ศพ – ตอนที่ 115 กลายเป็นสัตว์

ตอนที่ 115 กลายเป็นสัตว์

จู่ๆจางจึเทาก็เปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ มันเป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ

เจ้านี้เป็นอะไรกันแน่นะ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ขนหนาขึ้น และยังมีเล็บและเขี้ยวอีก

ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ไม่เหมือนขนลิงอุรังอุตัง

ผมขมวดคิ้ว เผยสีหน้าสันสบ “ จางจึเทา ทำไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แล้วก็ นายเป็นคนฆ่าจูกุ่ยใช่ไหม ”

ตอนนี้หน้าของจางจึเทาได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เขาหายใจแรงๆ ที่ปากยังมีน้ำลายไหลออกมา

ดูจากภายนอก ช่วงเวลานี้ เขาดูไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลยสักนิด

และดวงตาของจางจึเทายังเต็มไปด้วยสีแดงฉาน จ้องผมตาไม่กระพริบ

 

และยังใช้โทนเสียงต่ำ พูดกับผมว่า “ ทำไมฉันถึงกลายเป็นแบบนี้งั้นเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า ! เพราะต้องการชีวิตที่เป็นอมตะ ร่างกายที่แข็งแรง จูกุ่ยเหรอ ใช่ฉันฆ่าเขาเอง ฉันกินหัวใจของเขา ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทันใดนั้นในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

โดยเฉพาะตอนที่จางจึเทาพูดประโยคนั้น มันฟังดูไม่ต่างอะไรกับคำพูดของเจ้าปีศาจโจวเจี่ยนที่ตายไปก่อนหน้านี้เลยสักนิด เพียงเพื่อความเป็นอมตะ

ส่วนเรื่องจูกุ่ย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมหน้าอกของเขาถึงมีรูอยู่ ที่แท้ก็ถูกควักหัวใจไปกินนี่เอง

“ ทำไมนายต้องทำแบบนี้ หรือว่าที่นายเรียกทุกคนมางานเลี้ยงรุ่น ก็เพราะต้องการฆ่าพวกเขางั้นเหรอ ” ผมถามต่อ

 

แต่ตอนนี้จางจึเทากลับส่ายหัว “ ไม่ ฉันก็แค่อยากลำลึกถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อน ทุกคนเป็นเพื่อนกัน ฉันไม่ได้อยากฆ่าใครเลยสักคน ! และไม่ได้อยากลงมือกับพวกนายเลยสักนิด ”

“ แต่คืนนี้เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างพิเศษ จูกุ่ยบังเอิญเห็นสภาพของฉัน ฉันเลยไม่มีวิธีอื่น เพื่อปกปิดความลับ ฉันเลยต้องฆ่าจูกุ่ยซะ ! ”

ช่วงเวลาพิเศษ ผมเงียบไปสักพัก ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้ ว่าคืนนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ

เมื่อมองดูสภาพของจางจึเทาอีกครั้ง เขี้ยวแหลมคม ขนสีดำหนา ทั้งหมดล้วนเป็นของสัตว์

สัตว์ประหลาดมากมาย ก็จะกลายร่างในวันขึ้น 15 ค่ำทั้งนั้น

 

จางจึเทาคนนี้ จะต้องฝึกวิชามารอะไรแน่ จึงทำให้ตัวเองไม่ได้เป็นทั้งคนและสัตว์

วันนี้ขึ้น 15 ค่ำ ทำให้เลือดในตัวของเขาเดือดพล่าน จนกลายร่างออกมาเป็นแบบนี้

ดังนั้นผมจึงถามต่อ “ นายฝึกวิชามารอะไร ”

“ ไม่ใช่วิชามาร เป็นวิชาเซียน ! วิชาเซียนที่สามารถทำให้ฉันเป็นอตมะ ” จางจึเทาพูดต่อ และเดินเข้ามาสองก้าว ในเวลาเดียวกันก็กางกรงเล็บออก

“ เป็นอมตะมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ แบบนี้นายก็ต้องไปฆ่าคนอื่นอีกนะ แล้วนายจะไม่รู้สึกผิดเหรอ ” ผมพูดต่อ ขณะเดียวกันในมืออีกข้างก็หยิบยันต์ได้หนึ่งแผ่น

แต่ใครจะไปรู้เสียงของผมพึ่งเงียบลง จากจึเทาก็พูดด้วยความโกรธ “ ฮึ ! รู้สึกผิดเหรอ นายจะไปเข้าใจอะไร นายมีร่างกายที่แข็งแรง ยังไงก็ต้องพูดแบบนี้ นายรู้ไหมว่าปีก่อนฉันต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ฉันป่วย เป็นมะเร็ง และมันก็ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ”

 

“ สายตาของคนรอบข้างที่มองฉันเริ่มเปลี่ยนไป ทุกคนต่างปฏิเสธฉัน หลบหน้าฉัน แถมยังบอกให้ฉันไปตายเร็วๆ ! แม้แต่ญาติของฉันก็ยังไม่ยอมให้ฉันไปอยู่ด้วย ฉันอยากมีชีวิตอยู่ อยากมีชีวิตอยู่ นายเข้าใจไหม ”

คิดไม่ถึงว่าจู่ๆจางจึเทาก็โมโหขึ้นมา แล้วยังพูดเรื่องพวกนี้ออกมาอีก

ผมแสดงสีหน้าตกใจ แต่จากคำพูดของเขา ผมก็ได้รู้บางอย่าง

การที่จางจึเทากลายเป็นแบบนี้ ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาป่วย

เพื่อที่จะมีชีวิตต่อ เขาเลยเลือกฝึกวิชามารแปลกๆ เพื่อยื้อชีวิตของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ

แต่ผลข้างเคียงคือ ทำให้ตัวเองไม่ได้เป็นทั้งคนและสัตว์

แต่ปัญหาคือ เขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะไปรู้เรื่องวิธีฝึกวิชามารที่ว่านี้มาจากไหนละ

 

หรือว่า เบื้องหลังของจางจึเทา จะมีหมอผีชั่วคอยบงการอยู่

เพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่ม ผมจึงไม่รีบลงมือ ยังพูดกับเขาว่า “ ดังนั้นนายก็เลยเริ่มฝึกวิชานั้น ทำให้ตัวเองไม่เป็นทั้งคนและสัตว์ ”

“ ใช่ ! การมีชีวิตอยู่ดีกว่าอะไรทั้งนั้น ! แม้ว่าพอถึงวันพิเศษฉันจะต้องกลายร่าง แต่เวลาปกติ ฉันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ! ติงฝาน ฉันไม่อยากฆ่านาย ! แต่นายเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ! แต่นายสบายใจได้ ตอนที่ฉันฆ่านายแล้ว ฉันจะให้เงินชดใช้กับครอบครัวของนายก้อนหนึ่ง ขอโทษด้วยนะ ! ”

หลังจากพูดจบ จางจึเทาก็ไม่คิดจะพูดไร้สาระกับผมอีก เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้ามาหาผมทันที

ผมกลับยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว “ ช้าก่อน ! ฉันยังมีคำถามอีกหนึ่งข้อ ”

 

จางจึเทากลับหยุดเคลื่อนไหว “คำถาม!  คำถามอะไร ? ”

“ ฉันอยากรู้ว่า ใครเป็นคนสอนวิชานี้ให้กับนาย นอกจากนายแล้ว ยังมีคนที่ฝึกวิชาประหลาดๆนี้อีกไหม ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เมื่อจางจึเทาได้ยินผมถาม ปากของเขาก็อดยิ้มเย็นชาออกมาไม่ได้ “ ติงฝานนะติงฝาน นายจะตายอยู่แล้ว จะถามให้มันเยอะแยะไปทำไม ”

“ นายเองก็อย่าไปสนใจเลยว่าจะมันมีประโยชน์ไหม ฉันจะตายหรือไม่ อีกเดี๋ยวก็จะได้รู้กัน ! ” ผมแสดงสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่กลัวเขาเลยสักนิด

จางจึเทากลับเงียบไปพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “ บนโลกใบนี้ นอกจากแสงสว่างจากพระอาทิตย์แล้ว ก็ต้องมีส่วนที่มืดอยู่ คนปราบวิญญาณร้ายก็ไม่ได้มีแค่นายคนเดียว และฉันเองก็ไม่ได้อ่อนแอ…… ”

 

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นจางจึเทาก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

เท้าสองข้างวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยกกรงเล็บในมือขึ้น และคำราม “ โฮก ” ราวกับสัตว์ร้าย

สิ่งที่แปลกยิ่งว่านั้นคือ เขาไม่ใช่วิญญาณร้าย แต่ร่างกายกลับมีพลังหยินไหลออกมาเข้มข้นมาก

แม้ว่าในใจจะยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมาก แต่ตอนนี้จะมัวยืนโง่อยู่ไม่ได้

เมื่อเห็นจางจึเทาพุ่งเข้ามา ผมก็ถอยหลบไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว

จางจึเทาเห็นว่าโจมตีพลาด เขาจึงกวาดกรงเล็บตามแนวขวางไปข้างหน้าอีกครั้ง

แต่ไม่รอให้จางจึเทาโจมตีโดนผม ผมก็ขยับร่างกายของตัวเอง ใช้แรงทั้งหมดหลบการโจมตี

ในเวลาเดียวกันก็เคลื่อนพลัง ไปที่เท้าทั้งหมดและเตะออกไปทันที

 

ร่างกายของจางจึเทาสั่นไหว และล้มลงไปกับพื้นทันที

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ถือยันต์ออกมา วิ่งไปข้างหน้า เตรียมใช้ยันต์กำจัดจางจึเทา

แม้ว่าพวกเราจะเคยเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แต่ทางที่เดินมันแตกต่างกัน และเป็นทางที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดังนั้นตอนนี้ผมจึงไม่สามารถยั้งมือได้

หลังจากพลังของผมมาถึงขั้นนักพรต ตอนนี้นอกจากจะใช้ยันต์แปดทิศได้แล้ว ผมยังสามารถใช้ยันต์ดาวไถทำลายความชั่วได้อีกด้วย

และตอนนี้ ยันต์ที่ผมหยิบออกมาก็คือยันต์ดาวไถทำลายความชั่ว

ไม่ว่ามันจะเป็นวิญาณชั่วช้าจากไหน ถ้าถูกยันต์แผ่นนี้ของผมแปะลงไป พลังชั่วร้ายในร่างก็จะถูกทำลายทันที

 

จางจึเทาโกรธมากเขา รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาหันมาตะคอกใส่ผม “ ติงฝาน ! ”

เสียงดังบาดหู ถลึงตามองผมอย่างดุร้าย

หลังจากพูดจบ เข้าก็พุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วพริบตา พวกเราสองคนก็กลับมาสู้กันอีกครั้ง

จางจึเทายังกวาดกรงเล็บมาอีกครั้ง และก็เร็วมาก

แต่ผมจับการโจมตีของเขาได้แล้ว ผมหลบไปด้านข้าง กรงเล็บนั้นเฉียดเลยหน้าของผมไปนิดเดียว

แต่มือของผม กลับเข้าไปแปะยันต์ใส่เขาอย่างรวดเร็ว

“ แปะ ” ยันต์ดาวไถ แปะลงตรงกลาง หน้าของของจางจึเทา

 

ในเวลาเดียวกัน เท้าสองข้างของผม ก็ดันตัวให้ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว หนีให้ห่างจากเขา

ในเวลานี้มือสองข้างของผมเข้ามาใกล้กันอย่างรวดเร็ว และเริ่มเสกคาถาทันที

จางจึเทาโกรธยิ่งกว่าเดิม เขาตะคอกใส่ผมอีกครั้ง “ ติงฝาน แกทำให้ฉันโกรธแล้ว ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็คิดจะดึงยันต์ที่หน้าผากออก

แต่มันสายไปแล้ว เพราะมือของผมประสานกัน และพูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชา “ จะโทษก็โทษที่นายเลือกเดินทางผิดเถอะ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็พูดต่อ “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset