ศพ – ตอนที่ 108 ยากที่จะหลบหนี

ตอนที่ 108 ยากที่จะหลบหนี

ระว่างที่เจ้าเชี่ยนเชี่ยนกำลังทรมานจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นเธอก็พูดออกมา

ขณะที่ผมกำลังมองการกระทำของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ในใจก็มีความรู้สึกต่างๆผสมปนเปกัน จนผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นได้จริงๆ

ตอนแรกเธอเป็นผีที่เคียดแค้น มีชีวิตอยู่เพื่อการล้างแค้น และเมื่อพวกเราได้รู้จักกับเธอจริงๆ ก็ได้รู้เรื่องตอนมีชีวิตของเธอ และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังโดนคนผนึกวิญญาณและควบคุม จนสุดท้ายต้องกลายเป็นเครื่องมือฆ่าคนสะสมความแค้น

ความคิดที่ผมมีต่อยัยผีจึงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ตอนนี้ผมคิดว่า

 

ผีเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ไม่ใช่ผีชั่ว เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่น่าส่งสารคนหนึ่ง

ในวัยสาว ได้รับความเจ็บปวดและทรมานจากมนุษย์

ตอนแรกเธอคิดว่าพอตายแล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบ แต่หลังจากตายความแค้นที่อยู่ในใจกลับไม่หายไป เธอจึงไม่อาจปล่อยวางได้

ใช่แล้ว แม้ว่าเธอจะฆ่าคน

แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกๆอย่างเกิดขึ้นเพราะเจ้าโจวเจี่ยนชั่วเป็นคนสร้าง และหลังจากนั้นยังถูกนักพรตหยวนเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือฆ่าคนล้างแค้น กลายเป็นทาสขององค์กร

สำหรับเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ผมเห็นใจเธอมาก

 

ในเวลาเดียวกันผมก็อยากจะช่วยให้เธอหลุดพ้น ผมเชื่อว่าเมื่อเธอไปถึงนรก พระยายมราชเองก็จะต้องตัดสินอย่างยุติธรรม

แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือ ระหว่างทางกลับถูกยายแก่คนนี้ขัดขวาง

ร่างกายของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนยิ่งอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เส้นสีดำเหล่านั้นยังขยายออกอย่างต่อเนื่อง

ผมกดฟันแรงๆ “ เชี่ยนเชี่ยนเธออดทนเอาไว้นะ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และวิ่งเข้าไปช่วยเธออีกครั้ง

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆยายแก่นั้นก็หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ทำไม้เท้าสีดำที่อยู่ในมือให้หมุนวนเร็วๆ

 

เจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่ทรมานจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที กรีดร้องโหยหวนออกมา “ อร๊าย ! ”

หลังจากเสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างกายอ่อนแอที่แทบจะทนไม่ไหวของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ในที่สุดก็มาถึงจุดจบ

ทันใดนั้นสัญลักษณ์ผีสามตาที่อยู่บนคอของเธอ ก็ส่องแสงสีดำออกมา

จากนั้นเสียง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น ร่างเจ้าเชี่ยนเชี่ยนระเบิดออก กลายเป็นแสงประกายเล็กๆ และจางหายไปต่อหน้าต่อตาของผม เฟิงเฉ่วหาน และหยางเฉ่วทันที

“ เชี่ยนเชี่ยน ! ” ผมและหยางเฉ่วตะโกนเรียกเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่หายไปแล้ว ตอนนี้พวกเราโกรธจนถึงขีดสุด

เฟิงเฉ่วหานเองก็พูดเบาๆ “ สมควรตาย ! ”

 

ในเวลาเดียวกันก็กำหมัดแน่น จ้องยายแก่ไม่กระพริบตา

“ ยายแก่ เอาชีวิตคืนมา ! ” ผมตะคอกอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปทันที

แต่ยายแก่กลับไม่มีทีท่าว่าจะต่อสู้กับผมเลยสักนิด หรือพูดอีกอย่างคือเธอไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา

“ ฮึน่าขำ ข้าขี้เกียจจะฆ่าเจ้า ! ” จู่ๆยายแก่ก็พูด แถมยังหัวเราะออกมาอย่างน่าสยดสยอง

หลังจากที่เธอพูดจบ ก็เดินถอยไปข้างหลังสองสามก้าว

จากนั้น ฉากแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น

ภายใต้แสงไฟสลัว ทันใดนั้นร่างของยายแก่ก็กลายเป็นภาพเบลอๆ และหายไป ต่อหน้าต่อตาพวกเราสามคน

เมื่อเห็นฉากนี้ พวกเราก็อ้าปากค้าง เผยท่าทางที่ไม่อยากเชื่อออกมา

 

คนๆหนึ่ง จะหายไปแบบนี้ก็ได้เหรอ

เธอ เธอยังเป็นคนอยู่ใช่ไหม

“ หาย หายไปแล้ว ” เฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

และตอนนี้ผม ก็ได้วิ่งมาถึงตำแหน่งที่วิญญาณของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนสลายไปแล้ว

ผมหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร

ผมรู้ว่า เจ้าเชี่ยนเชี่ยนจะไม่กลับมาอีกแล้ว

และยายแก่คนนั้น ก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ผมกัดฟัน กำหมัดแน่น ค่อยๆย่อตัวลง

 

มองพื้นดินที่ว่างเปล่า ใช้มือลูบมันเบาๆ “ เจ้าเชี่ยนเชี่ยน ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่ฉันจะคืนความยุติธรรมให้กับเธอ ! ”

ขณะที่พูด หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานก็มาถึงตำแหน่งที่ผมนั่งอยู่

หยางเฉ่วพูดกับผมทันที “ ติงฝาน พวกเรากลับกันเถอะ ! ยายแก่นั้นพลังกล้าแกร่งมาก ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเราจะเอาชนะได้ ! ”

“ ขอแค่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ต้องมีสักวันที่ปีศาจพวกนี้ จะถูกกำจัด ! ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนพูด ผมก็ค่อยๆลุกขึ้น ในเวลาเดียวกันก็สูดหายใจเข้าลึกๆ

หลังจากที่จิตใจค่อยๆกลับมาสงบ อารมณ์ไม่หวั่นไหวมากนัก และมีสติขึ้นมา

 

ผมก็คิดได้ว่าสิ่งที่หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานพูดมันถูก ความสามารถที่ยายแก่แสดงออกมา ทำให้พวกเรารู้ว่านี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะสามารถต่อกรได้เลย

ปัจจุบันพวกเราทำได้ แค่จดจำแค้นครั้งนี้ไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

ขอแค่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสักวันที่จะสามารถแก้แค้นให้เจ้าเชี่ยนเชี่ยนได้ และต้องมีสักวันที่ผมจะกำจัดคนชั่วพวกนี้ให้หมดสิ้น

หลังจากมองไปรอบๆหนึ่งครั้ง ผมก็ถอนหายใจ “ พวกเราไปเถอะ ! ”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินผมพูด ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย

จากนั้น พวกเราสามคนก็เดิน ออกจากที่นี่พร้อมๆกัน

 

ตอนนี้ตีสี่แล้ว เหลืออีกแค่สองชั่วโมงฟ้าก็จะสว่าง

ระหว่างทาง ทุกคนค่อนข้างเงียบ

เพราะไม่สามารถแก้ไขเรื่องผีผู้หญิงในมหาลัยได้และไม่ได้มีความรู้สึกดีใจที่ควรได้รับ แต่ตอนนี้กลับต้องเสียใจยิ่งกว่าเดิม

หลังเดินออกมาจากย่านการค้าเก่า พวกเราก็แวะร้านขายของที่เปิดในตอนเช้าตรู่

พวกเราสามคนหิวมาก กินซาลาเปาเข่งแรกที่เจ้าของร้านขายจนหมด จากนั้นก็พร้อมใจกันออกจากร้าน

หยางเฉ่วต้องกลับมหาวิทยาลัย ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน ต้องไปป้ายรถเมย์ นั่งรอรถเมย์กลับตำบลชิงฉือในรอบหกโมงเช้า

 

ตอนแยกกัน หยางเฉ่วก็บอกว่าตอนปิดเทอม เธอจะมาเที่ยวเล่นกับพวกเราที่ตำบลชิงฉือ

แน่นอนว่าผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้า แสดงความเห็นด้วยเท่านั้น

จากนั้น พวกเราสามคนก็ต่างคนต่างแยกย้าย

เมื่อผมกลับมาถึงร้าน ก็เป็นเวลา 8 โมงแล้ว

ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส อาจารย์คงจะไปออกกำลังกายตอนเช้า ในบ้านจึงเหลือแค่ผมคนเดียว

สีหน้าของผมดูอ่อนล้า เอนตัวนั่งบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง

ผลลัพธ์ขณะที่ตัวผมพึ่งสัมผัสกับโซฟา ความรู้สึกเจ็บที่หลังก็แล่นออกมาทันที ตอนนั้นผมตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง

 

ครั้งแรกที่แยกจากอาจารย์ ไปทำเรื่องแบบนั้นคนเดียว ตัวผมเองก็ต้องเจ็บตัวจนมาอยู่ในสภาพนี้แล้ว แถมยังได้เจอยายแก่ที่ร้ายกาจขนาดนั้นด้วย

ไม่รู้จริงๆว่าครั้งต่อไป จะมีชีวิตกลับมาได้ไหม

ขณะที่ผมกำลังมองเพดาน คิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น จู่ๆอุณหภูมิของบ้านก็ลดลงทันที

เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ ผมก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะนี่คือพลังหยิน

ผมลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ ในเวลาเดียวกันก็มองไปที่ป้ายวิญญาณของน้องศพ

ความคิดนี้พึ่งผุดเข้ามาในหัว ผมก็มายืนอยู่ที่หน้าป้ายวิญญาณ จุดธูปให้เธอ จินตนาการว่าเธอกำลังอยู่ด้วย

ทันใดนั้น เงาของใครบางคนก็ปรากฎขึ้น

 

ตอนแรกมันเป็นภาพรางๆ แต่ก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

แค่กระพริบตาสองครั้ง ทันใดนั้นวิญญาณสาวงามไร้ที่ติก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของผม

ผิวของเธอขาวสวย รูปร่างสูงโปร่งดูสง่างาม และใส่ชุดยาวสีขาวของผู้หญิงสูงศักดิ์

ไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือภรรยาคนสวยมู่หลงเหยียนของผมนั่นเอง

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนปรากฎตัว ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิ้วที่เคยขมวดกันแน่น กลับคลายออกอย่างง่ายดาย

และตะโกนในใจว่า “ น้องศพ ! ”

แต่หน้าของมู่หลงเหยียนกลับดูไม่ดีเลย “ ทำไมทั้งตัวนายมีแต่เลือดละ ”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนถาม ผมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งๆ “ โดนผีผู้หญิงน่าสงสารคนนึงทำน่ะ ”

“ ผีผู้หญิง ” มู่หลงเหยียนไม่เข้าใจ

จากนั้น ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ให้มู่หลงเหยียนฟัง

ตอนนั้น ผมไม่ได้ปิดบังเธอแม้แต่น้อย เล่าเรื่องสัญลักษณ์ผีสามตาที่เจอที่สุสานโจวหยุน และยายแก่ลึกลับที่ปรากฎตัวในช่วงสุดท้าย ให้มู่หลงเหยียนฟัง

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ฟัง ก็แสดงสีหน้าหนักใจ

และด่าผมทันที “ ไอ้ห่วย นายนี่โง่จริงๆรึเปล่าฮะ บอกแล้วไงว่าถ้าเจอสัญลักษณ์นั้นอีกให้หนี พลังขี้ประติ๋วของนาย จะไปทำอะไรได้ฮะ ”

 

แต่ตอนนี้ผมกลับไม่สนใจ แค่หัวเราะและพูดว่า “ ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่นิ อีกอย่าง ฉันก็แค่อยากช่วยเธอเท่านั้น ทำให้เจ้าองค์กรนั้นวุ่นวายบ้างนิดหน่อยก็ยังดี ”

ผมพูดอย่างสบายๆ แต่หลังจากมู่หลงเหยียนได้ยิน เธอกลับตัวสั่น

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เธอยังเงียบไปสักพัก คำพูดที่คิดว่าจะพูดเมื่อกี้ ก็ถูกกลืนหายไป……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset