ศพ – ตอนที่ 117 ตัวประกัน

ตอนที่ 117 ตัวประกัน

ขณะที่ผมมองอู่ฮุ่ยฮุ่ย ในใจก็รู้สึกแปลกใจและสับสน

แม้จะไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ได้ยังไง แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นตัวประกันไปแล้ว

ผมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเธอ ดังนั้นผมจึงปล่อยมือที่ประสานอยู่

เมื่อจางจึเทาเห็นผมปล่อยมือ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ออกมาอย่างน่าขนลุก “ ติงฝาน ต่อไปก็รบกวนนายดึงยันต์ออกให้ฉันหน่อยนะ ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมกลับขมวดคิ้ว “ ไม่ได้ ! แกต้องปล่อยเธอก่อน ! ”

“ ปล่อยเธอ ทางที่ดีแกทำตามที่ฉันบอกจะดีกว่า ! ” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย จางจึเทาก็พูดเน้นเสียง และออกแรงที่มืออีกนิดหน่อย

 

เขาบีบแรงเยอะเกินไป จนทำให้อู่ฮุ่ยฮุ่ยหายใจติดขัด และไอแห้งๆออกมาสองสามครั้ง

ผลลัพธ์การไอนี้ ทำให้ร่างที่สลบของเธอ ได้สติขึ้นมาอย่างกระทันหัน

เมื่อเธอฟื้น ก็ได้เห็นสัตว์ประหลาดจางจึเทาที่ลำตัวมีขนสีดำ และเผยให้เห็นคมเขี้ยวพอดี

“ พรึบ ” สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที ร้อง “ อร๊าย ” ออกมาทันที

จางจึเทาเห็นอีกฝ่ายกรีดร้อง จึงออกแรงที่มืออีกครั้ง

อู่ฮุ่ยฮุ่ยหายใจลำบากกว่าเดิม จนทำให้เธอแทบส่งเสียงออกมาไม่ได้ และหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

ยังดิ้นรนไม่หยุด ใช้มือทั้งสองข้างจับมือจางจึเทาเอาไว้แน่น ได้ยินเพียงเสียง “ ฮือฮือ ” ออกมาเบาๆ

“ ยัยชั่ว ถ้ายังแหกปากอีกฉันจะกินแกซะ ! ” จางจึเทาขู่

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยกลับตกใจจนเหมือนจะขาดใจตาย แววตาของเธอแข็งทื่อ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เธอยังอยากมีชีวิตรอด จึงพยักหน้าให้เขารัวๆ เธอกลัวจนถึงขีดสุด

จากนั้น จางจึเทาก็หันมาพูดกับผมอีกครั้ง “ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแกจะมีพลังขนาดนี้ บีบให้ฉันจนมุมได้ถึงขั้นนี้ แค่เอายันต์แผ่นนี้ออก ฉันก็จะปล่อยผู้หญิงคนนี้ ! และครั้งนี้ที่ฉันเรียกทุกคนมารวมตัวกัน ก็เพราะอยากเห็นหน้าทุกคนอีกสักครั้งเท่านั้น คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะออกไปจากที่นี่ทันที และในอนาคตพวกเราจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก ”

ถึงปากจางจึเทาจะพูดแบบนี้ แต่สวรรค์รับรู้ว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้ผม มีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ

ถ้าไม่อยากให้อู่ฮุ่ยฮุ่ยถูกเจ้าบ้านี้ฆ่าตาย ก็ทำได้แค่ทำตามที่มันบอก

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดว่า “ ได้ ! นายอย่าพึ่งทำอะไรละ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ขณะที่ผมเข้ามาใกล้จางจึเทาและอู่ฮุ่ยฮุ่ย

อู่ฮุ่ยฮุ่ยก็ใช้แสงจันทร์จางๆ มองเห็นรูปร่างของผม

หลังจากที่เธอเห็นรูปร่างหน้าตาของผมชัดเจน ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึง

มันชัดเจนมากว่า เธอยังจำผมได้

แต่ผมไม่ได้พูดกับเธอ กลับยืนอยู่ที่หน้าจางจึเทา และพูดกับเขาว่า “ จางจึเทา พูดแล้วก็ทำด้วยละ ! ”

จางจึเทาแยกเขี้ยว “ แน่นอน ! ”

เพื่อต้องช่วยชีวิตอู่ฮุ่ยฮุ่ย ผมไม่มีทางเลือก จำต้องเอื้อมมือออกไปดึงยันต์ที่หน้าอกของเขาออก

 

จากนั้นเสียง “ แควก ” ก็ดังขึ้น ยันต์ที่ติดอยู่กับหน้าอกของจางจึเทาแผ่นนั้น ถูกผมดึงออกแล้ว

แต่ตอนที่ยันต์แผ่นนั้นถูกดึงออก ม่านตาของจางจึเทากลับหดเล็กลง เปลี่ยนมือมาจับคอผมแทน

แต่ผมไม่ได้โง่ แน่นอนว่าต้องมีแผนรับมืออยู่แล้ว

ผมหลบอย่างรวดเร็ว และยังใช้มืออีกข้างจับตัวอู่ฮุ่ยฮุ่ยเอาไว้ จากนั้นก็ดึงมาทางผมอย่างรวดเร็ว

จางจึเทาไม่ได้สนใจอู่ฮุ่ยฮุ่ยอยู่แล้ว มืออีกข้างของเขายังว่าง จึงใช้มันเข้ามาจับผมอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เดิมทีผมสามารถหลบมันได้อย่างสบายๆ

แต่เพราะตอนนี้ผมกำลังดึงตัวอู่ฮุ่ยฮุ่ยอยู่ ดังนั้นความเร็วในการหลบจึงไม่เพียงพอ

 

ผลลัพธ์กรงเล็บของจางจึเทา ได้ข่วนแขนผมจนเป็นแผลสองแผล

ผมอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ดึงตัวอู่ฮุ่ยฮุ่ยไปไว้ข้างหลังผม เพราะกลัวว่าเธอจะต้องบาดเจ็บไปด้วย

ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ รีบออกไปจากที่นี่ซะ ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เข้าไปต่อสู้กับจางจึเทาอีกครั้ง

ตอนนี้จางจึเทาดุร้ายยิ่งกว่าเดิม พลังหยินบนตัวก็เข้มข้นขึ้น

เขาพุ่งเข้ามาชนผมอย่างแรง ในเวลาเดียวกันก็พูดตะคอก “ นี่เป็นสิ่งที่แกบังคับฉันเอง ! ”

เสียงพึ่งตกลง จู่ๆพลังออร่าที่เคยเป็นสีเหลืองอ่อน ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดแปลก

ภายใต้ดวงตาสวรรค์ ที่ผิวของจางจึเทา กำลังมีไอดำล้นทะลักออกมาจำนวนมาก

 

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ เพียงแค่ชั่วพริบตา จู่ๆหน้าผากของจางจึเทา ก็แยกออก

ดูเหมือนจะมีลูกตากลมๆสีขาวโพน ปรากฎออกมา

เมื่อเห็นภาพนี้ ในสมองของผมก็มีเสียงดัง “ ปัง ”

ราวกับฟ้าผ่าในตอนกลางวัน นี่คือ ตาดวงที่สาม

ที่มันไม่ใช่สัญลักษณ์ในองค์กรลับนั้นเหรอ คิดไม่ถึงว่าจางจึเทาเพื่อนสมัยประถมของผม ก็จะเป็นสมาชิกในองค์กรนั้น

ผมทำหน้าตกใจ อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ ตาผี ตาผีขององค์กร ! ”

 

เมื่อจางจึเทาได้ยินผมพูดออกมาอย่างกระทันหัน ก็เผยรอยยิ้มที่น่าสยดสยองออกมาทันที “ คิดไม่ถึงว่าแกก็เคยได้ยินเรื่ององค์กรของพวกเรา แต่ก็นะ คนนอกที่รู้เรื่ององค์กรของพวกเรา ล้วนต้องตาย ! ”

ขณะที่พูด จางจึเทาก็ตัวสั่น ระเบิดพลังหยินออกมาทันที

ไอพลังหยินนี้แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่าพลังก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่าตัว

และยังทำให้เกิดลมกระโชกแรง พัดเข้ามาที่ตัวของผมทันที

ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกหนาวเย็นจนถึงกระดูก และยังรู้สึกว่าใจของผมกำลังสั่น

ในช่วงเวลานี้ ผมรู้ดี เมื่อตาผีนั้นปรากฎ พลังของจางจึเทาจะเพิ่มสูงอย่างมหาศาล

เมื่อกี้พวกเรายังเทียบกันไม่ติด แต่หลังจากที่ตาผีปรากฎขึ้น เพียงแค่พลังหยินนั้นอย่างเดียว ก็ทำให้ผมรู้สึกกดดันแล้ว

 

ผมรู้ว่า ถ้ายังสู้ต่อไป ผมจะต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจางจึเทาแน่

สีหน้าของผมเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมาก แต่เมื่อเห็นอู่ฮุ่ยฮุ่ยที่ยังมึนอยู่ข้างหลังของผม ผมก็เริ่มกระวนกระวายทันที “ เธอทำอะไร ไม่อยากตายก็รีบหนีไปซะ ! ”

แม้ว่าอู่ฮุ่ยฮุ่ยจะตื่นตระหนกเล็กน้อย และไม่แน่ใจว่าจางจึเทาเป็นคนหรือผี หรือตัวอะไรกันแน่

แต่พอเห็นว่าผมอยู่ตัวคนเดียว และยังช่วยเธอไว้เมื่อกี้ เธอจึงตัดสินใจไม่หนีไป กลับกันยังพูดกับผมว่า “ ถ้า ถ้าฉันไปแล้ว งั้นนาย นายจะทำยังไง ”

ผมทำท่าเหมือนพูดอะไรไม่ออก หรือว่าเธออยู่ที่นี่ต่อเพื่อจะช่วยผมงั้นเหรอ

 

แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์คุย จึงพูดตรงๆ “ ฉันมีวิธีอยู่แล้วละ เธอรีบหนีไปเถอะ ! ”

ขณะที่พูด ผมก็ยกมือซ้ายขึ้นมาแล้ว และกระตุ้นพลังที่อยู่ในตัวทันที

นอกจากความสามารถเล็กน้อยของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าไพ่ไม้ตายที่ร้ายกาจที่สุดของผม ก็คือภรรยาสุดสวยมู่หลงเหยียนนั่นเอง

ครั้งก่อนยัยโมโหร้ายนั้นพูดแล้ว ถ้าเจออันตราย ให้เรียกชื่อเธอที่ไฝดำบนข้อมือซ้ายแล้วเธอก็จะรีบมาช่วยทันที

ถึงผมจะไม่รู้ว่ามู่หลงเหยียนจะออกมาจากไฝดำนี้ได้ยังไง แต่เธอพูดแบบนั้นแล้ว ยังไงเธอก็จะต้องมาอย่างแน่นอน

 

ผมไม่เชื่อว่า เจ้าจางจึเทานี่จะเป็นคู่ต่อสู้กับมู่หลงเหยียนได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็คิดจะเรียกชื่อมู่หลงเหยียน

แต่ตอนนั้นเอง เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ผืนป่าที่ห่างออกไปไม่ไกล จู่ๆก็มีแสงไฟสว่างขึ้น

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเสียงของผู้ชายตะโกนออกมา “ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ห้ามขยับทั้งนั้น นี่ตำรวจ…… ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกเราก็อึ้งไปทันที

นี่มันยังไงกัน ทำไมจู่ๆตำรวจก็มาอยู่ที่นี่ละ

 

และดูจากท่าทางแล้ว คนที่มาไม่ใช่แค่คนสองคน แต่เป็นแปดถึงเก้าคน

เมื่อคนที่กำลังจะเข้ามาโจมตีใส่ผมอย่างจางจึเทาเห็นสิ่งนี้ ก็ตื่นตกใจทันที

ทันใดนั้นเขาก็ขจัดพลังชั่วร้าย และตาที่สามบนหน้าผากออก และตอนนี้พวกมันก็หายไปอย่างน่าประหลาด

ไม่เพียงเท่านี้ จางจึเทายังยิ้มเย็นชาให้ผมและพูดว่า “ ติงฝาน เราต้องเจอกันอีกแน่ ! ”

หลังจากพูดจบ จางจึเทาก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ ใช้เท้าสี่ข้าง หมุนตัวและวิ่งหายเข้าไปในป่าลึกทันที

เขาเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นเงาของเขาแล้ว

 

แต่อู่ฮุ่ยฮุ่ยที่อยู่ข้างหลังผมกลับตะโกนบอกตำรวจว่า “คุณตำรวจ พวกเรา พวกเราอยู่ที่นี่ คนเลว คนเลวหนีไปแล้ว……”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

รีบพูดกับอู่ฮุ่ยฮุ่ยว่า “ เธอพูดบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าโรงพยาบาลบ้า ก็อย่าพูดอะไรออกมา…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset