ศพ – ตอนที่ 114 ล่าผี

ตอนที่ 114 ล่าผี

ผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมายขนาดนั้น ดังนั้นระดับความเร็วในการรับรู้พลังชั่วร้ายของผม จึงได้พัฒนาขึ้นมากแล้ว

ขณะที่ความรู้สึกใจสั่นปรากฎขึ้น ผมก็เริ่มระวังตัวทันที

ผมไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้จะอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนเท่าไหร่

แต่ตามสัญชาตญาณของคนปราบสิ่งชั่วร้าย ผมยังคงเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ มันไม่ได้เป็นเพราะผมไม่รู้ และถอยหลังไม่ได้

หลังจากไล่ตามพลังชั่วที่เหลือทิ้งเอาไว้ในอากาศมาได้ระยะหนึ่ง ผมก็มาถึงส่วนลึกของป่า

และที่นี่ ก็เต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายที่เข้มข้น

 

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ ทำให้ผมรู้ได้ว่ารอบๆต่างมีไอสีเหลืองอ่อนลอยอยู่

ผมมองสำรวจรอบๆตัว แต่ก็ไม่พบสิ่งชั่วร้ายแต่อย่างใด

แต่ผมกลับสามารถรับรู้ได้ว่า มันอยู่แถวๆนี้ น่าจะห่างจากผมไม่ไกลมาก

ผมจึงเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาของใครบางคนอยู่ตรงพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

คนๆนั้นดูเหมือนกำลังตัวสั่น ร้อง “ ฮึฮึฮือฮือ ” ออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูแล้วท่าทางแปลกมากๆ

ผมคิดว่า เงาของคนๆนี้ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่ผมตามหา

แต่เมื่อมองให้ละเอียด ก็ไม่ใช่อย่าที่คิด

เพราะเงานี้เป็นคน มีดวงไฟชีวิตอยู่ด้านบน ไม่ใช่ไฟของวิญญาณ

 

แต่ก็มีบางสิ่งที่แปลกอยู่ ทำไมที่ผิวของคนๆนี้ ถึงมีพลังหยินอ่อนๆอยู่ละ

เพราะอยู่ค่อนข้างไกล ดังนั้นผมจึงมองเห็นไม่ชัด แต่ผมคิดว่า คนๆนี้จะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ

ดึกดื่นป่านนี้ กลับมาอยู่ที่นี่ตัวคนเดียว

ทันใดนั้นมันก็เตือนใจผมขึ้นมา ผมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

ผมย่องเข้าไปใกล้ๆอย่างระมัดระวัง แต่ตอนที่ผมอยู่ห่างจากคนๆนั้นประมาณ 10 เมตร

เสียงแปลกๆที่คนๆนั้นร้องออกมา กลับหยุดอย่างกระทันหัน

จากนั้น ผมก็เห็นคนๆนั้นยืนขึ้นอย่างช้าๆ

 

หลังจากเขาลุกขึ้นยืน ผมก็ตกตะลึงทันที เพราะด้านหลังของเขาทำให้ผมรู้สึกคุ้นตา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ จากนั้นก็ไปข้างหน้าต่ออย่างระมัดระวัง

แต่ตอนนั้นเอง คนๆนั้นกลับหันมาอย่างฉับพรัน

จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว “ ใคร ใครกัน ”

หลังจากพูดจบ เขาก็เปิดไฟฉายจากมือถือส่องมาทางผม

ทันใดนั้น ในใจของผมก็มีเสียงกัน “ กึก ”

เพราะขณะที่ผมได้ยินเสียงนี้ ผมก็รู้ได้ทันที ว่ามันเป็นเสียงผู้นำในการนัดเพื่อนมารวมตัวกันในครั้งนี้ ผู้นำคนนั้นก็คือจางจึเทาคนที่โทรศัพท์หาผมนั่นเอง

 

ผมนิ่งอึ้งไปทันที ดึกขนาดนี้ ทำไมจางจึเทาถึงมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้

และบนร่างกาย ยังมีพลังหยินอ่อนๆอยู่ด้วย

หรือว่า เขาก็ถูกมนต์สะกดจากสิ่งชั่วร้ายให้เดินเข้ามาที่นี่

ผมพูดด้วยความสงสัย “ จางจึเทา ”

เมื่ออีกฝ่ายได้ยินผมพูด กลับดูเหมือนกำลังตกใจเล็กน้อย “ ใช่ฉันเอง นายคือติงฝานเหรอ ”

“ อือฉันเอง ! ทำไมนายมาอยู่ที่นี่ได้ละ ” ผมถามด้วยความสงสัย

ในเวลาเดียวกัน ก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาเขา

แต่ไม่ได้ลดความระมัดระวังลง เพราะเจ้าสิ่งชั่วร้ายนั้นอาจอยู่ใกล้ๆนี้ก็ได้

 

เมื่อจางจึเทาได้ยินผมถาม ก็รีบตอบกลับทันที “ ไม่มีอะไร ฉันก็แค่อยากออกมาเดินสูดอากาศ เลยเดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึงที่นี่น่ะ เออใช่ แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ละ ”

หลังจากพูดจบ จางจึเทาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว

ท้องฟ้าดำมืด แต่ในเวลานี้ผมกลับใช้ตาสวรรค์ มองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน

แต่ขณะที่ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ใจของผมก็หล่นวูบ วินาทีนั้นเสียง “ ฟรึบ ” ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะที่หน้าและคางของจางจึเทา มีคราบเลือดสีแดงๆติดอยู่

และตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม แต่หน้าของจางจึเทา กลับดูขาวซีดมาก เหมือนกับไม่มีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่

ผมตกใจกลัว แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา

 

จากนั้นผมก็มองลงไปตามร่างกาย มองไปที่มือทั้งสองข้างของเขา

แต่ขณะที่ผมกำลังมองไปที่มือของเขา ทันใดนั้นผมกลับพบว่าเล็บของเจ้าหมอนี้

ยาวออกมา ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และในเล็บของเขา ก็ยังมีคราบเลือดติดอยู่ด้วย

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ผมก็รู้สึกเสียวที่หนังหัว ชาไปทั้งตัว

พระเจ้าช่วย สิ่งที่เห็นทั้งหมด มันบ่งบอกว่าเจ้าหมอนี้ผิดปกติจริงๆ

และสิ่งที่ผมกำลังสงสัยก็คือ เจ้าหมอนี้อาจกำลังถูกผีสิง หรือไม่ใช่จางจึเทาตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็ยังแสดงท่าทีสงบ

แต่ปากกลับพูดกับเขาว่า “ ร้องเพลงโครตเหนื่อยเลย ฉันก็ออกมาเดินเล่นเหมือนกัน ! ฉันเห็นที่นี่สงบดี ก็เลยเดินเข้ามาน่ะ ! ”

 

เมื่อจางจึเทาได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ให้ผม “ อีกเดี๋ยวฟ้าจะมืดกว่านี้แล้ว พวกเราเดินกลับไปด้วยกันเถอะ ! ”

หลังจากพูดจบ จางจึเทาก็ยิ้มให้ผม

ผลลัพธ์ขณะที่เขาเผยรอยยิ้มออกมา ทันใดนั้นผมก็พบว่าใบปากของจางจึเทา มีเขี้ยวแหลมงอกออกมาสองซี่

ม่านตาของผมขยายอย่างรวดเร็ว ตะโกนในใจว่าแย่แล้ว

เจ้านี้ไม่ใช่จางจึเทาแน่ๆ จางจึเทาเป็นคน แต่คนจะมีเขี้ยวยาวงอกออกมาได้ยังไงละ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของผมก็ตรึงเครียดทันที

ใช้มืออีกข้าง เอื้อมมือออกไปหยิบยันต์ที่อยู่ในกระเป๋าออกมา

 

เมื่อจางจึเทาเห็นท่าทีของผมเปลี่ยนไป และใช้มืออีกข้างเอื้อมไปที่กระเป๋า ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ชอบมาพากล

ใบหน้าที่เคยประดับไปด้วยรอยยิ้มของเขา ก็เปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังก้มหน้าลง

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆจางจึเทาก็พูดด้วยเสียงที่เย็นชา “ ติงฝาน นายมองเห็นอะไรใช่ไหม ! ”

เมื่อเห็นจางจึเทาเปลี่ยนไป ผมก็ไม่เกรงใจ บิดมือข้างหนึ่ง และหยิบยันต์แปดทิศออกมาทันที

ผมไม่ลังเล เอื้อมมือไปที่จางจึเทา และตะโกนว่า “ ไอ้ปีศาจ ! ”

เสียงพึ่งจางหาย ผมก็คว้าโอกาสนี้ แปะยันต์ลงไปที่หน้าของจางจึเทาทันที

 

แต่ขณะที่ยันต์ของผมสัมผัสกับหน้าของเขา จางจึเทากลับฉีกยิ้ม

ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว จับข้อมือของผมเอาไว้

ฝ่ามือนั้นเหมือนกับคีม เขาจับมือผมเอาไว้อย่างอยู่หมัด ผมรู้สึกถึงพละกำลังที่มหาศาล และยากที่จะขัดขืนได้

มือและยันต์ของผม ถูกหยุดเอาไว้กลางอากาศ จนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้

ผมขมวดคิ้ว พยายามดึงมือออกอีกสองสามครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม

ผมไม่กล้าอยู่เฉยๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี้มันผิดปกติ

มีความเป็นได้สูงว่าเจ้านี่จะไม่ใช่จางจึเทา แต่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่เข้าไปสิงร่างของเขา

และอาจเป็นไปได้ว่า จางจึเทาที่แท้จริงนั้น ได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว

 

เมื่อเห็นมือไม่สามารถขยับได้ ผมก็ใช้เท้าเตะแรงๆ

แต่ขณะที่ผมกำลังจะใช้เท้าเตะ เจ้าหมอนั้นกลับใช้มือผลักผม

วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่มหาศาล

ตัวผมกระเด็นออกไปไกลประมาณสองเมตร และล้มลงไปกับพื้นทันที

ในเวลาเดียวกัน เขาก็พูดกับผมอย่างเยือกเย็น “ คิดไม่ถึงจริงๆ ไม่ได้เจอกัน 10 ปีกว่า นายจะกลายเป็นคนปราบวิญญาณชั่วไปแล้ว ! ”

ผมไม่กล้ารอช้า รีบลุกขึ้นจากพื้นทันที

ขมวดคิ้วและพูดว่า “ แกเป็นใครกันแน่ แกคือจางจึเทาตัวจริงใช่ไหม ”

 

ในเวลานี้จางจึเทาแสดงสีหน้าจริงจัง เขาไม่ปิดบังอีกต่อไป ยกมือขึ้นสองข้าง “ ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครได้ละ ในเมื่อนายรู้ความลับของฉันแล้ว งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะติงฝาน คงต้องใช้เลือดสดๆของนาย มาปิดความลับของฉันแล้วละ ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง จางจึเทาก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง เพียงเสี่ยววินาที พลังหยินก็ไหลทะลักออกมาจากตัวของเขาอย่างรวดเร็ว

ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปมา และออร่าสีเหลืองอ่อนที่ผิวของเขา ก็เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า

ทั้งเล็บและฟัน ก็ยาวขึ้นเยอะมาก

แม้แต่ขนของเขา ก็ยาวออกมาอย่างรวดเร็ว และมันยังดำและหนามาก……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset