ว่า ฝันร้ายมันยังไม่จบเพียงเท่านี้

 

อาจารย์ที่ปรึกษาโจวเจี่ยนผู้โหดเหี้ยมคนนี้ เมื่อเห็นเจ้าเชี่ยนเชี่ยนยังอดทนกับเรื่องนี้ต่อไปได้ เขาก็ยิ่งได้ใจ

เขาทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เจ้าเชี่ยนเชี่ยนเองก็เป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอ หวาดกลัว ไม่กล้าพูด ไม่กล้าไปแจ้งความ จึงทำได้เพียงอดทนแล้วอดทนเล่าเท่านั้น

แต่บนโลกใบนี้ไม่มีความลับ ผลลัพธ์เรื่องนี้ก็ค่อยๆแพร่ออกไป

มันแพร่กระจายไปในหมู่นักศึกษาอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างรู้เรื่องที่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนและอาจารย์ที่ปรึกษา

โจวเจี่ยนมีอะไรกัน

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ นักศึกษาจำนวนมากยังต่างด่าทอเจ้าเชี่ยนเชี่ยนเช่น ยัยง่าย หน้าด้านเป็นต้น

บอกว่าเธอเป็นคนอ่อยโจวเจี่ยน และยังบอกว่าผู้ชายวัยกลางคนที่น่าเกลียดขนาดนั้นยังชอบลงได้ คงอยากได้ผู้ชายจนตัวสั่น

 

เจ้าเชี่ยนเชี่ยนมีปัญหาที่ไม่อาจพูดได้ ตัวเธอเป็นผู้ถูกกระทำ แต่กลับถูกคนด่าทอ

สุดท้ายใจของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็แตกสลาย และในเวลานี้เอง เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ไปคุยกับโจวเจี่ยน ให้เขาเอารูปที่เหลือออกมา

โจวเจี่ยนที่โหดเหี้ยมแบบนี้ แน่นอนว่าเขาต้องปฏิเสธ

บอกว่าคืนนี้ให้เธอไปคุยกับเขาที่อาคารที่กำลังก่อสร้าง และบอกว่าที่นั้นคนน้อย จะได้อยู่ไกลหูไกลตาคนหน่อย

เจ้าเชี่ยนเชี่ยนยอมทำเพื่อพูดกับโจวเจี่ยนให้ชัดเจน และนำรูปของตัวเองกลับคืนมา จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะตกลง

ผลลัพธ์เมื่อถึงเวลากลางคืน เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ไปที่อาคารก่อสร้างคนเดียว แต่ตอนนั้นเองก็ต้องรู้สึกเสียใจ

 

โจวเจี่ยนไม่ได้มีเจตนามาคุยกับเธอ นอกจากเขาแล้ว ยังมีผู้ชายในมหาลัยอีกสองคน พวกเขาต่างมองเจ้าเชี่ยนเชี่ยนด้วยสายตาดูถูก

เจ้าเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกผิดปกติ จึงถามโจวเจี่ยนว่านี่มันหมายความว่ายังไง

แต่โจวเจี่ยนกลับทำหน้าเข้ม ด่าเธอว่า… บอกว่าเธอแกล้งทำเป็นยังบริสุทธิ์อยู่

และยังพูดว่าเพื่อลงโทษที่เธอทำแบบนั้น คืนนี้เขาจะทำให้เธอได้เห็นดี

ผลลัพธ์เจ้าเชี่ยนเชี่ยนกลับถูกทำร้ายอีกครั้ง และมันทรมานมาก

หลังจากเรื่องนี้จบลง เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ได้แต่นั่งโง่ๆอยู่ที่เดิม

 

เมื่อคิดถึงใบหน้าของผู้ชายชั่วที่หัวเราะเยาะและทำหน้ารังเกลียดใส่เธอ มันก็ทำให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนไม่มีความหวังในการอยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

ช่วงเวลานั้น เธอเห็นเพียงความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า  อนาคตของเธอไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด

ทันใดนั้น เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็หัวเราะดังลั่น

แม้ว่าเธอจะหัวเราะ แต่ตาของเธอกลับมีน้ำตาไหลออกมา

เพราะเธอเจ็บปวดและเศร้ามาก ดวงตาของเธอจึงเต็มไปด้วยเลือด ตอนนั้นเธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง พร้อมกับหยดเลือดที่ไหลริน

 

เธอร้องไห้เป็นสายเลือด และเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าพร้อมๆกัน

เธอมองมหาลัยที่ว่างเปล่า ตอนนี้ไม่มีความคิดอะไรในสมองของเธอเลยสักนิด เธอเดินไปสู่ช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างไม่ลังเล

พร้อมกับเสียงกระแทก ชีวิตที่น่าสงสารของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็จบลง……

เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ สีหน้าของผมก็น่าเกลียดจนยากจะบรรยาย

หยางเฉ่วและหานเฉ่วเฟิงต่างขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

คนชั่วแบบนี้ สมควรตายจริงๆ เป็นคนทำลายชื่อเสียงของอาจารย์แท้ๆ

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ผมยังรู้สึกเศร้ากับชีวิตของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนมาก

 

เป็นเพราะเธออดทนมาโดยตลอด  จึงทำให้เกิดฉากสุดท้ายขึ้น

ทำให้ตัวผมอดคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งไม่ได้ คนที่รู้ว่าผิดแต่ยังทำต่อ ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของคนชั่วเสมอ

แต่ผมไม่ได้พูดออกไป ยังฟังสิ่งที่เธอพูดต่อ

แต่ตอนนี้เจ้าเชี่ยนเชี่ยน เหมือนกับคนเป็น เธอหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดว่า “ ฉันคิดว่าหลังจากตายแล้ว ทุกอย่างจะจบ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น หลังจากที่ฉันตาย ฉันก็พบว่าตัวเองกลับไม่สามารถปล่อยวางได้ ความโกรธแค้นในใจมันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ”

“ ฉันเดินวนไปวนมาอยู่ในตึกสองสามเดือน ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากแก้แค้น สุดท้าย ฉันทนไม่ไหว จึงเริ่มออกไปแก้แค้นพวกเขา ”

 

“ ฉันฆ่าคนไปสองคนก่อนหน้านี้ก่อน ฉันทำให้สภาพของเขาเหมือนกับฉัน กระโดดลงมาจากตึกตาย แต่ขณะที่ฉันกำลังจะไปฆ่าโจวเจี่ยน ฉันกลับถูกผนึกวิญญาณไว้ในตุ๊กตา และตั้งแต่นั้นก็ถูกขังเอาไว้ในตึกนี้…… ”

“ คนๆนั้นคือใคร ” พวกเราสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังเครียดมาก

เป้าหมายหลักมาถึงแล้ว ต้องเป็นหมอผีในองค์กรลับนั้นแน่ๆ

แต่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนกลับส่ายหัว “ ฉันไม่รู้ ฉันจำได้ว่าก่อนคืนที่ฉันจะลงมือหนึ่งวัน โจวเจี่ยนก็พาตาแก่ใส่ชุดสีดำมาที่ตึกนี้  แต่โจวเจี่ยนเรียกเขาว่านักพรตหยวน…… ”

เมื่อได้ยินคำว่า “ นักพรตหยวน ” สามคำนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

หรือว่านักพรตหยวนคนนี้ คือกุ่ยซานหยวน นักพรตกุ่ย

 

เพราะไม่แน่ใจ จึงทำได้เพียงฟังต่อไป

จากนั้น เจ้าเชี่ยนเชี่ยนก็ค่อยๆเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างละเอียด

อาจเป็นเพราะโจวเจี่ยนรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล เมื่อเห็นว่าอาจารย์ที่ทำชั่วกับเขากระโดดตึกตายทั้งคู่ แถมสภาพศพยังเหมือนเจ้าเชี่ยนเชี่ยนเป๊ะ

เขาจึงไปเชิญยอดฝีมือมาปราบเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ตอนนั้นเจ้าเชี่ยนเชี่ยนพึ่งกลายเป็นผีร้ายได้ไม่นาน และไม่ได้ร้ายกาจเหมือนตอนนี้

เมื่อคนๆนั้นและโจวเจี่ยนมาถึงที่นี่ เขาคนนั้นก็ใช้วิชาปราบเจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้

แม้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนจะพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่สำเร็จ

 

สุดท้ายคนๆนั้นก็หยิบตุ๊กตาออกมา มองเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่กำลังร้องไห้อยู่ และบอกว่าจะผนึกวิญญาณของเธอในตุ๊กตาตัวนี้

เขาเลือกที่จะทำแบบนี้ เพราะถ้านำตุ๊กตามาวางไว้ที่นี่ เธอก็จะไม่สามารถออกจากตึกนี้ได้ง่ายๆ

เมื่อทำแบบนี้แล้ว ขอแค่โจวเจี่ยนไม่เข้าไปใกล้ตึกนี้ เขาก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว

หลังจากวิญญาณของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนถูกผนึก คนๆนั้นยังพูดกับเจ้าเชี่ยนเชี่ยนว่า ความแค้นในร่างของเธอ กำลังเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ ในเมื่อเธอชอบฆ่าคนขนาดนี้ งั้นเธอก็จงอยู่ที่นี่เพื่อฆ่าคนเถอะ!

หลังจากพูดจบ นักพรตนั้นก็แสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก จากนั้นก็หยิบยันต์ออกมา แปะลงที่คอของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน

 

และเมื่อเจ้าเชี่ยนเชี่ยนตื่นมาอีกครั้ง เธอก็ลืมเรื่องตอนมีชีวิตหมดแล้ว และที่คอก็มีสัญลักษณ์ผีสามตาปรากฎอยู่

เธอจำได้เพียงว่าตัวเองต้องฆ่าคน เป็นผู้ชายสามคนที่เธอเกลียด!

แต่เป็นใครนั้น เธอเองก็จำไม่ได้

ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยืนมองจากตึกร้างหลังนี้อย่างสับสน ทุกๆวันจะมองดูชายหญิงที่อยู่ในมหาลัย

แต่เมื่อเห็นชายหนุ่ม ใจของเธอก็จะถูกกระตุ้น

จากนั้นเธอก็จะทำทุกอย่าง เพื่อให้ชายหนุ่มคนนั้นหลงเข้ามาในตึก และสุดท้ายก็ทำให้เขากระโดดลงมาจากดาดฟ้าตาย

 

แม้ว่าเธอจะไม่สามารถออกจากตึกนี้ได้ แต่หอพักนักศึกษาและโรงอาหารของมหาลัย ต่างอยู่ขนาบข้างตึกนี้ มีเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น

นี่จึงทำให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนมีโอกาสฆ่าคนอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นถึงวันปกติอาคารใหญ่จะถูกปิด แต่เธอก็สามารถยืนอยู่ตรงนี้ และสะกดคนธรรมดาพวกนั้นได้

จากนั้นก็ควบคุมพวกเขาให้เดินมาถึงที่นี่ แล้วนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไม ที่นี่จะถูกปิดแล้ว แต่ทุกปีก็ยังมีคนมาตายได้ถึงสามคน

เพราะเรื่องนี้มหาลัย จึงเชิญคนมาทำพิธี แต่พวกเขาเป็นแค่นักพรตที่มีแต่ชื่อ

ห้องเรียนที่ถูกปรับปรุงใหม่ห้องนี้ สาเหตุที่มีตุ๊กตาวางเอาไว้มากมาย ก็เพราะเป็นสิ่งที่นักพรตพวกนั้นเอามาเพื่อดึงดูดความสนใจ

 

นอกจากจะทำให้ที่นี่มีสิ่งแปลกๆเพิ่มแล้ว ก็ไม่ได้มีประโยชน์อย่างอื่นอีกเลย

เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ เจ้าเชี่ยนเชี่ยนจึงได้อยู่ที่นี่มาเป็นเวลาห้าปี

จนผมและเฟิงเฉ่วหานได้บังเอิญมาเห็นว่าที่นี่มีคนตาย จากนั้นก็เข้ามาที่นี่ จนกระทั่งถึงตอนนี้……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset