ศพ – ตอนที่ 112 งานเลี้ยงรุ่น

ตอนที่ 112 งานเลี้ยงรุ่น

ตอนที่ผมพูดชื่อจ้าวเสี่ยวม่านสามคำนี้ คนส่วนใหญ่ก็ตกตะลึงทันที

แต่ก็มีเพื่อนหลายคนได้สติกลับมา “ จ้าวเสี่ยวม่าน ไม่ใช่มั้ง ! เมื่อก่อนเธออ้วนจะตาย ! ”

“ ใช่แล้ว ! ตอนหลังเธอก็เปลี่ยนโรงเรียน ! บ้านฉันก็อยู่ตรงข้ามกับเธอ ! ”

“ …… ”

ทุกคนต่างถกเถียงกัน จ้าวเสี่ยวม่านเองก็ทักทายทุกคนด้วยความอบอุ่น

แต่เป็นเพราะเธอเรียนอยู่กับพวกเราแค่สองปี ดังนั้นมิตรภาพที่ทุกคนมีจึงไม่เหมือนกัน

ทุกคนพูดพล่ามกันไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

ผมและเสี่ยวม่านหาที่นั่งลง ตอนนั้นก็ถึงเวลาเสริฟอาหารพอดี อาหารจานแล้วจานเล่าถูกวางลงบนโต๊ะอย่างต่อเนื่อง

 

ก่อนรับประทานอาหารผู้จัดอย่างจางจึเทาก็ลุกขึ้นมาพูดคุยกับทุกคนเล็กน้อย เป็นความรู้สึกต่อเพื่อนร่วมชั้นอะไรประมาณนั้น

หลังจากพูดจบ ทุกคนก็ยกแก้วชนกันและดื่มหนึ่งอึก

อาหารเยอะแยะที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นอาหารที่หากินไม่ได้ในตำบลของพวกเรา

ตอนนี้ผมเองก็หิวแล้วด้วย จึงไม่สนภาพลักษณ์อีกต่อไป กินตามใจอยากของตัวเองทันที

เสี่ยวม่านเห็นผมกินอย่างตะกละตะกลาม เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ ติงฝาน นายหิวขนาดนั้นเลยเหรอ ”

ผมยิ้มอย่างลำบากใจ “ เมื่อวานเย็นฉันยังไม่ได้กินข้าวเลยน่ะ ตอนนี้ก็เลยหิวสุดๆ ! ”

 

เสี่ยวม่านแสดงท่าทางพูดไม่ออก จากนั้นเธอก็กินอาหารและคุยกับผมไปเรื่อยๆ

ทุกคนถามผมว่าหลายปีมานี้ผมทำอะไรอยู่ ที่จริงผมก็มีประสบการณ์ที่น่าสนใจมากมาย แต่ก็เล่าให้พวกเขาฟังสั้นๆเท่านั้น

ส่วนใหญ่ก็เรื่องหุ่นกระดาษ ดูฮวงจุ้ย แล้วก็ย้ายหลุมศพอะไรประมาณนั้น

เสี่ยวม่านเองก็ไม่ได้ตกใจกลัว และไม่ได้ดูถูกอาชีพของผม

เธอรู้สึกสนใจมัน เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ออกมา และถามเกี่ยวเรื่องอื่น

ผมเองก็อธิบายให้เธอฟังสั้นๆ ทำอาชีพแบบพวกเรา ศาสตร์ง่ายๆของฮวงจุ้ย จะต้องทำได้บ้างถึงจะดี

สุดท้าย เสี่ยวม่านก็พูดกับผมว่า “ …เป่า นายบอกว่านายกลายเป็นนักพรตแล้ว งั้นนายบอกฉันหน่อย บนโลกนี้มีผีไหม ”

 

จู่ๆก็ได้ยินเสี่ยวม่านถามถึงเรื่องนี้ ผมจึงเงียบไปพักหนึ่ง

ตอนแรกอยากตอบว่า “ มี ” แต่คิดว่าถ้าทำแบบนี้จะทำลายมุมมองของเสี่ยวม่านเปล่าๆ ผมจึงกลืนมันลงไป

เสี่ยวม่านในตอนนี้ ไม่ใช่เด็กอ้วนที่ผมเล่นด้วยในสมัยก่อนอีกแล้ว

ตอนนี้เธอมีการศึกษาสูง ฐานะสูงส่ง และอยู่ในสังคมระดับสูง

ล้วนเป็นแนวหน้าของสังคมชนชั้นสูง ผมจึงคิดว่าไม่ควรทำให้เรื่องนี้ส่งผลต่อความคิดความเชื่อของเธอ

แต่ถ้าปฏิเสธ ผมก็รู้สึกผิดกับอาชีพของผม เพราะเจ้าสิ่งนี้มีอยู่จริงๆ เพียงแค่น้อยมากเท่านั้น

ชั่วชีวิตนี้ของคนจำนวนมาก ก็ไม่มีใครสัมผัสเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้ ล้วนแล้วแต่ตายไปแล้วถึงได้รู้

ดังนั้นผมจึงเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ เจ้าสิ่งนี้มันอยู่ที่คนจะเชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่มี ! ไม่เห็นต้องถามเลยนิ ”

 

เสียงของผมพึ่งลดลง เสี่ยวม่านยังอยากจะถามต่อ

แต่ตอนนั้นเอง เพื่อนผู้ชายสองคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันก็เริ่มชวนเสี่ยวม่านดื่มเหล้า

ทำให้คำถามที่เสี่ยวม่านอยากจะพูดหายไป และเธอก็ไม่ได้ถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

เสี่ยวม่านเองก็คงไม่ค่อยถนัดเรื่องดื่มเหล้าเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเพื่อนเก่าชวน เธอก็เลยดื่มนิดหน่อยเพื่อเป็นพิธี

ผลลัพธ์หลังจากดื่มไปสองแก้ว หน้าของเสี่ยวม่านก็เริ่มแดง

แต่ว่าหนึ่งในเพื่อนที่ชื่อจูกุ่ย ยังหน้าด้านชวนเสี่ยวม่านดื่มต่อ

ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่หลังจากนั้น เจ้านี้ก็เริ่มทะลึ่งขึ้นเรื่อยๆ

 

แม้แต่ขอแลกที่นั่งกับเพื่อนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเสี่ยวม่าน นอกจากมาดื่มกับเสี่ยวม่านแล้ว ยังพูดจาลามก และแกล้งทำเป็นไม่ได้ตั้งใจแตะต้องมือและขาของเสี่ยวม่าน

เสี่ยวม่านรู้สึกขยะแขยงมาก แต่ก็ไม่สามารถปัดป้องได้ เธอจึงขอแลกที่นั่งกับผม

ผมพึ่งแลกที่นั่งกับเธอ เจ้าเพื่อนที่ชื่อจูกุ่ยนี้ก็พูดกับผมอย่างเย็นชา “ เจ้าคนขายเงินกระดาษ แกไม่มีตารึไงฮะ ไม่เห็นเหรอว่าฉันกับเสี่ยวม่านดื่มกันอยู่ แกจะมานั่งตรงนี้ทำซากอะไรฮะ ”

ผมกลับไม่ได้โกรธ เพียงคลี่ยิ้มให้เขาเท่านั้น “ พี่กุ่ย เสี่ยวม่านไม่ไหวแล้ว ถ้านายยังอยากดื่ม ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนเอง ! ”

“นายจะดื่ม แกคิดว่าตัวเองเป็นตัวอะไรฮะ แค่คนขายเงินกระดาษ ทำธุรกิจกระจอกๆ ” สีหน้าของจูกุ่ยเปลี่ยนไปทันที และด่าผมตรงๆ

 

ตอนที่เจ้าเด็กนี้ยังเรียนอยู่ ก็เป็นแค่เด็กเกเรคนหนึ่ง

แต่ต่อมาพ่อของเขาเก็บเงิน ส่งให้เขาได้เรียนในมหาลัยชื่อดัง

แต่ไม่ว่ายังไงเจ้านี้ก็ไม่เอาถ่านเหมือนเดิม นอกจากกินดื่มเที่ยวผู้หญิงแล้ว ก็ทำอะไรไม่เป็นอีก

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้ยินว่า เขาไปต่อยตีกับคนข้างนอก จนต้องเข้าคุกถึงสองสามเดือน แต่สุดท้ายก็เป็นพ่อของเขาที่ยัดสินบน เขาถึงได้ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนด

เมื่อผมเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป และยังพูดจาแบบนี้ ผมก็รู้สึกโมโหมาก

อยากจะตบเจ้านี้จริงๆ คิดว่าเป็นใครกันฮะ

แต่รอบๆต่างมีเพื่อนนั่งอยู่ และตอนนี้เพื่อนส่วนใหญ่ก็กำลังมองอยู่ ผมเลยทำแบบนั้นไม่ได้

 

แต่มือของผมกลับเคลื่อนไหว กลายเป็นรูปดาบ

ผมย้ายมือไปที่ด้านหลังตรงจุด “ โพ่วฮู ” ( ระหว่างสะบักกับกลางหลัง ) ของเจ้าเด็กนี้อย่างเงียบๆ จุดนี้ถูกเรียกว่าจุดพัก ถ้ากดจุดนี้ จะสามารถทำให้คนสลบหรือนอนหลับได้

วินาทีที่ลงมือ ผมก็พูดออกมาเบาๆ “ พี่กุ่ย นายดื่มมากไปแล้ว ! ”

ผมฉีกยิ้มให้ การกระทำของผมเหมือนตบไปที่หลังของเขา แต่ที่จริงแล้วผมกำลังเคลื่อนพลัง และเตรียมจู่โจม

ทันใดนั้นจูกุ่ยก็คิดจะถือโอกาสคุยโว แต่ขณะที่กำลังจะพูด กลับถูกผมกดจุดเสียแล้ว

เขารู้สึกเจ็บที่หลัง จากนั้นก็เริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและหน้ามืด

 

ยังไม่ทันได้พูดอะไร ดวงตาทั้งสองก็ปิด และเขาก็ฟุบลงไปกับโต๊ะอาหารทันที

ทันใดนั้นเมื่อคนที่อยู่รอบๆเห็นหัวของจูกุ่ยฟาดลงกับโต๊ะ ก็ตกใจกันทันที

ส่วนผมที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับแกล้งทำหน้าสงสัย “ พี่กุ่ย พี่กุ่ย ”

หลังจากพูดจบ ผมยังเขย่าตัวของเขาอีกสองครั้ง “ ไม่เป็นไร เขาแค่ดื่มเยอะไปหน่อยนะ ! ”

“ ไม่น่ามั้ง ! เหล้าแค่นี้ก็ทำให้เขาไม่ไหวแล้วเหรอ เจ้านี้ไม่ได้ประกาศตัวเองว่าดื่มพันแก้วก็ไม่เมาเหรอ ” เพื่อนอีกคนพูด จากนั้นก็เข้ามาดูเขาทันที

แต่ก็พบว่าจูกุ่ย “ หลับ ” ไปแล้วจริงๆ ไม่มีสาเหตุที่ไม่ชอบมาพากลเลยสักนิด จึงไม่ได้สนใจเขาอีก

ผมยังยิ้มให้ทุกคน เพราะขี้เกียจพูดมาก

 

ผลลัพธ์คือ จู่ๆเสี่ยวม่านกลับหันมามองผม เธอฉีกยิ้มกว้าง

พูดกับผมด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ …เป่า นายนี่ร้ายกาจจริงๆ ! โกหกตาไม่กระพริบเลยนะ ! ”

หลังจากพูดจบ เสี่ยวม่านยังทำมือเลียนแบบผมเมื่อกี้ ที่ด้านล่างของโต๊ะอย่างเงียบๆ

ดูเหมือนเสี่ยวม่านจะเห็นผมแอบกดจุดจูกุ่ย ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วขึ้นและพยักหน้าให้เธอ แล้วจากนั้นก็ดื่มจนหมดแก้ว

ตอนนี้ทุกคนก็กินกันมาพอประมาณแล้ว และก็เริ่มแยกย้ายกันไปที่ต่างๆ

เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงรุ่น เป็นงานที่แบบจัด 1 วัน 1 คืน

ดังนั้นหลังจากกินอาหารเสร็จ จูกุ่ยก็ถูกเพื่อนที่สนิทกันพากลับไปที่ห้อง

 

ส่วนเพื่อนที่เหลือก็ยังอยู่ด้วยกัน ภายใต้การนำของผู้จัดงานจางจึเทา พวกเราเล่นเกมไพ่หมาป่าฆ่าคนในห้องจัดงานเลี้ยง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน

เกมนี้สนุกไม่เบา ทุกคนต่างเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน

ภายใต้การใช้ไหวพริบและการพูดคุยอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เวลาในช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ จูกุ่ยก็ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง

พวกเรากินดื่นกันอย่างสนุกสนาน หลังจากนั้นก็ร้องคาราโอเกะ

แต่คอผมไม่ค่อยดี เลยร้องเพลงผิดคีย์ตลอด

 

แต่เสี่ยวม่านกลับร้องได้เพราะมาก จนกลายเป็นดาวเด่นของวันนี้ไปเลยละ

หลังจากนั้นประมาณห้าทุ่ม ผมและเสี่ยวม่านก็รู้สึกค่อนข้างเหนื่อย

ผมสองคนจึงปลีกตัวออกมา ขณะกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง ก็เดินคุยเล่นกันตลอดทาง

แต่ผมสองคนพึ่งออกจากลิฟต์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง “ อร๊าย… ”

บนทางเดินที่เงียบสงบ เสียงนี้จึงฟังดูร้ายแรงผิดปกติ

ผมขมวดคิ้ว รีบตามหาต้นเสียงทันที

ทันใดนั้นบนทางเดินที่ห่างออกไป มีพนักงานคนหนึ่งกำลังนั่งอึ้งอยู่บนพื้น ตัวสั่นนั่งติดกับผนัง มองไปที่ห้องๆหนึ่ง

 

“ คุณเป็นอะไร ” ผมถามด้วยความสงสัย ในเวลาเดียวกันก็เดินเข้าไปกับเสี่ยวม่าน

แต่พนักงานคนนั้นกลับมีสีหน้าซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งตัว

เมื่อได้ยินเสียงผม เธอก็ชี้ไปที่ห้องตรงหน้าอย่างช้าๆ พูดกับผมด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ “ คน คน คนตาย…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset