ศพ – ตอนที่ 122 ผีทารก

ตอนที่ 122 ผีทารก

คนที่มีปัญหาคือรูมเมทของหยางเฉ่ว ชื่อว่าจูจู

จากที่หยางเฉ่วพูด อาจเป็นเพราะชีวิตส่วนตัวของจูจูเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย

เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอเกิดตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่จูจูเองก็ไม่รู้ว่าพ่อของลูกที่แท้จริงคือใคร

และเธอเองก็ยังเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ดังนั้นจึงคิดว่าการเอาเด็กไว้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

แถมยังไม่มีเงินไปหาหมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังอายจนไม่กล้าบอกคนในบ้าน

สุดท้ายจูจูก็ไปคลินิกทำแท้งเถื่อน คิดว่าในขณะที่เด็กยังไม่โตมาก แค่ใช้วิธีกินยาขับออกก็จบแล้ว

หลังจากนั้นเธอก็ยื่นใบลากับทางมหาลัยเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ และไปอยู่ที่บ้านปู่ย่าที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอตามลำพัง และก็กินยาทำแท้งเข้าไป

 

นี่เป็นยาที่อันตรายถึงชีวิต ถ้ากินเข้าไป เด็กที่อยู่ในท้องจะต้องหลุดออกมาอย่างแน่นอน

จูจูอดทนกับความเจ็บปวดในขณะที่เด็กหลุดออกมา แต่หลังจากที่เด็กออกมา จูจูก็พบว่าเด็กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

แม้ว่าจะเล็กมาก แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีแขนมีขาอะไรพวกนั้นแล้ว

ด้วยความที่จูจูกำลังร้อนรน จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เข้าใจเรื่องโอกาสรอดอะไรทั้งนั้น

เธอนำเด็กที่มีอวัยวะเกือบครบแล้วนั้น ไปใส่ถุงปูน จากนั้นก็ใช้มือโยนลงไปในบ่อน้ำเก่าที่อยู่ในสวนหย่อม

หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จ จูจูก็กลับไปพักในบ้าน

แต่ใครจะรู้ในคืนวันที่สองจูจูฝันเห็นเด็กที่ตัวเองโยนลงไปนั้น นั่งอยู่ในบ่อน้ำด้วยสภาพที่เลือดท่วมตัว และส่งยิ้มให้กับจูจู

 

จูจูตกใจจึงตื่นจากฝัน ในใจยังรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็คิดว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน คงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

แต่ใครจะรู้ ว่าหลังจากความฝันนี้ปรากฎขึ้น มันก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คืนที่สอง คืนที่สาม จนถึงคืนเมื่อวานนี้ เธอล้วนฝันเห็นภาพเด็กคนนั้น

และเด็กที่ตายยังเรียกเธอว่าแม่ ไม่เพียงแค่นั้น สองสามวันมานี้จูจูยังรู้สึกว่าในห้องของตัวเองมีคนอยู่ และเหมือนได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากบ่อน้ำที่อยู่ข้างนอกนั้นด้วย

เมื่อคืนหลังจากจูจูได้ตื่นตกใจจากความฝัน เธอก็ยังได้ยินเสียงแปลกๆจากบ่อน้ำอันนั้นอีก

จูจูเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหรือสิ่งลี้ลับใดๆทั้งสิ้น แต่ในเวลานี้กลับไม่สามารถกลั้นความกลัวเอาไว้ได้

 

เพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงภาพหลอน และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากความเครียดของตัวเอง เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แกล้งทำใจกล้าเดินไปที่บ่อน้ำอันนั้น

เมื่อเธอเดินมาถึงบ่อน้ำ ก็กลืนน้ำลาย และส่องไฟลงไปในบ่อตรงๆ

ถ้าไม่ส่องคงดี เพราะหลังจากส่องลงไป จูจูก็เห็นว่า ที่ก้นบ่อมีเด็กตัวใหญ่อาบไปด้วยเลือดอยู่จริงๆ

เด็กคนนั้นกำลังนั่ง ในมือถือหนูที่ตายแล้ว และตอนนี้ก็กำลังเงยหน้ายิ้มให้จูจู

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ปากที่เขามียังใหญ่ไปจนถึงติ่งหู

ในเวลานี้ ยังร้องเรียก “ แม่จ๋า ” ออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าสยดสยอง

เมื่อเห็นฉากนี้ และได้ยินเสียงนั้น

 

จูจูก็ตกใจจนเสียสติ กรีดร้องเสียงดัง และถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง

เดิมทีร่างกายที่พึ่งคลอดลูกก็อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อบวกกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ และตอนนี้ก็ยังถูกทำให้ตกใจ

จูจูจึงสลบไปในทันที ภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ เธอรู้สึกเหมือนมีคนมาดูดนมของเธอ

หลังจากเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าเสื้อผ้าของตัวเองถูกฉีกออก

แต่สิ่งที่แปลกยิ่งไปกว่านั้นคือ ที่หน้าอกของเธอเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของมือเล็กๆและรอยฟันของเด็ก……

จูจูรู้สึกหวาดกลัว เมื่อเหลือบมองไปที่บ่อน้ำ และนึกถึงเด็กปากใหญ่ที่อยู่ในบ่อน้ำเมื่อคืน

จูจูก็ร้อง “ อร๊าย ” ออกมาและถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ได้จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เธอก็วิ่งหนีออกจากสวนหย่อมทันที

 

หลังจากนั้น จูจูก็กลับมาที่หอพักนักศึกษาพร้อมกับหัวใจที่เต้นตุ๋มๆต่อมๆนั้น และอังเอิญเจอกับหยางเฉ่วพอดี

หยางเฉ่วเป็นคนมีวิชาอาคม เพียงมือเดียวก็สามารถเสกคาถาที่ทรงพลังมากได้แล้ว

เมื่อชนเข้ากับจูจู เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นเธอก็รู้ว่าจูจูโดนวิญญาณตามรังควานอยู่ พลังหยางอ่อนมาก นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าเธอจะต้องไปเจอกับสิ่งชั่วร้ายมาแน่ๆ

ดังนั้นหยางเฉ่วจึงถามไถ่สองสามข้อ ถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ตอนนั้นหยางเฉ่วมั่นใจ 7 ใน 10 ส่วนว่าเจ้าสิ่งนั้นคืออะไร เด็กที่ถูกทำแท้ง และพลังหยินที่อยู่รอบๆบ่อน้ำ

เมื่อนำสองอย่างนี้มารวมกัน ก็จะเกิดสิ่งชั่วร้ายได้อย่างง่ายดาย

 

แต่เพื่อความแน่ใจ และปกป้องความปลอดภัยของจูจู

เมื่อวานตอนกลางวัน หยางเฉ่วและจูจูจึงเข้ามาตรวจสอบที่นี่ให้ละเอียด

สุดท้ายหยางเฉ่วก็มั่นใจ ว่าในบ่อน้ำแห่งนี้มีเด็กตายอยู่หนึ่งคน

และได้กลายเป็นผีทารกที่มีแรงแค้นมหาศาลไปแล้ว  จากนั้นหยางเฉ่วก็ทนรอหนึ่งคืน เพราะไม่กล้าลงมือคนเดียว

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเธอถึงรีบโทรศัพท์หาพวกเราในตอนรุ่งเช้า ก็เพื่อบอกให้พวกเราเข้ามาช่วยนั่นเอง

ถ้าไม่รีบจัดการ แล้วรอให้เด็กที่ตายในบ่อโตได้ 10 วันหรือครึ่งเดือน

งั้นคนที่เด็กคนนั้นจะฆ่าเป็นคนแรก ก็ต้องเป็นจูจูอย่างแน่นอน จากนั้นก็ไปตามหาพ่อของเขา

 

หลังจากฆ่าพ่อแม่เสร็จ เจ้าผีทารกตนนี้ก็จะกลายเป็น “ ทารกอาฆาต ” ที่ดุร้ายยิ่งกว่าเดิม มีพลังแค้นที่โหดเหี้ยมติดตัว ถ้ามีใครมารบกวนเขาเขาจะต้องฆ่าคนๆนั้นอย่างแน่นอน และสุดท้ายก็กลายเป็นวิญญาณชั่วช้าที่ไม่มีวันหวนกลับ

และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็คงโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว

ถ้าคิดจะกำจัดเจ้าสิ่งนี้อีก จากพลังของพวกเราสามคน ก็คงไม่สามารถจัดการได้แล้ว

เมื่อฟังเรื่องพวกนี้จบ ในใจของผมและเฟิงเฉ่วหานรู้ดีว่าต้องทำยังไง

แม้ว่าจะกำจัดผีทารกที่ดุร้ายแบบนี้ได้แล้ว แต่ถ้าพูดในอีกแง่หนึ่ง ผีทารกตนนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่น่าสงสารคนหนึ่ง

 

เพราะวิญญาณทารกมากมายที่กลายเป็นวิญญาณร้ายนั้น ส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากแม่ของตัวเองทำแท้งพวกเขาทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น พวกวิญญาณทารกหรือวิญญาณที่กลับชาติมาเกิด 3-5 ครั้งนั้น ทุกครั้งก็ล้วนเป็นเพราะต้องตายกลางคัน

ท้ายที่สุดก็นำไปสู่ความแค้นที่มหาศาล กลายเป็นผีทารกมาแก้แค้น นี่ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย

บวกกับตอนนี้การทำแท้งเหมือนกับเป็นเรื่องเล่นๆ จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดสิ่งนี้ได้ง่ายมากๆ

แค่อาจารย์ผมคนเดียว ก็เคยจัดการเรื่องแบบนี้มาแล้ว 2 ครั้ง

 

จะเห็นว่าเจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้ พบเห็นได้บ่อยแค่ไหน

คุยไปคุยมา พวกเราก็เดินมาถึงประตูรูปร่างสี่เหลี่ยม

ที่หน้าประตูมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างหน้าตาพอใช้ได้ อายุน่าจะห่างจากพวกเราไม่มาก

สีหน้าของเธอดูแย่มากๆ หน้าตาของเธอนั้นซีดขาวราวกระดาษ แถมพลังหยางอ่อนแอมาก

แต่เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเธอดูร้อนรนมาก ตอนนี้เธอกำลังเดินไปมาอยู่หน้าประตู

นี่น่าจะเป็นจูจู แม่ของเด็กที่ตาย

เมื่อเห็นพวกเราปรากฎตัว เธอก็แสดงท่าทางดีใจเล็กน้อย และเข้ามาต้อนรับหยางเฉ่วทันที “ หยางเฉ่ว ในที่สุดเธอก็กลับมา ! ”

 

“ อือ ! จูจู ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จัก สองคนนี้คือนักพรตที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟัง ติงฝาน และเฟิงเฉ่วหาน ! ” หยางเฉ่วแนะนำ

ผมและเฟิงเฉ่วหานพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย และเงยหน้ายิ้มให้

จูจูฝืนยิ้มออกมา แต่แววตากลับขมขื่น และมีน้ำตาคลออยู่ “ ท่าน ท่านนักพรตทั้งสองท่าน เรื่อง เรื่องของฉัน รบกวนพวกท่านด้วยนะคะ ! ”

ผมโบกมือ “ เป็นเรื่องของคนกันเอง พาพวกเราไปดูบ่อน้ำก่อน ! ”

ผมตอบกลับเบาๆ แสดงท่าทีเมินเฉย

เมื่อจูจูได้ยินที่ผมพูด ก็พยักหน้ารับรัวๆ จากนั้นก็พาพวกเราสามคนไปที่บ่อน้ำนั้นทันที

 

พึ่งเข้ามาในสวยหย่อม ผมก็รู้สึกถึงอากาศที่หนาวเย็น

และยังชัดเจนมากว่าความเย็นที่สัมผัสได้นั้น มาจากในบ่อน้ำ

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว พวกเราจึงไม่กลัวเจ้าสิ่งนั้น

พวกเราเดินตรงไปที่หน้าบ่อน้ำ สำรวจดูที่ปากบ่อ

พบว่านี่คือบ่อน้ำเก่าแก่ ด้านบนมีลายหินแกะสลักมากมาย น่าจะพูดได้ว่าบ่อน้ำอันนี้มีอายุประมาณเจ็ดสิบหรือแปดสิบปีได้

และเมื่อมองลงไป ก็พบว่าด้านล่างบ่อลึกมาก ราวๆ 5 เมตรได้ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆก็ประมาณตึกสองชั้น

เป็นบ่อน้ำแห้งที่มีรูปทรงผลน้ำเต้า ด้านล่างกว้างด้านบนแคบ ทำได้แค่ก้มลงไปมองเท่านั้น ส่วนเด็กที่ตายนั้น พวกเรากลับไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset