ศพ – ตอนที่ 138 ในป่ากุ่ยหม่า

ตอนที่ 138 ในป่ากุ่ยหม่า

ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาจารย์จะบอกว่าวิธีการแก้ไขปัญหาของผม จะเหมาะสมและน่าพอใจขนาดนั้น

แต่ตอนที่เขาพูดถึงประโยคนั้น กลับใช้คำว่า “ อีก ” บอกว่า “ ฉันไม่ได้ถ่ายทอดวิชาให้คนผิดอีกแล้ว ”

มันหมายความว่ายังไง หรือว่านอกจากผมแล้ว อาจารย์เคยมีลูกศิษย์คนอื่นอีกเหรอ

แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ดีใจของอาจารย์ ผมก็ไม่คิดมากอีก บางทีอาจารย์คงพลั้งปากพูดออกมาเท่านั้น ! ผมกำลังคิดแบบนี้

แต่คำพูดของอาจารย์ ทำให้ผมรู้สึกดีมาก จนรู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัว

แน่นอน ว่าระหว่างนั้น ผมก็ไม่ได้พูดเรื่องของมู่หลงเหยียน

 

นี่มันช่วยไม่ได้ เพราะมู่หลงเหยียนเคยบอกเอาไว้  เรื่องทั้งหมดของเธอ

นอกจากเธอแล้ว ผมจะต้องปิดเป็นความลับ

เพียงบอกอาจารย์ว่า ผมวางแผนว่าจะไปฝังโกศของผีผู้หญิงที่ภูเขาด้านหลัง

อาจารย์ก็พยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก เพียงบอกให้ผมไปทำเถอะ

และเห็นผมแสดงท่าทางไม่ค่อยอยากพูด จึงโบกมือให้ผมแล้วพูดว่า “ ชั่งเถอะ แกทำได้ไม่เลว สองสามวันนี้แกคงเหนื่อยมาก วันนี้แกก็ไม่ต้องเฝ้าร้านแล้ว ไปพักผ่อนดีๆเถอะ ! ”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้

อาจารย์ให้พัก แน่นอนว่านี่ถือว่าเป็นเรื่องดี

 

ผมจึงไม่เกรงใจ พูดกับอาจารย์อีกนิดหน่อย จากนั้นก็เดินเข้าไปนอนในห้องทันที

แน่นอน ถึงฉากหน้าของผมและอาจารย์จะเป็นครูศิษย์กัน แต่ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกเราคือปู่กับหลาน

อาจารย์เห็นผมเป็นหลานแท้ๆ และผมก็ไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก

ในความทรงจำของผม มีแค่อาจารย์คนเดียว ดังนั้นเขาก็คือญาติคนเดียวของผม

เมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนดีๆ เมื่อเข้ามาในห้องผมก็ล้มตัวลงนอนทันที

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลากินข้าวเย็นแล้ว

 

อาจารย์ทำกับข้าวเอาไว้บนโต๊ะเยอะมาก แม้แต่ซุปไก่ก็มี บอกว่าทำให้ผมบำรุงกำลัง

เมื่อมาถึงโต๊ะผมก็ไม่เกรงใจ ตักไปถึงหลายชามและกินอย่างตะกละตะกลาม

เพราะตอนกลางวันบอกอาจารย์ว่า เย็นนี้จะไปฝังโกศให้ผีผู้หญิง

ดังนั้นหลังจากกินเสร็จ ผมก็พูดกับอาจารย์ว่า “ อาจารย์ นี่ฟ้าก็มืดแล้ว งั้นผมเอาของพวกนี้ไปฝังที่หลังเขาแล้วนะ และก็ถือว่าหาบ้านให้เธอไปด้วย ! ”

อาจารย์เหล่ตาและพยักหน้าให้ผม “ ไปเถอะ ! รีบไปรีบกลับละ ! ”

ผมตอบ “ ครับ ” จากนั้นก็นำโกศของผีผู้หญิงออกไปจากร้าน

มู่หลงเหยียนบอกว่าหลังจากผมกลับมา ให้พาของสิ่งนี้ไปหาเธอ

 

ถ้าพูดถึงมู่หลงเหยียน เธอมักจะอยู่ที่สุสานผีไร้ญาติ และก็เป็นสถานที่ที่พวกเราได้แต่งงานกันในตอนนั้น

เพราะเหตุนี้ ผมจึงนำโกศและถุงเฉียนคุนตรงไปที่สุสานผีไร้ญาติ

เดินมาไม่เร็วมาก เมื่อผมมาถึงสุสานผีไร้ญาติ ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว

สถานที่แห่งนี้หนาวเย็นจับใจ พลังหยิงแรงมาก

รอบๆมีธงไว้อาลัยวิญญาณสีขาวแขวนอยู่ ภายใต้ลมที่พัดในยามค่ำคืน การแกว่งไปมาของพวกมัน ช่างดูน่าขนลุกจริงๆ

ผมเองก็ไม่รู้ว่าหลุมศพของมู่หลงเหยียนอยู่ที่ไหน หรือเธอมีหลุมศพรึเปล่า

 

ผมจึงมองไปรอบๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ อ้าปากตะโกนสุดเสียงในสุสานไร้ญาติที่หนาวเหน็บ “ น้องศพ ฉันมาแล้ว ! เธออยู่ที่ไหน ”

เสียงผมสะท้อนกลับ ก้องดังไปทั่วสุสาน

แต่รอบๆยังคงเงียบกริบ ไม่มีเสียงอะไรขยับ มีเพียงแต่อากาศเท่านั้นที่ดูจะหนาวเย็นขึ้นมาก

ผมเห็นมู่หลงเหยียนไม่ปรากฎตัว จึงตะโกนออกมาอีกครั้ง “ น้องศพเธอ…… ”

ผลลัพธ์ผมยังพูดไม่จบ จู่ๆที่ด้านหลังก็มีเสียงผู้หญิงโมโหดังขึ้น “ เลิกเรียกได้แล้ว ฉันอยู่นี่ ! ”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็ดีใจ รีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว

 

เห็นเพียงต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังไม่ไกล มีมู่หลงเหยียนกำลังยืนสวยอยู่ตรงนั้น

“ น้องศพ ! ” ผมพูดด้วยความดีใจ จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาเธอทันที

แต่มู่หลงเหยียนกลับมองผมด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง “ นายมาช้าจัง ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็กลอกตาทันที

นี่เรียกช้าที่ไหนละ ถ้าฉันมาเร็วกว่านี้ เธอจะกล้าออกมาไหมละ

มู่หลงเหยียนเห็นผมทำท่าทางอารมณ์เสีย จึงพูดออกมาอีกครั้ง “ โอเคโอเค ตามฉันมา ! ”

ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนก็หมุนตัว เดินเข้าไปในป่าของสุสานไร้ญาติ

ป่าของสุสานไร้ญาติ นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องการฝังศพไปทั่วแล้ว ภูเขาลูกนี้ยังมีพลังวิญญาณที่เข้มข้นอีกด้วย

 

ผมเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกว่า ที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นสุสานไร้ญาติ ก็เพราะแต่ก่อนที่นี่เคยเป็นสนามรบ จึงมีคนตายอยู่เป็นจำนวนมาก

ถ้าเข้ามาป่าผืนนี้ตอนกลางคืน ก็จะได้ยินเสียงร้องของม้าที่อยู่ในสนามรบดังขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไปเนินนาน ที่นี่จึงถูกขนานนามว่า “ ป่ากุ่ยหม่า ”

และในป่าละแวกนี้ ป่ากุ่ยหม่าก็เป็นสถานที่ที่มีพลังหยินแรงที่สุด

เมื่อก่อนตอนที่อาจารย์และเหล่าฉินมาทำโต๊ะบูชาที่นี่ ต่างก็ไม่กล้าเข้ามาในป่า เพราะด้านในมีพลังหยินที่รุนแรงเกินไป กลัวว่าถ้าไปดึงดูดวิญญาณร้ายออกมา พวกเขาสองคนจะปราบไม่ไหว

แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ตั้งใจ เรียกมู่หลงเหยียนออกมา

 

แน่นอน ตอนที่อยู่สุสานของโจวหยุน มู่หลงเหยียนก็บอกเอาไว้ว่า

ที่เธอแต่งงานกับผม ก็เพราะตอนนั้นเธอกำลังบาดเจ็บ

และยังบอกว่าหลังจากหายดีแล้ว เธอก็จะคิดวิธียุติการแต่งงานของพวกเรา และคืนอิสระให้กับผม

ต่อมาผมก็เดาว่า ตอนนั้นมู่หลงเหยียนบาดเจ็บ ส่วนทางฝั่งผมก็กำลังเรียกวิญญาณมาแต่งงาน เธอถึงได้มาถึงที่ เพราะคิดได้ว่าการแต่งงานนี้ จะช่วยให้อาการบาดเจ็บของตัวเองดีขึ้น

ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่ได้แต่งงานกับมู่หลงเหยียน ภรรยาสาวที่แข็งแกร่งขนาดนี้

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว ที่จริงการที่มู่หลงเหยียนเป็นภรรยาเจ้าอารมณ์มันก็ดีอยู่ไม่น้อย

 

เธอไม่ได้มาเจอผมบ่อย แค่อ้าปากก็ด่าผมเป็นผู้ชายห่วย แต่มู่หลงเหยียนกลับปกป้อง และช่วยชีวิตผมไว้หลายครั้ง

ในอนาคตถ้าผมอยากกำจัดสิ่งชั่วร้าย ใครกล้ามาทำร้ายผม ผมก็เรียกภรรยาออกมา แค่นั้นผมก็ไม่ต้องกลัวใครแล้ว

ขณะที่ผมกำลังคิดเองเออเอง มู่หลงเหยียนก็พาผมมาถึงส่วนลึกของป่าแล้ว

รอบๆมืดมิด แม้แต่ตาสวรรค์ก็มองเห็นไม่ค่อยชัด

มู่หลงเหยียนเองก็ไม่พูดอะไร เดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะพาผมไปที่ไหน

ผมจึงถามด้วยความสงสัย “ น้องศพ พวกเราจะไปที่ไหนกันเหรอ ”

 

มู่หลงเหยียนไม่ได้หันมามอง เพียงตอบกลับเบาๆ “ ไปบ้านของฉัน ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็งงทันที

หลุมฝังศพของมู่หลงเหยียน อยู่ในป่าเก่าแก่ที่ลึกทึบแบบนี้เหรอ

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็พูดออกมาอีกครั้ง “ หลุมฝังศพของเธออยู่ในนี้เหรอ ”

แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดอย่างสบายๆ “ ฉันไม่มีหลุมศพ แต่เป็นบ้าน ! ”

ผมกลอกตา ยัยนี้ตายแล้ว นอกจากหลุมศพ จะเอาบ้านมาจากไหนละ

ขณะที่ผมกำลังบ่นอยู่นั้น จู่ๆด้านหน้าก็มีเสียงน้ำไหลดัง “ ซ่า… ”

 

หลังจากเดินมาได้ประมาณ 20 เมตร พวกเราก็ผ่านพุ่มไม้ก่อหนึ่ง

แต่วินาทีที่ผมกำลังก้าวข้ามพุ่มไม้ ทั่วทั้งตัวของผมก็นิ่งอึ้งไปทันที

เพราะจู่ๆผมก็พบว่า ในป่าเก่าแก่นี้ มีบ้านโบราณหลังใหญ่อยู่

บ้านโบราณตั้งอยู่ถัดจากลำธาร ด้านข้างตัวบ้านยังมีน้ำตกอยู่อีกหนึ่งแห่ง

บ้านโบราณมีพื้นที่ขนาดใหญ่มาก ตั้งอยู่กลางป่า กำแพงสีขาวหลังคาสีดำ ทั้งสองข้างขยายออกสู่ความมืด จนล้อมรอบป่าใหญ่เอาไว้

ที่หน้าประตูมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ แสงสีแดงสว่างสไหว สะท้อนให้เห็นบ้านประตูโอ่อ่าที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดง

 

ถนนหินทอดยาวออกมาจากตัวบ้านประมาณ 50 เมตร ทั้งสองข้างทางยังมีดอกไม้สีแดงสดปลูกอยู่เรียงราย

สิงโตสองตัวที่ใหญ่โต ราวกับมีชีวิตจริง อยู่ขนาบทางด้านซ้ายและขวา ของประตูบ้าน

รูปร่างแบบนี้ ความอลังการแบบนี้ เมื่อเห็นประตูบานใหญ่นั้นในแวบแรก ก็รู้ทันทีว่าเป็นบ้านของคนร่ำรวย

แต่ตามที่ผมรู้ ป่ากุ่ยหม่าแห่งนี้เป็นเพียงสุสานที่ฝังศพกันแบบโครตพ่อโครตแม่  ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีบ้านโบราณที่อลังการแบบนี้อยู่กลางป่า

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกหนาวตั้งแต่โคนขาจรดหัว

ในใจมีเสียงดัง “ กึก ” และพูดว่าไม่ถูกซิ !

ในป่ากุ่ยหม่า ไม่ได้เคยมีคนอาศัยอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีบ้านคนตั้งอยู่

 

บ้านโบราณหลังนี้จะต้องเป็นของปลอม เป็นเพียงสถานที่ที่ผีอยู่ บ้านผี

แบบนั้นตอนกลางวันก็จะหายไป เวลากลางคืนที่พิเศษ สถานที่พิเศษ หรือในสายตาของคนพิเศษเท่านั้นถึงจะเห็นบ้านผีหลังนี้……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset