ศพ – ตอนที่ 129 หลอกล่อผีทารก

 

ตอนที่ 129 สวรรค์และมนุษย์

 

วันเวลาในการบ่มเพาะพลังช่างเปล่าเปลี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นและตกลง;หมู่เมฆรวมตัวและแตกกระจายไป เซียวเฉินราวกับรูปปั้น,ไม่เคลื่อนไหว หลังจากครึ่งเดือน สัญลักษณ์ค่ายกลเริ่มแตกร้าวอย่างช้าๆ,หินวิญญาณขั้นกลางทั้งหมดสิบชิ้นกลายเป็นฝุ่นผง

 

“บูม!” เซี่ยวเฉินลืมตาของเขาและยิงลําแสงสีม่วงออกมา หลังจากบ่มเพาะพลังอย่างสาหัสและตั้งตนรู้แจ้งมามากกว่าหนึ่งเดือน,บวกกับการบ่มเพาะพลังที่เขาฝึกในค่าย กลรวบรวมจิตวิญญาณ,ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นสูงสุด

 

มีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของเซี่ยวเฉินในที่สุดเขาก็มีสีหน้าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าจี้ชาง คงก้าวขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญเมื่อนานมาแล้วได้เช่นไรและผู้สืบทอดของตระกูลชั้นสูงพร้อมจิตวิญญาณยุทธที่ตกทอดผู้ที่อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุด,เขาก็หมดกําลังใจอย่างช่วยไม่ได้

 

**จิตวิญญาณต่อสู้ เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณยุทธนะครับ

 

หากเพียงแค่เขาเป็นเหมือนคนพวกนั้น,ปลุกจิตวิญญาณยุทธของเขาขึ้นมาได้ตั้งแต่กําเนิดจากนั้นเขาไม่จําเป็นต้องเสียเวลาไปกว่า 15 ปี ด้วยพรสวรรค์ของเขา,ระดับการบ่มเพาะพลังของเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนพวกนั้น

 

“บูม!”

 

เรือสงครามขนาดมหึมาค่อยๆลงจอดบนยอดเขา หลังจากที่ฟื้นฟูด้วยสายฟ้ามาเป็นเวลา 49 วัน,สมบัติลับชิ้นนี้ฟื้นคืนกลับไปอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของมัน

 

อย่างไรก็ตามเรือสงครามขนาดยักษ์ลํานี้ช่างดูประเจิดประเจ้อ เพียงความนึกคิดของเซี่ยวเฉิน,ธงบนหัวเรือลอยไปที่ดวงตาของเซียวเฉินและเรือสงครามก็หดขนาดลงอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากผ่านไปไม่นานเรือสงครามสีเงินขนาดเล็กปรากฏขึ้น เซี่ยวเฉินยิ้มบางๆและกระโดดขึ้นไปบนเรือขนาดเล็ก เขามองไปยังเมืองไปสู่ยที่อยู่ไกลออกไปและพูดขึ้น เบาๆ “ได้เวลากลับไปแล้ว!”

 

ค่ายกลเริ่มทํางาน,และเรือสงครามสีเงินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันไหลไปตามสายลมและรวดเร็วราวกับสายฟ้าเร็วกว่าคาถาแรงโน้มถ่วงของเซี่ยวเฉินไปหลายเท่าตัว

 

สายลมคํารามอยู่ในหูของเซี่ยวเฉิน เซี่ยวเฉินยืนอยู่ที่หัวเรือและมือของเขาไพล่ไปข้างหลังเสื้อผ้าหน้าผมของเขาไหวไปตามสายลม ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเผยความสุขุม,มีความรู้สึกคลุมเครือของความอมตะ

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเขาไม่เคยบินได้รวดเร็วและนุ่มนวลได้เช่นนี้มาก่อน ทุกอณูในร่างของเขาผ่อนคลาย

 

ในที่สุด เซี่ยวเฉินลดความเร็วลงและเพิ่มระดับความสูงของเรือ,หลบเลี้ยงสัตว์อสูรวิญญาณประเภทปีกทั้งหลาย เขานั่งลงบนหัวเรือและหยิบเอาขวดเหล้า,รวมถึงของขบเคี้ยวอีกเล็กน้อยออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล เขาเพลิดเพลินไปกับเหล้าและอาหาร

 

สายฝนที่ตกลงมากว่าหนึ่งเดือนได้หยุดลงดวงอาทิตย์หลังฝนนําความอบอุ่นเข้ามา เซียวเฉินเพลิดเพลินไปกับสายลมพร้อมกับกระดกเหล้าและกินของขบเคี้ยวของเขา เขาเผยรอยยิ้มพึ่งพอใจพร้อมกับมองไปยังทิวทัศน์รอบตัวของเขา

 

ในจังหวะนี้เอง ในที่สุดเขาได้เรียนรู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร เมื่อมีความเป็นอมตะ, พเนจรไปรอบโลกพร้อมเหล้าสุรา,มองดูหมู่เมฆรวมตัวและแตกสลาย,บุปผาผลิบานและร่วงโรย,มองดูทั่วทั้งอาณาจักรทุกวันและคืนรู้สึกอิสระและเสรี

 

เซี่ยวเฉินนั่งบนหัวเรือ,ท่องไปบนฟ้าสูง ขณะที่เขากําลังจะพ้นเขตป่าอํามหิต,สัมผัสวิญญาณของเซียวเฉินตรวจจับเรือสีดําด้านล่างของเขาได้

 

เซี่ยวเฉินรู้สึกประหลาดใจ เขารีบเพิ่มระดับความสูงของเรือและตรวจสอบโดยรอบของเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง,ราชวังน้ำแข็งลึกล้ำของตระกูลต้วนมู่เรือรบสีทองของขุนนางกุยยี่,และเรือรบทมิฬของตระกูลฮวาต่างปรากฏตัวขึ้น

 

เซี่ยวเฉินเผยรอยยิ้มบางเบา “คนพวกนี้ช่างอุตสาหะ เป็นเวลามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว และพวกเขายัง ม่กลับออกไปอีก”

 

“ฮู่ ชี!”

 

เรือสงครามสีเงินทันใดนั้นก็เพิ่มความเร็ว เซี่ยวเฉินขยับจากหัวเรือไปที่ท้องเรือ เขาควบคุมค่ายกลของสมบัติลับด้วยพลังทั้งหมดของเขา

 

สมบัติลับโบราณทันใดนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความรวดเร็วอันน่าสะพรึง มันกลายเป็นแสงสีเงินและมุ่งหน้าตรงไปที่เมืองไปสุ่ยด้วยความรวดเร็วมหาศาล

 

เมื่อมันได้ระยะห่างหนึ่งพันเมตรจากเมืองไปสุ่ย, เซี่ยวเฉินก็หยุดเรือสงครามสีเงินไว้บนท้องฟ้า เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะลงไปข้างล่าง

 

เขาสามารถจินตนาการได้ถึงสถานการณ์ภายในเมืองไป สุ่ยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาคิดให้เยอะ ใบประกาศค่าหัวของเขาจะต้องแปะไว้ทั่วทุกมุมเมือง ค่าหัวที่เหล่าตระกูลชั้นสูง ทั้งหลายแปะไว้บนหัวเขา, อย่างไม่ต้องสงสัย,มันมากเกินกว่าที่ตระกูลเจียงสามารถทําได้

 

เซี่ยวเฉินนึกขึ้นได้ว่าในตําราบ่มเพาะพลังมีคาถาเปลี่ยนลักษณ์ เมื่อฝึกฝนไปถึงขั้นสมบูรณ์สุดยอดเขาจะสามารถเปลี่ยนกายไปเป็นสิ่งของได้มากมายะภูเขาสูงหรือธาร น้ำไหล, อสูรปีศาจประเภทปีกหรือสิ่งมีชีวิตบนบก,หรือแม้แต่ดวงอาทิตย์ จันทรา,หรือดวงดารา

 

เซี่ยวเฉินคิดว่ามันช่างมีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้ เซี่ยวเฉินไม่ได้คาดหวังว่าจะสําเร็จไปถึงขั้นระดับตํานาน; ทั้งหมดที่เขาต้องการมีเพียงแค่สามารถเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาเล็กน้อยเท่านั้น

 

ในไม่ช้า, ดวงอาทิตย์จมลงขอบฟ้า:มันเริ่มค่ํามืด เซี่ยวเฉินฝึกฝนคาถาเปลี่ยนลักษณ์ถึงระดับแรกเริ่มเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม,เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับมัน;เขาไม่สามารถเปลี่ยนความสูงหรือรูปร่างของเขาได้

 

ตั้งแต่ที่ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาถึงชั้นที่สาม, เขาสามารถฝึกฝนคาถาขั้นรองส่วนใหญ่ในตําราบ่มเพาะพลังได้หมด อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้มีเวลาไปศึกษา เป็นผลให้เซี่ยวเฉินต้องมาเรียนเอาหน้างานในตอนที่เขาจําเป็นต้องใช้คาถาเปลี่ยนลักษณ์

 

จันทร์เต็มดวงลอยสูงบนท้องฟ้า,ล้อมรอบด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน เซี่ยวเฉินเปลี่ยนกายเป็นชายกลางคนผิวคล้ำ เขาจะใช้ท้องฟ้ายามค่ําคืนแอบเข้าไปในเมืองไปสุ่ย

 

“ก้อง! ก๊อง!”

 

ในจังหวะนั้นเอง,หยกวิญญาณสีเลือดบนหน้าอกของเซี่ยวเฉินทันใดนั้นก็ขยับ เซี่ยวเฉินรู้สึกปิติยินดี หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวไป๋ก็กระโดดออกมาจากหยกวิญญาณสีเลือด

 

หลังจากที่หลับลึกไปเป็นเวลานาน

 

ในจังหวะที่เสี่ยวไปกระโดดออกมามันกระโดดขึ้นไปในอ้อมกอดของเซี่ยวเฉินในทันที มองเห็นเซี่ยวเฉินที่ตัวดําคล้ำ,มันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นมันมองไปที่เซี่ยวเฉินด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ

 

เซี่ยวเฉินยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขและกลับคืนรูปร่างเดิม เสี่ยวไป๋กลายเป็นคุ้นเคยในทันทีเซี่ยวเฉินยิ้มขึ้น “ในตอนนี้ข้าถูกไล่ล่าโดยพวกคนไม่ดีและไม่อาจเผยรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้ เจ้าควรหลบซ่อนอยู่ในหยกวิญญาณสีเลือดไปก่อนเข้าจะเลี้ยงข้าวต้มปลาเจ้าที่หลัง”

 

เสี่ยวไปพยักหน้าท่าทางน่ารัก มันกุมอุ้งเท้าของมันราวกับกําลังถือชามใบใหญ่ มันหมายความว่าอยากจะกินข้าวต้มปลาชามโตขนาดเท่านี้ ช่างน่ารักเป็นที่สุด:เซี่ยวเฉินหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

เซียวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและพบสถานที่ไร้ผู้คน จากนั้นเขาก็ลดระดับลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว,กลายร่างเป็นชายกลางคนผิวสีดําเหมือเมื่อครู่ ตอนนี้เขาดูแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เขามุ่งหน้าเดินตรงไปที่ประตูเมืองอย่างวางมาด

 

มีใบค่าหัวของเซียวเฉินหกแผ่นแปะอยู่บนกําแพงเมือง ใต้แผ่นประกาศจับแต่ละแผ่นมีรายการรางวัลจับมหาศาล นอกจากเงิน,ตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลยังเสนออาวุธวิญ ญาณและทักษะต่อสู้ระดับสูง

 

ที่ทําให้เซี่ยวเฉินต้องประหลาดใจก็คือใบป ระกาศจับจากตระกูลหยานจากเขตซีเขอ เขาส่ายหัวไปมาอย่าช่วยไม่ได้ “เมื่อตระกูลชั้นสูงลงมือ,พวกเขาช่างลงมือได้ เผด็จการเหลือเกิน”

 

“เขตตงหมิง,เขตซี่เขอ,เขตหนานหลิง และสํานักหลวง,ข้าถูกประกาศจับในสี่เขตของอาณาจักรต้าฉินดูเหมือจะไม่มีที่ให้เขายืนอีกต่อไปแล้ว”

 

เซี่ยวเฉินเข้าไปในเมืองไปสู่ยและมุ่งตรงไปที่ศาลาหลับไหล ในขณะที่ท้องฟ้ามืดลง,กิจการของศาลาหลับไหลกลายเป็นรุ่งเรือง เมื่อเซี่ยวเฉินเข้าไปในข้างใน,ที่ชั้นหนึ่ง แน่นขนัดเขามองไม่เห็นที่ว่างแม้แต่เก้าอี้เดียว

 

เซี่ยวเฉินเดินตรงไปที่ชั้นสอง ที่ชั้นสองเต็มไปด้วยนักบ่มเพาะพลังพวกเขาต่างถกเถียงกันถึงเรื่องที่ผ่านมาในเดือนนี้

 

“มันก็ผ่านมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว:เหล่าตระกูลชั้นสูง แทบจะพลิกป่าอํามหิต อย่างไรก็ตาม,พวกเขาก็ยังไม่พบตัวเซี่ยวเฉิน”

 

“ข้าก็มีชีวิตอยู่มานาน และนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นใคร บางคนกล้าท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายต่อหน้าทุกคน แม้แต่มู่เฉิงเซาแห่งวังราตรีเหมันต์ยังไม่ประกาศตนใหญ่โตเหมือนกับเซียวเฉิน”

 

“ข้าไม่เข้าใจบางอย่างเซี่ยวเฉินไปท้าทายตระกูลชั้นสูงมากมายในเวลาเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

“ฮ่าฮ่า, เซี่ยวเฉันท้าทายสามตระกูลชั้นสูงไปตั้งแต่เรื่อง แผนที่ซากโบราณแล้ว ข้าได้ยินมาจากผู้ที่หนีออกมาจาก ซากโบราณว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าไปในซากโบ ราณ, เซียวเฉินปล้นตระกูลชั้นสูงทั้งสี่ตระกูล,ไม่เว้นแม้แต่ ขุนนางกุยย”

 

“เช่นนั้นเจ้าหมอนี้ก็แบกสมบัติมหาศาลเดินไปเดินมา? หากข้าจับตัวเขาได้,ข้าก็รวยเละ?”

 

“ไม่จําเป็นต้องไปจับตัวเขาเตราบใดที่เจ้ามีข่าวคราวเกี่ยว กับเขาและนําไปรายงานให้เหล่าตระกูลชั้นสูงเจ้าจะได้รับถึงหนึ่งพันเหรียญทอง”

 

เซี่ยวเฉินกําลังเดินตรงไปที่ชั้นสาม เสียงพูดคุยของเหล่าผู้บ่มเพาะพลังบนชั้นสองเสียงดังเกินไปเสียงพูดคุยทั้งหมดลอยเข้าหูเซี่ยวเฉิน เขาตกตะลึง;เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากผ่านไปนานมากแล้ว เขายังคงเป็นข่าวลือและหัวข้อพูดคุยจนถึงวันนี้

 

เซี่ยวเฉินแสดงบัตรผ่านพิเศษและเข้าไปที่ชั้นสาม ที่ชั้นสามนั้นเงียบลงมาเยอะผู้คนส่วนใหญ่ต่างต่อรองราคากันด้วยเสียงเบา เซี่ยวเฉินมองไปรอบๆและเห็นผู้คนมาก มายทําการซื้อขายของที่ได้รับมาจากซากโบราณ

 

แม้ว่าจะมีผู้บ่มเพาะพลังมากมายตกตายในซากโบราณก็มีผู้บ่มเพาะพลังที่มีโชคหรือแข็งแกร่งบางคนที่จัดการหาของกลับมาได้

 

“หือ!” เมื่อเซี่ยวเฉินกําลังจะนั่งลง,เขาเห็นผู้บ่มเพาะพลังผู้หนึ่งกําลังขายกระดิ่งทองแด งชิ้นเล็กและสวยงามประณีต กระดิ่งทองแดงชิ้นนั้นดูเก่าแก่น่าเสียดาย,พื้นผิวของมันได้รับความเสียหายหนัก

 

เซี่ยวเฉินขยายสัมผัสวิญญาณของเขาออกไปและสัมผัสกับกระดิ่งทองแดง ทันใดนั้น,เสียงแหลมสูง ดังขึ้นในหัวของเขาจิตใจของเขาสั่นสะเทือนเขา เกือบจะหมดสติไป เซียวเฉินตกตะลึงอย่างที่สุด และเขารีบถอนสัมผัสวิญญาณของเขากลับมา

 

“เฮ! ข้าเสี่ยงชีวิตและพบของชิ้นนี้อยู่ในโลงศพภายใน ซากโบราณ ข้าแน่ใจว่ามันคือสมบัติลับ เจ้าเสนอเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน? ช่างไร้สาระ!” เจ้าของกระดิ่งเงินคือระดับ

 

ขอบเขตปรบอารย์ผู้คนใบชดดลบสีเทา ในตอนนั้นแอบเขามีท่าทีเดือดดาล

 

แขนขวาของเขาหายไปตั้งแต่ข้อศอก หลังจากที่เขาได้ยินข้อเสนอจากอีกฝ่าย,สีหน้าของเขากลายเป็นซีดเทา,และท่าทีของเขากลายเป็นเกรี้ยวโกรธหลังจากเดิน ทางไปซากโบราณครั้งนี้,แขนของเขาถูกตัดตั้งแต่ข้อศอกลงไปและกลายเป็นคนพิการ เดิมที่เขาคิดว่าสามารถขายกระดิ่งทองแดงชิ้นนี้ได้ราคางามใครจะรู้ว่ามันจะได้ราคาเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน?

 

ที่นั่งตรงข้ามของปรมาจารย์ชุดเทาคนนั้นคือพ่อค้า ท่าที่ของพ่อค้าคนนั้นแสดงออกถึงหมดความอดทน เขาพูดขึ้น,อย่างอารมณ์เสีย “มันมีความแตกต่างระหว่างคุณภาพของสมบัติลับ กระดิ่งมองแดงของเจ้าเห็นชัดว่าฟังและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป มันจะได้ราคาไปมากกว่านี้ได้เช่นไร?”

 

“หากไม่ใช่ว่ามันยังมีค่าสําหรับนักสะสม,ข้าจะไม่แม้แต่เสนอราคาถึงหนึ่งพันเหรียญเงิน หากเจ้ายินดีก็ขายอย่าได้ ทําข้าเสียเวลา”

 

“เจ้ามันโหดเหี้ยม!” นักบ่มเพาะพลังที่เสียแขนไปสีหน้ามืดมน หลังจากพูดจบ,เขาลุกขึ้นและเดินจากไป

 

พ่อค้าที่โต๊ะหัวเราะอย่างเย็นชา “ตลก! มันเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก,และเจ้าทํากับมันราวกับเป็นสมบัติ”

 

ผู้คนโดยรอบทั้งหมดหันมามอง เมื่อผู้บ่มเพาะพลังผู้นั้นได้ยินเช่นนั้น เขาอับอายอย่างแรง เขากลายเป็นขายขี้หน้าสุดขีดและเร่งฝีเท้าขึ้น

 

เซี่ยวเฉันเดินเข้ามาและหยุดเขาเอาไว้ คนผู้นั้นจ้องมองเซี่ยวเฉินอย่างเดือดดาลและพูดขึ้น “เจ้าต้องการอะไร?”

 

“เจ้ายังขายกระดิ่งทองแดงในมือเจ้าอยู่ไหม? ข้าสนใจมัน” เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบา

 

ผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าจะมาฉวยโอกาส? ข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา และเจ้ายังจะมาฉวยโอกาส? มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”

 

เซี่ยวเฉินยิ้มนุ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร เขาใส่หินวิญญาณระดับต่ำไว้ในกระเป๋าของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา เขาตกตะลึง

 

“นี่ของเจ้า,ขอบคุณมาก!” เขาส่งกระดิ่งทองแดงให้กับเซี่ยวเฉินและคํานับให้กับเขา ไม่มีการพูดอะไรอีก เขาออกจากศาลาหลับไหลไปในทันที

 

เซี่ยวเฉินมองดูจนเขาจากไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง เพื่อใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ ผู้นั้นต้องประสบพบเจออันตรายมากกว่าที่คนธรรมดาจะพบเจอเป็นหมื่นเท่า อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส, พวกเขาก็ทําได้เพียงกลับไปใช้ชีวิตดุจเช่นคนธรรมดา

 

 

มีท่าทีเดือดดาล

 

แขนขวาของเขาหายไปตั้งแต่ข้อศอก หลังจากที่เขาได้ยินข้อเสนอจากอีกฝ่าย,สีหน้าของเขากลายเป็นซีดเทา,และท่าทีของเขากลายเป็นเกรี้ยวโกรธ หลังจากเดินทางไปซากโบราณครั้งนี้,แขนของเขาถูกตัดตั้งแต่ข้อศอกลงไปและกลายเป็นคนพิการ เดิมที่เขาคิดว่าสามารถขายกระดิ่งทองแดงชิ้นนี้ได้ราคางามใครจะรู้ว่ามันจะได้ราคาเพียงหนึ่งพันเหรียญเงิน?

 

ที่นั่งตรงข้ามของปรมาจารย์ชุดเทาคนนั้นคือพ่อค้า ท่าทีของพ่อค้าคนนั้นแสดงออกถึงหมดความอดทน เขาพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “มันมีความแตกต่างระหว่างคุณภาพของสมบัติลับ กระดิ่งมองแดงของเจ้าเห็นชัดว่าฟังและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป มันจะได้ราคาไปมากกว่านี้ได้เช่นไร?”

 

“หากไม่ใช่ว่ามันยังมีค่าสําหรับนักสะสม,ข้าจะไม่แม้แต่เสนอราคาถึงหนึ่งพันเหรียญเงิน หากเจ้ายินดีก็ขายอย่าได้ ทําข้าเสียเวลา”

 

“เจ้ามันโหดเหี้ยม!” นักบ่มเพาะพลังที่เสียแขนไปสีหน้ามืดมน หลังจากพูดจบ,เขาลุกขึ้นและเดินจากไป

 

พ่อค้าที่โต๊ะหัวเราะอย่างเย็นชา “ตลก! มันเป็นเพียงแค่เศษเหล็ก,และเจ้าทํากับมันราวกับเป็นสมบัติ”

 

ผู้คนโดยรอบทั้งหมดหันมามอง เมื่อผู้บ่มเพาะพลังผู้นั้นได้ยินเช่นนั้น เขาอับอายอย่างแรง เขากลายเป็นขายขี้หน้าสุดขีดและเร่งฝีเท้าขึ้น

 

เซี่ยวเฉินเดินเข้ามาและหยุดเขาเอาไว้ คนผู้นั้นจ้องมองเซี่ยวเฉินอย่างเดือดดาลและพูดขึ้น “เจ้าต้องการอะไร?”

 

“เจ้ายังขายกระดิ่งทองแดงในมือเจ้าอยู่ไหม? ข้าสนใจมัน” เซี่ยวเฉินยิ้มบางเบา

 

ผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าจะมาฉวยโอกาส? ข้าเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มันมา และเจ้ายังจะมาฉวยโอกาส? มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น”

 

เซี่ยวเฉินยิ้มนุ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร เขาใส่หินวิญญาณระดับต่ำไว้ในกระเป๋าของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้น เมื่อผู้บ่มเพาะพลังคนนั้นใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเขา เขาตกตะลึง

 

“นี่ของเจ้า,ขอบคุณมาก!” เขาส่งกระดิ่งทองแดงให้กับเซี่ยวเฉินและคํานับให้กับเขา ไม่มีการพูดอะไรอีก เขาออกจากศาลาหลับไหลไปในทันที

 

เซี่ยวเฉินมองดูจนเขาจากไป เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง เพื่อใช้ชีวิตอย่างรุ่งโรจน์ ผู้นั้นต้องประสบพบเจออันตรายมากกว่าที่คนธรรมดาจะพบเจอเป็นหมื่นเท่าอย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส, พวกเขาก็ทําได้เพียงกลับไปใช้ชีวิตดุจเช่นคนธรรมดา

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset