ศพ – ตอนที่ 120 ซ่อนตัว

ตอนที่ 120 ซ่อนตัว

ตอนที่ได้ยินเสียงของแม่เสี่ยวม่าน แถมยังบอกว่าพาคนมาด้วย ผมก็รู้สึกลำบากใจทันที

ถ้าเมื่อกี้ผมไม่ซ่อนก็คงดี แต่ตอนนี้ดันซ่อนไปแล้ว

ถ้าอีกเดี๋ยวโดนจับได้ละก็ ผมจะต้องอายแน่

ถึงแม้จะไม่มีอะไร แต่ยังไงก็ต้องถูกดุอะไรนิดหน่อย

ในเวลาเดียวกันในบ้าน ก็มีเสียงทุ้มๆของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น “ เสี่ยวม่าน ! ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เสียงของเสี่ยวม่านก็ฟังดูขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย “ ลุง ลุง ลุงฉิน ! ”

“ เป็นอะไรไปเสี่ยวม่าน สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ ! ” ผู้ชายพูดออกมาอีกครั้ง

 

“ ไม่ ไม่มีอะไรคะ ! ” เสี่ยวม่านตอบกลับอย่างลำบากใจ

ในเวลานี้แม่ของเสี่ยวม่านก็พูดต่อ “ ลูก จะยืนอยู่หน้าประตูไปถึงเมื่อไหร่ ไม่อยากให้แม่กับลุงฉินเข้าไปเหรอ ”

“ ไม่ ไม่ใช่ค่ะ! หนูยังไม่ได้ทำความสะอาดในบ้าน มันรกมาก ! พวกเราไปคุยกันข้างนอกดีกว่านะคะ ! ใช่คะ พวกแม่ยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันมาใช่ไหมคะ ! พวกเราไปกินข้าวเช้าข้างนอกกันเถอะค่ะ ! ”

“ แม่กับลุงฉินพึ่งกินจากในเมืองมา แถมเอามาให้ลูกด้วยนะ ! แม่กับลุงฉินเลี้ยงลูกมาจนโต ยังกลัวว่าลูกจะดูแลตัวเองไม่ได้ ถอยไป ! ”

“ แม่ แม่…… ” เสี่ยวม่านรีบตะโกน

 

แต่พวกเขากลับฟังไปเดินไป และแล้วแม่และลุงฉินของเสี่ยวม่าน ก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านเรียบร้อย !

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆผู้ชายคนนั้นก็พูดว่า “ เฮ้ย ! ทำไมมีรองเท้าผู้ชายอยู่ที่นี่ ! ”

“ อะไรนะ รองเท้าผู้ชาย ” แม่ของเสี่ยวม่านตกใจทันที

ทันใดนั้น หัวใจของผมก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

รีบก้มมองที่เท้าตัวเอง เพราะเมื่อกี้เปลี่ยนไปใส่รองเท้าเดินบ้าน ดังนั้นรองเท้าของผมจึงอยู่ที่ประตูบ้าน

ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกว่าถูกจับได้แล้ว

ในเวลาเดียวกัน แม่ของเสี่ยวม่านก็ดูเหมือนจะโมโหขึ้นมาทันที “ ม่านม่าน แกบอกแม่มาซิ นี่มันเป็นรองเท้าผู้ชายรึเปล่า แล้วก็ ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันอยู่ในบ้านใช่ไหม ”

 

“ ไม่ ไม่ใช่นะแม่ ! ในโทรศัพท์ก็บอกแล้วนิแม่ ถ้าผู้หญิงโสดอยู่บ้านคนเดียว ให้เอารองเท้าผู้ชายมาวางเอาไว้ที่หน้าประตู ! ใช่ มันเป็นแบบนี้จริงๆนะคะ ” เสี่ยวม่านอธิบาย

แต่แม่ของเสี่ยวม่านยังสงสัย “ ไม่ได้ฉันจะไปดูรอบๆ ! ”

หลังจากพูดจบ เธอก็เดินขึ้นไปตรวจดูห้องด้านบนทันที

ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ ม่านม่าน ลูกจำคำพูดที่แม่บอกได้ไหม ! ตอนแม่รับลูกมาเลี้ยง แม่ไปดูหมอเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตลูก หมอบอกว่าก่อนที่ลูกจะอายุ 23 ปี ห้ามมีแฟนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องโดนทำของจนต้องตาย ! ”

“ เข้าใจแล้วค่ะแม่ ! แต่นั่นมันเรื่องเหลวไหลทั้งเพ แม่เลิกหาได้แล้ว ! มันไม่มีหรอก ” เสี่ยวม่านพูดต่อ

 

ในเวลาเดียวกัน ผมแอบมองดูสถานการณ์จากข้างนอก ผ่านช่องว่างของประตูอย่างระมัดระวัง

แต่ผมเห็นแค่มีผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ข้างล่าง และยังมองเห็นหน้าเพียงส่วนเดียวด้วย

จากรูปร่าง หน้าตาของเขา ดูแล้วหล่อมากๆ

แต่ตอนนี้เขากำลังยิ้ม ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่ผมกำลังแอบมอง เขากลับหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว

วินาทีนั้น ผมเห็นดวงตาที่สามารถทำให้คน “ สติหลุด ” ได้ เขาจ้องบานประตูที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของผม

ระหว่างนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้เผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย

หัวใจเต้นเร็ว แถมยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น

 

ผมเลิกมองอย่างรวดเร็ว เอนตัวพิงผนังด้านหนึ่งพร้อมกับหอบหายใจ

ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับได้แล้วรึเปล่า แต่แววตาของชายคนนั้นช่างแหลมคมจริงๆ มองแล้วขนลุกเลยแฮะ

ผมเม้มปาก และกลั้นหายใจทันที

แต่ในตอนนั้นเอง เสี่ยวม่านและแม่ของเธอก็เดินลงมา

“ หนูบอกแล้วว่าไม่มี ! แม่ก็ไม่ยอมเชื่อ ! ”

“ ไม่มีก็ดี ก่อนลูกจะอายุ 23 ปีห้ามมีแฟนเด็ดขาด และห้ามพาผู้ชายมาอยู่ด้วยแบบลับๆ ลูกต้องรู้นะว่าแม่มีหนูเป็นลูกรักแค่คนเดียว ดังนั้นลูกห้ามเป็นอะไรไปนะ ”

 

“ วันนี้ที่ให้ลุงฉินมา ก็เพื่อให้มาแปะยันต์ที่บ้านของลูกสักสองสามแผ่น ให้ลูกปลอดภัย ต่อไปลูกต้องอยู่คนเดียว แม่ก็ไม่อยู่ แม่กลัวว่าเจ้าสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นจะมาทำร้ายลูก ! ”

“ แม่ ! บนโลกนี้มีสิ่งชั่วร้ายอะไรนั่นที่ไหนละ ! ครั้งก่อนลุงฉินก็บอกหนูแล้ว นี่เป็นสิ่งที่คนคิดไปเอง เป็นเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาเท่านั้น ใช่ไหมคะลุงฉิน ”

“ ฮ่าฮ่าฮ่า…… ” ผู้ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมาอย่างชื่นมื่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆแม่ของเสี่ยวม่านก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ ทำไมประตูห้องครัวปิดอยู่ละ ฉันยังไม่ได้ไปดู ไม่ได้ยังไงฉันก็ต้องไปดูสักหน่อย ! ”

“ อย่า อย่าไปแม่ ไปดูที่ห้องครัวไม่ได้…… ” เสี่ยวม่านรีบพูดออกมาทันที

 

เมื่อผมได้ยินคำพูดนี้ ก็ตื่นตระหนก

มองซ้ายมองขวา ดูว่าที่นี่ยังมีที่ให้ซ่อนตัวได้อีกไหม

ตอนนี้แค่มีคนบุกเข้ามาคนเดียว รับรองได้เลยว่าผมจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้ผมค่อนข้างกระวนกระวาย แต่ภายใต้ความร้อนรน ผมกลับมองเห็นหน้าต่างบานหนึ่ง

เนื่องจากผมร้อนรนอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ปีนขึ้นไปทันที

เมื่อมองดูข้างล่าง ก็พบว่าไม่สูงเท่าไหร่ แต่ถ้าตกลงไปต้องมีกระดูกหัก หรือหัวกระแทกบ้างละ

หลังจากมองซ้ายมองขวาเสร็จ ก็พบว่าข้างๆมีท่อระบายน้ำอยู่หนึ่งเส้น

ถ้าจับมันเอาไว้ ผมก็จะสามารถไต่ลงไปตามท่อระบายน้ำได้

 

เมื่อเห็นประตูถูกเปิดออก ผมก็ไม่สนอะไรอีกต่อไป กระโดดไปจับท่อระบายน้ำ ที่อยู่ข้างหน้าทันที

ในใจกลัวมากๆ แต่มือกลับจับท่อระบายน้ำเอาไว้แน่น ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า จากนั้นก็ค่อยๆไต่ไปเรื่อยๆ

ภายใต้สถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานผมก็ได้ยินเสียงเสี่ยวม่านพูดว่า “ เห็นไหม หนูบอกแล้วว่าไม่มี ! แม่ก็ไม่เชื่อ……. ”

เมื่อเห็นว่าไม่ถูกจับได้ ในใจของผมก็ผ่อนคลายทันที

แม้ว่าบ้านในสวนของพวกเธอจะไม่สูงมาก แต่ผมกลับเคยทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

ผลลัพธ์เมื่อผ่อนคลายลง มือผมก็ลื่น จากสภาพที่ดูเหมือนจะห่างจากพื้นดินประมาณ 3 เมตร ทันใดนั้นผมก็ล่วงลงไปทันที

 

“ ปัก ” เสียงหล่นกระแทกกับพื้น ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกเจ็บที่หลังมาก

โชคดีที่ด้านล่างเป็นสนามหญ้า และดินนุ่มๆ

ผมนิ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้น

และในเวลานี้ ผมก็บังเอิญเห็นเสี่ยวม่านอยู่ที่หน้าต่าง

เมื่อเธอเห็นผมลุกขึ้น ก็แสดงรอยยิ้มที่มีความสุขมาทางผม นอกจากนี้ยังยกนิ้วโป้งให้กับผมด้วย

ช่วงเวลานั้น ผมหดหู่ทันที

เธอเชิญฉันมาเป็นแขกที่บ้านไม่ใช่เหรอ แล้วฉันก็บริสุทธิ์ ยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยสักนิด

 

เพื่อไม่ให้แม่ของเธอเห็น การปกป้องเธอ ฉันเกือบตกลงมาตายเลยนะ เธอแค่ยกนิ้วโป้งให้ฉันเนี่ยนะ

ผมกลอกตา แต่เสี่ยวม่านกลับพูดกับผมแบบไม่มีเสียง จากนั้นก็ทำมือบอกเบอร์โทรศัพท์

ดูเหมือนจะอยากบอกผมว่า อีกเดี๋ยวฉันจะโทรหานายนะ

หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เสี่ยวม่านก็กลับเข้าไปในบ้าน

ผมเองก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงหยิบกระเป๋าที่พื้นขึ้น จากนั้นก็เดินกระเพกๆไปทางประตูรั้วบ้านทันที

แม้ว่าในใจจะรู้สึกหดหู่ แต่เมื่อเห็นเสี่ยวม่าน ในใจผมก็ยังมีรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย

แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่แม่ของเสี่ยวม่านพูด บอกว่าให้ผู้ชายคนนั้นมาดูฮวงจุ้ยและแปะยันต์ปราบความชั่วร้ายให้ ผมก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก

 

สัญชาตญาณบอกผมว่า ผู้ชายวัยกลางคนนั้นเป็นคนมีวิชา

และยังเป็นไปได้ที่เขาจะเห็นผม เพราะเขามองผมแค่ครั้งเดียว ก็สร้างแรงกดดันได้ถึงขนาดนั้นแล้ว

ความรู้สึกเหมือนกับถูกวิญญาณร้ายจ้อง แต่กลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดเหมือนตอนที่วิญญาณร้ายจ้อง มีแต่ความกดดันเกิดขึ้นในใจซะมากกว่า

ผมกำลังคิดในใจ แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะบางทีมันอาจเป็นเพราะความกดดันที่เกิดขึ้นจากตัวเอง

ผมถอนหายใจออกมายาวๆ ทำได้เพียงรอถามเสี่ยวม่านวันหลังเท่านั้น ว่าลุงฉินที่เธอพูดเป็นใครมาจากไหน

หลังเดินออกจากประตูบานน้อย ผมก็ไม่มีอารมณ์ที่จะอยู่นาน รีบนั่งรถไปที่สถานนีขนส่ง จากนั้นก็นั่งรถบัสกลับตำบลทันที

ผลลัพธ์พึ่งถึงตำบล เจ้าเฟิงเฉ่วหานก็โทรศัพท์มาหาพอดี……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset