ศพ – ตอนที่ 111 เจอกันอีกครั้ง

ตอนที่ 111 เจอกันอีกครั้ง

วันนี้เพื่อนนัดรวมตัว ที่จริงในใจของผมกำลังรอคอยวันนี้

จากที่จางจึเทาบอก เพื่อนเกือบทั้งห้องจะมาร่วมงาน

เมื่อคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี ในใจของผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

อาจารย์บอกผมว่าดื่มให้มันน้อยๆหน่อย ผมก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย บอกลาเสร็จสรรพ จากนั้นผมก็เดินทางเข้ามาในเมืองทันที

โรงแรมไดนาสตี้ อยู่ในเขตชานเมือง มีเนื้อที่ขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนในวันหยุดเลยละ

สำหรับพวกเราที่นี่ มันถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุด

 

ผมนั่งรถมาตลอดทาง ในที่สุดผมก็มาจนถึงโรงแรม ตอนนี้เป็นเวลา 10.30 น. แล้ว

หลังจากมองดูเวลา ว่าสายมากแล้ว  ผมจึงจ่ายเงินแล้วรีบลงจากรถทันที

แต่ตอนที่ผมลงมาจากรถ ก็มีรถแท็กซี่อีกคันเข้ามาจอด จากนั้นสาวสวยคนนึงก็เดินลงมาจากรถ

เธอดูดีมาก อารมณ์แบบยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าสวยมากขึ้นเรื่อยๆ

เธอใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ ปล่อยผมประบ่า แลดูเรียบมากๆ

แต่ความรู้สึกที่เธอให้กับคนอื่น มันกลับดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเดินอยู่บนถนน แต่ก็ต้องสังเกตเห็นตั้งแต่วินาทีแรก

ผมหันไปมองเธออยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาไม่เลว จากนั้นก็เดินออกไปจากจุดนั้น

เพราะตอนนี้ผมกำลังรีบ จึงไม่มีอารมณ์มายืนมองสาวสวย

 

แต่ผู้หญิงคนนั้นกับสังเกตเห็นผม เมื่อเห็นผมจะเดินจากไป เธอก็พูดขึ้นมาทันที “ ติงฝาน ”

เธอแฝงไปด้วยน้ำเสียงที่สงสัย ดูเหมือนกำลังถาม

ทันใดนั้นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตัวเอง ผมก็ตกใจทันที

ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมเธอถึงรู้จักฉันได้ หรือว่า หรือว่าเป็นลูกค้าเก่าของร้านเรา

ผมสงสัย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเสียมารยาท ผมหยุดเดิน จากนั้นก็หันมามองเธอ

และพูดด้วยความสงสัย “ เธอคือ… ”

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นผมหยุดเดิน และพูดแบบนั้นกับเธอ

“ พรึบ ” ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอหัวเราะออกมาทันที  “ นายลืมฉันแล้วซินะ ”

 

อึดอัดใจโว้ย ! ฉันจำได้กะผีนะซิ ไม่อย่างนั้นฉันจะถามเธอทำเพื่อ

“ จำ จำไม่ได้ ! ” ผมส่ายหัว

แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับยิ้ม จากนั้นก็ทำท่าทางขี้เล่น และพูดกับผมว่า “ …เป่า ! ”

ตอนแรกผมยังสับสนและมึนงง แต่เมื่อได้ยินคำว่า “ …เป่า ” สามคำนี้ “ พรึบ ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

สำหรับผมแล้ว ทั้งสามคำนี้ก็คือความทรงจำในวัยเด็ก

ในความทรงจำวัยเด็ก ผมมีเพื่อนเป็นเด็กผู้หญิงอ้วนคนหนึ่ง

เพราะบ้านผมเปิดกิจการเกี่ยวกับงานศพ ดังนั้นคนอื่นจึงชอบว่าผมเป็นตัวซวย ส่วนเด็กผู้หญิงเป็นเพราะเธออ้วนมาก เธอเลยไม่มีคนเล่นด้วยเหมือนกัน

 

ดังนั้น พวกเราสองคนจึงกลายเป็นเพื่อนกัน

หลังจากเลิกเรียนก็จะกลับมาพร้อมกัน เล่นด้วยกันเสมอ

เพราะอาจารย์ของผมต้องขายพวกธูป เทียน กระดาษเงินกระดาษทอง หรือหยวนเป่า และอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นจึงถูกเด็กผู้หญิงล้อว่า…เป่า

แต่ในอดีตได้เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น และตอนนั้นพ่อแม่ของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เสียชีวิต

สุดท้ายเด็กคนนี้ก็ถูกส่งไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จากนั้นมาผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย

และความทรงจำในวัยเด็กนี้ ก็ถูกฝังลึกอยู่ในใจของผมมาโดยตลอด

วินาทีนั้น ความทรงจำวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาในหัว

 

ผมเริ่มนิ่งเงียบไปทันที เหมือนกับมีกระแสความร้อนพัดเข้ามาในสมองของผม ตอนนี้ตัวผมจึงเริ่มหายใจเร็วขึ้นมาเล็กน้อย

ผมไม่อยากจะเชื่อว่า ผู้หญิงที่ดูมีเสน่ห์และรูปร่างสูงโปร่งตรงหน้า จะเป็นเด็กผู้หญิงอ้วนๆกลมๆคนนั้น

ผมกลืนน้ำลาย ค่อนข้างประหลาดใจ

แต่ผู้หญิงตรงหน้ายังคงยิ้มหวานให้ เธอเอนหัวเล็กน้อยและถามผมว่า “ อะไรกัน จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “ เธอ เธอคือเสี่ยวม่าน ”

เสียงพึ่งเงียบ ทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ เฮ้อค่อยยังชั่ว ! นายยังจำฉันได้ ! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ นายสบายดีไหม ”

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนักแน่น ผมก็รู้สึกดีใจสุดๆ

เพราะตอนที่เสี่ยวม่านถูกพาตัวไป ผมไม่ได้พบหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย

เพียงแต่รู้แค่ว่าวันนั้นเธอไม่ได้ไปโรงเรียน หลังจากกลับมาถึงบ้านก็ได้รู้ว่า สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามารับตัวเธอไปแล้ว

ตอนนั้นผมยังเด็กมาก พึ่งเรียนอยู่ชั้นประถม จึงบ่นว่าเสี่ยวม่านไม่ยอมบอกลาก็ไปซะแล้ว

จนเมื่อผมโตขึ้น ก็รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิด และเธอก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย

แต่คิดไม่ถึง ว่าจะได้มาเจอเธอที่นี่

ผมพยักหน้าแรงๆ “ ดี ฉันสบายดี และตอนนี้ฉันก็กลายเป็นนักพรตเต็มตัวแล้วนะ ! ”

แน่นอนว่าเสี่ยวม่านรู้ว่าบ้านของผมทำอะไร ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของผม ก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ด้วยความพอใจอย่างมาก

 

“ จ้า ! ยินดีด้วยนะ ฉันเองก็มาร่วมงานของเพื่อน พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ ! ” เสี่ยวม่านพูดออกมาอีกครั้ง

ผมตอบรับ “ อือ ” จากนั้นก็แอบพูดว่าเจ้าจางจึเทานี่ร้ายกาจจริงๆ แม้แต่เสี่ยวม่านก็ยังติดต่อมาได้

จากนั้น ผมและเสี่ยวม่านก็เข้าไปในโรงแรมพร้อมกัน

พูดจริงๆนะ วันนี้มันแปลกสุดๆ

และการเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวม่านก็มีเยอะมาก เมื่อก่อนเธอตัวเล็กๆ และผิวก็ค่อนข้างดำ

แต่ตอนนี้เธอกับสูงสง่า ผิวก็เปลี่ยนเป็นสีขาว

ผมถามเสี่ยวม่านว่าหลายปีที่ผ่านมาเธอไปอยู่ที่ไหน เสี่ยวม่านบอกผมว่า เธอถูกป้าจ้าวที่ใจดีและมีแซ่เดียวกันรับไปเลี้ยง แถมอยู่ที่เมืองหวงหลงที่อยู่ข้างๆพวกเรา ต่อมาเธอก็ไปเรียนต่อต่างประเทศ และตอนนี้ก็พึ่งกลับมาหมาดๆ

 

เพราะจางจึเทาและเธอฝึกงานที่บริษัทเดียวกัน ดังนั้นเสี่ยวม่านจึงมาร่วมงานในครั้งนี้ได้

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่หันไปมองเธอสองสามครั้ง

คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้จะกลายเป็นไฮโซนักเรียนนอกไปแล้ว

เสี่ยวม่านเล่าเรื่องราวของเธอสั้นๆเท่านั้น แต่ตอนที่เล่า ก็เห็นได้ชัดว่าเธอได้เจอกับครอบครัวที่ดี

และน้ำเสียงของเสี่ยวม่าน ยังบอกได้อีกว่าครอบครัวนั้น มีคุณสมบัติค่อนข้างดีในทุกด้าน และยังรับเลี้ยงแค่เธอคนเดียว

แม้ว่าครอบครัวที่แท้จริงของเสี่ยวม่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เธอก็ได้พบกับครอบครัวใหม่ที่ดี ผมจึงรู้สึกดีใจแทนเธอ

 

พวกเราคุยกัน จนมาถึงห้องส่วนตัวที่ระบุเอาไว้

ข้างในดังมาก ดูเหมือนคนจะมากันเยอะแล้ว

ผมสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เปิดประตูออก

ช่วงเวลาที่ผมผลักประตูให้เปิดออก ก็เห็นว่าโต๊ะใหญ่สองโต๊ะด้านใน มีคนนั่งจนเต็มแล้ว

และโต๊ะนี้ยังเป็นโต๊ะกลมที่มีขนาดใหญ่ หนึ่งโต๊ะสามารถนั่งได้ประมาณ 6 คน

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกสองโต๊ะก็มีคนนั่งเกือบเต็มหมดแล้ว ผมจึงคิดว่า โรงเรียนเล็กๆในตำบลของพวกเรา หนึ่งห้องมีนักเรียน 30 คน

งั้นก็แสดงว่า ตอนนี้คนมาถึงกว่า 80% แล้ว

 

เมื่อกวาดสายตามอง ผมก็พบใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย

แต่ก็มีบางคน ที่ผมรู้สึกไม่คุ้นหน้า

ขณะที่กำลังมองทุกคน ในห้องก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่แล้ว

“ สุดยอด นี่มันไม่ใช่คนที่ขายของให้คนตายเหรอวะ ”

“ ใช่ใช่ใช่ ฉันจำได้ บ้านของมันขายเงินกระดาษหยวนเป่าอะไรพวกนั้น! มันชื่ออะไรนะ ”

“ ติงฝาน ใช่ชื่อติงฝาน ! ”

“ สุดยอด ที่แท้พี่ฝานก็เสด็จมาแล้ว เชิญเชิญ เชิญทางนี้…… ”

“ …… ”

 

ขณะที่ฟังเสียงโต้เถียงกันในห้อง ผมก็ได้ยินเสียงคนบางกลุ่มพูดประชด แต่ผมก็ไม่สนใจ

ทุกคนจำชื่อผมไม่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก

และบ้านของผมก็ขายเงินกระดาษและหยวนเป่าให้คนตายจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ส่วนเสียงที่ไม่ดีพวกนั้น ผมขี้เกียจเกินที่จะใส่ใจ

เพียงพูดกับเพื่อนคนอื่นว่า “ ขอโทษนะเพื่อน ที่มาสาย ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เดินเข้าไป

จางจึเทากลับเดินมาต้อนรับผมอย่างอบอุ่น และยังส่งบุหรี่ให้อะไรทำนองนั้น

แต่ผมพึ่งก้าวเดิน เสี่ยวม่านก็เดินตามมาทันที

 

เมื่อเสี่ยวม่านปรากฎตัว ก็ดึงดูดสายตาของทุกคน

ดูเหมือนเพื่อนผู้ชายต่างตกตะลึง มองเสี่ยวม่านไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าจำเสี่ยวม่านไม่ได้

ขนาดผมยังจำเสี่ยวม่านไม่ได้ คงไม่ต้องพูดถึงคนอื่นแล้วละ

“ สุดยอด คนสวยนี้ใครวะ ”

“ ติงฝาน นี่คงไม่ใช่แฟนแกหรอกนะ บอกแล้วไงว่าห้ามพาคนในครอบครัวมา ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะมาสนุกกันได้ยังไงละ ”

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ดังขึ้น

จางจึเทากลับหมุนตัวไปโบกมือ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา

ในเวลาเดียวกันก็พูดกับทุกคนว่า “ จำกันไม่ได้ละซิ ! ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เธอผู้นี้คือจ้าวเสี่ยวม่านเพื่อนร่วมห้องของพวกเรา ! ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset